ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

สวัสดีคับเพื่อนๆ มาดูกราฟเลยเดี๋ยวสายๆไม่ว่าง2-4-2012-1.gifเมื่อวานตอนดึกๆหันไปดูกราฟรายสิบห้า มันส่งสัญญาณครบชุดคลื่นตรง1674 เลยขอขยับเลข1สีขาวมาตรงนี้เเทนนะครับ จากนั้นย่อทำ2สีขาวแถวๆ1662ตรงฟิโบ61.8ตามเกณฑ์มาตราฐานคลื่น2แล้วก็ออกตัวพุ่งแรงเเซงไฮเดิมขึ้นมาที่1683 ตอนเช้ามีย่อเล็กน้อย :17 ตอนนี้มีรูปแบบrh&Sซ้อนกันสองอันเลยสีขาวกะสีฟ้า ที่บอกไว้เมื่อวานมันลงมาย้ำเนคไลน์สีฟ้าจริงๆ :_10 แล้วกระชากแรงมากๆแต่ก็เกิดrh&Sสีขาวเหมือนกันเป้าหมายก็เส้นตั้งสีขาว(1705)กะสีฟ้า(1695)อะครับไม่รุ้เจ้าจะเล่นอันไหน และที่แน่ๆไม่รุ้เจ้าจะเล่นตามลูกศรสีขาวหรือสีแดง แต่เป้าหมายกลายๆระยะกลางอยู่ที่1703-1711-1722 :57 ก่อนจบชุดนี้มาดูราย4ชมกันต่อ

2-4-2012-2.gifจะเห็นแนวต้านสำคัญๆอยุ่สองแนวคือเนคไลน์สีเหลืองกับแนวต้านเทรนสีม่วงที่ระดับ1680-1688 ถ้าผ่านได้ก็สวยแน่ :57 เป้าหมายไกลๆ ก็ตามเป้าrh&Sสีเหลืองเป็นอย่างน้อยครับ :uu

สรุปเลยละกัน :aa วันก่อนใครที่มีของอยู่แล้วขยับcutlossมาที่1662โลวเมื่อวานได้เลยครับปลอดภัยสุด let profit run (กำไรวิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ) เราก็ประกันกำไรไว้โดยการขยับcutlossขึ้นตามโลวรายวัน ถ้าราคาไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้(บางทีเราคาดหวังว่าตรงนี้แต่มาไม่่ถึง)เราก็ได้ประกันกำไรตัวเองแล้ว

ส่วนใครที่ไม่มีของวันนี้คงต้องพิจารณาเข้าเก็บของแน่ๆ จุดที่ปลอดภัยที่สุดที่จะเข้าวันนี้คือ แนวเนคไลน์สีขาวและแนวรับสีม่วงแถวๆ1670-1674 ครับ cutlossก็1662โลวเมื่อวานนี้เป้าหมายก็1703-1711-1722 เลือกได้ตามชอบใจ :57

ปล. วันนี้ขอให้โชคดีทุกๆคนนะครับ :bye

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
2-4-2012-3.gif อันนี้ขอเพิ่มเติมนะครับเผื่อว่าผมนับคลื่นผิด :21 ดูรายสิบห้าแล้วใช้ฟิโบวัด เมื่อวานที่ย่อลงมาในรายสิบห้าอาจเป็นคลื่น4ก็ได้และที่ขึ้นมา1683ก็อาจจะเป็นคลื่น5ก็ได้ ทำให้คลื่น1 อาจขยับขึ้นมาทำยอดที่1683 และตอนนี้กำลังลงทำ2สีขาวอยู่ก็ได้นะครับ :aa แต่จากเกณฑ์ที่คาดว่าจะเป็นเป้าของคลื่น2 ก็มีอยู่3ตัวคือ 1668-1663-1659 ถ้ามาแค่2ตัวแรกเส้นสีขาวและสีแดง ก็ไม่กินcutlossของเราแต่ถ้ามา ตัวสุดท้ายก็จะกินแน่นอน ถ้าย่อลงมาที่ตัวที่3คงถูกกินcutlossแน่ๆ ให้พิจารณาเปิดอีกทีเมื่อไม่หลุดเทรนรับสีขาวแถวๆ1656 :17 cutlossที่โลว1644ครับ :Announce ซึ่งถ้าเกิดตามเหตุการณ์นี้คลื่น3ราย4อาจจะจบได้ไกลถึง1765เลยทีเดียว :57

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดียามสายจ้า คุณๆ มือใหม่ใจสู้และทุกๆคน

 

ขยายตัวอักษร Ctrl+

 

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 06:09:02 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐและจีน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการหดตัวของภาคการผลิตในยูโรโซน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 52.45 จุด หรือ 0.40% ปิดที่ 13,264.49 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 10.57 จุด หรือ 0.74% ปิดที่ 1,419.04 จุด ดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 28.13 จุด หรือ 0.91% ปิดที่ 3,119.70 จุด

emnb_1_370236.gif

--สัญญาน้ำมันดิบที่ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) ขานรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐและจีนที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.21 ดอลลาร์ หรือ 2.15% ปิดที่ 105.23 ดอลลาร์/บาร์เรล l

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากมีรายงานว่าภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 7.8 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,679.7 ดอลลาร์/ออนซ์

-- สกุลเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) หลังจากมาร์กิต อิโคโนมิกรายงานว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8

ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.15% แตะที่ 1.3323 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3343 ดอลลาร์สหรัฐ

-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากภาคการผลิตของจีนและสหรัฐที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด

ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 5874.89 บวก 106.44 จุด

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th-

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: เงินดอลล์อ่อนหนุนทองคำปิดบวก $7.8

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 06:33:51 น.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจากมีรายงานว่าภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 7.8 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,679.7 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,664.40 - 1,685.40 ดอลลาร์

emnb_1_370236.gif

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 61.4 เซนต์ ปิดที่ 33.098 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 10.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,654.90 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 4.70 ดอลลาร์ ปิดที่ 658.80 ดอลลาร์/ออนซ์

สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างการเปิดเผยของนักวิเคราะห์ว่า สัญญาทองคำได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ซึ่งช่วยให้สัญญาสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงทองคำ มีความน่าดึงดูดใจ

สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะ 53.4 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 52.4 ในเดือนก.พ. ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 53

ตัวเลขที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว ขณะที่ตัวเลขต่ำกว่า 50 สะท้อนถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ยูโรร่วง หลังภาคการผลิตยูโรโซนหดตัวติดต่อกัน 8 เดือน

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 07:20:22 น.

สกุลเงินยูโรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) หลังจากมาร์กิต อิโคโนมิกส์รายงานว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าวิกฤตหนี้ยุโรปอาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคการผลิตของยูโรโซน

emnb_1_370236.gif

ค่าเงินยูโรร่วงลง 0.15% แตะที่ 1.3323 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3343 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.14% แตะที่ 1.6032 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6010 ดอลลาร์สหรัฐ

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 0.93% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 82.020 เยน จากระดับ 82.790 เยน และดีดตัวขึ้น 0.13% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9032 ฟรังค์ จากระดับ 0.9020 ฟรังค์

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.77% แตะที่ 1.0421 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0341 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียพุ่งขึ้น 0.61% แตะที่ 0.8232 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8182 ดอลลาร์สหรัฐ

สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากมาร์กิต อิโคโนมิกส์รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของยูโรโซน หดตัวลงแตะ 47.7 จุดในเดือนมีนาคม จาก 49 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการหดตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจหดตัวต่อเนื่อง

หลายประเทศในยุโรปเผชิญวิกฤตการคลังมานานกว่า 3 ปี ส่งผลให้รัฐบาลประเทศต่างๆต้องใช้มาตรการรัดเข็มขัดและพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนกรีซซึ่งแม้ว่าจะได้รับเงินช่วยเหลือรอบสองจากนานาประเทศ แต่ความเชื่อมั่นในธุรกิจกลับลดลงเหนือความคาดหมายในเดือนมีนาคม ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจฟื้นตัวอย่างยากลำบาก

การหดตัวของภาคการผลิตยูโรโซนถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ตรงข้ามกับภาคการผลิตของสหรัฐและจีนที่ขยายตัวแข็งแกร่ง โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะ 53.4 จุดในเดือนมี.ค. จากระดับ 52.4 ในเดือนก.พ. ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 53 จุด

ตัวเลขที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว ขณะที่ตัวเลขต่ำกว่า 50 สะท้อนถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากสหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ( PMI) ภาคการผลิตจีนอยู่ที่ระดับ 53.1 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว

ทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ รวมถึงยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนก.พ., ดัชนีภาคบริการเดือนมี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.จะเพิ่มขึ้น 201,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 227,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมี.ค.จะทรงตัวที่ 8.3%

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th-

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดน้ำมัน: ภาคการผลิตจีน,สหรัฐแข็งแกร่งหนุนน้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $2.21

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 06:45:26 น.

สัญญาน้ำมันดิบที่ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 เม.ย.) ขานรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐและจีนที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด ขณะที่นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ ซึ่งสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของรัฐบาลกลางสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.21 ดอลลาร์ หรือ 2.15% ปิดที่ 105.23 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 102.06 - 105.49 ดอลลาร์

emnb_1_370236.gif

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.55 ดอลลาร์ หรือ 2.08% ปิดที่ระดับ 125.43 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 121.70 - 125.63 ดอลลาร์

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นแตะ 53.4 ในเดือนมี.ค. จากระดับ 52.4 ในเดือนก.พ. ซึ่งสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 53 โดยตัวเลขที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัว ขณะที่ตัวเลขต่ำกว่า 50 สะท้อนถึงภาวะหดตัวในภาคการผลิต

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนหลังจากสหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ( PMI) ภาคการผลิตจีนอยู่ที่ระดับ 53.1 ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว

ความแข็งแกร่งของภาคการผลิตจีนและสหรัฐสามารถชดเชยปัจจัยลบจากรายงานของมาร์กิต อีโคโนมิกส์ ที่ระบุว่า ดัชนีPMI ภาคการผลิตของยูโรโซน หดตัวลงแตะ 47.7 จุดในเดือนมีนาคม จาก 49 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งภาคการผลิตยูโรโซนหดตัวเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันในเดือนมีนาคม ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยูโรโซนอาจหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปีนี้

นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 มี.ค. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในคืนวันพุธนี้ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 2.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 300,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.3%

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ญี่ปุ่นเผยฐานเงินเดือนมี.ค.หดตัวลงครั้งแรกในรอบกว่า 4 ปี

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 08:01:43 น.

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เปิดเผยในวันนี้ว่า ฐานเงิน (monetary base) หรือปริมาณธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนอยู่ในมือประชาชนและธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งเงินฝากที่สถาบันการเงินสำรองไว้กับธนาคารกลางประจำเดือนมี.ค. ปรับตัวลง 0.2% จากปีที่แล้ว แตะระดับ 112.46 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2551

ส่วนปริมาณเงินฝากหรือยอดรวมของเงินทุนที่สถาบันการเงินสามารถนำไปหมุนเวียนได้นั้น ปรับตัวลดลง 3.6% สู่ระดับ 27.51 ล้านล้านเยน ขณะที่ปริมาณธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% แตะระดับ 80.45 ล้านล้านเยน และปริมาณเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในระบบ ขยับขึ้น 0.1% แตะที่ 4.51 ล้านล้านเยน สำนักข่าวเกียวโดรายงาน

emnb_1_370236.gif

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จีนเผยดัชนี PMI ภาคบริการขยายตัวเดือนมี.ค. หลังอุปสงค์ในปท.แข็งแกร่ง

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 08:49:21 น.

สหพันธ์พลาธิการและการจัดซื้อของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีนในเดือนมี.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.7 จุด สู่ระดับ 58 จุด เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศขยายตัวขึ้น

ทั้งนี้ ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่าภาคบริการมีการขยายตัว ส่วนดัชนีที่เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 จุดบ่งชี้ว่า ภาคบริการหดตัวลง

emnb_1_370236.gif

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำ Gold Futures by Classic Gold Futures

 

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 09:51:06 น.

กรุงเทพฯ--3 เม.ย.--คลาสสิก โกลด์ ฟิวเจอร์ส

Price Movement

ราคาทองคำในตลาด COMEX ปิดที่ 1,679.70 USDต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 7.80 USDต่ออออนซ์ โดยมีความเคลื่อนไหวระหว่าง 1,664.40 - 1,685.40 USDต่อออนซ์ ราคาทองคำเพิ่มขึ้นพร้อมกับราคาน้ำมันและตลาดหุ้น หลังจากการประกาศตัวเลขภาคการผลิตของจีนและสหรัฐที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ราคาทองคำได้แรงหนุนจากปัจจัยทางเทคนิคเมื่อสามารถแนวต้านบริเวณ 1,670 ขึ้นมาได้ ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปทำ high บริเวณ 1,685 จากนั้นมีแรงขายทำกำไรทำให้ราคาปิดที่บริเวณ 1,679.70 USDต่อออนซ์ สำหรับในช่วงเช้าวันนี้ราคาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,679 USDต่อออนซ์ ภาพกราฟในราย 240 นาที แนวโน้มมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อไปทดสอบแนวต้านบริเวณ 1,688 และถัดไปบริเวณ 1,700 ส่วนแนวรับวันนี้คาดว่ามีที่บริเวณ 1,670/1,660/1,645 แนะนำ นักลงทุนที่เปิด Long ไว้ ถือต่อโดยมีเป้าหมายทำกำไรบริเวนแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,688/1,700 สำหรับนักลงทุนที่ไม่มีสถานะ รอเปิด Long เมื่อราคาอ่อนตัวบริเวณแนวรับ 1,670 ส่วนในระยะสัปดาห์คาดว่ามีแนวต้านบริเวณ 1,700 /1,717 และแนวรับบริเวณ 1,655/1,645 กรอบความเคลื่อนไหวในระยะสัปดาห์คาดว่าอยู่ระหว่าง 1,645 — 1,717 USDต่อออนซ์

emnb_1_370232.gif

Technical Analysis

ภาพกราฟในราย 240 นาทีสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,670 ส่งสัญญาณซื้อเมื่อ MA 4 ตัด MA 9 และ MA 34 ขึ้นมา โดยมีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,688/1,700 ส่วนแนวรับมีที่บริเวณแนวรับ 1,670/1,660 แนะนำ นักลงทุนที่เปิด Long ไว้ถือต่อโดยมีเป้าหมายทำกำไรบริเวนแนวต้านถัดไปบริเวณ 1,688/ 1,700 ส่วนในระยะสัปดาห์คาดว่ามีแนวต้านบริเวณ 1,700/1,717 และแนวรับบริเวณ 1,655/1,645

Key Point in Precious Market

- ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำ ได้แก่ การกลับเข้ามาซื้อทองคำของผู้จัดการกองทุน รวมถึงเฮดจ์ฟันด์ และนักเก็งกำไรรายใหญ่ ( + ) ค่าเงิน USD อ่อนค่าลง ( + ) ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น จากตัวเลขดัชนีกิจกรรมภาคโรงงานของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น และความล่าช้าในการขนถ่ายน้ำมันในทะเลเหนือ ( + ) ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับบวกขึ้น ( + ) ตัวเลขการว่างงานของยูโรโซนพุ่งขึ้นมาที่ระดับ 10.8% สูงสุดในรอบ 14 ปีและอาจทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงในเร็วๆนี้ ( - ) เฟดอาจไม่ส่งสัญญาณการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยจะรอดูการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก่อน ( - )

- ประเด็นที่ต้องติดตาม เฟด เปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์ กรีซอาจจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 6 พ.ค.

- การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ วันอังคาร ดัชนีภาวะธุรกิจนิวยอร์คเดือนมี.ค. ยอดสั่งซื้อของโรงงานเดือนก.พ. เฟด เปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 13 มี.ค. วันพุธ ตัวเลขการจ้างงานทั่วประเทศเดือนมี.ค. ดัชนีภาคบริการเดือนมี.ค. ตัวเลขสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ วันพฤหัสบดี จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ วันศุกร์ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.

- SPDR ถือทองคำจำนวนเท่าเดิม 1,286.62 ตัน

ราคาโลหะเงินปิดเพิ่มขึ้น 0.61 USDต่อออนซ์ ปิดที่ 33.10 USDต่อออนซ์ โดยมีความเคลื่อนไหวระหว่าง 32.34— 33.25 USDต่อออนซ์ ishares silver trust ขายโลหะเงินจำนวน 51.35 ตัน ถือโลหะเงินจำนวน 9,683.20 ตัน ส่วนโลหะเงินมีแนวรับบริเวณ 32.3/ 32.0 แนวต้านบริเวณ 33.5/ 34.0 แนะนำนักลงทุนระยะสั้น Trading ในกรอบ 32.0 — 34.0

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำ by Hua Seng Heng Gold Futures

 

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 09:45:33 น.

กรุงเทพฯ--3 เม.ย.--ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส

- ทองปิดบวกตามราคาน้ำมันดิบ

- ตลาดการเงินหลายชาติปิดทำการปลายสัปดาห์

- ระวังแรงขายหากราคาเข้าใกล้1,690-1,700 ดอลลาร์

ราคาทองคำและราคาโลหะเงินปรับฐานลงเข้าใกล้แนวรับของวัน ก่อนที่จะเริ่มดีดตัวกลับในการซื้อขายช่วงค่ำ โดยมีปัจจัยบวกทั้งจากสัญญาณซื้อเก็งกำไรระยะสั้นในทางเทคนิคที่เกิดขึ้นในการซื้อขายช่วงปลายสัปดาห์ก่อน และการดีดตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ จนทำให้ราคาทองและราคาโลหะเงินวานนี้ปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องจากการซื้อขายช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยยังมีแนวโน้มที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่อาจมีกรอบการแกว่งตัวค่อนข้างแคบ เนื่องจากนักลงทุนต่างรอติดตามรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐในคืนวันพุธและวันศุกร์ ซึ่งในคืนวันศุกร์นั้น ตลาดการเงินของสหรัฐจะปิดทำการ แต่ก็จะมีการรายงานตัวเลขการจ้างนอกภาคเกษตรและระดับอัตราการว่างงานตามปกติ และนอกจากตลาดการเงินของสหรัฐที่จะปิดทำการในวันศุกร์แล้ว ตลาดสำคัญอื่นๆทั้งอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ฮ่องกง ญี่ปุ่น สิงค์โปร ต่างก็จะปิดทำการในวันศุกร์เนื่องในวัน Good Friday เช่นเดียวกัน และสำหรับบางประเทศจะปิดทำการต่อเนื่องไปจนถึงวันจันทร์ ดังนั้นการซื้อขายเก็งกำไรในสัปดาห์นี้จึงคาดว่าจะมีเข้ามาไม่มาก และราคาทองก็อาจมีแรงขายกลับออกมาหากราคาฟื้นตัวขึ้นได้ต่อในช่วงต้นสัปดาห์ ภาพการเคลื่อนไหวทางเทคนิคของราคาทองหลังจากมีสัญญาณซื้อเกิดขึ้นในการซื้อขายช่วงปลายสัปดาห์ก่อนนั้น ยังคงมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อ โดยมีแนวต้านอยู่ที่บริเวณ 1,680 ดอลลาร์และ 1,690 ดอลลาร์ ตามลำดับ และในช่วงที่ราคาทองคำขึ้นไปเคลื่อนไหวเหนือแนวต้านหลัง คาดว่าจะมีแรงขายทำกำไรกลับออกมามากก่อนที่ราคาจะเริ่มปรับฐาน และหากราคาทองยังไม่สามารถผ่านขึ้นไปยืนเหนือ 1,700 ดอลลาร์ ได้ การฟื้นตัวจากสัญญาณซื้อที่เกิดขึ้นในการซื้อขายปลายสัปดาห์ก่อนต่อเนื่องมาจนถึงต้นสัปดาห์นี้ก็จะยุติลง เช่นเดียวกับกรณีที่ราคาปรับตัวลงไปต่ำกว่าแนวรับของวานนี้บริเวณ 1,660-1,665 ดอลลาร์ ซึ่งต้องระวังว่าจะมีแรงขายกลับออกมามาก การเก็งกำไรในทองคำแท่งหากยังไม่ต้องการขายทองออก สามารถเข้าไปมีสถานะขายในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าโดยเฉพาะสัญญาเดือนไกลที่มีส่วนต่างกับราคาทองคำแท่งมากกว่า 600 บาท เพื่อป้องกันความเสี่ยง หรือในช่วงที่ราคาทองดีดตัวขึ้นไปเคลื่อนไหวเหนือ 1,690 ดอลลาร์ ซึ่งจะเริ่มมีโอกาสสูงขึ้นที่ราคาทองจะเริ่มปรับฐาน ส่วนราคาโลหะเงินในช่วงสั้นก็ยังมีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้นได้เช่นเดียวกันกับราคาทอง โดยมีแนวต้านของวันอยู่ที่บริเวณ 33.20 และ 33.50 ดอลลาร์ ตามลำดับ

emnb_1_370232.gif

โกลด์ฟิวเจอร์สเดือนเม.ย.55

Close chg. Support Resistance

24,520 +30 24,300/24,250 24,650/24,750

 

คาดว่าราคาทองยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่ด้วยระดับราคาที่เข้าใกล้แนวต้านบริเวณ 1,690 และ 1,700 ดอลลาร์ จึงอาจมีแรงขายกลับออกมา การเก็งกำไรระยะสั้นควรรอเปิดสถานะซื้อในช่วงที่ราคาปรับฐานเข้าใกล้แนวรับซึ่งยกตัวขึ้นมาอยู่ที่บริเวณ 1,665-1,670 ดอลลาร์ โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่บริเวณ 1,660 ดอลลาร์

ซิลเวอร์ฟิวเจอร์สเดือนเม.ย.55

Close chg. Support Resistance

1,010 +10 980/1,000 1,030/1,040

 

ราคาโลหะเงินฟื้นตัวกลับขึ้นมาเคลื่อนไหวอยู่ที่แนวต้านบริเวณ 33.0 ดอลลาร์ หลังจากในระหว่างวันมีการปรับฐานลงเข้าใกล้แนวรับบริเวณ 32.20-32.50 ดอลลาร์ โดยหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาโลหะเงินฟื้นตัวขึ้นมาเคลื่อนไหวบริเวณแนวต้านที่ 33.20-33.50 ดอลลาร์ แต่ก็ไม่สามารถผ่านขึ้นไปได้ ดังนั้นหากราคากลับขึ้นไปเคลื่อนไหวที่แนวต้านบริเวณดังกล่าว ควรปิดสถานะซื้อเพื่อลดความเสี่ยง แล้วรอเปิดสถานะใหม่ในช่วงที่ราคาดีดตัวผ่านแนวต้านดังกล่าวขึ้นไปได้หรือรอเปิดสถานะในช่วงที่ปรับฐานลงสู่แนวรับของวันที่บริเวณ 32.50-32.60 ดอลลาร์ โดยมีจุดปิดสถานะตัดขาดทุนอยู่ที่บริเวณ 32.20 ดอลลาร์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชี้โชห่วยไทยไม่ตายหันปรับสู้แข่งดุ

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 00:00:54 น.

ราชประสงค์ * โชห่วยไทยยังไม่ตาย มี 2.5 แสนราย แต่กำลังปรับตัวรับแข่งขันสูง "อิน ดีด" รุกเป็นที่ปรึกษาครบวงจร หวังเพิ่มลูกค้าเป็น 20 บริษัทในสิ้นปี

นายรีส โจนาธาน เคล้าส์ เซอร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิน ดีด สแทรกทิจีส์ อินทู แอค ชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาธุรกิจเชิงกลยุทธ์ ขยายธุรกิจทางการค้าจากประ เทศอังกฤษ เปิดเผยว่า จากการสำรวจภาพรวมธุรกิจร้าน เทรดดิชั่นนอลเทรด หรือร้านโช ห่วยทั่วประเทศของไทย พบว่ายังมีการขยายตัวที่ดี ไม่ได้ปรับตัวลดลง ซึ่งจากข้อมูลเชิงลึกพร้อมแผนที่ GPS พบว่ายังมี ร้านโชห่วยทั่วประเทศไทยอยู่กว่า 250,000 แห่ง จาก 21 ประเภทร้านค้า ประกอบด้วย ร้านจำ หน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ร้านขายยา ร้านขายผลิตภัณฑ์ความงาม และร้านจำหน่ายอาหารสัตว์ เป็นต้น

emnb_1_370232.gif

อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มของเศรษฐกิจและความต้อง การของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ร้านโชห่วยมีการปรับตัวมากขึ้น เพื่อรองรับกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ด้วยการนำบริการและสินค้า ต่างๆ เข้ามาให้บริการเสริมกับลูก ค้า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น บางร้านมีการนำร้านเสริมสวยเข้ามาให้บริการเสริม มีการจำหน่ายกาแฟ อาหารจานด่วน เครื่องดื่มและบริการรับซักรีดอยู่ภายในร้านเดียวกัน ซึ่งแนวโน้มคาดว่าจะเป็นอย่างนี้ และมีความหลากหลายมากขึ้นในอนาคต

สำหรับแนวทางการดำเนิน ธุรกิจของบริษัทในปีนี้ จะยังมุ่งไป ที่การให้คำปรึกษาแบบครบวงจรกับลูกค้าทั้งด้านการตลาด การบริ หารช่องทางการจำหน่าย และการ ฝึกอบรมให้กับผู้ผลิต ผู้จำหน่าย และผู้ค้าปลีกที่ต้องการกระจายสิน ค้าเข้าสู่ช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกรายย่อย รวมถึงการให้บริการให้คำปรึกษาด้านการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างซัพพลายเออร์ร้านค้าปลีก ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการประมาณ 10 บริษัท โดย 3 ใน 4 เป็นบริษัทข้ามชาติ และสิ้นปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 20 บริษัท.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

thaipost.png

คอลัมน์: กลยุทธ์พิชิตหุ้น: ซึมแต่ไม่ลง

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 00:00:53 น.

ธวัชชัย ฐิติวณิชภิวงศ์

ในขณะที่อากาศร้อนมากขึ้น แต่ทางด้านตลาดหุ้นกลับกำลังเย็นลง โดยมองจากวอลุ่มการซื้อขายที่ลดลงอย่างมากจากเดิมที่มีวอลุ่มกว่า 3 หมื่นล้านบาทมาขณะนี้ได้ลดลงเหลือแค่ 2 หมื่นล้านบาทแล้วโดยเฉพาะวานนี้ (2 เม.ย.55) ซึ่งเป็นวันแรกของเดือนเมษาฮาวาย ตลาดกลับมีการซื้อขายที่บางลงมาก วอลุ่มแค่ 20,821.71 ล้านบาท

emnb_1_370232.gif

โดยปกติเมื่อตลาดซึมดัชนีตลาดก็จะลง แต่วานนี้ตลาดซึมก็จริง แต่ดัชนีกลับไม่ลง ยังบวกได้ 2.32 จุด ทำให้ดัชนีมาปิดที่ 1,199.09 จุด คงไม่มีเจตนาที่จะดันดัชนีให้ถึง 1,200 จุด ทั้งๆ ที่ขาดไม่ถึง 1 จุด นับเป็นการดีที่ไม่ทำอย่างนั้น ปล่อยให้ตลาดเป็นไปตามธรรมชาติ คือตัวเลขดัชนีจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ อยู่ที่หุ้นที่ลงทุนเป็นอย่างไรมากกว่า

สิ่งที่น่าพิจารณามากกว่าดัชนีคือ หุ้นที่มีราคาบวกในตลาดมีหรือไม่ เพราะหากไม่มีก็คงยากที่จะเข้าไปลุ้นเก็งกำไร การจะเล่นชอร์ตเซลคงทำ ได้ยากในตลาดหุ้นไทย แต่การเล่นเก็งกำไรในทาง บวกคือ ซื้อต่ำขายสูง เป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนทำได้และทำได้ก็จะมีกำไร ดังนั้น หากตลาดยังมีหุ้นเคลื่อนไหวในทางบวกเท่ากับมีโอกาสในการเก็งกำไรได้ อย่างวานนี้แม้ตลาดจะซึมแต่มีหุ้นบวกมากถึง 253 ตัว แค่นี้ก็เท่ากับสามารถเก็งกำไรได้สะดวกแล้ว ยกเว้นจะไปเลือกถูกตัวหุ้นที่เป็นลบซึ่งก็มีมากถึง 247 ตัว คงจะนับว่าดวงไม่ดีไป

สภาพตลาดซึมอย่างนี้ ไม่ต้องไปคาดหวังจะมีนักลงทุนกลุ่มไหนซื้อขายกันมากมาย ทุกกลุ่มจะต้องซื้อขายน้อย หรือการชะลอการลงทุนนั่น เอง ที่เห็นได้ชัดเจนคือนักลงทุนต่างชาติที่เคยซื้อระดับพันล้านบาท มาวานนี้ซื้อแค่ 85.48 ล้านบาทเท่านั้น แต่ดัชนียังบวกได้ ก็เพราะทางกลุ่มกองทุนไม่ได้ขายหุ้น แถมยังซื้อ 69.50 ล้านบาทเสียอีก ส่วนผู้ขายมากที่สุดก็คือโบรกเกอร์ พอเห็นตลาดซึมโบรกเกอร์จะคิดได้อย่างเดียวคือ กลัวตลาดจะลง จึงรีบขายออกไปก่อน

พูดได้ว่าวานนี้นักลงทุนส่วนมากคงนอนพัก ในตลาด ทำให้ไม่ค่อยมีวอลุ่ม มาวันนี้น่าจะมีปฏิกิริยามากขึ้นบ้าง เพื่อปลุกให้อารมณ์คึกคักมากขึ้น คงต้องอาศัยนักลงทุนต่างชาติปลุกระดม เพราะ ส่วนมากชอบที่จะเล่นตามมากกว่าจะเป็นผู้นำ

ดูแล้วแม้ตลาดซึม แต่ยังคงมีบรรยากาศของการลุ้นเก็งกำไรอยู่มาก จึงยังคงสามารถเลือก ลุ้นกันได้ต่อไป ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าลุ้นในกลุ่มอาหารฯ มีให้เลือกที่ CPF, TIPCO และ KSL กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ น่ามองที่ CK, QH และ SIRI กลุ่มพาณิชย์ที่น่ามองยังอยู่ที่หน้าเดิมๆ คือ CPALL, BJC และ LOXLEY ส่วนกลุ่มพลังงานหลบจากตัวใหญ่มาเป็นตัวเล็กลง ก็มี TOP, IRPC และ TTW เป็นต้น หุ้นรายตัวที่เตะตา TMB, SMT และ PTTGC เป็นตัวอย่าง ในสภาวะตลาดซึมๆ อย่างนี้ ไม่ควรคาดหวังผลกำไรที่สูง เอาแค่แก้ง่วงไปก่อนก็แล้วกัน แต่จะให้ดีขอบอกว่าสภาพตลาดอย่างนี้เหมาะในการทยอยคัดเลือกหุ้นพื้นฐานดีๆ ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน ซื้อลงทุนจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคตอันใกล้ นับเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากกว่าที่คิดได้.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขึ้นค่าแรงโดมิโน SMEs เจ๊ง2 แสนรายปิดกิจการ-พาณิชย์ปลอบผู้ผลิตไม่ปรับราคาสินค้า

 

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 00:00:57 น.

หอการค้าไทยเผยผู้ประกอบการ 98% จาก 2.2 ล้านราย ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท คาดกว่า 2 แสนรายอาจต้องม้วนเสื่อเลิกกิจการหรือย้ายฐานหนีระบุยาม แม่บ้าน ก่อสร้าง หนักสุดจ่อปลดคนงานหลังต้นทุนพุ่ง แนะรัฐบาลตั้งกองทุนหมื่นล้านช่วยเหลือSMEs และฟังความเห็นผู้ประกอบการ ด้าน "พาณิชย์" ยืนยันผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่ไม่ปรับราคาแม้ต้นทุนค่าแรงขยับขึ้นราคา

emnb_1_370232.gif

นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.55 ใน 7 จังหวัดนำร่องว่า ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ที่มีการจ้างแรงงานตั้งแต่ 1-25 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 98% ของผู้ประกอบการทั้งประเทศจำนวน 2.2 ล้านราย จะได้รับผล กระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในครั้งนี้ และคาดว่าประมาณ 10% หรือ 2 แสนราย จะต้องปิดกิจการหรืออาจจะต้องย้ายฐานการผลิต ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่ที่จ้างแรงงานตั้งแต่ 500-1,000 คนขึ้นไปได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ มีไม่ถึง 1% ของสถานประกอบการทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการใน 7 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ ภูเก็ต สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปทุมธานี นครปฐม และนนทบุรี มีสัดส่วนประมาณ 40% ของผู้ประกอบการทั้งหมด จะได้รับผลกระทบทันที ส่วนจังหวัดที่เหลือแม้จะยังไม่ต้องปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท แต่ก็ต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เมื่อถึง1 ม.ค.56 ก็ต้องปรับค่าแรงเป็นวันละ 300 บาททั้งหมด ตอนนั้นผลกระทบก็จะครอบคลุมทั้งประเทศ

"การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 ของรัฐบาล มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งส่วนที่เห็นด้วยส่วนใหญ่เป็นพวกใช้แรงงานน้อยและใช้เครื่องจักรเยอะการปรับขึ้นค่าแรงก็กระทบไม่มาก เพราะใช้เครื่องจักรทำงานแทนส่วนพวกที่ไม่เห็นด้วย ส่วนใหญ่จะอยู่ใน 98% เพราะการปรับขึ้นค่าแรงเป็นการเพิ่มต้นทุนอย่างมาก ขณะที่การเพิ่มขีดความสามารถแรงงานให้สอดคล้องกับค่าแรงที่สูงขึ้นก็ยังไม่ มีมาตรการหรือแนวทางอะไรชัดเจนที่จะช่วยให้เรื่องนี้ดีขึ้น"นายภูมินทร์ กล่าว

สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจดูแลรักษาความปลอดภัย (ยาม) และพนักงานโรงแรม ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเพราะส่วนใหญ่มีการทำสัญญากับผู้ว่าจ้างไว้แล้ว อาจจะเป็นสัญญาระยะ 3 ปี 5 ปี โดยคำนวณค่าแรงงาน ค่าบริการจัดการไว้เรียบร้อย แต่เมื่อค่าแรงงานขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 300 บาท ก็ไม่สามารถไปขอแก้ไขสัญญาการว่าจ้างได้ ก็ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ สัดส่วนการจ้างแรงงานของไทยในปัจจุบัน แบ่งเป็นภาคบริการ 24.72% ภาคเกษตร 38.24% ภาคอุตสาหกรรม 20.68% และภาคการค้า 16.40% ส่วนผลกระทบด้านการลงทุนจากการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ ประเมินว่าการลงทุนอาจจะหายไป 1 แสนล้าน หรือ 25% จากมูลค่าการลงทุนทั้งหมดปีละ 4 แสนล้านบาท เพราะนักลงทุนมองว่าค่าครองชีพเป็นต้นทุนสำคัญอันหนึ่ง แต่หากรัฐบาลมีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน หรือผ่อนคลายกฎระเบียบการลงทุน โอกาสที่การลงทุนจะลดน้อยลงก็มีสูง

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอที่ต้องการให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำในครั้งนี้ขอให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือ SMEs วงเงินประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่องและควรจะพัฒนาฝีมือแรงงาน ทั้งการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อให้มีแรงงานฝีมือเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญควรจะรับฟังความเห็นของภาคเอกชน เพราะเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ที่ผ่านมา หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้เสนอความกังวลต่อนโยบายในเรื่องนี้ของรัฐบาลมาโดยตลอดซึ่งสิ่งที่หอการค้าไทยต้องการขอให้มีความชัดเจนในเรื่องนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งวันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า "ต้องปรับขึ้น" การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำขอให้เป็นไปตามกฎหมายผ่านคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งการพิจารณาที่ผ่านๆ มา ก็ไม่ได้มีการทบทวน และรัฐยืนยันที่จะต้องปรับขึ้น และข้อสุดท้ายขอให้รัฐเพิ่มขีดความสามารถให้กับแรงงานเพื่อลดการสูญเสียรัฐก็ยังไม่ตอบสนอง

นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ เช่น เครือสหพัฒน์ฯ ยืนยันที่จะไม่ปรับขึ้นราคาสินค้า แม้จะได้รับผลกระทบจากนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยผู้ประกอบการได้ใช้โอกาสของการขึ้นค่าแรงงาน ปรับประสิทธิภาพการผลิตควบคู่ไปด้วย ทำให้สามารถชดเชยต้นทุนค่าแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้นได้

"เชื่อว่าเมื่อผู้ผลิตรายใหญ่ไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าจะไม่ส่งผล กระทบต่อรายเล็กให้ปรับขึ้นราคาตามมา เพราะจะสูญเสียโอกาสทางการแข่งขัน รวมถึงสินค้าชุดนักเรียกที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนค่าแรงงานเพิ่มขึ้นมากสุด ก็ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดในกลุ่มชุดนักเรียนยื่นหนังสือขอปรับราคาสินค้าเข้ามาโดยเชื่อว่ากลุ่มนี้กำลังอยู่ระหว่างการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตชดเชยต้นทุน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เกาหลีใต้เผยทุนสำรองตปท.เพิ่มขึ้นแตะ 3.1595 แสนล้านดอลล์ในเดือนมี.ค.

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 3 เมษายน 2555 09:35:50 น.

ธนาคารกลางเกาหลีใต้เปิดเผยในวันนี้ว่า ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเกาหลีใต้ได้เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.1595 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม เนื่องจากการลดลงของมูลค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ใช่เงินสกุลดอลลาร์นั้น ได้รับการชดเชยจากกำไรจากการลงทุน

ทั้งนี้ ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเกาหลีใต้แตะที่ 3.1595 แสนล้านดอลลาร์ ณ สิ้นเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 0.15 พันล้านดอลลาร์จากเดือนกุมภาพันธ์ โดยตัวเลขของเดือนมีนาคมถือเป็นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่ปริมาณทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ได้ทะลุระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในครั้งก่อนที่ 3.1229 แสนล้านดอลลาร์เมื่อเดือนกันยายน 2554

emnb_1_370236.gif

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ระบุว่า การขยายตัวของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศในเดือนมีนาคมมีสาเหตุมาจากกำไรจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น สูงกว่ามูลค่าที่ลดลงจากการแปลงแปลงทรัพย์สินที่ไม่ใช่เงินสกุลดอลลาร์ เช่น เงินสกุลยูโร และ สกุลเยน

ทั้งนี้ ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของเกาหลีใต้ประกอบไปด้วย เงินลงทุนในหลักทรัพย์มูลค่า 2.8459 แสนล้านดอลลาร์, เงินฝากมูลค่า 2.299 หมื่นล้านดอลลาร์, เงินสกุลมูลค่า SDR 3.54 พันล้านดอลลาร์, สถานะการลงทุนในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) มูลค่า 2.66 พันล้านดอลลาร์ และทองคำแท่งมูลค่า 2.17 พันล้านดอลลาร์

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ณ สิ้นเดือนก.พ. เกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศรายใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก รองจากจีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ไต้หวัน บราซิล และสวิตเซอร์แลนด์

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th-

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...