ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

ธงชัย สันติวงษ์ คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "บริหารรัฐ จัดการธุรกิจ" จำนวนคนอ่าน 757 คน

เราจะแก้ไข การทุจริต คอร์รัปชันได้อย่างไร

เมื่อโลกเปลี่ยนและเมื่อไทยเข้าร่วมใน AEC เต็มรูป น่าคิดว่าไทยแล้วจะเป็นอย่างไร นอกจากปัญหาการศึกษาแล้ว ยังมีปัญหาอื่นๆ

เช่น การทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งนับว่าเป็นเชื้อร้ายอันดับหนึ่งของไทยที่แก้ไขยาก ทั้งนี้อาจเกิดจากหลายปัจจัย กับ นิสัย รวมทั้งความฉลาดแกมโกงกับการไร้วินัย และอีกหลายๆ อย่าง ทำให้ยิ่งแก้ ปัญหายิ่งหนัก และยิ่งรู้มากและคิดมากก็จะยิ่งหนาว ทั้งนี้ แม้แต่ AEC ที่จะเกิดขึ้น ผลสุดท้ายอาจพ่ายแพ้ภัยคนไทยก็ได้ หรือถ้าไม่ชนะในทางตรง รับรองว่าทางอ้อม อาจแพ้ไทยแน่ๆ

วันนี้ขอพูดเรื่องการทุจริตที่แก้ยาก ซึ่งการจะแก้ไขได้จะต้องรู้สาเหตุต่างๆ ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วการแก้ไขก็จะเห็นได้ว่าทำได้ยากหรือง่าย แค่ไหน โอกาสสำเร็จมีหรือไม่ ต้องแก้ไขอย่างไร ซึ่งส่วนตัวขอออกตัวว่า ผมเป็นคนไทยเต็มร้อย จึงรักเชื้อชาติและประเทศชาติ และถือเป็นหน้าที่ของนักเรียนทุน กับเป็นอาจารย์สอนมานานกว่า 40 ปี จึงมิได้มีอคติใดๆ นอกจากให้ความรู้และข้อคิดเห็นตรงไปตรงมา

เรื่องนี้ขอตอบล่วงหน้าว่าแก้ไม่ได้ แต่ถ้าจะแก้ต้องใช้วิธี “ยกเครื่องประเทศครั้งใหญ่” ด้วยการเปิดกรุความลับ ข้อมูลกับความจริงเบื้องหลังเป็นการใหญ่ พูดง่ายๆ คือ ต้องมีการจัดระบบ “การจัดการความรู้” (knowledge Management) ให้เป็นสมบัติของคนรุ่นใหม่ไว้ศึกษาต่อเนื่อง และด้วยเหตุที่คนไทยไม่นิยมการบันทึก จึงควรต้องย้อนกลับไปที่ต้องทำเรื่องจริงในอดีตที่จะนำมาเล่าใหม่ จะได้มีหลากหลายและต่างสมัยด้วย

ขอเริ่มด้วย “ลักษณะไทย” ปกติทั่วไป คนไทยจะมีนิสัยง่ายๆ สบายๆ มีความริเริ่มเป็นเยี่ยม ปรับตัวเก่ง ทำอะไรได้เหนือกว่าฝรั่งมังค่าด้วยซ้ำไป แม้แต่ความรู้และการปฏิบัติที่ทำจริงในเรื่อง Re-engineering ที่ฮือฮากันมาในอดีตนั้น คนไทยก็เก่งกว่าและทำมาก่อนและทำได้เหนือชั้นกว่าฝรั่งด้วย

แต่ในอีกด้าน คือคนไทยรักสนุก ชอบดูโลกให้โสภณ ไม่ชอบคิดหนัก หรือ เจอกับปัญหายากๆ แต่จะชอบคิดสิ้นๆ น้อยเรื่อง ไม่หนักสมอง แล้วยังสนใจแต่ผิวเผิน นิยมทำตามใจชอบและสะดวกเข้าว่า ลืมง่าย กับไม่ใส่ใจ ไม่ผูกเจ็บ แล้วยังใจอ่อนหรือ มี Sentiment สูงอีกด้วย

การวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริต คำถามแรก คือ กลวิธีการทำอย่างไร ปัจจัยตัวไหนที่ทำให้เกิดการทุจริต “คน หรือ ระบบ หรือผู้นำระดับนโยบาย” กับโอกาสแก้ไขทำไมถึงยากมาก แล้วในอนาคต จะเป็นผลเสียอย่างไร และหากจะต้องแก้ จะเริ่มตรงไหน

ลำดับแรก ขอบอกว่า การทุจริตจะเกิดขึ้นจากระดับข้างล่าง เริ่มจาก "วิธีการ" แล้วจึงลามลึก กว้างไปจนเต็มระบบ นานไปก็กลายเป็นนโยบายโดยปริยาย ถ้าเสียหาย ในชั้นนี้ก็ถึงขั้นการแก้ไข หรือลดผลเสียโดยแลกสิ่งนั้นๆ ซึ่งมักจะทำไม่ได้

“หัวดีแต่ขี้โกง” - คิดได้อย่างไร? ตัวอย่างที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ คือ องค์กรกีฬาฯ ในอาณัติของ ก.กีฬาและท่องเที่ยว ที่หัวหมาก ได้มีการทุบทิ้งกำแพงซึ่งสร้างขึ้นหลังน้ำท่วมครั้งใหญ่ แล้วเปลี่ยนกำแพงทั้งหมดเป็นร้านค้าขายของเป็นล็อกๆ กลายเป็นแหล่งขายของกินของใช้ขนาดใหญ่ แน่นขนัดก่อปัญหา จราจรให้ยิ่งสาหัสหนักขึ้นไปอีก

ซึ่งขั้นตอนการเริ่ม คือ จะมีกลุ่มคนที่ต้องการทำหรือหาประโยชน์ โดยการ "ตั้งเป้าหมาย" เอาไว้ในใจว่า ต้องการเปลี่ยนและถือครองที่หลวงตรงนี้ แล้วจุดเริ่มต้น ก็จะทำ ปชส.ด้วยการจับอารมณ์คนไทยอย่างนุ่มนวลว่า “เราจะเปลี่ยนรั้วให้เป็นร้าน” ไม่มีการตามติดกับคิดถามหรือฟังความเห็นถึงผลเสียที่จะตามมา แล้วอยู่มาวันหนึ่ง รั้วด้านหลังขององค์การกีฬาก็กลายเป็นร้านค้าอย่างถาวร ซึ่งแน่นอนว่าจะมีเรื่องค่าเซ้งหรือค่าเช่าอันเป็นผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องก้อนใหญ่ ส่วนจะตกเป็นประโยชน์ใคร ในระยะสั้นยาวก็แล้วแต่ ซึ่งการทำเช่นนี้ ผู้นำระดับนโยบาย ย่อมเกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้ทุบกำแพงป้องกันน้ำท่วมกับการยอมให้ทำให้จุดนี้มีปัญหาความแออัด ไร้ระเบียบอย่างแน่นอน

เรื่องทำนองนี้ มีมากที่ถนนสุขุมวิท กับร้านค้าที่มักทำการ "กลืนพื้นที่ฟุตบาทกับอุ้มเสาไฟฟ้า" โดยล้ำที่สาธารณะแล้วครอบครองถาวร ด้วยสิ่งปลูกสร้าง กลืนเอาที่ทางเดินของหลวงไป จนจราจรพิการ ไร้ระเบียบและเป็นสลัมทางเท้ากับตามมุมตึก ซึ่งแน่นอนว่า เจ้าหน้าที่ทั้งโยธาของ กทม. การไฟฟ้า ต่างต้องทราบความเคลื่อนไหวตามหน้าที่ แต่จะไม่ทำอะไร โดยปล่อยให้ทุกอย่างค่อยๆ ลามไป จนคนเบื่อหน่าย อ่อนล้าและพ่ายตัวเองไป ไม่ต่างกับ โครงการจำนวนมาก ที่มักมีการฉ้อฉลเอาที่ทางส่วนกลางไปออกโฉนด แล้วฮุบเอาไปขายหรือทำประโยชน์อื่น

จะเห็นว่า การทุจริตนี้เกิดขึ้นมาจากปัจจัยด้าน “คน” เป็นสาเหตุหลัก โดยระดับปฏิบัติจะเป็นเครื่องมือหรือตัวทำงานให้ โดยมีผู้ใหญ่หรือผู้นำ ซึ่งรวมถึงนักการเมือง/นักธุรกิจการเมืองสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยผู้ร้ายตัวจริง ก็คือ พ่อค้าวาณิช ที่เป็นต้นตำรับของ "ธุรกิจการเมือง" ที่สามารถหลอมละลาย ระบบราชการ กับข้าราชการที่ดีๆ หมดไปเรื่อยๆ จนคนดีกลายเป็นคนส่วนน้อยที่หาไม่ได้ แล้วสิ่งนี้จะกลายเป็นระบบถาวร ที่มีผลในทางทำลายตัวเอง เข้าเนื้อและกินตัว ทำให้เมืองไทย ต้องเดินก้าวถอยหลังในโลกที่ปิดเสรีเป็นประชาคมร่วมเดียวกัน ที่ต้องแข่งขันกัน

การทุจริตนี้ที่คนไทยเผชิญอยู่ขณะนี้ จะอยู่ที่ทาง 3 แพร่ง ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศและแก้ไขยาก เพราะสาเหตุจาก

ก) กฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ แม้มีการทำผิดซึ่งหน้า ก็จะไม่มีการติดตามลงโทษ รวมทั้งขาดคน (สื่อต่างๆ) “เป่านกหวีด” ประจานให้คนรู้ ดังเช่น กรณีผู้ตรวจราชการแผ่นดิน นายศรีราชา เจริญพาณิชย์ ออกมาเผยว่า ขณะนี้ที่ดินทำเกษตรของไทย ได้ถูกต่างชาติซื้อไปมากต่อมากแล้ว จนเป็นอันตรายกับไทยโดยตรง เพราะ ได้อาศัยนอมินีมาซื้อ รวมถึง การปิดช่องให้ซื้อที่ดินในโครงการอุตสาหกรรมได้ด้วย

เรื่องนี้ ได้เขียนเตือนให้ทราบนานแล้ว แต่นักธุรกิจการเมืองกลับรีบเร่งแทรกเข้าไปแก้กฎหมายเอื้อให้ทำได้ แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหรือแม้แต่ชาวนาไทยรุ่นดั้งเดิมต่างไม่รู้ จึงเดือดร้อนและทำอะไรไม่ได้ ทั้งนี้ รวมถึงกรณีต่างชาติที่มาหาซื้อทรัพย์สินในไทยเป็นบ้านที่สองทั้งที่หัวหิน พัทยาหรือแม้แต่เชียงใหม่กับภูเก็ต มีมากจนคล้ายกรณีคนจีนอพยพเข้าไทย ในยุค “สื่อผืน-หมอนใบ” ซึ่งเดี๋ยวนี้ต่างชาติต่างรู้แล้วว่า ไทยคือ สวรรค์บนดิน ที่ต่างชาติจะจัดหาเอาไว้อยู่ถาวร ในยุคโลกร้อน เสียดุล (หนาวจัด ร้อนจัด) กับมีอุบัติภัยมากมายนั้น เมืองไทยคือ ที่พักอาศัย ที่ซื้อคอนโด ดีๆ เพื่อหนีหนาว และอยู่ถาวรกันได้สบายที่สุด เป็นต้น

ผมได้เตือนคนไทยมานานว่า ถ้ามีที่ดิน หรือมีบ้านในเขตเมืองกรุงเทพน แล้ว ขออย่าขายเป็นอันขาด แม้จะให้ราคาสูงแค่ไหนก็ตาม เพราะ หากขายไป ต่อไปจะจัดหาไม่ได้ แล้วอาจต้องอพยพไปอยู่ที่ "ลำลูกกา" หรือ “บ้านนา” นครนายกฯ ก็ได้ แล้วภาพนั้นขณะนี้เป็นจริงไปแล้ว

แม้คนไทยจะไม่ค่อยกลัว เพราะมีทางออกใหม่ๆ ให้ปรับตัวได้ ดังเช่น เมื่อที่อยู่อาศัยแพง หลังนายกฯ ทักษิณ เป็นนายกฯ กับคนจากแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์มาร่วมเป็น รมต. ต่อมาไม่กี่ปี ได้มีการนำเอาระบบเดินทางแบบนอกระบบ ที่ ไม่ปลอดภัย สิ้นเปลืองทั้งน้ำมัน เวลา กับเสียสุขภาพ คือ รถตู้ ประจำทาง สารพัดชนิดที่เดินทางเข้า-ออก กทม. โดยมีทั่วแทบจะทุกจังหวัด และอำเภอ ที่เข้ามาวิ่งรถพาผู้โดยสาร เข้า-ออกเมืองกรุง จนแน่นทะนานอย่างน่าอเนจอนาถยิ่ง

แล้วสัปดาห์ที่แล้วได้เห็นข่าว การไล่ตีรันฟันแทงกัน เนื่องจากทะเลาะกันกับวิ่งทับเส้นทาง สะท้อนว่า เมืองไทยภายใต้ระบบ กลับมี “ระบบมาเฟีย” หรือธุรกิจสีเทาเกิดขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าไปมีเอี่ยว จนมีการทับซ้อน แย่งชิงผลประโยชน์หลายชั้น สะท้อนว่า ระบบการปกครองกับการเมืองไทย มีปัญหา แก้ไขไม่ได้ เพราะ มากทุจริตในธุรกิจการเมืองที่เป็นต้นเหตุ

ข) ไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย โดยมีการยกเว้น ไม่บังคับใช้กับคนบางคน ทำให้เหตุผลหมดไป พฤติกรรมไทยจึงอยู่ “หลักการ คือข้อยกเว้น และข้อยกเว้น คือหลักการ” การทำเช่นนี้ หากทำได้จะกลายเป็นเรื่องพิสดาร ที่ชาวโลกไม่ทำกัน นั่นคือ ทำสวนทางกับที่ควร หรือ ขาดวินัย หรือ ไร้หลักเกณฑ์ ไม่รู้ถึงการถูก-ผิด-ดีกับชั่ว ในสังคม และกฎหมายมีก็มีไปแต่ไม่ใช้ ดังเช่น ที่ลาดพร้าว จะมีวินมอเตอร์ไซค์ ซึ่งขึ้นมาวิ่งบนทางเท้า โดยวิ่งสวนทางคนเดิน เท่ากับหยามโลกด้วยการ ขับขี่ทับไปบนทางจักรยานกับแนวทางอิฐ ที่อดีต ผู้ว่าฯ คุณพิจิตร ได้ทำแนวอิฐบล็อกสำหรับคนตาบอดใช้คลำทาง นับว่า ศิวิไลซ์กว่าหลายประเทศ แต่เมื่อใช้จริงแนวอิฐนั้นเป็นแค่ทางพิเศษสำหรับจักรยานยนต์ที่มีเสื้อกั๊กใส่เป็นยันต์กันผี ที่ใช้วิ่งให้คนหลีกทางจากเส้นทางรถที่ทำผิดนั้น

ครั้นไปถึง คิววินมอเตอร์ไซค์ เช่น ลาดพร้าว 94 - ราม กลับ ได้เห็น คนโดยสาร อดทนเข้าแถวรอรถวิ่งมารับ ขึ้นไปทีละคัน ซึ่งที่ถูกเส้นทางนี้ ควรเป็นเส้นทางสัมปทาน มีรถเมล์เล็ก วิ่งวนไป - กลับได้ ด้วยเส้นทางแน่นอนและเสียภาษี มีรถมาตรฐานให้ แต่สภาพจริงที่เห็นกลายเป็นภาพหญิงไทยยุคใหม่ จำใจนั่งแนบด้วยมอเตอร์ไซค์โดยไม่มีทางเลือก ทำให้นึกไปถึงคำร้องของเพลงคนตาบอด ที่ว่า “ชีวิตนี้ มีแต่หมานำ” ซึ่งคนตาดีเมืองไทย ที่จำต้องพึ่งพาระบบรถเถื่อนนอกระบบแบบนี้ ก็แสดงว่า "ผู้นำ" ไทย ทำได้ไม่ต่างกัน

ค) ท้ายสุด คือ สาเหตุใหม่ที่กำลังสร้างทุกข์ให้คนไทย คือ กรณีข้าวของแพง มีระบบภาษีเถื่อน การเก็บต๋ง สินบน พร้อมกับสิทธิพิเศษ ซึ่งโดยรวมคือ ต้นทุนสินค้าราคาแพง ทำให้คนลำบาก ชักหน้าไม่ถึงหลัง คู่กับระบบทุนผูกขาดขนาดใหญ่ ที่หากจะซื้อเอาตลาดทุนกับระบบราชการไปครองเอาไว้ใช้กันเองก็ทำได้ ตรงนี้เอง ที่เป็นบ่อเกิดแห่งการทุจริต เส้นสาย กับการเอาเปรียบสังคม ปรากฏการณ์ที่เกิดชี้ถึงความล้มเหลวของการเมืองและระบบธุรกิจการค้าขององค์กรภาคเอกชนที่อ่อนแอด้วย

สาเหตุทั้งสามที่ขัดแย้งไปคนละทางนี้ ถ้าแก้ไขไม่ได้โดยไม่ดีขึ้นแล้ว นานไปท่านจะเห็นคนไทยเดินกลับหัว พร้อมกับกลายเป็นไพร่กับไพร่ในอำมาตย์ โดยอำมาตย์แท้จะอยู่ในที่สูงกว่าไพร่ แต่จะไม่กล้าลงมาสัมผัสกับไพร่อีกต่อไป แล้วจะเป็นอำมาตย์ใหม่ ที่ต้องเร่ร่อนพเนจรไปเป็นพ่อค้ารับใช้ ทำมาหาได้เลี่ยงไพร่พันธุ์ใหม่อย่างไม่รู้จบ โดยอำมาตย์ตัวจริงพันธุ์ใหม่ในไทย จะเป็นชาวต่างชาติที่ไม่เข้ามาอยู่ถาวรได้ ในยุคสมัยที่ อำมาตย์ไร้เดียงสาขึ้นมาครองเมืองได้

ทั้งนี้ ปัญหาพื้นฐานคือ การศึกษาที่อ่อนแอ ที่ซึ่งหากแก้ไขไม่ได้ หนังเรื่องต่อไปคงชื่อ "สิ้นชาติ-ไม่สิ้นชื่อ" แน่ๆ เพราะ ไม่เข้าใจว่า อำมาตย์แท้ เขาดูกันที่ตรงไหน เมื่อดูผิดไป คนไทยก็ต้องกลายเป็น ไวกิงส์แห่งเอเชีย กับ ยิปซีของโลก

Tags : ธงชัย สันติวงษ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

“วันน้ำของโลก” 22 มีนาคมของทุกปี

6164.jpg

วันน้ำของโลก (World Day for Water หรือชื่อที่ไม่เป็นทางการคือ World Water Day)ตรงกับวันที่ 22 มีนาคม ของทุกปี เนื่องจากองค์การสหประชาชาติ ได้ตระหนักถึงปัญหาการขาดแคลนน้ำที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

และอาจก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิงน้ำขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้น ในปี ค.ศ.1992 สมัชชาสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันน้ำของโลก” หรือ “World Day for Water”

เพื่อระลึกถึงความสำคัญของน้ำ ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก

อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในหมู่มวลมนุษยชาติ ในเรื่องการอนุรักษ์น้ำ และการพัฒนาแหล่งน้ำ ตลอดจนดำเนินการตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมสหประชาชาติปี 1992 ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา หรือที่เรียกกันว่า Agenda 21 จัดโดยองค์การน้ำแห่งสหประชาชาติ (UN Water) ซึ่งในแต่ละปีจะมีหน่วยงาน ในสังกัดองค์การสหประชาชาติรับผิดชอบในการร่วมจัดงาน

original_water02.gif

ความเป็นมา

จากการที่น้ำจืดของโลกขาดแคลนมากขึ้น ในปี พ.ศ.2535 สมัชชาสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 22 มีนาคม ของทุกปีเป็น “วันน้ำของโลก” หรือ “World Day for Water” โดยเริ่มต้นในปี 2536 เป็นปีแรก

และชักชวนให้ประเทศต่างรับเป็นวันสิ่งแวดล้อมของชาติ เพื่อระลึกถึงความสำคัญของน้ำ ซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในโลก อีกทั้งกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวในหมู่มวลมนุษยชาติในเรื่องการอนุรักษ์น้ำ

ช่วยกันดูแล บำรุงรักษา การพัฒนาแหล่งน้ำ และจัดการทรัพยากรน้ำจืดอย่างยั่งยืนสำหรับอนาคต ตลอดจนดำเนินการตามข้อเสนอแนะของที่ประชุมสหประชาชาติปี 2535 ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา หรือที่เรียกกันว่า Agenda 21

มีการจัดกิจกรรมการประชุมระหว่างประเทศ ว่าด้วยเรื่องน้ำของโลกขึ้นที่ประเทศ ต่างๆ ดังนี้

ครั้งที่ 1: ปี 2540 ณ ประเทศโมร็อกโก

ครั้งที่ 2: ปี 2543 ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

ครั้งที่ 3: ปี 2546 ณ ประเทศญี่ปุ่น

ในการประชุมครั้งแรกนั้น ผู้เข้าประชุมได้ร่วมกำหนด “หลักจริยธรรมในการใช้น้ำครั้งใหม่”เพื่อต่อสู้กับปัญหาการขาดแคลนน้ำโลก

ดังนั้น การประชุมน้ำโลกในครั้งที่สองจึงเป็นการสานต่องานที่ทำค้างไว้ โดยจะมีการผลักดัน “แผนปฏิบัติการ” สำหรับน้ำในอีก 25 ปีข้างหน้า เพื่อทำให้ชาวโลกมีน้ำสะอาดไว้ดื่มกิน ชำระร่างกาย และทำการเกษตรอย่างทั่วถึงในปี 2568

ผู้รับหน้าที่ทำงาน คือ “คณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยน้ำสำหรับศตวรรษที่ 21″ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ฝรั่งเศส คณะกรรมาธิการชุดนี้ตั้งเป้าหมายว่า จะเพิ่มการลงทุนในการจัดหาน้ำทั่วโลกขึ้นเป็นปีละ 180,000 ล้านดอลล่าร์

โดยมีภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย นายโคฟี อันนาน เลขาธิการสหประชาชาติได้มีสารเนื่องในวันน้ำโลก

โดยย้ำว่า “น้ำสะอาดเป็นสิ่งพิเศษ ในศตวรรษใหม่นี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถผลิตน้ำได้ น้ำจึงไม่มีสิ่งใดมาแทนที่ หรือทดแทนได้

ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเห็นคุณค่าของน้ำและรักษาทรัพยากรนี้ไว้ “เลขาธิการยูเอนยังได้เรียกร้องให้ประชาคมโลกใช้น้ำอย่างรับผิดชอบ เพื่อให้คนจนและคนรวยได้รับน้ำอย่างเท่าเทียมกัน ในราคาที่หาซื้อได้

และว่าสิ่งท้าทายของมนุษยชาติก็คือ การจัดกิจกรรมเพื่อการอนุรักษ์น้ำ คุณภาพของน้ำ และปริมาณน้ำ ซึ่ง “สตรีเพศ” ในฐานะผู้จัดการครอบครัวจะต้องมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้

นอกจากนี้จะต้องมีการสร้างจิตสำนึกให้เกิดขึ้นทั่วโลกว่า น้ำเป็นสิ่งสำคัญ และมีบทบาทในการพัฒนาที่ยั่งยืน ดังนั้นชาวโลกต้องยกระดับความรู้ในเรื่องการหมุนเวียนนำน้ำมาใช้ใหม่

และการเพิ่มสมรรถวิสัยต่อการจัดการทรัพยากรน้ำที่หายากนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะบรรลุผลได้ด้วยการดึงสติปัญญาของมนุษย์ออกมมาใช้ และส่งเสริมวัฒนธรรมการอนุรักษ์น้ำ ตลอดจนการ“ปฏิวัติสีน้ำเงิน”

หน่วยงานของสหประชาชาติมี 2 แห่ง ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องน้ำโดยตรง คือ

1. องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนับเอเชียและแปซิฟิก (เอสเคป)

ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำทั่วโลก ซึ่งน่าสนใจและมีหลายเรื่องที่คนทั่วยังไม่รู้และนึกไม่ถึง กล่าวคือ ยูเนสโก และ เอสเคป ระบุว่า พื้นผิวโลก 2ใน3 ปกคลุมด้วยน้ำแต่เป็น “น้ำเค็ม”จากทะเลและมหาสมุทรทั้งหมด

ส่วน “น้ำจืด” ซึ่งจำเป็นต่อการยังชีพของมนุษย์นั้น ครอบคลุมเพียงร้อยละ 1 ของผิวโลกเท่านั้น แต่ “แหล่งน้ำจืด” ส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณขั้วโลกเหนือ,ใต้และธารน้ำแข็ง หรือซึมอยู่ใต้ผิวดินลึก จนมนุษย์ไม่สามารถนำมาใช้ได้

ส่วนแหล่งน้ำจืดที่ใช้ได้จริงๆมีเพียงร้อยละ 0.25 เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่หาได้จากแม่น้ำ ทะเลสาบ และแหล่งน้ำใต้ดิน

แหล่งน้ำจืดเพียงน้อยนิดนี้เองที่เป็นตัวหล่อเลี้ยงชีวิต พลโลกกว่า 6,000ล้านคน ซึ่งแน่นนอนว่าย่อมไม่เพียงพอ

ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำของมนุษย์กลับมีมากขึ้นทุกวัน และมีการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่บันยะบันยัง ทำให้ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของน้ำจืด จนตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง ยูเอนได้ยกตัวอย่างพฤติกรรมการใช้น้ของมนุษย์ว่า

ในแต่ละวันมนุษย์ต้อง

ดื่มน้ำอย่างน้อย 2-5 ลิตร

ใช้ชักโครกโถส้วม 5-15 ลิตร

ใช้อาบน้ำ 50-200 ลิตร

ใช้น้ำเพื่อการชลประทานและการเกษตร ราวร้อยละ 70 ของน้ำทั้งหมด แต่ครึ่งหนึ่งต้องสูญเปล่าเพราะซึมลงไปในดินหรือไม่ก็ระเหยขึ้นสู่อากาศหมด

กรุงเทพมหานครของไทย ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่เมืองที่ผลาญทรัพยากรน้ำมากที่สุดในโลก เฉลี่ยแล้วใช้น้ำราว 265 ลิตรต่อคนต่อวัน ขณะที่ชาวฮ่องกงใช้น้ำเปลืองน้อยที่สุดในโลก เพียง 112 ลิตร ต่อคนต่อวัน

การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างไม่รับผิดชอบทำให้การไหลเวียนของ แม่น้ำหยุดชะงักลง ระดับน้ำในแม่น้ำและน้ำใต้ดินลดลงอย่างต่อเนื่อง พื้นที่ลุ่มดินเปียกหายไป สภาพปนเปื้อนพิษจากมลพิษต่างๆทำให้คุณภาพน้ำลดลง จำนวนน้ำสะอาดก็ลดลงเช่นกัน

นอกจากนี้การขยายตัวอย่างรวดเร็วของประชากรโลกก็มีส่วนทำให้จำนวนน้ำจืด สำหรับใช้ในรายบุคคลลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ที่น่าเป็นห่วงคือ น้ำที่ปนเปื้อนมลพิษและขาดสุขลักษณะ เป็นสาเหตุทำให้เด็กทารก ในเอเชียและแปซิฟิกเสียชีวิตกว่าปีละ 5 แสนคน

นอกจากนี้สถิติของสหประชาชาติเมื่อสิ้นปี 2542 พบว่ามีประชากรโลกราว 2,400 ล้านคน ไม่ได้รับความสะดวกสบายจากระบบสุขอนามัยเกี่ยวกับน้ำที่ทันสมัย

หน่วยงานของสหประชาชาติได้เสนอแนะทางออกในปัญหานี้หลายข้อ อาทิ การอนุรักษ์น้ำ, การบำบัดน้ำเสีย, การปรับเปลี่ยนหมุนเวียนนำน้ำกลับมาใช้ใหม่, การจัดการเรื่องน้ำและดินให้เหมาะสม , การทำวิจัยแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่, ออกกฎหมายการใช้น้ำที่ทันสมัย, การจัดสรรน้ำอย่างเสมอภาค และการปลุกจิตสำนึกในหมู่ประชาชนให้ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของน้ำ

ยิ่งกว่านั้น การแก้ปัญหาเรื่องน้ำยังต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ตัวบุคคล, องค์กร, อาสาสมัคร, ภาคอุตสาหกรรม, รัฐบาลท้องถิ่น, รัฐบาลกลาง ตลอดจน องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งความร่วมมือระหว่างประเทศนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

และในการประชุมครั้งที่ 3 ณ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศไทยได้เป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวร่วมกับประเทศ อื่นๆ อีกประมาณ 200 ประเทศ

การประชุมครั้งนี้ รัฐบาลไทยจะมีส่วนร่วมที่สำคัญในการประชุม 3 ประการได้แก่

1. การเสนอรายงานโครงการประเมินสถานการณ์น้ำของโลกในส่วนของประเทศไทยกรณี ศึกษาการพัฒนาและบริหารลุ่มน้ำเจ้าพระยา

2. การเสนอแผนปฏิบัติการทรัพยากรน้ำ ของประเทศไทย

3. การประชุมและจัดทำแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี

ในการประชุมระดับโลกทุกครั้งที่ผ่านมา สถาบันการจัดการน้ำระหว่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศที่มีบทบาท เป็นผู้สนับสนุนการประชุมดังกล่าว อาทิเช่น World Water Council (WWC), Clobal Water Partnership (GWP) และธนาคารโลก ต่างใช้โอกาสนี้ในการนำเสนอทิศทางหรือการจัดทรัพยากรน้ำและการแบ่งปันผล ประโยชน์ (Water Resources Management and Benefit Sharing) โดยมีประเด็นใจกลาง 4 ประเด็น ได้แก่

หุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ เอกชน (Public Private Partnership)

เขื่อนกับการ Development Partnership)

ค่าคืนทุน (Cost Recovery)

การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ (Integrated Water Resources Management)

ซึ่งสรุปในแต่ละประเด็นได้ดังนี้

การแปรรูปกิจการประปาหรือระบบชลประทานของรัฐ (Privatization) ภายใต้แนวทาง ที่เรียกว่า Public Private Partnership (PPP) ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกผลักดันจากการประชุมระดับนานาชาติมาก่อนหน้านี้แล้ว เช่น การประชุมเรื่องน้ำจืดโลกที่กรุงบอน เดือนธันวาคม 2544 หรือ การประชุมที่โจฮันเนสเบิร์ก แนวทางเช่นนี้ถูกใช้เพื่อรองรับความชอบธรรมให้บริษัทข้ามชาติด้านกิจการน้ำ ประปาเข้ามา ลงทุนหรือรับสัมปทานในประเทศกำลังพัฒนารวมทั้งประเทศไทย ซึ่งในหลายประเทศได้เกิดปัญหาความขัดแย้งในสังคมสูงมาก เช่น ประเทศโบลิเวีย

แนวความคิดในเรื่องการคิดค่าคืนทุนระบบชลประทานหรือระบบ การลงทุนด้านการจัดหาน้ำเพื่อเป็นหลักประกันให้กับบริษัทที่มาลงทุนในแต่ละ ประเทศ และการส่งเสริมระบบการค้าเสรีของโลก การส่งเสริมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในรูปแบบของเขื่อนขนาดใหญ่

เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ และเพื่อการบรรเทาน้ำท่วม ซึ่งผลักดันโดยUNDP ได้จัดทำโครงการ Dam and Development Partnership และ World Commission on Dam (WCD) การบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ หรือ Integrated Water Resources Management (IWMI) โดยมีแนวทางให้เกิดองค์กรระดับลุ่มน้ำ เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด (โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจ)

**ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เขื่อนสิริกิต์ และ วิกีพีเดีย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การอยู่กับปัจจุบันและอนาคต

 

การอยู่ให้ดีที่สุด คือ " การเตรียมตัวตายให้ดีที่สุด "

 

การตายให้ดีที่สุด คือ " การอยู่ให้ดีทีสุด "

ความทีชีวิตอยู่กับความตายเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

 

เราจะจากโลกนี้ไปอย่างมีความสุข...

ก็ต่อเมื่อเราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

 

จุดจบของชีวิตเราอยู่ที่ไหน ?

ปลายทางของชีวิตก็มาจากเส้นทางที่เดินนั่นล่ะ!

 

 

 

03613.gif

 

 

 

" เมื่อสุข...มองโลกในแง่จริง "

" เมื่อทุกข์...มองโลกในแง่ดี "

 

เมื่อสุข...ให้สุขกับปัจจุบันอย่างมีสติ

และพร้อมจะตั้งรับกับอนาคตอย่างไม่ประมาท

 

เมื่อทุกข์...ให้มองอย่างใจเย็น มองหาข้อดีของความทุกข์

อย่างน้อยๆ มันก็มอบการเรียนรู้และความภาคภูมิใจ

เมื่อเราผ่านมันมาด้วยตัวเอง

 

 

03613.gif

 

 

 

 

น้อยคนนักที่จะอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริง

เรามักปวดร้าวกับอดีต...สิ้นหวังกับอนาคต

เลยท้อแท้กับปัจจุบัน

ให้อดีตเป็นบทเรียน เป็นความทรงจำ

 

" ให้อนาคตเป็นความฝัน...ให้ปัจจุบันเป็นความจริง "

 

 

เลิกตั้งความหวังกับ อนาคต...

แต่ให้ตั้งใจกับ ปัจจุบัน

โดยมีอดีตเป็นพลังผลักดัน

ในการก้าวเดิน

แล้วคุณจะมีความสุข

กับการใช้ชีวิตได้ในทุก ๆ วัน

 

 

ขอบคุณที่มา : คุณธัญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พระองค์ภาฯ ทรงทำหน้าที่ประธานการประชุม Extended Bureau ณ กรุงเวียนนา

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 14:30:59 น.

 

 

 

13304120721330412105l.jpg

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาทรงทำหน้าที่ประธานการประชุม Extended Bureau ครั้งที่ 1

ของ Commission on Crime Prevention and Criminal Justice (CCPCJ) สมัยที่ 21 ณ Vienna International Center กรุงเวียนนา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555

 

 

ก่อนหน้านี้ คณะรัฐมนตรี( 15 ม.ค.2555) อนุมัติรับโอนและแต่งตั้ง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ให้ทรงดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารระดับสูง) ประจำคณะกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เพื่อถวายพระเกียรติพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เป็นกรณีพิเศษเฉพาะกิจ ระยะเวลา 1 ปี (ธันวาคม 2554-2555) ทั้งนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2555

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รายงานพิเศษ

ตำนาน(1) เฉลียว อยู่วิทยา newslink_img_3474.jpg ถอดรหัสสโลแกน‘เฉลียว อยู่วิทยา’‘เป้าหมายมีไว้พุ่งชน’

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สว้สดีจ้า

 

 

image_thumb%25255B1%25255D.png?imgmax=800

ชายสองคนเป็นเพื่อนรักกันมาก ทำมาหากินอยู่ด้วยกัน ปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำคนหนึ่ง ชื่อจักรพันธุ์ อีกคนหนึ่งชื่อวัชรพงศ์ วันหนึ่งจักรพันธุ์ออกไปทอดแหหาปลาโดยพายเรือไปตามแม่น้ำแห่งหนึ่ง ทอดไปทอดมาเกิดไปได้ผู้หญิงสาวสวยมาคนหนึ่ง จักรพันธุ์ก็พาหญิงคนนั้นลงเรือมาที่บ้านด้วย

 

เมื่อพายเรือมาจวนจะถึงบ้านแล้ว ด้วยความดีใจที่ไปทอดแหหาปลากลับได้สัตว์สองเท้ามาแทน เป็นคนสวยเสียด้วย จักรพันธุ์จึงตะโกนบอกวัชรพงศ์ว่า“วัชรพงศ์โว้ย ! ฉันกลับมาแล้ว คน คนว่ะคน”

ฝ่ายวัชรพงศ์ซึ่งกำลังหุงข้าวอยู่และหม้อข้าวกำลังเดือดพอดี“คน คนว่ะคน”

ก็คิดว่าจักรพันธุ์คงเห็นหม้อข้าวกำลังเดือดอยู่ จึงบอกให้คน

วัชรพงศ์จึงคนหม้อข้าวใหญ่เลย

 

พอพายเรือใกล้เข้ามาอีกกำลังจะจอด จักรพันธุ์ก็ตะโกนซ้ำ ๆกันว่า “คน คนว่ะคน”

วัชรพงศ์ก็คนหม้อข้าวตามเสียงร้องของเพื่อน คนไปคนมาจนหม้อข้าวกระดอนตกลงมาจากเตาข้าวหกหมดเลย

เมื่อจอดเรือแล้วจักรพันธุ์ก็พาหญิงสาวขึ้นไปบนบ้าน

 

แล้วก็บอกกับวัชรพงศ์ว่า “นี่ไง ที่ฉันตะโกนมาเมื่อกี้นี้ว่าคน คนว่ะคน”

 

“เอ้า ฉันเข้าใจผิดคิดว่าเพื่อนบอกให้คนหม้อข้าว”

วัชรพงศ์พูดพร้อมกับก้มหน้าเก็บกวาดข้าวที่หกอยู่แล้วจัดการตั้งหม้อข้าวใหม่ต่อไป

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า

 

การฟังอะไรนั้น ควรฟังให้ตลอดเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร อย่าฟังครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วนำไปปฏิบัติ

 

เพราะอาจเกิดความเสียหายขึ้นได้เข้าทำนองที่ว่า “ฟังไม่ได้ศัพท์จับเอามากระเดียด” นั่นเอง

 

เชียนโดย สะเลเต

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

L0_news_img_443198_1.jpg 'กิมิทาเทวี'นางสงกรานต์ปี 55 กระทรวงวัฒนธรรมประกาศนางสงกรานต์ปี 2555 "กิมิทาเทวี" น้ำพอประมาณพายุจัดบ้านเมืองเกิดยุทธสงครามจะฆ่าฟัน กระทรวงวัฒนธรรม ประกาศวันสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2555 ความว่า ปีมะโรง จัตวาศก จันทรคติเป็น อธิกมาส ปกติวาร สุริยคติเป็น อธิกสุรทิน วันมหาสงกรานต์ ตรงกับ วันศุกร์ที่ 13เมษายน เวลา 19.46.12 น. ตรงกับเวลา 20.04.12 น. (เวลามาตรฐานประเทศไทยปัจจุบัน)

 

นางสงกรานต์นามว่า กิมิทาเทวี ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ หัตถ์ขวาทรงขรรค์ หัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร(นอนลืมตา) มาเหนือหลังมหิงส์(กระบือ) เป็นพาหนะ

 

เกณฑ์พิรุณศาสตร์ ปีนี้ พฤหัสบดี เป็นอธิบดีฝน บันดาลให้ฝนตก 500 ห่า ตกในเขาจักรวาล 200 ห่า ตกในป่าหิมพานต์ 150ห่า ตกในมหาสมุทร 100 ห่า ตกในโลกมนุษย์ 50 ห่า

 

เกณฑ์ธาราธิคุณ ชื่อ วาโย(ธาตุลม) น้ำพอประมาณ พายุจัด

 

เกณฑ์นาคราชให้น้ำ ปีมะโรง นาคราชให้น้ำ 3 ตัว ทำนายว่า ฝนต้นปีมาก กลางปีงาม แต่ปลายปีน้อยแล

เกณฑ์ธัญญาหารชื่อ วิบัติ ข้าวกล้าในไร่นา จะเกิดกิมิชาติ คือ มีด้วงแมลงรบกวน ข้าวกล้า จะได้ผล 1ส่วน เสีย 5 ส่วน

บ้านเมืองจะเกิดยุทธสงคราม จะฆ่าฟันกัน จะนิราชจากกัน จะฉิบหายเป็นอันมากแล

 

วันเถลิงศก ตรงกับ วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน เวลา 23.43.48น. ตรงกับเวลา 0.01.48น. (เวลามาตรฐานประเทศไทยปัจจุบัน)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คำอธิษฐานของเด็กสาว 658939p1utulfmey-1.gif

 

เมื่อครั้งอดีตนานมาแล้ว...

มีเด็กสาวคนหนึ่งอายุอานามราว 13 ถึง 14 ปี มีนิสัยชอบสวดมนต์ไหวพระอยู่เป็นประจำ ทุก ๆ วันเธอจะสวดมนต์ไหว้พระเป็นเวลานาน หลังจากสวดมนต์จบแล้ว ก็จะก้มลงกราบหน้าองค์พระพุทธ พร้อมกับอธิษฐานทุก ๆ ครั้งว่า

‘ด้วยอานิสงส์ผลบุญนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้พบกับพระศรีอาริย์ในภายภาคหน้าด้วยเถิด’

คำอธิษฐานนี้ ได้ส่งผลให้เด็กสาวคนดังกล่าว ได้ประสบกับความสุข เมื่อตายลงก็ได้มีโอกาสเข้าถึงกระแสธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากกว่าคนอื่น ๆ เนื่องจากมีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่เคยกล่าวคำอธิษฐานถึงสิ่งที่สนองตอบต่อกิเลสดังเช่นคนอื่น ๆ

ตรงกันข้ามกับเศรษฐีผู้มีอันจะกินอีกคนหนึ่ง ซึ่งสวดมนต์ไหว้พระขอพรทุก ๆ วัน ดังนี้ว่า...

‘ขอผลบุญทั้งหมดที่ข้าพเจ้ากระทำในชาตินี้ ส่งผลให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติมาก

มีเงินทองใช้ไม่หมดไปจนชั่วลูกชั่วหลาน’

 

เนื่องจากอานิสงส์ผลบุญที่เศรษฐีได้เคยทำเอาไว้ คำอธิษฐานนั้นก็ได้เป็นจริงสมความปรารถนาทุกประการ แต่ทว่า...ความร่ำรวยที่ได้มา เมื่อตายลงไปก็ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ มีเพียงผลบุญอันน้อยนิด

เนื่องจากเป็นคำอธิษฐานที่เต็มไปด้วยการหวังในผลบุญเท่านั้นเอง

 

เรื่องเล่าดังกล่าว สอนให้มนุษย์ได้รู้ซึ้งถึงความหมายของการไหว้พระ

ว่าการไหว้พระสวดมนต์ที่แท้จริงนั้นควรทำด้วยใจบริสุทธิ์ มีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

ไม่ควรหวังในผลบุญ เพราะนั่นเป็นการทำบุญด้วยใจที่ไม่บริสุทธิ์ เมื่อตายลงและเกิดกายอยู่บนสวรรค์ รัศมีรอบกายจักสว่างไสวจนประมาณไม่ได้ หรือว่าอับแสงหมองหม่น ก็ล้วนแต่เกิดจากอานิสงส์ที่เกิดจากใจทั้งนั้น

ปัจจุบันมีมนุษย์สักกี่คนกัน ที่ก้มลงกราบพระพุทธ ด้วยใจเปี่ยมศรัทธาอย่างแท้จริง

ไม่กล่าวคำอธิฐานใด ๆ ทุกท่านมองเห็นถึงความจริงได้หรือไม่ว่า

 

คำอธิฐานแบบใดกันแน่...ที่จะทำให้เรามีโอกาสหลุดพ้นและเข้าถึงธรรมอย่างแท้จริง...

 

สะพานธรรม...ผู้บันทึก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชอบคะ

 

ดีใจที่ชอบ ขอบคุณที่บอกจ้ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ตำนาน (2) เฉลียว อยู่วิทยา newslink_img_3477.jpg เรดบูล-กระทิงแดง DNA เดียวกัน ต่างกันที่กลยุทธ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คนประสบความสำเร็จ "นอน" กี่ชั่วโมง

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

news_img_443242_1.jpg

มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่า นอนให้น้อยหน่อย เอาเวลาไปโหมงานให้บรรลุเป้าหมาย หรือไม่ยอมใช้สิทธิพักร้อน เพราะอยากใช้เวลาไต่เพดานฝันให้เต็มที่

คำถามคือ แนวคิดนี้จริงหรือ แม้ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จหลายคน จะมีเวลานอนหลับพักผ่อนน้อยกว่าชาวบ้าน อย่าง "มาร์ธา สจ๊วต" หรือ "อินทรา นูยี" ซีอีโอค่ายเป๊บซี่ ที่มีเวลานอนแค่ 4 ชั่วโมง ส่วน "สตีฟ ไรเนมันด์" อดีตบอสเป๊ปซี่นอนคืนละ 5-6 ชั่วโมง

แต่บางทีการอุทิศเวลาให้กับการทำงานจนอดหลับอดนอน อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ที่ทำให้เราก้าวสู่ความสำเร็จเสมอไป อยู่ที่ความพอดีของแต่ละคนมากกว่า

"เดวิด โวลปิ" ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ ระบุว่า โดยทั่วไปผู้ใหญ่ต้องการเวลานอนหลับ 8 ชั่วโมงต่อคืน แต่สำหรับบางคนอย่างไรเนมันด์ การนอนแค่ 6 ชั่วโมงก็อาจเพียงพอแล้ว

"หากคุณนอน 6 ชั่วโมงต่อคืน และรู้สึกว่าเพียงพอแล้วเมื่อตื่นขึ้นมา ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าในช่วงระหว่างวัน นั่นเป็นสิ่งที่บอกคุณได้แล้ว เพราะร่างกายจะประท้วงเราเองเมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอ"

ในบรรดาคนที่นอนหลับ 8 ชั่วโมง มีไม่น้อยที่ค้นพบหนทางสู่ความสำเร็จ โดยที่ยังได้พักผ่อนเพียงพอเท่าๆ กับค่าเฉลี่ยของชาวอเมริกันที่นอนคืนละ 8.67 ชั่วโมง

"มานา ไอออเนสคู" เจ้าของบริษัทการตลาดดิจิทัล "ไลต์สแปน ดิจิทัล" เป็นคนหนึ่งที่เคยคิดว่า ต้องนอนให้น้อยลง จะได้มีเวลาทำงานมากขึ้น แต่ที่สุดแล้วผลที่ตามมาหลังอดนอน คือ ขับรถได้อันตรายมาก และแม้อุบัติเหตุจะไม่รุนแรง แต่เธอก็เสียเวลาไปมากกับเหตุการณ์นี้

นี่เป็นจุดเปลี่ยน ทำให้เธอปรับพฤติกรรม เข้านอนตั้งแต่ 5 ทุ่ม ตื่นตอน 7 โมงเช้า และทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป เธอบอกว่า สามารถทำงานได้มากขึ้น ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เจรจาธุรกิจก็ง่ายดายกว่าเดิม ทั้งที่นอนเยอะขึ้น เหลือเวลายามตื่นน้อยลง

"เจน เกลเซอร์" และเมื่อทดลองนอนให้น้อยชั่วโมงลง เธอกลับเหนื่อยล้าในช่วงบ่ายเจ้าของบริษัทคิวซีไอ เป็นอีกคนที่กระโจนขึ้นเตียงตั้งแต่ 4 ทุ่มครึ่ง และตื่นนอนหกโมงครึ่ง เพราะเธอไม่เชื่อว่าใครจะสามารถขับเคลื่อนบริษัทได้หากเวลานอนหลับมีจำกัดจำเขี่ย และเมื่อทดลองนอนให้น้อยชั่วโมงลง เธอกลับเหนื่อยล้าในช่วงบ่าย

Tags : นอนน้อย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ

443-445 ซอยเพชรเกษม102/3 หลักสอง บางแค กรุงเทพ 10160 โทร 02-8092900 โทรสาร 02-8093763 E-mail; pisitmit@hotmail.com

Permalink : http://www.oknation.net/blog/pisitmit

วันศุกร์ ที่ 23 มีนาคม 2555

พระมหากรุณาธิคุณ....แก่ หนูน้อยจ้าวเวหาปี4Posted by เที่ยวคุ้ง , ผู้อ่าน : 90 , 08:08:52 น.

หมวด : กีฬา

print.gif พิมพ์หน้านี้ icon_favorite_entry.gif vote_story.gif โหวต 0 คน

 

 

24771d2aa.jpg

ทรงพระเจริญ

คุณพิศิษฐ์ มิตรเกื้อกูล

นายกสมาคมกีฬาเครื่องบินจำลองและวิทยุบังคับ

ซาบซิ้งและสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณ

ที่มีต่อหนูน้อยจ้าวเวหาทั่วประเทศ

โดยพระราชทานถ้วยรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ

การแข่งขันเครื่องบินจำลองวิทยุบังคับ

รายการ "หนูน้อยจ้าวเวหา"

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...