ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1, 2014 วันที่ 1 ส.ค.57 วิถีทหาร วิถีอนุรักษ์นิยมตะวันออก ตามรอยเศรษฐกิจพอเพียง ทหารเกณฑ์ใหม่ บ่นว่าเบื่อโรงเลี้ยง สิบเวรครูฝึกก็มีความเข้าใจวิถีชีวิตก่อนจะมาเป็นทหาร ก็เลยจัดให้ตามคำขอ...ให้ยกโต๊ะข้าว มากินนอกโรงเลี้ยงกลางแจ้งเสียเลย ได้บรรยากาศ ท้องฟ้า สายลม แสงแดด ไปอีกแบบ..โรแมนติก คลาสสิก สุโค่ย ตามแบบฉบับวินัยทหาร คนไทยปัจจุบัน ต้องค่อยๆ รับวิธีคิดในการปกครองของรัฐบาลใหม่ ที่ผ่านมาหลายสิบปี นักแสวงโชคทางการเมืองปลูกฝังค่านิยมให้คนในประเทศเรา เสรีจนเกินขอบเขต มุ่งความสะดวกสบายแบบทุนนิยมตะวันตก จนทำให้หลงลืมวิถีวัฒนธรรมดีๆ แบบไทยๆ ในไม่นานต่อจากนี้ คนไทยจะค่อยๆ ซึมซับวิถีการปกครองแบบอนุรักษ์นิยมตะวันออก ตามรอยเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อต่อสู้กับวิถีตะวันตก ส่งความมั่งคั่งยั่งยืนสู่ลูกหลานไทยยุคต่อไป แต่สามี คงไม่ต้องถึงกับไปข้าวนอกบ้านแบบนี้..เพราะอาจเสี่ยงเกิดสงครามโลกครั้ง 3 ในบ้านได้ @ เสธ น้ำเงิน1 https://www.facebook.com/topsecretthai อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1, 2014 วันที่ 1 ส.ค.57 เผย..การปฎิรูปสังคมใหม่ โดยรูปการปกครองอนุรักษ์นิยมแนวตะวันออก สำหรับประเทศไทยแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ คือ มรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งที่เมื่อไปเชื่อมกับวิถีทางคำสอนของหลักศาสนา ก็เกิดเป็นชุดรูปแบบความคิดอนุรักษ์นิยมแบบตะวันออก เรื่องพวกนี้อิบายคนตะวันตก ก็ยากจะเข้าใจ เพราะเป็นสิ่งที่บ่มเพาะปลุกฝัง ค่านิยมนี้มาอย่างยาวนานกว่า 800 ปี ตั้งแต่มีชนเผ่าไทยมา ความผูกพันลึกซึ้งของพระมหากษัตริย์ กับราษฏรไทย ไม่เหมือนในชาติอื่นๆ เช่น อังกฤษ เสปน ฯลฯ เพราะพระมหากษัตริย์ ของไทย เป็นนักรบผู้ปกป้องราษฏรของตนเอง ตลอดมา และนำพาชนเผาไทย ให้พ้นภัยการรุกรานของชนชาติอื่นมาโดยตลอด คนไทยตั้งแต่เด็ก เติบโต วัยชรา จึงมีจิตใจที่เชื่อมต่อกับพระมหากษัตริย์ ประดุจสายสัมพันธ์เคารพนับถือบุพการีตนเอง พระมหากษัตริย์ของไทยเอง ก็ทรงให้ความเอ็นดูราษฎรไทยเสมือนเป็นบุตรหลาน จนราชอาณาจักรไทย เป็นครอบครัวใหญ่ขนาด 67 ล้านคน จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าว สองพี่น้อง เด็กหญิงสายบัว ดุงสูงเนิน วัย 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนบ้านแยง อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ที่อาศัยอยู่กับน้องชาย วัย 8 ขวบตามลำพัง ในกระท่อมผุพัง ไม่คุ้มแดด คุ้มฝน และไม่มีห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะใช้ ได้รับความเดือดร้อนลำบาก และจากสภาพแวดล้อม ทำให้หลายคนมีความเป็นห่วงถึงความปลอดภัย ล่าสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานความช่วยเหลือ ให้กับสองพี่น้องรายนี้ ผ่านทางกองกำกับการ ตชด.31 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแล้ว นอกจากนี้ หลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ได้เดินทางไปเยี่ยมเยียน สองพี่น้อง มอบเงินสด และเครื่องอุปโภคบริโภคอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ นางสายทอง พาสีดา มารดาของเด็กทั้งสองคนก็ได้กลับมาอาศัยอยู่กับลูก ๆ เพื่อดูแล ตามคำขอร้องของครูประจำชั้นแล้ว นี่คือประจักษ์พยานว่า ทั้ง 2 พระองค์ แม้อยู่ในที่ห่างไกล แต่ไม่เคยทอดทิ้งราษฎรของพระองค์เลยตลอดรัชกาล พระองค์ทรงคอยสดับตรับฟังข่าวสารความเป็นอยู่ของราษฎรตลอดเวลา ไม่ว่าราษฏรคนนั้นๆ จะยากดีมีจน รูปร่างสูงต่ำดำขาว เพศหรือวัยใด ล้วนได้รับหยาดน้ำทิพย์จากน้ำพระทัยของพระองค์ทั้งสิ้น สังคมไทยไม่เคยมีชนชั้น อำมาตย์ หรือ ไพร่ ไม่มีการซ้ำซ้อนความช่วยเหลือ หรือ คำกล่าวให้ร้ายใดๆ ตามที่กลุ่มคนบางกลุ่มที่หวังร้ายกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ระยะเวลากว่า 800 ปี มานี้คือข้อพิสูจน์มรดกทางวัฒนธรรม ของบรรพบุรุษที่ส่งมอบต่อๆ กันมาจนถึงยุคนี้ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.57 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยัง อุทยานการอาชีพ ชัยพัฒนา ตำบลบ่อพลับ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ทรงเป็นประธานปิดการประชุมสัมมนาโครงการของสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนาปี 2557 ในเรื่อง สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนากับการสนองพระราโชบาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ในการนี้พระองค์พระราชทาน พระราโชบาย เพื่อเป็นแนวทางดำเนินงานของมูลนิธิว่า ปัจจุบันมูลนิธิชัยพัฒนา ดำเนินงานสนองพระราชดำริในการพัฒนาด้านต่างๆ อย่างครอบคลุม มีโครงการในความรับผิดชอบทั้งสิ้น 251 โครงการทั่วประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มูลนิธิได้ปรับปรุง และพัฒนาการบริหารงานด้านต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง โดยปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงระบบการบริหารงาน โครงการพัฒนของมูลนิธิชัยพัฒนาออกเป็น 3 กลุ่มงานคือ กลุ่มงานบริการการพัฒนา กลุ่มงานธุรกิจเพื่อสังคม และ กลุ่มงานศึกษาและพัฒนา รวมถึงนำเอาระบบสารสนเทศด้านบัญชีและการเงินเข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน ส่งผลให้โครงการต่างๆมีเป้าหมายและแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการมากขึ้น โอกาสนี้พระองค์มีพระราชดำรัสถึงการทรงงาน และการเยี่ยมราษฎรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ทราบปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ จึงมีพระราชดำริ ให้จัดตั้งมูลนิธิชัยพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเหลือและดูแลประชาชน " เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงงาน งานต่างๆ ที่ทำก็ไม่ถือว่าเป็นการซ้ำซ้อนกับทางราชการ เพราะทางราชการ เขามีหน้าที่ๆ ต้องทำ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความรู้ความสามารถ เอาง่ายๆ ท่านไม่ค่อยมีสิทธิเสรีภาพเท่าไหร่ว่าจริงๆ แล้ว แต่ท่านก็ถือว่าไม่ได้เอาสิทธิ แต่เอาหน้าที่ หน้าที่เป็นพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระเจ้าอยู่หัว ก็ต้องดูแลราษฎร ซึ่งราษฎรในยุคที่ตอนนั้นตามเสด็จฯ ท่านเมื่อยังเล็กๆ อยู่ ก็สังเกตดูว่า บางทีราษฎรเขาไม่ค่อยเข้าใจหรอกกว่า เรื่องประชาธิปไตย สมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือพระเจ้าอยู่หัว ไม่ต้องทรงทำหลายๆอย่างแล้ว เขาไม่เข้าใจ เขารู้จักพระเจ้าอยู่หัว มีอะไรๆ เขาก็เล่าหมดทุกเรื่อง และก็หวังว่า ท่านควรจะมีวิธีการอะไรที่ทำให้เขามีความสุขขึ้น นี่ก็คือเป็นหน้าที่พระเจ้าแผ่นดินอีกอย่างหนึ่ง" นี่คืออีกหลักฐานหนึ่ง ที่แสดงอย่างชัดเจนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพพิเศษใดๆ เลย งานต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำก็ไม่ได้เป็นการซ้ำซ้อนกับทางราชการ พระองค์มีความรู้ความสามารถ แต่กลับไม่ได้เอาสิทธิ เพียงแต่เอาหน้าที่ความเป็นพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงคิดว่าเป็นพระเจ้าอยู่หัว แล้วไม่ต้องทรงทำหลายๆ อย่าง ตามที่ราษฎรของพระองค์เข้าใจผิด นั่นเพราะพระองค์ทรงพยายามอนุรักษ์วิถีวัฒนธรรม ดำเนินรอยตามบรรพชนกษัตริย์ตั้งแต่สมัยโบราณมานั่นเอง เพราะสมัยก่อนใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ต้องดูแลราษฎร การอนุรักษ์วิถีวัฒนธรรมนี้จึงมีความลึกซึ้งอย่างยิ่งยวด เป็นพระปรีชาสามารถที่ล้ำลึก ในการถ่ายทอดวิธีคิดอนุรักษ์นิยมแบบไทยๆ ในวิถีตะวันออก ให้อนุชนรุ่นหลังได้ซึมซับทีละเล็กละน้อย เข้าไปสู่จิตใจ เมื่อเติบโตขึ้นมา ก็ถ่ายทอดวิถีวัฒนธรรมไทยนี้ต่อไปสู่ลูกหลานไม่มีที่สิ้นสุด อันจะทำให้คนเผ่าไทย ดำรงความเป็นชนชาติอย่างมั่นคง ปกป้องราชอาณาจักรไว้ ปกป้องไม่ให้กระแสวัฒนธรรมตะวันตก มากลืนกินวิถีวัฒนธรรมไทยจนสูญหายไปในอนาคต เพราะหากตะวันตกกลืนชนชาติ แล้วคนไทยจะเหลืออะไรที่เป็นเอกลักษณ์วิถีวัฒนธรรมของเราเอง นี่จึงเป็นกุศโลบายอัจฉริยะของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ตลอดมา จนชาติไทยมั่นคงปึกแผ่นมาจนถึงทุกวันนี้ แต่คนรุ่นหลังไม่ได้เฉลียวใจถึงวิถีอนุรักษ์นิยมนี้ จึงหลงไหลได้ปลื้มกับวิถีทุนนิยมตะวันตก โดยมีนักการเมืองสะกดจิตให้ตกหลุมพรางคำพูด ให้เชื่อว่า ประชาธิปไตย แบบตะวันตก ดีกว่า อนุรักษ์นิยม แบบไทย จนชนเผ่าไทยเกือบจะเสีย ภูมิปัญญามรดกทางวัฒนธรรมไทย ให้กับนักการเมืองไทย จิตใจตะวันตก ดีที่ทหารไทย ชิงรัฐประหาร เสียก่อนๆ ที่จะลุกลามจนสายเกินแก้ สำหรับราชอาณาจักรไทย พระมหากษัตริย์ ได้ทรงกระทำหน้าที่ “จอมทัพ” มาโดยตลอด พระราชสถานะ “จอมทัพไทย” แต่ยศ “จอมพล” ซึ่งเป็นยศสูงสุดของทหารนั้น ต่างกับ “จอมทัพ” ซึ่งเป็นตำแหน่งสำหรับพระมหากษัตริย์ เพราะว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงอยู่เหนือกองทัพ และยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งปวง และทรงเป็นเกียรติศักดิ์สูงสุดของกองทัพแห่งชาติด้วย จอมทัพไทย ของพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงถ้อยคำในกระดาษเท่านั้น แต่ได้ประทับลงในจิตสำนึกของทหารไทยทุกคน เริ่มตั้งแต่ธงชัยเฉลิมพลประจำกองทหาร ก็เป็นมงคลสูงสุดสำหรับหน่วย เพราะเป็นของที่ได้รับพระราชทาน และได้บรรจุเส้นพระเจ้าไว้ในพระกรัณฑ์บนยอดปลายสุดของธง ดังนั้น เมื่อกองทหาร และธงชัยเฉลิมพลไปปรากฏอยู่ ณ ที่ใด ก็เสมือนประหนึ่งว่าพระมหากษัตริย์ ได้เสด็จพระราชดำเนินร่วมไปในกองทัพนั้นด้วย ทหารไทยจึงมีขวัญกำลังใจที่มั่นคง เพราะต่างตระหนักดีกว่า ตนปฏิบัติหน้าที่เสี่ยงภัย เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติเช่นเดียวกับพระประมุขนั่นเอง ดังนั้นพระมหากษัตริย์ จึงก็ยังทรงเป็นมิ่งขวัญของเหล่าทหารหาญ และเหนือสิ่งอื่นใด ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ตามที่รัฐธรรมนูญได้ถวายพระเกียรติยศไว้ เป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพสยาม” และนับแต่วาระนั้นเป็นต้นมา รัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นภายหลัง ก็ได้มีบทบัญญัติทำนองเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ทุกฉบับ และ บางครั้งมีการบัญญัติเพิ่มเติมในตอนท้ายด้วยว่า “ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารทั้งปวง” (เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 11 ) คำที่ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย” นั้น จึงมีนัยยะหมายถึง 1. เป็นการถวายพระเกียรติ พระมหากษัตริย์ ตามแบบพิธีกรรม แต่แท้จริงแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงบังคับบัญชา และสั่งการทหารประการใดประการหนึ่งมิได้ เพราะขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการบังคับบัญชาของทหาร 2. ยอมรับว่าพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองทัพไทย ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ และมีพระราชอำนาจ บังคับบัญชาการทหาร และสั่งการเกี่ยวกับกองทัพได้ โดยทรงใช้พระราชอำนาจทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ทั้งนี้ พระบรมราชวินิจฉัย และ พระบรมราชโองการที่ทรงสั่งการ จำต้องมีนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งมีผลเท่ากับว่าทรงสั่งการ ตามคำแนะนำ และ ยินยอมของคณะรัฐมนตรีนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ พระมหากษัตริย์จึงทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจ ในการประกาศใช้ และ เลิกกฎอัยการศึกตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก และทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจ ในการประกาศสงครามโดยได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และพระมหากษัตริย์ทรงไว้ ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการทหาร โดยทำเป็นประกาศพระบรมราชโองการ เรื่องให้นายทหารรับราชการนั่นเอง แต่ในปัจจุบันสมัย นอกจากสงครามที่มีการรบพุ่งกันด้วยอาวุธแล้ว ยังมีสงครามในลักษณะอื่นอีกหลายรูปแบบ เช่น สงครามด้านเศรษฐกิจ สงครามด้านวัฒนธรรม ซึ่งประชาชนแต่ละชาติจำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนจากภัยคุกคามเหล่านั้น พระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ ที่ทรงเป็นจอมทัพไทย จึงมิได้มีความหมาย แต่เพียงว่าทรงเป็นมิ่งขวัญสูงสุดของกองทัพเท่านั้น หากแต่โดยสภาพความเป็นจริงแล้ว พระมหากษัตริย์ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองตฺได้ทรงเป็น “จอมทัพ” นำคนเผ่าไทยทั้งชาติฝ่าฟันอุปสรรค นานัปการ ในทุกสงคราม โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญสูงสุด ก็คือ ความสงบร่มเย็นของแผ่นดินไทย และอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงนั่นเอง ด้วยมรดกภูมิปัญญาวิถีทางวัฒธรรมนี้ คสช. จึงพยายามทำการปลอดแอกราษฎรของพระราชา ให้พ้นจากการกดขี่ทางชนชั้น ของนักแสวงโชคทางการเมือง กำลังพิสูจน์ว่า ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ตามรอยพ่อของแผ่นดิน จะเป็นสิ่งที่ทำให้คนไทยทั้งชาติฝ่าฟันอุปสรรค นานัปการ ไปให้ได้ และที่สำคัญทหารไทย จะไม่ยอมละทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมล้ำค่าของไทยนี้ไป โดยจะต้องคงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน คู่กับแผ่นดินสุวรรณภูมิแห่งนี้ และไม่สามารถแยกจากกันได้อย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ตอนนี้ทหารไทย ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ภาคใต้ นอกจากจะต้องต่อสู้ ปกป้องประชาชนไทยมุสลิม และไทยพุทธ ให้ปลอดภัยจากกลุ่มติดอาวุธที่มุ่งทำร้ายราษฏรของพระราชา พวกเขายังทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่ง คือ เป็น “พลเมืองดี” เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กำลังแรงกายของตน ช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ทำนา ศูนย์วิจัยพันธุ์ข้าวปัตตานี ได้เผยแพร่ภาพ ทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการทำนาในพื้นที่ โดยเป็นการทำงานที่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบทหาร ตามระเบียบของทางราชการ เนื่องจากงานส่วนใหญ่ ในการช่วยเหลือชาวบ้านเป็นงานด้านการเกษตร และก่อสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัย หากแต่งเครื่องแบบ จะทำให้ไม่สมารถทำงานนั้นๆ ได้อย่างสะดวก ไม่มีความคล่องตัว แต่ในการจัดกำลังทหารเพื่อช่วยเหลืองานด้านเกษตรนั้น ก็จะมีการจัดกำลังอีกส่วนหนึ่ง ไว้ดูความปลอดภัยของกำลังพลด้วย จึงให้เห็นภาพทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี กำลังแบกปืน ดำนา และเกี่ยวข้าว ด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข และความเต็มใจในการช่วยเหลือชาวบ้าน ความรู้สึกของทหารไทย ในการช่วยเหลือชาวบ้านทำนา และดูแลรักษาความปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน เขาบอกว่า "เกิดมาผมไม่เคยทำนาเลย แต่มาทำนาเป็น เพราะมาเป็นทหารที่ปัตตานี วันแรกที่เรารู้ว่า จะต้องไปช่วยชาวบ้านทำนา ผู้กองได้เรียกประชุมแล้วถามว่า ใครทำนาเป็นบ้าง มีคนยกมือเพียงไม่กี่คน เพราะส่วนใหญ่ทำนาไม่เป็น “ ผู้กองเลยพูดขึ้นว่า "คนที่ทำนาไม่เป็น ต่อไปจะต้องทำนาเป็นกันหมดทุกคน" ทหารจึงเข้าไปช่วยชาวบ้านในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ ขุดลอกคูส่งน้ำ ที่มีทั้งดิน และหญ้าปกคลุมไว้เต็ม เพราะชาวบ้านไม่ได้ทำนามาเกือบ 10 ปี คสช. กำลังทำหน้าที่ นำทหารไทยทั้งชาติ เดินตามรอยพ่อของแผ่นดิน สร้างรูปแบบการปกครองอนุรักษ์นิยม ตามภูมิปัญญามรดกทางวัฒนธรรมบรรพบุรุษ เพื่อวางรากฐานรูปแบบการปกครองแบบไทยๆ ให้สามารถเป็นที่พึ่ง ที่หวัง ของประชาชนชาวไทยไปอีกนานเท่านาน ท่านทุกคนที่เป็นคนไทย ท่านได้ตระหนักถึงวิธีคิดอนุรักษ์นิยมตามแบบตะวันออกหรือยัง ?? หยุดโจมตีให้ร้ายทหาร หยุดสร้างความหวาดระแวงให้ประชาชนในชาติ หยุดยุยงสร้างประเด็นใหม่ในสังคมไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วอยู่เงียบๆ ดำเนินวิถีชีวิตทำมาหากินไปตามปกติ จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า ตอนนี้ คสช.ได้สั่งการให้มีการติดตามเร่งรัดช่วยเหลือพี่น้องประชาชนไทย ที่เดือดร้อน ซึ่งได้มีการร้องเรียนผ่าน คสช.มากว่า 20,000 เรื่อง โดย คสช.ใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น ได้แก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนไปแล้วกว่า 17,000 เรื่อง ( ราว 85% ) เหลืออีกพียง 2-3 พันเรื่อง ก็จะเร่งดำเนินการแก้ไขให้ และ คสช.ยืนยันใช้หลักในการแก้ไขปัญหาด้วยเหตุ และผล เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียวฉันท์ใด สังคมใหม่ของไทย ก็ไม่เสร็จใน 2 เดือนฉันท์นั้น แล้วคิดทบทวนเรื่องราวย้อนหลัง มาตั้งแต่ปี 2475 ว่า เป็นไปตามนี้จริงหรือไม่ ? นักการเมือง = ดีแต่คิด , ทหารไทย = คิดแต่ดี นักการเมือง = ดีแต่พูด , ทหารไทย = พูดแต่ดี นักการเมือง = ดีแต่ทำ , ทหารไทย = ทำแต่ดี ถ้าเป็นจริง..กลุ่มยุยง โจมตี ก็หันหน้ามาร่วมมือสามัคคีกันทำงานเป็นทีม เพื่อปฏิรูปสังคมใหม่ของไทย โดยมีธงนำคือ ต้อง “อนุรักษ์นิยม ตามแบบมรดกทางวัฒนธรรมไทย” เท่านั้น !! @ เสธ น้ำเงิน3 https://www.facebook.com/topsecretthai อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1, 2014 เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ทหารกองกิจการพลเรือน มทบ.22 อุบลราชธานี นำกำลังพล พร้อมรถบรรทุก 6 ล้อ 1 คัน ช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมในชุมชนท่าบ่งมั่ง ต.วารินชำราบ อ.วารินชำราบ อุบลฯ ซึ่งได้รับผลกระทบจากน้ำในแม่น้ำมูลเอ่อล้นไหลเข้าท่วมบ้านเรือนเสียหายแล้วกว่า 20 หลังคาเรือน ทหารไทยใจกล้า อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1, 2014 สมเด็จพระเทพฯทรงตรัสเล่าหลักการทรงงานของในหลวงว่า การทำให้ประชาชนมีความสุขเป็นหน้าที่พระเจ้าแผ่นดิน... วันที่ 31 ก.ค. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยัง อุทยานการอาชีพ ชัยพัฒนา ตำบลบ่อพลับ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ทรงเป็นประธานปิดการประชุมสัมมนาโครงการของสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนาปี2557 เรื่อง สำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนากับการสนองพระราโชบายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน "เวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงงาน งานต่างๆ ที่ทำก็ไม่ถือว่าเป็นการซ้ำซ้อนกับทางราชการเพราะทางราชการ เขามีหน้าที่ที่ต้องทำ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความรู้ความสามารถ เอาง่ายๆ ท่านไม่ค่อยมีสิทธิเสรีภาพเท่าไหร่ว่าจริงๆแล้ว แต่ท่านก็ถือว่าไม่ได้เอาสิทธิ แต่เอาหน้าที่ หน้าที่เป็นพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ ใครเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระเจ้าอยู่หัวก็ต้องดูแลราษฎร ซึ่งราษฎรในยุคที่ตอนนั้นตามเสด็จฯท่านเมื่อยังเล็กๆอยู่ ก็สังเกตดูว่า บางทีราษฎรเขาไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่า เรื่องประชาธิปไตย สมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือ พระเจ้าอยู่หัวไม่ต้องทรงทำหลายๆอย่างแล้ว เขาไม่เข้าใจ เขารู้จักพระเจ้าอยู่หัว มีอะไรๆเขาก็เล่าหมดทุกเรื่อง และก็หวังว่าท่านควรจะมีวิธีการอะไรที่ทำให้เขามีความสุขขึ้น นี่ก็คือเป็นหน้าที่พระเจ้าแผ่นดินอีกอย่างหนึ่ง" ทรงพระเจริญ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1, 2014 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1, 2014 กระบี่ ทะเลของคนไทยรักษาไว้ให้ลูกหลาน อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1, 2014 งามนัก ทะเลแม้จะสงบ แต่คลื่นก็ยังโยกกล่อม อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 1, 2014 (มีการแก้ไข) ภาพประทับใจของวันนี้ อุปกรณ์จำเป็นขององค์ท่าน ในพระหัตถ์อีกข้างจะมีแผนที่มั๊ยเอ่ย สถานที่เดียว ฉลองพระองค์เดียวกันมั๊ย ✿ ✿ ❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿ พระคู่ขวัญดวงใจไทยทั้งชาติ งามพิลาศอ่าองค์ ธ ทรงศรี ดุจจันทร์เพ็ญงามคู่พระสุรีย์ ราษฎร์เปรมปรีดิ์ปลาบปลื้มทุกยามยล ✿ ✿ ❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿.. ทรงพระราชปฏิสันถารกับราษฎรที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรบริเวณพื้นที่โครงการพัฒนาลุ่มน้ำคลองน้ำจืด-คลองแฆแฆ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปัตตานี เพื่อพิจารณาการก่อสร้างระบบระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง ✿ ✿ ❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿ ข้าพระพุทธเจ้า...น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้. ขอทุกพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน.ขอจงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ ทรงสถิตย์เป็นหลักชัยแห่งแผ่นดินสยามและปวงข้าพระพุทธเจ้าตราบนานเท่านาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ... ✿ ✿ ❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿ ✿ ✿ ❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿ พระบารมีเหนือกษัตริย์ใดในหล้า ทรงดำริสิ่งมีค่ามหาศาล ยอมสละทุกสิ่งเพื่อกิจการ ให้ทวยราษฎร์ทั่วทุกย่านได้ร่มเย็น ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ... ✿ ✿ ❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿❀¸¸¸.•*´¯`❀ ✿ ✿ — with อัย อชิตะ and นายดินสอไม้ ณ. ไข่มุกอันดามัน. ถูกแก้ไข สิงหาคม 1, 2014 โดย ginger 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 2, 2014 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 2, 2014 “มนุษย์มีกรรมเหมือนสัตว์อื่นๆ แต่มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียว ที่เปลี่ยนแปลงกรรมได้” เพราะมนุษย์มีความคิด ความรู้สึก เลือกที่จะทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะดี หรือจะชั่ว ไม่ว่ากรรมเก่าเราจะทำให้ชีวิตชาตินี้ เราจะตกทุกข์ได้ยากเพียงใด เราก็สามารถอดทน ขยัน และเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีได้ เช่นกันตายจากชาติที่แล้ว เกิดมาใหม่ในชาตินี้ ก็เปรียบเหมือน การนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมาวันใหม่ เมื่อวาน ขี้เกียจ ไม่ทำงาน จึงไม่มีรายได้ ไม่รวย แต่วันนี้ ตื่นมาพร้อมความไม่มีเงินเหมือนเดิม แต่ตั้งมั่นว่าจะอดทนขยันขันแข็งทำงาน จึงทำให้วันนี้มีเงิน หรือร่ำรวย นี่คือการเปลี่ยนแปลงกรรม หรือเรียกว่า #ลิขิตชีวิตตัวเองจากมานะของตนเอง โดยปราศจากการอ้อนวอนแล้วนั่งนอนรอผู้บันดาล หรือ ปล่อยชีวิตให้ลอยล่อง แล้วโทษเวรโทษกรรม . » "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน" ผู้เขียน: คคุ้นเคย อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 2, 2014 พวกเราหลายคนมีความยากลำบากในการสื่อสารกับสมาชิกในครอบครัว หรือ เพื่อนร่วมงาน บางเวลาเราหมดความอดทนต่อพวกเขา รู้สึกหงุดหงิดกับมุมมองและคำแนะนำของพวกเขา เราสูญเสียความสามารถในการฟังอย่างลึกซึ้ง สูญเสียความเต็มใจที่จะทำความเข้าใจมุมมองของพวกเขา เราไม่สามารถพูดกับคนอื่นๆ อย่างสงบ เมื่อเราพูด ความทุกข์ ความกลัว หรือความกังวลของเราก็จะปรากฏขึ้น ทำให้คำพูดของเรา กลายเป็นการตำหนิ และแสดงความขมขื่น เราจำเป็นต้องเรียนรู้ศิลปะของการฟัง และ การพูด เพื่อช่วยฟื้นฟูการสื่อสารของเรา เราจำเป็นต้องฟังอย่างลึกซึ้งด้วยความกรุณา เพื่อช่วยให้เราเข้าใจคนอื่นได้ดีขึ้น สิ่งนี้หมายถึง เจตนาของเราในขณะที่ฟัง คือฟังเพื่อช่วยให้ความทุกข์ของผู้อื่นลดน้อยลง และ เปิดเผยสิ่งที่เขามีในหัวใจ เราอยู่ตรงนั้นอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อที่จะรับฟังสิ่งที่เขาต้องการพูด โดยไม่มีการตัดสิน ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ แม้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจะไม่เป็นความจริง เต็มไปด้วยการกล่าวโทษและขมขื่น เราจะไม่แก้ไขทันทีทันใด เราจะมอบพื้นที่เพื่อให้เขาแบ่งปันความรู้สึกของเขา เราจำเป็นต้องพูดด้วยวาจาแห่งรัก ใช้คำที่สร้างความมั่นใจ ความเบิกบาน และความหวัง เราสามารถแสดงความยากลำบากของเราในความสัมพันธ์ที่มีต่อกันได้ อย่างมีสติ และ อดทน ไม่ตัดสิน ไม่กล่าวโทษ เรารับผิดชอบความรู้สึกและปฏิกิริยาของเรา และขอร้องให้เขาช่วยเหลือเรา โดยการรดน้ำเมล็ดพันธุ์ที่ดีในตัวเรา หยุดการรดน้ำเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดี และเราสามารถที่จะถามเขาว่าเราจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไรในขณะที่เขากำลังยากลำบาก ด้วยวิธีเช่นนี้ เราจะสามารถบรรลุถึงสันติสุข และ มีความสามัคคีในปฏิสัมพันธ์ของเรา เริ่มต้นที่ครอบครัวของเธอ หรือ บุคคลที่เธอใกล้ชิดที่สุด ก่อนเริ่มสนทนา ขอให้ใช้เวลา หายใจเข้า และ หายใจออก สัก ๒-๓ ครั้ง หายใจเข้า ฉันฟังอย่างลึกซึ้ง หายใจออก ฉันพูดด้วยความรักเมตตา » #พระอาจารย์ติช_นัท_ฮันห์ credit pic. BY : Yongyut Laksap === ศาลาวัด อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 2, 2014 (มีการแก้ไข) #วิปัสสนา -------------------- จะมอบสภาวะนี้ แด่จิตทุกดวง • เมื่ออยู่ว่างๆ เช่นต้องรอใครนานเป็นชั่วโมง คุณไม่ปล่อยใจไปกับวิมานในอากาศ ไม่ย้อนนึกถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ไม่คำนึงนึกล่วงหน้าถึงเรื่องที่ยังรออีกไกล แต่นึกถึงลมหายใจ คุณฝักใฝ่กับลมหายใจเพราะมันทำให้คุณมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เพราะบังคับตัวเองให้ฝืนทำเพื่อจะได้เป็นนักวิปัสสนา • เมื่อมีใครทำให้คุณโกรธ คุณรู้ตามจริงว่ากำลังโกรธ แต่แทนการมองหน้าเขาด้วยตาขุ่น กลับมองความโกรธในใจตัวเองด้วยความเป็นกลาง คือไม่คิดเรื่องถูกผิดของเขาหรือของเรา คิดถึงแต่ว่าใจเรามีความโกรธ เพื่อเห็นตามจริงว่าภาวะโกรธเหมือนไฟที่ลุกวาบขึ้น แสดงความแปรปรวนให้ดูเล่นอีกครั้งเท่านั้นเอง • เมื่อเวลาผ่านไป คุณเริ่มพบว่าตัวเองเฝ้าตามรู้ทุกการเคลื่อนไหว ทุกภาวะอารมณ์ เพื่อเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง บังคับบัญชาหรือสั่งคุมให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ แม้กระทั่งขณะขับถ่ายปัสสาวะ! • เมื่อเงยหน้ามองเมฆหรือมองดาว แทนที่จะเกิดจินตนาการเพ้อฝันอ่อนหวาน คุณกลับเห็นแค่ความเบานิ่งสม่ำเสมอของใจ โดยปราศจากความติดใจไยดีรสสุขอันเกิดแต่ความเบานิ่งสม่ำเสมอนั้น • เมื่อเกิดอัตตามานะถือเขาถือเรา เทียบศักดิ์เทียบชั้นแรงๆ แล้วคุณรู้สึกรังเกียจสิ่งที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง เท่ากับที่คนตาดีเห็นเห็บหมัดสุนัขมากลุ้มรุมเกาะร่างของตนยุ่บยั่บ • เมื่อคุณเห็นข้อเสียของตัวเองเกิดขึ้นจากการคิด การพูด หรือการกระทำใดๆ แล้วทราบชัดว่าจิตมีลักษณะเป็นอกุศล เช่นขุ่นเคือง รู้สึกหม่นมืด ในหัวฟุ้งแรง อกใจเร่าร้อน ฯลฯ แล้วเกิดสติสำนึกผิดแบบใหม่ คือไม่เศร้าโศกเสียใจหรือโทษตัวเอง แต่เห็นว่าบาปอกุศลเป็นแค่เงาดำเงาหนึ่งที่ปรากฏทาบจิต เพียงรู้ชัดว่าเงาดำนั้นไม่ใช่ตัวคุณ เกิดแล้วต้องสลายตัวเป็นธรรมดา คุณก็เกิดความรู้สึกว่างขึ้นแทนที่ • เมื่อเป็นนักวิปัสสนาไปเรื่อยๆ นับวันความว่างก็ขยายขอบเขตออกกว้างไกลขึ้นทุกที คือเห็นอาการใดในใจดับลง ใจก็เหมือนมีพื้นที่ว่างมากขึ้นเรื่อยๆ และพลอยมีความสุขที่แปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ • เมื่อเลิกนิสัยคิดว่าตัวเองรู้ดี รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไร หันมาเห็นว่าตนเองไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองตามจริงสักเท่าไหร่ จนในที่สุดนิสัยใหม่ค่อยๆถูกเพาะขึ้น คือสำรวจตนเองมากกว่าสอดส่องออกไปหาเรื่องของคนอื่นข้างนอก • เมื่อเกิดความกลัว คุณเห็นว่าความกลัวเป็นเพียงอารมณ์อีกชนิดหนึ่งที่ล่อให้นึกว่า ‘มีคุณ’ ที่กำลังจะเป็นผู้เคราะห์ร้าย ต่อเมื่อส่องอย่างใกล้ชิดด้วยวิปัสสนาแล้ว กลับเห็นว่าเหลือแต่ความกลัว หาได้มีผู้เคราะห์ร้ายที่ตรงไหนไม่ • เมื่อตระหนักว่ายอดสุดแห่งข้อเสียคือความเหม่อลอยไร้สติ • เมื่อรู้สึกว่าอดีตที่ผ่านมาเป็นแค่ความทรงจำ แล้วก็รู้สึกด้วยว่าความทรงจำเปรียบเสมือนแสงเทียนที่ค่อยๆหรี่ลงสู่ความดับเข้าไปเรื่อยๆด้วย • เมื่อพบว่านิสัยบางอย่างเปลี่ยนไป เช่นจากที่เคยช่างคุยกับตัวเอง หรือกระทั่งรบกับเสียงในหัวของตัวเองอย่างหนัก มาพักอยู่กับความสงัดเงียบภายในใจแทน • เมื่อมีคนบอกว่าคุณผ่องใส แล้วคุณรู้สึกว่าเขาพูดถึงภาวะผ่องใส ไม่ได้พูดถึงตัวคุณ • เมื่อรู้ตามจริงว่าคุณแตกต่างจากคนรอบข้างที่ไม่ได้ภาวนา แต่ไม่เห็นตัวเองแปลกคน เพราะทุกคนเสมอกันด้วยความเป็นสิ่งที่ปรากฏแล้วต้องเสื่อมสลายลงทั้งสิ้น • เมื่อมีใครแนะนำให้คนอื่นรู้จักว่าคุณเป็น "นักวิปัสสนาคนหนึ่ง" ใจคุณนึกปฏิเสธ ไม่รู้สึกภาคภูมิใจ ไม่นึกว่าเป็นเกียรติยศ และเห็นว่าแม้การ "เป็นนักวิปัสสนา" ก็ไม่ใช่คุณเอาเลย • ธรรมะที่ดีที่สุดคือสิ่งที่กำลังปรากฏเด่นต่อสติอยู่เดี๋ยวนี้ สิ่งใดแสดงให้เห็นว่าเกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา เห็นแล้วกระทำจิตให้คลายจากความยึดมั่นเสียได้ สิ่งนั้นน่าสนใจดูยิ่งกว่าสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหมดในโลกรวมกัน • ===================================+ ขอบคุณ------http://dungtrin.com/ ถูกแก้ไข สิงหาคม 2, 2014 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 2, 2014 ลืมตา...o___o อยู่อย่างมีสติ เดิน ยืน นั่ง นอน ล้างหน้า แปลงฟัน อาบน้ำ ทำสวน ทำความสะอาดบ้าน กวาดพื้น ล้างถ้วยชาม เดินเล่น วิ่ง นั่งรถ เดินทาง ทุกอย่างที่ทำ สามารถกำหนดรู้ เช่นการหายใจเข้า-ออก การทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันต่างๆ เป็นวิปัจสนาโดยง่ายตรง หากมีสมาธิอยู่กับสิ่งนั้น กำหนดรู้การเคลื่อนไหว ก็จะมีสมาธิต่อเนื่อง ... ... ... เช่นนี้ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 2, 2014 วันอาทิตย์ ที่ 14 สิงหาคม 2554 ท่านพุทธทาส : สมาธิ และวิปัสสนา ตามธรรมชาติ Posted by อักษราภรณ์ , ผู้อ่าน : 1672 , 15:49:14 น. หมวด : ศาสนา พิมพ์หน้านี้ โหวต 3 คน ..เวลาสวัสดิ์.. , ชลัยย์มาศ และอีก 1 คนโหวตเรื่องนี้ ท่านพุทธทาส : สมาธิ และวิปัสสนา ตามธรรมชาติ อ่านคำบรรยายที่สมบูรณ์ตามลิงค์ข้างล่างนี้ http://www.oknation.net/blog/Aug-saraporn/2011/06/22/entry-8 โดยที่แท้แล้วสมาธิอาจจะมีได้โดยทางตรงตามธรรมชาติ ซึ่งปราศจากเทคนิคใด ๆ ที่มนุษย์กำหนดขึ้น อีกส่วนหนึ่ง ดังที่ได้อธิบายมาแล้วตามสมควรในคราวก่อน ๆ ; เราจึงได้ สมาธิที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง และ สมาธิที่เกิดจากการปฏิบัติบำเพ็ญ ตามวิธีที่เป็นเทคนิคโดยเฉพาะนั้น ก็อีกอย่างหนึ่ง. ในกรณีที่เราประสงค์นั้น มันมีผลอย่างเดียวกัน คือ เมื่อเป็นสมาธิแล้ว ก็นำไปพิจารณา หรือว่าการพิจารณาจะดำเนินไปได้โดยง่าย โดยตัวมันเองดังนี้ก็ได้. แต่มีข้อควรสังเกตอย่างหนึ่งว่า สมาธิที่เกิดตามธรรมชาติ นั้น มักจะพอเหมาะพอสมแก่กำลังของปัญญาที่จะทำการพิจารณา. ส่วน สมาธิที่เกิดตามวิธีของการบำเพ็ญเป็นเทคนิคโดยเฉพาะ นั้น มักจะเป็นสมาธิที่มากเกินไป หมายความว่าเหลือใช้ และยังเป็นเหตุให้คนหลงติดชะงัก พอใจแต่เพียงแค่สมาธินั้นก็ได้ เพราะว่าในขณะที่จิตเป็นสมาธิเต็มที่นั้น ย่อมเป็นความสุขชนิดหนึ่ง เป็นความสบายชนิดหนึ่ง ซึ่งให้เกิดความพอใจ จนถึงกับหลงติด หรือหลงเหมาเป็นมรรคผลไปเสียเลยก็ได้. โดยเหตุนี้สมาธิที่เป็นไปตามธรรมชาติ ที่เหมาะสมกับการพิจารณานั้น จึงไม่เสียหลาย ไม่เสียเปรียบอะไรกันกับสมาธิตามแบบวิธีเทคนิคนัก ถ้ารู้จักประคับประคองทำให้เกิดให้มี และให้เป็นไปด้วยดี. สมาธิตามธรรมชาตินั้น ย่อมรวมอยู่ในความพยายามเพื่อจะเข้าใจแจ่มแจ้ง และต้องมีอยู่ในขณะที่มีความเห็นอันแจ่มแจ้ง ติดแนบแน่นอยู่ในตัวอย่างไม่แยกจากกันได้ และเป็นไปได้เองตามธรรมชาติ ในทำนองเดียวกันกับตัวอย่างที่ว่า พอเราตั้งใจคิดเลขลงไปเท่านั้น จิตมันก็เป็นสมาธิเอง หรือว่าพอเราจะยิงปืนไปเป็นต้น จิตก็เป็นสมาธิที่จะบังคับให้แน่วแน่ขึ้นมาเองในเวลาเล็ง และเป็นไปตามธรรมชาติในตัวเอง ฉันใดก็ฉันนั้น. แม้ในกรณีที่ท่านทั้งหลายนั่งฟังอาตมาบรรยายอยู่ที่นี้ ถ้าท่านเข้าใจคำบรรยาย หรือถึงกับพิจารณาตามไปอย่างแน่วแน่ตามคำบรรยายนั้น ก็ย่อมแสดงว่ามีสมาธิพร้อมอยู่ในนั้น. นี้แหละเป็นลักษณะของสมาธิที่เป็นไปเองตามธรรมชาติ ซึ่งตามปรกติถูกมองข้ามไปเสีย ทีนี้ เราก็มาถึงความลับของธรรมชาติที่เกี่ยวกับเรื่องนี้. ในลำดับแห่งความรู้สึกต่าง ๆ ภายในใจ จนกระทั่งเกิดการเห็นแจ่มแจ้งตามที่เป็นจริง ต่อโลกหรือต่อขันธ์ห้านั้น ขอให้ดูคำลำดับแรกที่อาตมาเขียนในกระดานดำ, ได้แก่คำว่า ปราโมทย์ และ ปีติ. คำว่า ปราโมทย์ หรือ ปีติ นี้ มีความหมายอย่างเดียวกันกับในภาษาไทยเรา คือหมายถึงความชุ่มชื่นใจ หรือความอิ่มใจ. สิ่งนี้ต้องการเป็นข้อแรก. ในพระบาลีมากแห่งด้วยกัน ที่ค้นพบก็พบอย่างนี้. ปีติปราโมทย์ในที่นี้ หมายถึงปีติปราโมทย์ในทางธรรม, หรือที่ประกอบอยู่ด้วยธรรม. ปีติปราโมทย์นั้น มีอำนาจอยู่ในตัวมันเองอย่างหนึ่ง ซึ่งจะให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ปัสสัทธิ. [คือที่เขียนในกระดานดำ ถัดลงไปจากปีติปราโมทย์] คำว่า ปัสสัทธิ นี้ แปลว่า ความรำงับ. ตามปรกติจิตของคนเราไม่ค่อยจะรำงับ เพราะว่าจิตตกเป็นทาสของความคิดความนึก ของอารมณ์ ของเวทนา ของอะไรต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา, เป็นความฟุ้งอยู่ภายใน ไม่เป็นความรำงับ. หากแต่ถ้าว่าเกิดความปีติปราโมทย์ตามทางธรรม มาครอบงำ มีอำนาจแรงกล้าพอสมควรแล้ว ความสงบรำงับนั้นจะต้องมี คือมีปัสสัทธิขึ้น. ปัสสัทธินี้จะมีมากน้อยตามอำนาจของปีติปราโมทย์ ที่มีมากหรือน้อย เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมมากเพียงไร, ประกอบด้วยปัญญา หรือไม่ประกอบด้วยปัญญามากเพียงไรด้วย. เมื่อจิตรำงับลงในลักษณะที่เรียกว่าปัสสัทธิแล้ว จะมีลักษณะอันแท้จริงของสมาธิ คือ ลักษณะแห่ง กมฺมนียภาพ หรือภาวะที่เหมาะสมแก่การที่จะประกอบการงานในทางจิต. สมาธิที่แท้จริงในการปฏิบัติธรรมเพื่อตัดกิเลส จึงไม่ใช่ไปทำจิตให้เงียบเป็นก้อนหิน เงียบอย่างหลบหูหลับ ตัวแข็งทื่อ อะไรทำนองนั้นก็หาไม่, ที่แท้จะยังมีลักษณะต่าง ๆ ปรกติอยู่ แต่ว่ามีจิตสงบเป็นพิเศษเหมาะสมที่จะรู้ กำลังมีความผ่องใสที่สุด เยือกเย็นที่สุด สงบรำงับที่สุด เรียกว่า กมฺมนิโย คือพร้อมที่จะรู้. นี่คือลักษณะแห่งสมาธิที่เราต้องการ ไม่ใช่อยู่ในฌานสมาบัติแข็งทื่อเหมือนตุ๊กตาหิน หรืออะไรทำนองนั้น. การอยู่ในฌานทำนองนั้น จะพิจารณาอะไรไม่ได้เลย. จิตที่ติดในความสุขอันเกิดจากฌาน ก็พิจารณาธรรมไม่ได้, มีแต่จะตกลงสู่ฌานเสียตลอดไป ไม่สามารถยกขึ้นมาใช้ในการพิจารณา จัดว่าเป็นอุปสรรคของการพิจารณาโดยตรงทีเดียว. จิตที่เป็นสมาธิ หรือมีคุณสมบัติเป็น กมฺมนิโย ครบถ้วน พร้อมที่จะรู้แจ้งจนเกิดสิ่งที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ คือ ความรู้ความเห็นตามที่เป็นจริงต่อโลกทั้งหมด หรือต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เราต้องการรู้ ที่เราสะสมไว้ในคลังแห่งความสงสัยของเรา โดยอาการตามธรรมชาติ ทำนองเดียวกันกับที่มีผู้รู้แจ้งตรงที่นั่งฟัง ตรงพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสดงธรรม, หรือนำไปคิดพิจารณาในที่เหมาะสม จนรู้. ในบางกรณีอาจจะเกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ ขั้นต้น ๆ ก็ได้ แล้วแต่กำลังของสมาธิอีกเหมือนกัน. ยิ่งกว่านั้น ในกรณีพิเศษบางกรณี อาจจะไม่เกิดเป็น ยถาภูตญาณทัสสนะ คือไม่ตรงตามที่เป็นจริงก็ได้ เพราะว่าตนได้ศึกษามาก่อนอย่างผิด ๆ หรือว่าได้แวดล้อมอยู่ด้วยทิฏฐิที่ผิด ๆ มากเกินไป. แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้ความแจ่มแจ้งที่เกิดขึ้นนั้น จะต้องพิเศษกว่าธรรมดา เช่นว่าใสแจ๋ว ลึกซึ้ง มีเหตุผล มีอะไร ๆ ยิ่งกว่าธรรมดา หรือมีกำลังแรงเท่า ๆ กับที่เป็น ยถาภูตญาณทัสสนะเสมอ. ทีนี้ ถ้าหากว่าความรู้นั้นเป็นไปถูกต้องตามความจริง คือเป็นไปตามทางธรรม ก็เดินไปข้างหน้าจนกระทั่งเป็น ยถาภูตญาณทัสสนะ คือความรู้ความเห็นในสังขารทั้งปวง ถูกต้องตามที่เป็นจริง ถ้าเกิดขึ้นเพียงน้อย ๆ ก็ทำให้เป็นพระอริยบุคคลชั้นต้น ๆ ได้. หรือถ้าน้อยลงไปอีก ก็เป็นเพียงกัลยาณปุถุชน คือ คนธรรมดาที่เป็นชั้นดีได้. ถ้าหากว่ามีสิ่งแวดล้อมเหมาะสม และบารมีต่าง ๆ ได้เคยสร้างสมมาเต็มที่ ก็เป็นพระอรหันต์เลยก็ได้. ทั้งนี้ แล้วแต่เหตุการณ์. แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในขณะที่จิตเป็นสมาธิตามธรรมชาตินี้ สิ่งที่เรียกว่า “ญาณทัสสนะ” จะต้องเกิดขึ้น และจะต้องตรงตามที่เป็นจริง ไม่มากก็น้อย เพราะเหตุว่าพุทธบริษัทเรา ย่อมเคยได้ยินได้ฟัง ได้เคยคิด เคยนึก เคยศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้เคยมองดูโลก ดูขันธ์ ดูสังขารทั้งหลาย ด้วยความอยากจะเข้าใจตามที่เป็นจริงมาแล้วเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้น ความรู้ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตเป็นสมาธินั้น จึงไม่มีทางเสียหายเลย ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์โดยส่วนเดียว. คำว่า เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ ในที่นี้ หมายถึงการรู้การเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างที่ได้บรรยายแล้วแต่คราวก่อน ๆ ซึ่งอาตมาได้สรุปใจความไว้แล้วสั้น ๆ ว่า ถ้าเป็นตามที่เป็นจริง ก็คือเห็นว่า “ไม่มีอะไรที่น่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าเป็น” ดังกล่าวแล้ว; เพราะฉะนั้น เราจะต้องเข้าใจคำสรุปที่สั้นที่สุดของพุทธศาสนา หรือของไตรลักษณ์ ๓ ประการนั้น ให้ชัดเจน. ข้อที่ว่า ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น นี่ก็มาจากหลักที่ว่า ไม่มีอะไรที่น่ายึดถือ นั่นเอง. ถ้าน่ายึดถือ ก็หมายความว่า น่าเอา น่าเป็น. ตัวอย่างในเรื่องเอา ก็คือการปักใจในทรัพย์สมบัติ เงินทอง สัตว์ สิ่งของ อันเป็นที่พอใจต่าง ๆ . การเป็น ก็คือการถือว่าตนเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นผู้ชายเป็นผู้หญิง เป็นสามีภรรยา เป็นพ่อแม่ เป็นลูกหลาน เป็นคนมั่งมีคนเข็ญใจ เป็นคนแพ้คนชนะ เป็นคนปกครองเขาหรือถูกเขาปกครอง เป็นคนทำคนอื่น เป็นคนถูกคนอื่นทำ เป็นคนดีคนชั่ว กระทั่งเป็นมนุษย์หรือสัตว์ เป็นเทวดาหรือเป็นพรหม เป็นอะไรทุก ๆ อย่าง นี่เรียกว่า ความเป็น. กระทั่งความเป็นตัวเองหรือความเป็นตัวเราก็ตาม. ใจความสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน ก็ต้องมีความทุกข์ตามแบบของความเป็นชนิดนั้น เพราะว่าความเป็นอะไร ๆ นี้ มันต้องทนเป็น ทนอยู่ ทนดำรงอยู่, ต้องมีการต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นหรือเป็นอยู่, อย่างน้อยที่สุด ก็คือต้องต่อสู้ในทางใจ ในการที่จะยึดถือเอาความเป็นอะไร ๆ ของตนไว้ให้ได้. นี่ ก็เรียกว่าเป็นความต่อสู้เหมือนกัน. เมื่อมีตน หรือมีตัวตนของตนแล้ว ก็จะต้องมีอะไร ๆ ของตนภายนอกตนออกไปอีก คือมีตนอื่นซึ่งเป็นของตนนี้ ฉะนั้นจึงมีลูกของตน เมียของตน อะไร ๆ ของตนอีกหลาย ๆ อย่าง จนกระทั่งมีหน้าที่แห่งความเป็นผัว เป็นเมีย ความเป็นนาย เป็นบ่าว ความเป็นอย่างนั้น-อย่างนี้ของตนขึ้นมา ทั้งหมดนี้เป็นการชี้ให้เห็นความจริงในข้อที่ว่า ความเป็น ทุกชนิด ต้องมีการต่อสู้เพื่อดำรงเอาความเป็นนั้น ๆ ไว้เสมอไป. ไม่มีความเป็นชนิดไหน ที่ไม่ต้องอาศัยการดิ้นรนต่อสู้เพื่อดำรงความเป็นนั้นไว้, การดิ้นรนต่อสู้นั้น ก็คือผลหรือปฏิกิริยาของอุปาทาน ซึ่งทำการยึดถือสิ่งต่าง ๆ หรือยึดถือความเป็นต่าง ๆ นั่นเอง อาจจะมีผู้สงสัยต่อไปว่า ถ้าไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็นแล้ว ก็จะไม่มีการประกอบการงานอะไร หรือไม่สามารถจะรักษาทรัพย์สมบัติสิ่งของต่าง ๆ ตามที่ตนมีอยู่ได้มิใช่หรือ ? ข้อนี้จะเป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลาที่ยังไม่มีความเข้าใจเพียงพอ. ถ้ามีความเข้าใจเพียงพอแล้ว ก็จะรู้ว่าเราควรมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเสียก่อน แล้วจึงทำสิ่งต่าง ๆ , ดีกว่าที่จะต้องทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความมักมากทะเยอทะยาน โง่เขลางมงาย หลงใหลในสิ่งที่จะทำ; มีใจความสั้น ๆ ว่า ให้เราเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ด้วยสติปัญญา อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกิเลสหรือตัณหา; เรื่องมีอยู่เท่านี้เอง. ความไม่น่าเอา ไม่น่าเป็นนี้ ชาวโลกธรรมดาฟังดูชวนให้น่าเบื่อหน่าย หรือเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่าย. แต่ถ้าใครได้เข้าถึงตามความหมายที่แท้จริงของมันแล้ว กลับเป็นที่ตั้งแห่งความกล้าหาญ ร่าเริง หรือความมีจิตเป็นนายเป็นอิสระต่อสิ่งทั้งปวง ทำให้เราสามารถเข้าไปหาสิ่งใด ๆ ด้วยความรู้สึกที่ไม่ตกเป็นทาสของมัน คือไม่เข้าไปด้วยอำนาจอยากของกิเลสตัณหาหน้ามืดจนกลายเป็นทาสของมัน. คนเรากำลังเอาอะไรอยู่ก็ตาม กำลังเป็นอะไรอยู่ก็ตาม ขอให้รู้สึกตัวอยู่เสมอว่า เรากำลังเอาหรือเป็นในสิ่งที่แท้แล้ว เอาไม่ได้ เป็นไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรที่เอาได้จริง เป็นได้จริงตามต้องการของเรา. มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ตลอดเวลาดังได้กล่าวแล้ว เราทุกคน จะต้องเป็นผู้รุ่งเรืองอยู่ด้วยความสว่างไสวแจ่มแจ้งของแสงสว่าง คือ ปัญญา. นี้เป็นใจความสำคัญของพระพุทธศาสนาที่ได้กล่าวอยู่บ่อย ๆ ว่า คนเราบริสุทธิ์ด้วยปัญญา ไม่ใช่บริสุทธิ์ด้วยอย่างอื่น. ทางรอดของเราอยู่ตรงที่ปัญญา เห็นแจ่มแจ้งในสิ่งทั้งปวงว่าไม่มีอะไรที่น่ายึดถือ คือ น่าเอา น่าเป็น ด้วยการมอบกายถวายชีวิตเลย. อะไร ๆ ที่มีอยู่แล้ว ที่เป็นอยู่แล้ว ก็ขอให้เป็นเพียงสมมติ ดังที่ได้อธิบายแล้วแต่วันก่อนว่า สมมติคืออะไร บัญญัติคืออะไร. การสมมติว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่กัน ก็เพื่อจะให้รู้จักชื่อรู้จักเสียงกัน รู้จักแบ่งหน้าที่การงานกัน เพื่อความสะดวกในทางสังคม. เราอย่าไปหลงยึดถือตัวเรา ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ไปตามที่เขาสมมติเลย มันก็จะมีลักษณะเหมือนกับการถูกมอม ดังสัตว์เล็ก ๆ เช่นจิ้งหรีดเป็นต้น เมื่อถูกมอมถูกทำให้มึนให้งงแล้ว มันก็ยังกัดกันเองได้จนตาย. คนเรานี่แหละถ้าถูกมอมถูกล่อลวงต่าง ๆ ก็จะมึนเมาทำสิ่งที่ตามปรกติมนุษย์เราทำไม่ได้ เช่นฆ่ากันตายเป็นต้นได้เช่นเดียวกัน. ฉะนั้นเราอย่าไปหลงสมมติ แต่พึงรู้สึกตัวว่านั่นเป็นเรื่องของการสมมติ ซึ่งเป็นของต้องมีในสังคม. เราจะต้องรู้สึกโดยแท้จริงว่ากายกับใจนี้คืออะไร, ธรรมชาติที่แท้จริงของมันเป็นอย่างไร, โดยเฉพาะก็คือเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง. ส่วนเราจะต้องดำรงตนอยู่ในลักษณะที่เป็นอิสระอยู่เสมอ. เมื่อมี ยถาภูตญาณทัสสนะ เห็นจริงว่า ไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็น อย่างนี้แล้ว สิ่งที่เรียกว่า นิพพิทา คือความเบื่อหน่ายนั้น ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นติดตามมา ตามส่วนสัดของการเห็น. คำว่า นิพพิทา นี้ แปลว่า ความเบื่อหน่าย. นี้ตรงกันข้ามจากคำว่า อัสสาทะ ซึ่งแปลว่า ความเอร็ดอร่อยที่อาจหาได้ในสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกียวิสัย. ส่วน นิพพิทา แปลว่า ความเบื่อหน่ายในสิ่งที่ตนเคยเอร็ดอร่อยมาแล้วนั้น. เมื่อก่อนตนมีการเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงด้วยกิเลส และบริโภคสิ่งเหล่านั้นด้วยอำนาจของกิเลส จึงมีสิ่งที่เรียกว่า อัสสาทะ อยู่เต็มที่. ครั้นมี ยถาภูตญาณทัสสนะ เกิดขึ้น เห็นว่าตัวผู้บริโภคนั้นก็ว่างเปล่าจากตัวตน สิ่งที่ถูกบริโภค ก็ว่างเปล่าจากตัวตน เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไร้ความหมายแห่งตัวตนด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย แต่ละฝ่ายล้วนแต่ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น ดังนี้แล้ว สิ่งที่เรียกว่า นิพพิทา คือ ความหน่ายก็เกิดขึ้น. นี่หมายความว่ามีการคลอนแคลนสั่นสะเทือนเกิดขึ้นแล้ว ในการหลงเข้าไปยึดถือ หรือเปรียบเหมือนเมื่อเราต้องตกเป็นทาสเขามานาน จนมีความรู้สึกตัวเกิดขึ้น ก็มีความเคลื่อนไหวไปในทางที่จะเปลื้องตนออกจากความเป็นทาส; นี้ เป็นลักษณะของนิพพิทา คือเกลียดความเป็นทาสขึ้นมาแล้ว. สิ่งที่เรียกว่า นิพพิทา จึงได้แก่ความเกลียด หรือความหน่าย ต่อความที่ตนโง่หลงเข้าไปยึดถือเอาสิ่งต่าง ๆ ด้วยความเข้าใจว่าน่าเอา น่าเป็น. ครั้นมีสิ่งที่เรียกว่านิพพิทาความเบื่อหน่ายแล้ว โดยอัตโนมัติตามธรรมชาตินั้นเอง ย่อมจะมีสิ่งที่เรียกว่า วิราคะ. วิราคะ แปลว่า ความจางออกหรือคลายออก เหมือนกับเชือกที่ผูกมัดไว้แน่น ถูกแก้ออก หรือเหมือนสีย้อมผ้าติดแน่น แล้วแช่น้ำยาบางอย่างให้มันละลายออก หลุดออก, ความยึดถือที่คลายออก หรือจางออกจากโลก หรือจากสิ่งทั้งปวงที่เคยยึดถือนี้ ท่านเรียกว่า วิราคะ. ระยะนี้ถือว่าเป็นระยะที่สำคัญที่สุด; แม้จะไม่ใช่ระยะที่ถึงที่สุด ก็เป็นระยะที่สำคัญที่สุดของการหลุดพ้น เพราะว่า เมื่อมีการคลายออกจางออกดังนี้แล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย สิ่งที่เรียกว่าความหลุดพ้นออกได้ หรือวิมุตตินั้น จะต้องมีโดยแน่นอน. เมื่อมีความหลุด หรือหลุดออกมาได้จากความเป็นทาส ไม่ตกเป็นทาสของโลกอีกต่อไป ก็จะมีอาการที่เรียกว่า วิสุทธิ คือความบริสุทธิ์. บริสุทธิ์ในที่นี้ หมายความว่าไม่เศร้าหมอง. ก่อนนี้เศร้าหมองโดยทุกวิถีทาง เพราะการเข้าไปจมเป็นทาสของโลกอยู่ จะเป็นการเศร้าหมองที่กาย ที่วาจา ที่ใจ หรือจะมองดูกันในแง่ไหน ๆ ก็เป็นเรื่องเศร้าหมอง. ต่อเมื่อหลุดพ้นออกมาจากความเป็นทาสในรสอร่อยของโลกแล้ว จึงจะอยู่ในลักษณะที่บริสุทธิ์คือไม่เศร้าหมอง. เมื่อมีความบริสุทธิ์แท้จริงอย่างนี้แล้ว ก็มีสิ่งที่เรียกว่า สันติ คือความสงบอันแท้จริงสืบไป. เป็นความสงบเย็นจากความวุ่นวาย จากความรบกวน หรือการต่อสู้ดิ้นรน ทนทรมานต่าง ๆ เมื่อปราศจากอาการเบียดเบียนวุ่นวายเหล่านี้แล้ว ท่านสรุปเรียกความเป็นอย่างนี้ว่า สันติ คือความสงบรำงับดับเย็นของสังขารทั้งปวง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นขั้นสุดหรือขั้นเดียวกับนิพพานได้. แท้จริง สันติ กับ นิพพาน นั้น เกือบจะไม่ต้องแยกกัน ที่แยกกันก็เพื่อจะให้เห็นว่า เมื่อสงบแล้ว ก็นิพพาน. เพราะฉะนั้น เราจึงควรจะมองเห็นคุณค่าอันยิ่งใหญ่ ของการเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริง ที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ. ควรพยายามทำให้เกิดมีขึ้นทางใดทางหนึ่งใน ๒ ทาง เท่าที่เราจะพึงทำได้; คือทางที่จะเป็นไปเองตามธรรมชาติโดยการประคับประคองให้ดี ในการทำจิตให้มีปีติปราโมทย์ เป็นการเป็นอยู่ชอบ เป็นอยู่บริสุทธิ์ ทุกลมหายใจเข้าออก ทั้งกลางวันกลางคืนอยู่เสมอ จนกระทั่งเกิดคุณธรรมต่าง ๆ ตามลำดับที่กล่าวมาแล้วนี้ ได้ตามธรรมชาติ, นี้วิธีหนึ่ง. แต่อีกวิธีหนึ่งนั้น เป็นการเร่งรัดเอาด้วยกำลังบังคับ คือไปศึกษาและปฏิบัติตามวิธีเทคนิคโดยเฉพาะ ในการทำสมาธิ หรือการเจริญวิปัสสนา. เมื่อมีอุปนิสัยและอินทรีย์ต่าง ๆ เหมาะสมในตน ก็สามารถทำให้ก้าวหน้าไปได้โดยเร็ว ในเมื่อถูกวิธี และถูกสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ . แต่อย่างไรก็ดี โอกาสที่เปิดไว้สำหรับทุกคน มีอยู่ตรงที่ว่า อย่างน้อยก็อาจทำตามวิธีธรรมชาติ ที่ได้กล่าวแล้วโดยละเอียดในวันนี้ จงอย่าละเว้น จงอย่าได้คิดว่าต่อแก่ ๆ เฒ่า ๆ จึงค่อยเข้าวัดไปทำ หรือต้องลาราชการไปบวชสามเดือนสี่เดือนเสียก่อน จึงค่อยทำ, เราจะต้องพยายามทำทุกโอกาสทุกลมหายใจเข้าออก. ระมัดระวังให้การเป็นอยู่ประจำวันของเราบริสุทธิ์ผุดผ่อง เกิดปีติปราโมทย์ เกิดปัสสัทธิ สมาธิ ยถาภูตญาณทัสสนะ นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพานอย่างชิมลอง น้อย ๆ เรื่อยไปตามธรรมชาติ ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ก็จะใกล้ชิดพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงได้ ตั้งแต่บัดนี้ไป. ขอบพระคุณเจ้าของภาพจาก internet-ขอประทานโทษที่ไม่ได้ขออนุญาตใช้ภาพค่ะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ สิงหาคม 2, 2014 ๑ ปี แห่งความหลัง ณ ไกลกังวล วันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราช เพื่อเสด็จฯ กลับไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ภายหลังจากการเข้ารักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นเวลา ๓ ปี ๑๐ เดือน โดยวันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฉลองพระองค์ผ้าไหมสีโอลด์ โรส และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถฉลองพระองค์ผ้าไหมสีฟ้า โดยทั้งสองพระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ และแย้มพระสรวลให้กับพสกนิกรที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ ขณะที่พสกนิกรที่มาเฝ้ารอรับเสด็จตั้งแต่คืนวาน และในวันนี้เป็นจำนวนมากต่างปลื้มปีติเปล่งเสียงทรงพระเจริญกึกก้องไปทั่ว พร้อมทั้งโบกธงชาติ และธงตราสัญลักษณ์พระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และพระนามาภิไธยย่อ สก. ต่อมา เวลา ๑๘.๕๐ น. ขบวนเสด็จพระราชดำเนินเดินทางถึงพระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน โดยมีพสกนิกรเฝ้ารับเสด็จสองข้างทางเนืองแน่น ปลื้มปีติชมพระบารมีเปล่งเสียงทรงพระเจริญกึกก้อง ชมรมคนรักประวัติศาสไทย อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น