ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

10570538_1469172163331066_7685218032865216142_n.jpg

10530882_1469172229997726_6389486172129812459_n.jpg?oh=93dc4193dad719c503c0afabc9ae595d&oe=543CA258&__gda__=1414350177_2861e258e45e942d287fd0d15358d390

10525676_1469172583331024_8348858305865177978_n.jpg

1/8/57เมื่อเวลา08.20น. รับแจ้งจากอาสามูลนิธิร่วมกตัญญูจุดฉก.ใต้30 มีน้อง หมาโดนยิงอยู่แยกเดโช ถนนสีลม จึงได้ร้องขอรถเพื่อนำส่งรพ.สัตย์ เนื่อจากน้องหมามีเลือดออกจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีจราจรติขัดจึงได้ มีพลเมืองดี ที่จะรีบนำน้องหมานำส่งรพ.สัตย์เนื่องจากคอยรถอาสาไม่ไหวจึงได้ถอดแหวนทองขายเพื่อนำเงินไปรักษาน้องหมาครับ พี่เขาขี่วินมอไซสีลมซอย11เสื้อเบอร์3

ข้อมูล/ภาพ ฉก.ใต้30

เรียบเรียง ไก่&แอม (กู้ชีพ)

กู้ภัยไทยแลนด์407#408

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10525808_735380866558866_4441745293440943795_n.jpg

 

10553568_735380973225522_230776820473797157_n.jpg

 

10530745_735381239892162_8942162738240778237_n.jpg

 

1393792_735381346558818_4289816926649954516_n.jpg?oh=14f3e2da96ed97ed8e003b65fbe5c0ed&oe=5451064F&__gda__=1414856198_738c9e5dd533fedd6b03bc7eccdd26c5

^ ^

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

budback.jpg

การบวชอยู่ที่บ้าน

 

บางคนจะสงสัยว่า บวชทำไมอยู่ที่บ้าน? มันก็พอจะตอบได้ว่า เราทำอย่างเดียวกัน ในวัตถุประสงค์ที่มุ่งหมายของคำว่า บวช แปลตามตัวหนังสือ ก็ว่า เว้นหมดจากที่ควรเว้น ก็คือ เว้นจากการปฏิบัติหรือการเป็นอยู่ชนิดที่เป็นทุกข์, สิ่งใดเป็นไปเพื่อความทุกข์ เราจะเว้นเสียโดยเด็ดขาด; ไม่ทำในใจว่า อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัด แต่ว่าโดยแท้จริงก็อยู่ที่บ้าน แต่ไม่ต้องทำในใจว่า อยู่ที่บ้านหรืออยู่ที่วัด, ทำในใจแต่การประพฤติปฏิบัติ ให้ตรงตามความหมายนั้นเท่านั้น คือว่า เว้นหมดจากสิ่งที่ควรเว้น ในทุกๆระดับ.

หรือแม้ว่าเราจะอาศัยคำอีกคำหนึ่ง คือคำว่า พรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติประเสริฐ, ประพฤติอย่างพรหม ก็ไม่ได้จำกัดว่าที่บ้านหรือที่วัด ถ้าประพฤติได้ก็ประพฤติ; อย่างจะถือศีลพรหมจรรย์อยู่ที่บ้าน ศีล 8 ศีล 10 นั้นก็ยังถือได้ คำว่า พรหมจรรย์ นั้นมีความหมายว่า การประพฤติอย่างเต็มที่หรือเคร่งครัด ติดต่อกันเป็นระยะยาว เป็นการปฏิบัติตลอดชีวิต อย่างนี้ก็ยังได้ พูดกันง่ายๆ ว่า ประพฤติพรหมจรรย์ที่บ้าน มันก็ยังทำได้.

ทีนี้เมื่อบุคคล บางคนไม่อาจจะออกไปบวช หรือว่าเป็นสตรี ไม่อาจจะบวชเป็นภิกษุณี ก็เสียใจ หรือน้อยใจ อย่างนี้ก็มี, หรือด้วยเหตุอย่างอื่นออกไปบวชไม่ได้ อย่างนี้ก็มี, ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องน้อยใจ, พยายามประพฤติปฏิบัติในธรรมะ ซึ่งเป็นการปฏิบัติให้ดีที่สุดให้สูงที่สุด ตามที่จะทำได้ ก็จะเป็นการบวชอยู่ที่บ้าน เรียกว่า บวชอยู่ที่บ้าน. ฟังดูให้ดีๆ เพราะบวช นั้นคือการเว้นเสียจากสิ่งที่ควรเว้น, พรหมจรรย์นั้น หมายถึงการประพฤติข้อธรรมอย่างจริงจังเคร่งครัด แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าทำอย่างเคร่งครัดติดต่อกันจนตลอดชีวิต ก็เรียกว่า พรหมจรรย์ได้เหมือนกัน. เดี๋ยวนี้เราจะถือเอาหลักปฏิบัติตามที่มีอยู่อย่างไรในพระพุทธศาสนานั้น เอามาถือไว้เป็นหลักปฏิบัติ ก็จะทำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน กับพวกที่บวชออกไปอยู่ที่วัด หรือไปอยู่ที่ป่า, และในบางกรณี บวชอยู่ที่บ้าน จะทำได้ดีกว่าบางคนหรือบางพวก ที่ไปบวชเหลวไหลอยู่ที่วัด หรือแม้อยู่ในป่า ด้วยเหตุนี้แหละพอที่จะกล่าวได้ว่า เรื่องสถานที่นั้น ก็ไม่ได้สำคัญเด็ดขาด อะไรนัก, มันสำคัญหรือเด็ดขาดอยู่ที่การประพฤติกระทำมากกว่า ซึ่งขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีๆ ว่า การบวชอยู่ที่บ้านนั้น จะบวชกันได้อย่างไร?

หลักปฏิบัติในการบวชอยู่ที่บ้าน

 

การบวชอยู่ที่บ้านนั้น ก็ต้องอาศัยหลักธรรมะที่เป็นเนื้อแท้ หรือเป็นตัวแท้ของพระพุทธศาสนาที่มีอยู่เป็นหลักชัดเจนตายตัว ในที่นี้ จะเลือกเอามาสักหมวดหนึ่ง สำหรับยึดเป็นหลักปฏิบัติ แต่ก็มิได้เลือกเอาหมวด เช่น อริยอัฏฐังคิกมรรค เป็นต้น นั้นมันเป็นหลักทั่วไป ที่วัดก็ได้ ที่ไหนก็ได้, จะเอาชนิดที่สูงขึ้นไป ละเอียดขึ้นไปกว่านั้น คือหมวดธรรมที่มีชื่อว่า อินทรีย์ทั้ง 5, จำไว้ให้ดี.

อินทรีย์ทั้ง๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ๕ อย่างนี้ แต่ละอย่างเรียกว่า อินทรีย์. คำว่า อินทรีย์ แปลว่า สำคัญ ตัวการสำคัญ หลักการสำคัญ, ธรรมะทั้ง ๕ ข้อนี้ จะมีอยู่ในการปฏิบัติทั่วไป, จะทำสมาธิหรือเจริญภาวนาอย่างไร ก็ต้องทำให้มีอินทรีย์ครบทั้ง ๕.

ขอให้ฟังให้ดีว่า จะปฏิบัติธรรมะพวกไหนก็ตาม จะต้องปฏิบัติให้มีอินทรีย์ ในคำเหล่านั้น ครบทั้ง ๕ ที่เรียกว่า ๕, ๕ นี้ ก็คือ สัทธาวิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ดังที่กล่าวแล้ว.

๑. มีสัทธา-เชื่อในธรรม เป็นเครื่องดับทุกข์. ข้อแรก คือ สัทธา แปลว่า ความเชื่อ บวชอยู่ที่บ้านก็มีความเชื่อในธรรมะนั้นๆ ถึงที่สุด. เชื่อในอะไร? ถ้าถามว่า เชื่อในอะไร? ก็คือ เชื่อในธรรมที่เป็นเครื่องดับทุกข์ ที่รู้กันทั่วไป ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อริยอัฏฐังคิกมรรค มีองค์ ๘ นี้ เป็นธรรมที่ดับทุกข์. เราได้ศึกษาแล้ว เห็นแล้ว มีความเชื่อว่าธรรมเหล่านี้ดับทุกข์ได้จริง หรือว่า ธรรมเหล่านี้เป็นที่พึ่งได้จริง, เชื่อลงไปเสียทีหนึ่งก่อน.

แล้วก็เชื่ออีกทีหนึ่ง คือ เชื่อตัวเอง ว่า ตัวเองนี่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น ในเนื้อในตัวของตน มีความถูกต้องเหมาะสมที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น, นี่ก็เป็นอีกเชื่อหนึ่ง รวมกันเป็น ๒ เชื่อ: เชื่อในสิ่งที่จะประพฤติปฏิบัติว่าดับทุกข์ได้, แล้วก็เชื่อว่า ตัวเองมีคุณธรรมที่จะดับทุกข์เหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ.

นี่ มีศรัทธา อย่างนี้ แล้วก็อยู่ที่บ้าน บวชอยู่ที่บ้าน มันก็พอที่จะทำให้เกิดอำนาจ เกิดกำลัง กำลังภายในก็ได้, ใช้คำอย่างนี้กับเขาบ้าง. เกิดอำนาจเกิดกำลังในการที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้น คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นหลักทั่วไป; เช่นว่า รับศีล เอาไป ไปถือที่บ้าน ก็ต้องทำให้เป็นศีลของบุคคลที่มีศรัทธาอย่างแน่นแฟ้น แน่วแน่ โดยเชื่อว่า ศีลนั้นเป็นเครื่องดับทุกข์ได้, แล้วก็เชื่อว่า ตัวเองสามารถรักษาศีลได้ ให้มีความเชื่ออย่างนี้เถิด ก็จะเป็นผู้มีศรัทธา, แล้วก็มีอาการเหมือนกับว่า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์อย่างยิ่ง มีความหนักแน่น จริงจัง เคร่งครัดในการปฏิบัตินั้นๆ.

ทีนี้ก็ปล่อยให้ศรัทธานั้นแหละ ดำเนินไปตามที่ควรจะมีในแต่ละวันๆ อำนาจของศรัทธา ทำให้มีการประพฤติจริง ทำจริง ถึงที่สุดแล้วก็มีกำลังใจที่เกิดมาแต่ศรัทธานั้นมากมาย ประพฤติปฏิบัติได้เต็มที่.

เดี๋ยวนี้ คนมีศรัทธากันแต่ปาก มีศรัทธากันแต่ผิวๆ ว่ามีศรัทธา มีศรัทธา แต่หาได้มีศรัทธาตัวจริงแท้ แท้จริงตามที่กล่าวมานี้ไม่, คือไม่ได้เชื่อแม้ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยแท้จริง, แล้วก็ไม่ได้เชื่อว่า ตัวเองจะสามารถประพฤติปฏิบัติได้ ตามคำสอนเหล่านั้น. มาจัดการกันเสียใหม่ มาชำระสะสางกันเสียใหม่: อยู่ที่บ้าน แต่ให้มีศรัทธาเต็มเปี่ยมทั้ง ๒ ประการ คือมีศรัทธาในธรรมะ ที่จะประพฤติว่าดับทุกข์ได้จริง แล้วมีศรัทธาในตัวเอง, ตัวเองนั่นแหละ ว่าสามารถที่จะปฏิบัติธรรมะเหล่านั้นได้, รวมกำลังกันเป็น ๒ ฝ่ายอย่างนี้แล้ว ก็เป็นศรัทธาที่สมบูรณ์อยู่ที่บ้าน ก็มีลักษณะอาการเหมือนบวชอยู่ที่บ้าน.

๒. มีวิริยะ-มีความเพียรและกล้าหาญ

ทีนี้ ข้อที่ ๒ มีวิริยะ วิริยะแปลว่า ความเพียร หรือ ความกล้าหาญ, บวกกันทั้งความเพียรและความกล้าหาญเข้าด้วยกัน ก็เรียกว่า วิริยะ, ยิ่งมีศรัทธาในธรรมะหรือในตัวเองมาก่อนแล้ว วิริยะก็จะเข้มแข็งถึงที่สุด; อาศัยอำนาจของศรัทธา นั้นเป็นพื้นฐาน กระทำอย่างกล้าหาญ อย่างพากเพียร ในสิ่งที่ควรจะทำ ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับโลก หรือ เกี่ยวกับเหนือโลก.

เรื่องที่เราจะต้องทำ ถ้ากล่าวกันแต่ใจความสรุปสั้นๆ แล้วก็จะมีอยู่ ๔ ประการ ด้วยกัน คือ มีความพากเพียรกล้าหาญในการที่จะป้องกัน, พากเพียรกล้าหาญ ในการที่จะสละ, พากเพียรกล้าหาญในการที่จะสร้างสรรค์, และพากเพียรกล้าหาญในการที่จะรักษา. คำ ๔ คำนี้มีความหมายคลุมหมดในหน้าที่ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ป้องกัน สละ สร้าง และรักษา.

(๑) ป้องกัน คือ ป้องกันไม่ให้ สิ่งที่ไม่ควรจะเกิดจะมีนั้น เกิดมีขึ้นมา; เช่นศัตรูอย่างนี้ เราต้องใช้การป้องกันไม่ให้เกิด ไม่ให้มีขึ้นมา. กิเลสเป็นศัตรูร้ายกาจกว่าอะไรหมด ก็มีการป้องกัน อยู่อย่างถูกต้อง, ราวกับว่าป้องกันข้าศึกอันใหญ่หลวง ไม่ให้เกิดขึ้นได้.

แล้วก็อันที่ (๒) สละที่เกิดขึ้นแล้ว; ถ้าสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานั้นได้เกิดขึ้นเสียแล้ว ก็ต้องพากเพียร เข้มแข็ง กล้าหาญ ในการที่จะสละมันออกไปเสีย.

ทีนี้ก็มาถึงส่วนที่ (๓) ต้องสร้างสรรค์ ได้แก่สิ่งที่ยังไม่มี ความดี ความงาม กุศล สุจริต ทุกอย่างทุกประการที่ควรจะมีในตนที่มันยังไม่เคยมี ก็ต้องสร้างให้มีขึ้นมา, ด้วยอาศัยความเชื่อในสิ่งนั้นๆ และเชื่อตัวเอง ว่าจะปฏิบัติได้ ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อศรัทธา ก็สามารถจะสร้างสิ่งที่ยังไม่มีในตน, ความดีหรือกุศลที่ยังไม่มีในตน ให้เกิดมีขึ้นมาในตนให้จนได้, นี้เรียกว่า ในทางสร้างสรรค์.

ทีนี้ (๔) ข้อสุดท้าย ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาได้เท่าไร เพียงไร ต้องมีการรักษา, มีการรักษา หรือจะถึงกับพัฒนาให้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นหน้าที่สุดท้าย คือรักษา. เหมือนกับว่าหาเงินมาได้ มันก็ต้องรักษาให้อยู่ในสภาพที่ถูกต้อง, ให้ใช้จ่ายในลักษณะที่ถูกต้อง, ให้มีอยู่อย่างถูกต้อง.

เราอยู่ที่เรือน บวชอยู่ที่เรือน แต่มีวิริยะ: ความพากเพียร หรือกล้าหาญถึงที่สุด ในการที่จะป้องกันไม่ให้ความชั่วร้ายอกุศลบาปใดเกิดขึ้นในตน, ป้องกันได้เต็มที่. แล้วถ้ามีบาป มีอกุศลที่ได้เกิดขึ้นโดยพลั้งเผลอ ก็ละไปเสีย อย่างเต็มที่, แล้วก็สร้างที่มันยังไม่เกิด บุญกุศลความดีที่ยังไม่เกิด ก็สร้างให้เกิด, ทำให้เกิดขึ้นมา. ครั้นเกิดขึ้นได้แล้ว ก็รักษาให้เจริญรุ่งเรือง ยิ่งๆ ขึ้นไป, นี้เรียกว่า มีวิริยะอยู่ที่บ้านที่เรือน.

โดยมากไม่สนใจที่จะทำให้จริง คือปล่อยไปตามบุญตามกรรม: แต่เดี๋ยวนี้เราต้องการจะเป็นผู้บวช จะเป็นนักบวชอยู่ที่บ้าน ก็จะต้องตั้งใจเป็นพิเศษ ในฐานะที่ว่าเป็นนักบวช; แม้ว่าจะอยู่ที่บ้าน มีความระมัดระวัง ให้เกิดความถูกต้องในการที่จะป้องกัน หรือ สละ หรือ สร้าง หรือ รักษา ดังที่กล่าวมาแล้ว.

๓. มีสติ- ต้องใช้ในทุกกรณี

ทีนี้ ข้อถัดไป ก็คือ มีสติ, มีสติ สิ่งที่เรียกว่า สติ นี้เป็นธรรมะพิเศษ, เป็นธรรมะจำเป็นสำคัญที่จะต้องใช้ในทุกกรณี; ช่วยจำข้อความนี้ไว้ให้ดีๆ ว่าธรรมะที่จะ ต้องใช้ทุกกรณี ไม่ว่าที่ไหน อย่างไร ได้แก่ สติ. ทุกเรื่องมันต้องทำไป หรือเป็นไป ในความควบคุมของสติ; ถ้าไม่มีสติ มันก็ทำอะไรไม่ได้, แม้แต่จะลุกขึ้นยืนจะเดินไปมันก็ทำไม่ได้, มันก็หกล้มหกลุกซวนเซไป, แม้แต่จะรับประทานอาหาร ถ้ามันไม่มีสติ เดี๋ยวมันก็ป้อนอาหารเข้าจมูกไป, หรือว่าถ้าไม่มีสติ มันก็จะกินอาหารอย่างตะกละ อย่างที่เป็นกิเลส ไปคิดดูเองก็แล้วกันว่า เรื่องอะไร ทุกเรื่องที่อยู่ที่บ้านที่เรือน นับตั้งแต่ว่าจะทำงานชั้นหยาบ ตักน้ำ ผ่าฟืน ล้างหม้อล้างไห ก็ต้องทำไปด้วยความรู้สึกที่เรียกว่า สติ ถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว ก็จะต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมีหลักในชั้นสูงว่า มีสติในทุกผัสสะ, มีสติในทุกผัสสะ.

สิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ นี้ เข้าใจว่าคงจะเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว เพราะพูดกันมามากมายหลายสิบครั้งเต็มทีแล้ว พูดสรุปอีกทีหนึ่งก็ว่า เรา คนเรานี่ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างที่จะกระทบกันเข้ากับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ที่อยู่ข้างนอก ที่เป็นคู่กระทบ; เรียกว่า มันมีคู่ติดต่อ หรือ คู่กระทบ: ตาเป็นคู่กับรูป หูเป็นคู่กับเสียง จมูกเป็นคู่กับกลิ่น ลิ้นเป็นคู่กับรส ผิวหนังเป็นคู่กับโผฏฐัพพะที่จะมากระทบผิวหนัง; นี้เป็นฝ่ายกาย เป็นฝ่ายรูปธรรม, คู่สุดท้ายเป็น ฝ่ายนามธรรม คือ ใจ ที่จะรู้สึกกระทบต่อความรู้สึกคิดนึกของใจ ที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ ใจนี้เป็นคู่กับธัมมารมณ์ จะต้องพบกันอยู่เสมอ คือ มันคิดนึกรู้สึกได้, จะอาศัยความจำแต่หนหลัง ที่จำอะไรๆ ไว้ได้มาก สิ่งเหล่านั้น ก็จะมากลายเป็นสิ่งสำหรับคิดนึกรู้สึกขึ้นมาแล้วก็กระทบใจ. นี้ก็เรียกว่า มีคู่กระทบ:

 

 

ตา
ก็มีสิ่งสำหรับกระทบ คือ
รูป
,

หู
ก็มีสิ่งสำหรับกระทบ คือ
เสียง

จมูก
ก็มีคู่กระทบ คือ
กลิ่น

ลิ้น
มีคู่กระทบ คือ
รส

ผิวกาย
ก็มีคู่กระทบ คือ
โผฏฐัพพะ

ใจ
ก็มีคู่กระทบ คือ
ธัมมารมณ์

 

เป็นสิ่งที่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือเป็นเนื้อเป็นตัวของตนอยู่แท้ๆ แต่แล้วคนก็ไม่รู้จัก นี่พิจารณาดูกันถึงข้อนี้ก่อนเถอะว่า มันเป็นเนื้อเป็นตัวของตัวอยู่กับตัวแท้ๆ แต่คนก็ไม่รู้สึก ไม่รู้จัก ว่ามันมีอยู่อย่างไร ในฐานะอย่างไร

ถ้าจะศึกษาธรรมะให้เป็นธรรมะกันจริงๆ แล้ว จะต้องรู้จักสิ่งสำคัญ ๖ คู่นี้ ให้แจ่มแจ้งชัดเจนแน่นอน รู้กันให้ทั่วถึงเกี่ยวกับเรื่องทั้ง ๖ นี้; เพราะว่าอะไรๆ มันก็สำเร็จมาจากอายตนะ ๖ คู่นี้, หรือว่า โลก โลกทั้งโลกมันจะมีปรากฏอยู่ได้ก็เพราะว่าเรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ. ถ้าเราไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็คือ ไม่มีอะไร, มันก็คือไม่มีโลก ไม่มีอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง. จงรู้จักสิ่งที่เรามี สำหรับทำให้สิ่งต่างๆ มี และเป็นเรื่องราวขึ้นมา ก็เพราะสิ่งทั้ง ๖ นี้, สิ่งทั้ง ๖ นี้จึงอยู่ในฐานะสำคัญว่า ถ้าจัดการกับมันถูกก็ดีไป ถ้าจัดการกับมันผิด ก็เป็นเรื่องร้ายเหลือที่จะร้าย ไม่มีอะไรจะร้ายยิ่งไปกว่านี้.

จึงขอชักชวนวิงวอนท่านทั้งหลายว่า จงรู้จักสิ่งทั้ง ๖ คู่นี้ให้ดีที่สุด ในฐานะที่มันมีอยู่ในตัวเรา หรือมันเป็นตัวเราอยู่นั่นเอง, แล้วก็มีสติเมื่อสิ่งนี้ทำหน้าที่: มีสติเมื่อตาทำหน้าที่เป็นรูป, มีสติเมื่อหูทำหน้าที่ได้ยินเสียง, มีสติเมื่อจมูกทำหน้าที่ดมกลิ่น, มีสติในเมื่อลิ้นทำหน้าที่รู้รส, มีสติเมื่อผิวหนังทำหน้าที่กระทบสิ่งที่มากระทบผิวหนัง, และมีสติเมื่อใจทำหน้าที่กระทบเข้ากับธัมมารมณ์ คือ ความรู้สึกนึกคิด ให้รู้โดยประจักษ์ว่ามันเป็นอย่างไร แล้วมันมีการกระทำสืบต่อต่อไปอย่างไร ซึ่งก็ควรจะทราบไว้ด้วยเหมือนกัน.

ยกตัวอย่างคู่แรก คือ ตากับรูป พอตากับรูปกระทบกัน มันก็เกิดวิญญาณทางตา คือการเห็นแจ้งทางตาขึ้นมา นี่เรียกว่า วิญญาณทางตา ตากับรูปที่มากระทบ และวิญญาณทางตา มีอยู่พร้อมกัน ๓ อย่างนี้ในหน้าที่เดียวกัน, นั่นแหละเรียกว่า ผัสสะ; ไม่ใช่เพียงแต่ตากระทบรูป นั้นมันพูดหยาบๆ เกินไป พูดตามพระบาลี ที่ชัดเจนแล้ว จะต้องมี ๓ เสมอ คือ มีอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และ วิญญาณ ที่เกิดออกมาจากอายตนะนั้นๆ เหมือนอย่างในทางตาดังที่กล่าวแล้ว พอตาเห็นรูป กระทบกับรูป ก็เกิดการเห็นทางตา คือ จักษุวิญญาณ, เลยได้เป็น ๓ อย่าง คือ ตา อย่างหนึ่ง รูป อย่างหนึ่ง จักษุวิญญาณอย่างหนึ่ง, จักษุวิญญาณทำหน้าที่สัมผัสรูปทางตา นี่เรียกว่า จักษุสัมผัส, จักษุสัมผัส มีการสัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ฯลฯ ก็เหมือนกันแหละ มันมีอยู่ ๓ อย่าง อย่างนี้ ทำหน้าที่รู้สึกอยู่ก็เรียกว่า ผัสสะ.

ทีนี้ ผัสสะมีแล้ว เช่น ผัสสะทางตามีแล้ว มันก็ จะเกิดเวทนา คือ ความรู้สึกที่พอใจ หรือไม่พอใจ หรือ เฉยๆ เป็นเวทนา ๓ อย่างขึ้นมา เรียกว่า เวทนาที่เกิดมาจากการสัมผัสโดยทางตา นี่เวทนาเกิดแล้ว มันไม่หยุดอยู่เพียงนั้น มันให้เกิดอันอื่นต่อไปอีก ถ้าในขณะสัมผัสนั้นเราเป็นคนโง่ คือ ไม่มีสติ หรือ ไม่มีปัญญา ใดๆ ในขณะที่สัมผัสทางตานั้น มันก็ เป็นสัมผัสโง่, มันก็ออกมาเป็น เวทนาโง่ ที่ไม่มีสติควบคุม. มันก็ปรุงความคิดนึกต่อไป คือ มีความยินดี เมื่อสัมผัสนั้นให้พอใจ ยินร้าย โกรธแค้นขัดเคือง เมื่อสัมผัสนั้น ไม่เป็นที่พอใจ หรือ เกิดพะวงหลงใหลอยู่ อยากจะรู้แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร อย่างนี้ เมื่อสัมผัสนั้น มันไม่แสดงว่าเป็นที่พอใจ หรือ ไม่เป็นที่พอใจ เมื่อเวทนานั้น ไม่ชัดลงไปว่า เป็นที่พอใจหรือ ไม่เป็นที่พอใจ.

นี่มัน เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาตรงนี้; ถ้ารับเอาด้วยความพอใจ ก็เกิดโลภะ รับเอาด้วยความไม่พอใจ ก็เกิดโทสะ รับเอาด้วยความไม่แน่ใจว่า พอใจหรือไม่พอใจ ก็เกิดโมหะ ถ้าเกิดโลภะ โทสะ โมหะ แล้ว มันเกิดไฟเสียแล้วนั่นเอง.

ทีนี้มันก็ จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ตัณหา คือ อยากต่อไป ในกรณีที่เกิดโลภะ คือ เวทนาเป็นที่ถูกใจ เกิดโลภะ มันก็เกิดตัณหา สำหรับจะได้ จะเอา จะมีไว้ หรือ จะหามาอีก; หรือถ้าหากว่ามัน เกิดโทสะ คืออารมณ์นั้นไม่น่าพอใจ เกิดโทสะ มันก็เกิดความอยาก คือ ตัณหา อยากจะฆ่าเสีย อยากจะทำลายเสีย หรืออยากจะผลักไสออกไปเป็นอย่างน้อย ตามแบบของโทสะ ถ้าว่ามัน ไม่แน่ว่าอย่างไร มันก็วนเวียนอยู่ที่นั่น เป็นลักษณะของ โมหะ.

นี่มัน เกิดโลภะ โทสะ โมหะ อย่างนี้แล้ว มันก็คือ เกิดไฟ, เกิดไฟขึ้นในจิตใจ ถ้ามีสติเสียแต่ในขณะผัสสะ แล้ว มันไม่เกิดอย่างนี้ มันกลายเป็นเกิดอีกทางหนึ่ง คือ ทางที่ให้รู้ว่า นี่อะไรนะ นี่อะไรนะ ควรทำอย่างไรนะ นี่ควรทำหรือไม่ควรทำ ควรทำอย่างไร ก็ทำไปตามที่ควรจะทำ ไม่มามัวยินดียินร้ายโกรธแค้นขัดเคืองอะไรอยู่ มันก็เลยไม่เกิดไฟ ไม่เกิดทุกข์ นี่เพราะ อำนาจสติ แท้ๆ ที่ป้องกันไว้ไม่ให้เกิดไฟขึ้นมา ในเมื่อมีการกระทบทางผัสสะ

เมื่อมีตัณหา เป็นความอยากแล้ว มันก็ ปรุงแต่ไปเป็น อุปาทาน คือ ผู้อยาก ความรู้สึกอยาก มันก็จะปรุง ให้เกิดความรู้สึกว่า มีผู้อยาก ซึ่งเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนอะไร; พอมีผู้อยากแล้ว มันก็ถึงที่สุดแล้ว ที่มันจะเป็นเรื่องสำหรับจะเป็นทุกข์ทรมาน คือมันมีความรู้สึกหนัก ด้วยความมีตัวตน ความมีตัวตน, และเมื่อมีตัวตนแล้ว มันก็มีอะไรเป็นของตน.

เมื่อเกิดตนขึ้นมาอย่างนี้แล้ว เกิดตนในความรู้สึก ไม่ใช่ตัวจริงอะไร เพียงแต่ในความรู้สึกว่าตัวตน มันเกิดตัวตนอย่างนั้นแล้ว มันก็เอาอะไรๆ มาเป็นของตน ทั้งภายนอกและภายใน เช่น ยึดถือเอาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มาเป็นของตน มันก็หนักเท่าไร ทุกข์เท่าไร ร้อนเท่าไร ทีนี้ ภายนอก มันก็ยึดถือเอา ทรัพย์สมบัติสิ่งของ บุตรภรรยาสามี เป็นต้นว่า เป็นของตน, มันก็หนักเท่าไร มันก็เลยหนักรอบด้าน หนักทุกทิศทุกทาง เพราะเมื่อผัสสะ ทำผิดเมื่อผัสสะ แล้วก็ ความทุกข์มันก็เกิด อย่างนี้.

ถ้ามีสติเมื่อผัสสะ คือได้ศึกษาฝึกฝนมาดี มีสติมีปัญญา แล้วก็มีสติมาทันเวลาที่มันมีอะไรมากระทบตา มันก็เป็นการกระทบที่ฉลาด เป็นสัมผัสที่ฉลาด คือสัมผัสด้วยสติ มันไม่หลงปล่อยให้กิเลสเกิด แต่มันกลับรู้ว่า ควรทำอย่างไร แล้วมันก็ทำไปในทางที่ควรทำ ให้เกิดประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ไม่เกิดโทษ ถ้าไม่มีสติ มันก็ไปเกิดกิเลส แล้วมันก็เกิดโทษ มันเป็นได้อย่างนี้ทั้ง ๖ ทางคือ ทั้งทาง ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ มีวิธีที่จะปรุงแต่งจนเกิดความทุกข์กันอย่างนี้

นี่เป็นวิทยาศาสตร์ของธรรมชาติ เรื่องของความทุกข์ ในเรื่องของความทุกข์ ตามหลักแห่งพุทธศาสนาเป็นหลักวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ในพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่อย่างนี้ ความสุข และ ความทุกข์ มันเกิดขึ้น เพราะทำผิดหรือทำถูกในขณะแห่งผัสสะ; มันไม่ได้เกิดมาจากผีสางเทวดา เคราะห์ โชค ดวงดาวอะไรที่ไหน พระองค์จึงตรัสว่า มันไม่ได้เกี่ยวกับผลกรรมแต่ชาติก่อนด้วยซ้ำไป มันเกิดมาจากการกระทำผิดหรือกระทำถูก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ คือผัสสะ นั่นเอง นี้เราก็มีผัสสะชนิดที่มีสติ เราจึงต้องมีสติ เพื่อจะได้ควบคุมผัสสะ

คำว่า สติ นั้นน่ะ มันประกอบอยู่ด้วยปัญญาเสมอ คำว่า สติ นั้น ต้องประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ สติ คือ ระลึกได้ ระลึกก็คือ ระลึกความจริงของความจริงว่า เป็นอย่างไร นั้นคือ ปัญญา สติขนเอาปัญญามาทันเวลา ที่มีการกระทบทางอายตนะนี้, มันก็ รู้ว่าควรทำอย่างไร มันก็เลยทำไปในทางที่ไม่เกิดทุกข์ ไม่เกิดความรัก ไม่เกิดความโกรธ ไม่เกิดความเกลียด ไม่เกิดความกลัว ไม่เกิดความอิจฉาริษยา ไม่เกิดความหึงความหวง ไม่เกิดความอาลัยอาวรณ์ ไม่เกิดอะไรต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งแห่งความทนทุกข์ทรมาน นี่เรียกว่า มีสติ

บวชอยู่ที่บ้าน แต่มีสติอย่างนี้ ลองคิดดูคำนวณดู; บวชอยู่ที่บ้านโดยการมีสติอย่างนี้ อยู่ที่บ้านมันดีกว่าที่บวชอยู่ที่วัดหลายๆ องค์ ที่ไม่ประสีประสาอะไร ไม่รู้จักแม้แต่ว่ามีสติคืออะไรด้วยซ้ำไป นี่ขอให้สนใจว่า ที่บ้านก็บวชได้ บวชได้อย่างยิ่ง ถ้ามีสติสมบูรณ์ ในลักษณะอย่างที่กล่าวมานี้.

เรามีหลักว่า ในขณะที่สัมผัส สัมผัสหรือกระทบต้องมีสติ เมื่ออะไรมากระทบจิตทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ต้องมีสติ ให้เป็นการสัมผัสสิ่งนั้นๆ ด้วยสติ ก็เรียกว่า สัมผัสด้วยวิชชา, สัมผัสด้วยปัญญา มีความลืมหูลืมตา ก็กระทำไปอย่างถูกต้อง ไม่ผิดพลาดใดๆ ไม่อาจจะเกิดทุกข์ได้ นี่เรียกว่า เราสัมผัสโลกด้วยสติปัญญาอยู่ทุกวันๆ ทุกวันๆ ทุกวันๆ สัมผัสโลก คือ สิ่งทั้งปวงที่มากระทบ ด้วยสติด้วยปัญญา อยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เกิดความทุกข์

บวชอยู่ที่บ้าน เป็นนักบวชอยู่ที่บ้าน ทำได้อย่างนี้ ก็คือ ปฏิบัติสูงสุด ตามหลักพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว

นี่จำไว้ว่า ถ้าว่าทำผิดเมื่อผัสสะ คือเป็นสัมผัสด้วยความโง่ ด้วยอวิชชา แล้วก็เกิดทุกข์ ถ้าสัมผัสด้วยวิชชา รู้จริงตามที่เป็นจริงอย่างไร เรียกว่า เป็นสัมผัสด้วยวิชชาแล้วก็ไม่เกิดทุกข์ ฉะนั้นอย่าได้มีการสัมผัสด้วยความโง่, อย่าได้มีการกระทบหรือรับอารมณ์ใดๆ ด้วยความโง่ แต่ให้รับหรือ รู้สึกอารมณ์นั้นๆ ด้วยสติ ด้วยปัญญา และให้ฝึกฝนอยู่เป็นประจำ

เรื่องนี้ พูดมันก็พูดได้ และพูดง่าย; แต่พอถึงคราวที่จะทำมันไม่ง่ายนัก มันอาจจะพลั้งเผลอ หรือทำไม่ได้ ต้องมีความทุกข์กันเสียก่อน ตั้งหลายครั้งหลายหนแล้วจึงค่อยๆ ทำได้ จึงค่อยๆ ทำได้ นี่มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ค่อยๆ ทำได้ ฉะนั้น จะต้องฝึกฝนอยู่ให้ดีที่สุด เหมือนที่เขาฝึกฝนอะไร ๆ ที่เขาพอใจ อย่างพวกที่เล่นกีฬา เล่นศิลปะหาเงินหาทอง เขาฝึกเหลือประมาณ เช่นว่าจะเตะตะกร้อลอดบ่วงได้ อย่างนี้ต้องฝึกเหลือประมาณ นี้ก็เหมือนกันแหละ เราก็ฝึกเหลือประมาณ ฝึกที่จะให้มีสติ ทุกครั้งที่ผัสสะ, แล้วถ้ามันล้มเหลว เผลอไป ก็ละอายๆ ละอายแก่ตัวเอง ว่าไม่สมควรแก่เราเลย ที่เป็นผู้ไม่มีสติ ขาดสติ พลั้งเผลอจนเกิดความทุกข์ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อความทุกข์ แล้วทำไมจึงมากลายเป็นมาเกิดเพื่อความทุกข์อย่างนี้ ก็เสียใจอย่างยิ่ง ละอายอย่างยิ่ง ทุกๆ คราวที่พลั้งพลาด เผลอไป จนเกิดความทุกข์ ไม่เท่าไรมันก็จะไม่เผลอ ก็จะเผลอน้อยเข้าจนไม่เผลอ

อุปมาสมมติเหมือนอย่างว่า มันเดินตกร่อง ตกร่องที่นอกชาน หรือตกร่องที่ไหนก็ตาม มันเดินไม่ดี ไม่ดูให้ดี แล้วมันตกร่อง เดินตกร่องนั้นมันทั้งเจ็บด้วย แล้วมันทั้งน่าละอายด้วย ใครเห็นก็ละอายเขา ถ้าคอยสังวรอยู่ว่า มันเจ็บด้วย มันละอาย มันน่าละอายอย่างยิ่งด้วย ก็จะระวังดีขึ้น เมื่อระวังดีขึ้น มันก็ไม่ตกร่องอีกต่อไป นี่แหละการที่จะมีสติอย่างดีที่สุด ต่อสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ นั้น ต้องตั้งใจอย่างนี้ ต้องอธิษฐานจิตอย่างดียิ่งที่จะไม่พลั้งเผลอ และกลัว ว่ามันเป็นทุกข์และละอาย ว่ามันเป็นสิ่งที่น่าละอาย

เดี๋ยวนี้เราไม่รู้สึกกันเสียทั้ง ๒ อย่าง หรือ ทั้งทุกอย่าง กลัวก็ไม่กลัว ละอายก็ไม่ละอาย มันก็เลยมีได้มากแล้วเป็นทุกข์อยู่ข้างใน; ก็เพราะว่าไม่มีใครรู้, แม้ว่าไม่มีใครรู้ แต่มันเป็นทุกข์อยู่ข้างใน ก็ขอให้กลัวและให้ละอายอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าที่มันมาข้างนอก จนคนอื่นเขารู้หรือเขาหัวเราะเยาะ

นี่ผู้ที่มีธรรมะแล้ว ก็จะต้องมีความกลัวและความละอายอย่างยิ่งอยู่ประจำตัว มีหิริ มีโอตตัปปะ ในธรรมะที่เป็นภายในอย่างนี้แหละ มีประโยชน์ดียิ่งกว่าที่เป็นภายนอก เป็นเรื่องภายนอก หมายความว่าที่ใครๆ เขารู้เขาเห็น ก็ยังไม่สำคัญเท่าที่ไม่มีใครรู้เห็น เรารู้เห็นของเราแต่คนเดียว นี่มันสำคัญมาก มันเสียหายมาก มันเป็นสิ่งที่จะยอมให้มีขึ้นมาไม่ได้

นี่ขอให้สนใจ มีสติเท่านั้นแหละ มันก็รอดจากความทุกข์ในทุกกรณี มันไม่สร้างความทุกข์ขึ้นมาได้ เป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ ไม่ต้องไปโทษผีสางเทวดา ซึ่งเป็นความโง่อย่างยิ่ง เพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง มันโง่จนปล่อยให้ความทุกข์เกิดขึ้นแล้ว นี้มันก็โง่หนึ่งแล้ว ทีนี้มันก็ไปโทษผีสางเทวดา มันก็เป็นอีกโง่หนึ่ง มัน ๒ โง่ ๓ โง่ ซ้ำเข้าไป แล้วมันก็น่าละอายสักเท่าไร ขอให้คิดดู

ความสุข และความทุกข์เกิดขึ้น เพราะเราทำผิดหรือทำถูกเมื่อมีผัสสะ ที่เรียกว่า ตามกฏอิทัปปัจจยตา, มีพระบาลีตรัสไว้ ซึ่งควรจะนึกถึงด้วยเหมือนกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากพระเป็นเจ้า, สุขทุกข์ไม่ได้เกิดมาจากกรรมเก่า, และสุขทุกข์ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุ สุขทุกข์ก็มีเหตุ เหตุนั้นก็คือ ทำผิดหรือทำถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา ถ้าทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตาก็เกิดทุกข์ ถ้าทำไม่ผิดก็ไม่เกิดทุกข์ ทำผิดต่อกฏอิทัปปัจจยตา ก็ทำเมื่อมีอารมณ์มากระทบนั่นเอง เมื่อมีผัสสะนั่นเอง, เป็นเวลาสำคัญที่สุด ที่จะต้องประพฤติให้ถูกต่อกฏอิทัปปัจจยตา แล้วมันก็ไม่เกิดความทุกข์

นี่ ถ้าทำสติได้ อย่างนี้ แม้บวชอยู่ที่บ้าน ก็ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดเป็นไหนๆ นี่พูดอย่างนี้มันชอบกลเหมือนกัน แล้วมันก็เสี่ยงอยู่ว่าจะอันตราย แต่ขอยืนยันว่า ถ้าบวชอยู่ที่บ้าน แล้วทำได้อย่างนี้ ดีกว่าพวกที่บวชอยู่ที่วัดโดยมากที่ไม่ทำอย่างนี้ ที่ไม่ได้ทำอย่างนี้ บวชละเมอๆ อยู่

๔. มีสมาธิ มุ่งนิพพานเป็นอารมณ์.

ทีนี้ อีกข้อต่อไป ก็ว่า มีสมาธิ กำหนดไว้ให้ดีๆ นะ ข้อที่ ๑ มีสัทธา อย่างที่ว่ามาแล้ว ข้อที่ ๒ มีวิริยะ ข้อที่ ๓ มีสติ นี้ข้อที่ ๔ มีสมาธิ, มีสมาธิ

สมาธิคืออะไร? ท่านบัญญัติความหมายไว้ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด เป็นสมาธิใหญ่หลวงมหาศาลเลยว่า สมาธิ คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์, เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์. อาตมารู้สึกว่าบางคนฟังไม่ถูกก็งง ไม่รู้ว่าอะไร. เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ ก็บอกเสียเลยว่า เอกัคคตาจิต คือ จิตที่มีความคิดเพียงสิ่งเดียว มุ่งเพียงสิ่งเดียว ตั้งอยู่ในสิ่งเดียว; เอกัคคะ แปลว่า มียอดยอดเดียว, เอกัคคตาจิต จิตที่มียอดยอดเดียว คือมันมุ่งอยู่ที่สิ่งสิ่งเดียว, นี้เรียกว่า เอกัคคตาจิต, และมัน มุ่งต่อพระนิพพานเท่านั้น, ไม่มุ่งต่ออันอื่น ก็เรียกว่ามันมีนิพพานเป็นอารมณ์. เอกัคคตาจิตที่มุ่งต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์นั่นแหละคือใจความของสิ่งที่เรียกว่า สมาธิ มันจะทำสมาธิแบบไหน กี่แบบ กี่สิบแบบ ทำไปเถอะ ต่างๆ แปลกๆ กัน, ใจความของมันมันก็อยู่ที่ความมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ของจิตที่ตั้งไว้ เป็นอารมณ์เดียว เป็นสิ่งเดียว.

จะพูดให้ง่ายที่สุดเดี๋ยวนี้ ก็พูดว่า หวังพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลานั่นแหละ; เมื่อรู้จักพระนิพพานพอสมควรแล้ว การที่หวังพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา นั่นแหละคือเอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์; อยู่ที่บ้านก็ทำได้, เมื่อกำลังเป็นทุกข์อยู่แล้วก็ยิ่งชวนให้ทำ, เป็นทุกข์ด้วยเรื่องใดๆ อยู่ ก็มุ่งต่อพระนิพพาน คือดับทุกข์เป็นอารมณ์. นี้โดยทั่วไปเราก็รู้ว่า เรามีชีวิตอยู่นี้เพื่อจะบรรลุนิพพาน จิตจึงมุ่งจ้องจดจ่ออยู่แต่พระนิพพานเพียงสิ่งเดียวเป็นอารมณ์ นี่คือความหมายของสมาธิ

ทีนี้ที่เขาทำสมาธิอย่างนั้น สมาธิอย่างโน้น เป็นขั้นตอนๆ หลายๆ ขั้นตอนน่ะ มันแยกซอยให้ละเอียด แต่เมื่อรวมความหมดแล้ว มันมุ่งต่อนิพพานเป็นอารมณ์. เช่นว่า สติกำหนดลมหายใจอยู่ ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว ลมหายใจออก ลมหายใจเข้าก็ตามเถอะ, ทำจิตให้เป็นสมาธิด้วยการกำหนดอย่างนี้ แต่มันมีนิพพานเป็นอารมณ์ที่หวังอยู่ข้างหน้า, คือทำสมาธินี้เพื่อจะดับทุกข์สิ้นเชิงในปลายทาง ในจุดหมายปลายทาง, ทำสมาธิขึ้นมาแล้ว ก็ทำเป็นวิปัสสนา เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา. แล้วก็เบื่อหน่ายคลายกำหนัด ก็หลุดพ้น มีนิพพานเป็นอารมณ์ ฉะนั้น ความหมายนี้ดีที่สุดแล้วว่า สิ่งที่เรียกว่า
สมาธินั้น คือ เอกัคคตาจิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์.

ขอให้เราทุกคนดำรงจิตไว้ในลักษณะอย่างนี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือว่ามีพระนิพพานเป็นที่หมาย มีพระนิพพานเป็นจุดหมาย, จะต้องถึงที่นั่นให้จงได้เร็วที่สุด โดยเร็วที่สุดเท่าไรก็ยิ่งดี. นี่คือ สมาธิที่มีประโยชน์ สมาธิโดยความหมายที่แท้จริง ที่มันมีประโยชน์ คือความมุ่งต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์; อยู่ที่บ้านนั่นแหละ ทำอะไรก็ทำไปเถิด แต่ข้อใหญ่ใจความนั้นไม่ลืม ไม่ลืมว่าเรามีพระนิพพานเป็นที่จุดหมายปลายทาง ทั้งหมดที่เราทำนี้ มันจะรวมกันเข้า แล้วก็ไปสู่จุดหมายปลายทางคือนิพพาน.

สมมุติว่า จะทำนา มันก็หาข้าวให้ได้กินข้าว, ให้ได้กินข้าว แล้วก็มีชีวิตอยู่ แล้ว ก็ทำพระนิพพานให้แจ้ง. แม้แต่ ทำสวน ก็ได้เงินมากินมาใช้, ก็เพื่อจะมีชีวิตอยู่ เพื่อจะทำพระนิพพานให้แจ้ง. จะค้าขายหรืออาชีพอะไรอยู่ก็ตาม ต่อให้เป็นอาชีพถีบสามล้อเหงื่อไหลท่วมตัวอยู่ทั้งวันๆ มันก็ สามารถจะมีเอกัคคตาจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ได้ โดยมุ่งหวังอยู่ว่า เราจะเลี้ยงชีวิตให้รอดอยู่ได้ เพื่อทำให้ปรากฏเฉพาะซึ่งภาวะที่ไม่มีความทุกข์เลย. ที่เรียกว่า นิพพาน คือชีวิตที่เยือกเย็น, ชีวิตที่เยือกเย็น ไม่มีความทุกข์เลย เรียกว่า นิพพาน เราจะมีที่นั่นเป็นจุดหมาย แม้ว่าจะทำงานอย่างต่ำ ล้างท่อถนน กวาดถนน ถีบสามล้อ แจงเรือจ้าง ก็ยังสามารถที่จะมุ่งพระนิพพานเป็นอารมณ์ ว่าจะต้องได้พบกันในโอกาสข้างหน้า

ทีนี้จะพูดให้สิ้นสุดเสียเลยว่า แม้เป็นคนขอทานนั่งขอทานอยู่ ก็ยังทำได้ เดี๋ยวนี้กูยังต้องขอทาน ก็ขอทานให้ชีวิตมันรอด ชีวิตมันรอดแล้วก็จะทำต่อไป, ปฏิบัติมีสติระวังสังวรเรื่อยไป แล้วก็จะมีนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางได้เหมือนกัน. นี่ไม่ใช่แต่เป็นชาวบ้านธรรมดาแหละ; ให้เป็นขอทานอยู่ มันก็ยังมีโอกาส ยังมีความหวังจะมีสมาธิ; สมาธิ, สมาธิเรียกอย่างนี้แปลว่า เอกัคคตาจิตคือจิตดวงเดียว เดี่ยวโดด หนักแน่น มีพระนิพพานเป็นที่หมาย ฉะนั้น ใครๆ ทุกคน ที่เป็นฆราวาสอยู่ จงดำรงตนให้มีพระนิพพานเป็นที่หมาย เป็นจุดหมายปลายทาง ก็จะเรียกว่ามีสมาธิ เต็มตามความหมายของคำคำนี้

มีสติเป็นเครื่องชักนำให้จิตมีสมาธิ มีสติอย่างที่ว่ามาแล้ว ชักนำให้จิตมีสมาธิ รู้สึกตัวอยู่ เมื่อแรก ระลึกได้ แรกระลึกถึงความจริงความรู้อะไรได้ นี่ เรียกว่า มีสติ, ครั้นระลึกได้แล้ว รักษาความรู้นั้นไว้ ให้อยู่ยาวไป ก็เรียกว่า สติสัมปชัญญะ. สติกับสัมปชัญญะนั้น มันเป็นคู่แฝดกัน; สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว คือรักษาความระลึกได้นั้นให้ยังคงอยู่ เช่น สติระลึกถึงความถูกต้องอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา แวบขึ้นมาได้ แล้วก็รักษาไว้ นั่นก็คือ สัมปชัญญะ; สติกับสัมปชัญญะก็ต้องทำงานร่วมกันอย่างนี้ ฉะนั้นเรา ถ้ามีสติสัมปชัญญะแล้ว จะไม่ทำอะไรผิดพลาด จะทำอะไรถูกต้อง ได้รับผลดีของสิ่งที่ต้องทำ.

ทีนี้ก็ มีสมาธิ ก็หมายความว่า จิตมันมั่นคง ตั้งมั่น ขณะนั้นก็ไม่มีกิเลสรบกวน ขณะนั้นจิตก็ ว่องไวในการที่จะคิดจะนึก หรือจะทำหน้าที่ของจิต คำว่า ทำสมาธิ,
ทำสมาธิไม่ใช่หมายถึงไปนั่งหลับตาตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้,
ไม่ใช่หมายความว่าอย่างนั้น
หมายความว่า ทำทุกอย่างทุกทาง กล่อมเกลาจิตใจให้เป็นจิตที่มีจุดหมายเดียว อารมณ์เดียว ที่เรียกว่า เอกัคคตา,
แล้วมันก็ปราศจากกิเลส แล้วมันก็เข็มแข็ง มันก็เข็มแข็ง เพราะมันรวมแสงรวมกำลัง แล้วมันก็ไวต่อหน้าที่ของมัน จิตมีหน้าที่คิด จิตที่เป็นสมาธิจะไวต่อการคิด จิตที่ไม่เป็นสมาธิมันงุ่มง่ามเคอะคะ มันคิดไม่ได้ หรือมันไม่ไวต่อการคิด สมาธินั้นหมายความว่า จิตมีกำลังเข็มแข็งอยู่ที่จุดเดียว ไม่มีกิเลสรบกวน แล้วก็ว่องไวในหน้าที่ที่จะคิด จะนึก จะคิดจะนึก จะทำจะตัดสินใจ จะทำอะไรก็ตาม; ถ้าทำด้วยสมาธิมันทำได้ดี ทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ฉะนั้นคนที่มีหน้าที่จะต้องคิดจะต้องนึกจะต้องตัดสินใจ จะต้องสั่งงานผู้อื่น อะไรก็ตาม จะต้องทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ

ทีนี้ก็ จะต้องฝึกให้เป็นสมาธิ มีสติชักหน่วงดึงจิตให้ติดอยู่ที่อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง ตามเวลาที่ต้องการจะทำอะไร ตามเวลาที่ต้องการจะทำอะไร ทำด้วยสมาธิเสมอไป คือว่าจะมีสมาธิจิตตั้องแต่ก่อนทำ แล้วก็เมื่อกำลังทำ และทำเสร็จแล้วด้วย ตั้งแต่ก่อนทำ ก็มีสมาธิในเรื่องนั้น กำลังทำอยู่ ก็มีสมาธิในเรื่องนั้น ทำเสร็จแล้วก็มีสมาธิในเรื่องนั้น มันจะผิดได้อย่างไร ลองคิดดูเถอะ มันไม่มีทางที่จะผิดได้ มันมีแต่จะถูกถึงที่สุด

ทีนี้เรา บวชอยู่ที่บ้าน ก็หาโอกาสที่จะฝึกสมาธิ เวลาที่เอาไปใช้เหลวไหลเสียวันหนึ่งๆ ตั้งมากมาย ขอเปลี่ยนเอามาทำสมาธิ, และ เมื่อกำลังทำการงานอยู่ ก็ทำสมาธิได้ โดยทำด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ทำการงานอะไรอยู่ก็ตาม

ถ้าว่า เป็นชาวนา กำลังไถนาอยู่ กำลังไถนาอยู่ เดินตามหลังความยอยู่ ขอให้จิตมันอยู่ตรงที่ปลายไถนาอยู่ จิตอยู่ที่ปลายไถ ที่มันแหลมที่มันตัดดินอยู่ตรงนั้นเรื่อยไปมัน ก็เป็นการทำสมาธิตลอดเวลาที่ไถนา

ถ้าทำสวน เมื่อเอาจอบฟันดินลงไปกระทบดินยกขึ้นมานั้น ก็มีสมาธิอยู่ที่จอบมันตักดิน

เอาที่บ้านที่เรือนกันก็ได้, งานอื่นๆ นั่นมันมีค่า หรือว่ามันน่าดู. แต่เดี๋ยวนี้ เราเอางานชั้นต่ำสุดนะ ว่าถ้าเราจะต้องกวาดบ้าน กวาดพื้นบ้าน หรือกวาดลานบ้าน เมื่อกำลังกวาดอยู่นั้น ขอให้จิตมันกำหนดอยู่ที่ปลายไม้กวาดที่จดดิน ทำอย่างนั้นไม่ยาก จิตอยู่ที่ปลายไม้กวาด ที่จิดดินอยู่เรื่อยไปๆ กวาดเรื่อยไป จิตอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา นี่เป็นสมาธิชั้นดี เป็นสมาธิชั้นดี

หรือว่าเมื่อล้างจาน, ก็ขอให้จิตมันอยู่ตรงที่ปลายนิ้วที่มันถูจาน เมื่อล้างจานธรรมดาสามัญ คนทั่วไปก็ต้องเอามือถูจาน ให้ปลายนิ้วที่ถูจานแตะจานอยู่ จิตกำหนดอยู่ที่ตรงนั้น จนกว่าจะล้างจานเสร็จ ก็เป็นการทำสมาธิที่ดีที่สุด เมื่อกำลังล้างจาน.

ทีนี้ เมื่อล้างหม้อ ล้างกะทะ ก็เหมือนกันนั่นแหละ; เมื่อเอาอะไรมาถูหม้อถูกะทะอยู่ เครื่องถูหม้อนั่นแหละ เมื่อมันจดจ่ออยู่กับหม้อหรือจดจ่ออยู่กับกะทะ มีจิตอยู่ที่ตรงนั้นสิ คุณก็เป็นผู้มีสมาธิ เหมือนกับนั่งสมาธิอยู่ในป่านั่นแหละ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ทำสมาธิที่บ้าน.

ถ้าว่าจะผ่าฟืน เอ้า, ผ่าฟืน สมาธิอยู่ที่คมขวาน เมื่อไม้ฟืนกระทบขวาน แล้วแต่จะผ่ากันท่าไหน แต่ที่ตรงคมขวานที่ชำแรกไม้ออกไปนั้น จิตอยู่ที่ตรงนั้น.

ทีนี้ก็ ทำทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน; เมื่อยืนเท้าแตะพื้นตรงไหน กำหนดตรงนั้น เมื่อเดินก็เหมือนกัน มันจดลงไปแล้ว มันยกขึ้นมา มันจดลงไปมันยกขึ้นมา จิตอยู่ที่นั่น เมื่อนั่งก็นั่งถูกที่พื้น โดยไม่ได้กำหนดอะไรอื่น กำหนดที่ก้นมันแตะพื้นนั่นแหละ มันก็เป็นสมาธิ แต่เขามีอย่างอื่นหลายวิธี เช่นกำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธ อะไรก็ได้ แต่ที่แท้จริงแล้ว มันอยู่ที่สิ่งที่มันเป็นธรรมดาเป็นเจ้าของเรื่อง

นี่เรื่องบวชอยู่ที่บ้าน เห็นไหมเล่า พูดเรื่องบวชอยู่ที่บ้าน บวชอยู่แต่ที่บ้าน มีโอกาสจะทำ ประพฤติธรรมในเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ได้อย่างมากมาย มีสติประกอบอยู่กับสมาธิในทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ การงาน นับตั้งแต่ว่าไถนา สมาธิจิตอยู่ที่ปลายไถที่ตัดดิน, ถ้าพายเรือ จิตอยู่ที่ปลายพายที่มันแตะน้ำ แจวเรือก็เหมือนกัน อยู่ที่แจวมันตัดน้ำ นี้จะเป็นสมาธิจริง สมาธิที่จะเอามาใช้เป็นประโยชน์อย่างอื่นได้ ทุกๆ ความหมาย ทุกๆ ชนิด

๕. มีปัญญา - รู้ความจริงที่ควรรู้

เอ้า ทีนี้ข้อสุดท้ายว่า มีปัญญา มีปัญญา ข้อ ๑ มีศรัทธา, ข้อ ๒ มีวิริยะ, ข้อ ๓ มีสติ, ข้อ ๔ มีสมาธิ, ข้อ ๕ มีปัญญา,
ปัญญา แปลว่า ความรู้ คือ รู้สิ่งที่ควรรู้,
รู้ความจริงที่ควรรู้ ความจริงที่ดับทุกข์ได้นั้น เป็นความจริงที่ควรรู้
.

ขอให้รู้ความจริงนั้นอยู่ตลอดเวลา อยู่ตลอดเวลาด้วยสติ สติระลึกเอามา แล้ว สัมปชัญญะกำหนดเอาไว้ แล้วก็อยู่อย่างเป็นความรู้รอบ เป็นปัญญาอยู่ตลอดเวลา อย่าให้เกิดการปรุงแต่งในจิตจนเกิดความคิดชนิด ตัวกูของกู นี่คำพูดมันค่อนข้างจะหยาบคาย แต่มันจำเป็นว่า ความคิดชนิดที่มีความหมายเป็นตัวกู หรือเป็นของกูนั้น เป็นความคิดผิด พร้อมที่จะทำให้เกิดความทุกข์อย่างยิ่ง มันเป็นความคิดที่ผิด เป็นความรู้ที่ผิด เรียกว่าเป็นความผิดนั่นแหละ

นี้ปัญญาต้องรอบรู้ รู้ที่ถูก มันรู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ รู้ได้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ แต่อย่าไปรู้ชนิดที่ว่าเป็นตัวกู เป็นของกู เป็นตัวตน เป็นของตน นี่มันก็เป็นของละเอียดประณีตลึกซึ้งอยู่มาก, คือมันจะต้องรู้จักทำความละเอียดประณีตในทางจิต, ความคิดมันปรุงแต่งกันได้อย่างที่ว่ามาแล้วในเรื่องของผัสสะ. นี้เราอย่าให้ความคิดหรือความรู้เกิดขึ้น มีความหมายเป็นตัวกู เป็นของกู

ทำงานด้วยความรู้อยู่ว่า ควรจะทำอย่างไร ฟังให้ดีๆ ว่า ถ้าทำงาน ทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ หรือที่ไหนก็ตาม จงทำด้วยสติปัญญาที่รู้ว่า ควรทำอย่างไร แล้วระวังอย่าให้ความคิดประเภทตัวกูของกู, ทำเพื่อกู กูจะได้ กูจะอะไร อย่าให้เกิดขึ้นมา ความคิดความรู้สึกประเภทตัวกูของกูอย่าได้เกิดขึ้นมา อย่าให้ความอยากจะได้ผลงานเร็วๆ เกิดขึ้นมา อย่าให้ความหวังจะได้ผลงานเร็วๆ เกิดขึ้นมา. นั้นเป็นของผิดทั้งนั้น อันตรายทั้งนั้น มีแต่ความรู้ที่ถูกต้องว่า ทำอย่างไร ทำอย่างไร ที่ทำถูกต้องนั้นทำอย่างไร แล้วก็สนใจทำแต่อย่างนั้น นี้แหละเรียกว่า ทำงานอยู่ด้วยปัญญาอย่างยิ่ง ไม่เกิดความผิดพลาด ไม่เกิดความหวัง ไม่เกิดกิเลสตัณหา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์

ฉะนั้นเรามี ความรู้ที่ถูกต้องเรื่องอิทัปปัจจยตา ว่ามันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของมัน และว่า ตถตา มันจะต้องเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างอื่นไม่ได้. มีความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา ตถตา เต็มที่แล้วก็ทำงานอยู่ ส่วนความหวังความอยากว่าจะได้ผล เอาผลมากิน มาใช้กันให้สนุกสนานเอร็ดอร่อยนั้น อย่าต้องมีผล ถ้ามีมันเป็นความคิดหรือความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกู มันจะต้องเป็นทุกข์

ข้อนี้ก็ ในพระบาลีให้ตัวอย่างไว้อย่างดีที่สุด ที่อาตมาก็เอามาเล่าบ่อยๆ ว่า แม่ไก่ฟักไข่ให้ดีก็แล้วกัน ไม่ต้องคิดว่าลูกไก่จงออกมา, นี่แม่ไก่น่ะฟักไข่ให้ถูกต้องตามวิธีของธรรมชาติ; จะเขี่ย จะกก จะกลับ จะทำให้อุ่นให้เย็นอะไรก็แล้วแต่ ให้มันถูกต้องตามวิธีของการฟักไข่, แล้วลูกไก่ก็จะออกมาเอง โดยที่แม่ไก่ไม่ต้องหวังว่า ลูกไก่จงออกมา ลูกไก่จงออกมา, ถ้าแม่ไก่ตัวไหนมันหวังว่าลูกไก่จงออกมา บ่นว่า ลูกไก่จงออกมา มันเป็นแม่ไก่บ้า มันใช้ไม่ได้. คนนี้ก็เหมือนกันแหละ จงทำงานให้ถูกต้องด้วยสติปัญญา เกี่ยวกับการกระทำนั้น โดยไม่ต้องมีความคิดหวังเป็นตัวกูของกู ว่าออกมา จงออกมา จงได้มา จงได้กำไร จงอย่างนั้น จงอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวกู ของกูอย่างนั้น มันทำให้เป็นทุกข์เปล่าๆ แล้วมันก็ไม่ได้ด้วย แล้วมันจะทำให้งานเสียก็ได้

เดี๋ยวนี้ เราสอนกันผิดๆ อยู่บางอย่าง ที่ว่าให้ใช้ความหวังมากเกินไป; ที่จริง ถ้าความหวังมากเกินไป แทรกแซงเข้ามาในขณะทำงานแล้ว มันฟุ้งซ่าน ทำไม่ได้ดี ทำไม่ได้ถูกต้องอย่างดี มันต้องให้เหลือไว้ มีแต่สติปัญญา ว่าจะทำอย่างไรเท่านั้น ให้มีมากที่สุด ให้ทำอย่างดี ส่วนที่จะหวังผลอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าให้มันเกิดขึ้นมาในความคิด มันมาทำให้ฟุ้งซ่าน ให้มีสมาธิแน่วแน่อยู่แต่ว่า ทำอย่างไร เรื่องนี้ทำอย่างไร เรื่องนี้ทำอย่างไร นั่นแหละเรียกว่า มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา มีจิตว่างจากความคิดความนึกรู้สึกว่าตัวตนหรือของตน ว่างจากความรู้สึกคิดนึกว่า ตัวกู-ของกู แล้วก็เป็นจิตว่างแหละ จะคิดอย่างไรก็ได้, จะคิดเรื่องจะทำให้ดีให้นันอย่างไรก็ได้ แต่อย่าให้มันแลบเลยไป ถึงว่า เพื่อตัวกู หรือของกู, กูจะเอา กูจะได้ พอความคิดเกิดขึ้นอย่างนั้น มันจะมืด มันจะกลุ้มมันจะร้อน มันจะเป็นทุกข์ นี่เรียกว่า เคล็ด หรือ ศิลปะ ในการที่จะทำงานให้ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับพุทธบริษัท

เดี๋ยวนี้เราจะบวชอยู่ที่บ้าน เราจะบวชอยู่ที่บ้านขอให้มีการกระทำงานด้วยปัญญา, มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ให้ได้ผลดีที่สุดของการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์เกิดมาแล้ว จะต้องได้อะไรดีที่สุด ก็ให้มันได้อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็จะได้ด้วยการกระทำด้วยปัญญา อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา หวังว่าจะได้อย่างนั้น หวังว่าจะได้อย่างนี้แก่ตัวกู แก่ของกู นั้นไม่ต้องไปหวังดอก เมื่อทำถูกต้องตามกฏของธรรมชาติแล้ว มันก็ต้องออกผลมาเอง, ไปหวังให้มันฟุ้งซ่าน; หรือจะเปรียบด้วยตัวอย่างง่ายๆ อีกทีหนึ่งว่า ไปซื้อลอตเตอรี่มาแล้ว อย่ามาหวังให้มันรบกวนจิตใจเป็นโรคประสาท, ซื้อแล้วก็แล้วไป ถึงเวลามันออกก็ไปตรวจดู มันถูกหรือไม่ถูก แต่บางคนเขาไม่ชอบอย่างนั้น เขาชอบซื้อเอามาทำให้มันบ้า ให้มันหวัง ให้มันนอนหวัง นั่งหวัง นอนหวัง แล้วในที่สุด มันจะเป็นโรคประสาท ได้จริงเหมือนกันแหละ

เราจงทำงานหรือมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา อย่าประมาทปัญญา พอกพูนปัญญา คือความรู้สึกคิดนึกที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา เมื่อจะทำงานก็มีปัญญาในงานที่จะทำ เมื่อทำงานอยู๋ ก็มีปัญญาในงานที่กำลังทำ เมื่อทำงานเสร็จได้ผลงาน ก็มีปัญญาอยู่ในการได้ผลงาน อย่าให้ได้ผลงานด้วยกิเลส ตัณหา แต่ได้ด้วยสติปัญญา อ๋อ มันอย่างนี้เองนี่ ทำอย่างนี้มันก็ได้อย่างนี้เอง ไม่ต้องไปหลงไหลมัวเมา ให้มันสูญเสียสติสัมปชัญญะ หรือจะเก็บผลงาน ไว้กินไว้ใช้รักษาไว้ ก็ด้วยสติปัญญา เก็บไว้ด้วยสติปัญญา อย่าให้มันทรมานใจ เมื่อจะเอาผลงานมากินมาใช้ ก็ทำด้วยสติปัญญา อย่าให้มันผิดพลาด เมื่อจะแบ่งปันให้แก่ผู้อื่นบ้าง ทำบุญทำทาน ก็ทำด้วยสติปัญญา; แปลว่าเป็นฆราวาสที่มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ทั้งก่อนแต่ทำงานกำลังทำงาน ได้ผลงาน เก็บผลงาน ใช้ผลงาน กินผลงาน แบ่งปันผลงาน อะไรก็ทำด้วยปัญญา ไม่มีกระหืดกระหอบด้วยกิเลสตัณหา

 

บวชอยู่ที่บ้านทำได้จริงก็มีผลดีเท่าที่ควรได้.

 

 

นี่จะบวชอยู่ที่บ้าน แล้วจะเป็นพระอรหันต์อยู่ที่บ้าน; พอเป็นพระอรหันต์แล้ว มันก็เลิกหมด ไม่ต้องบวชต้องอะไรดอก เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วมันเลิกบวช เลิกความหมายของคำว่า บวช, บวช หรือประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ต้องมีแล้ว. แต่เดี๋ยวนี้ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ขอให้เป็นผู้บวชด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ที่บ้าน; โดยเฉพาะผู้หญิงไม่ต้องสนใจว่าผู้หญิงบวชไม่ได้. แต่เราบวชอยู่ที่บ้านได้อย่างนี้ แล้วเหมือนกัน หรืออย่างเดียวกัน หรือเท่ากัน แม้ไม่มีโอกาสไปบวชกับเขาบ้าง เขาบวชกันเกร่อหมด บวช ๙ วัน ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างไร.

แต่อาตมาขอยืนยันว่า
บวชอย่างที่ว่านี้เถิด, มี
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
อยู่ที่บ้าน. บวชอยู่ที่บ้าน บริบูรณ์อยู่ด้วยธรรมะ ๕ ประการ
ซึ่งทบทวนอีกทีหนึ่งก็ว่า:

มีศรัทธา
เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่ง คือการปฏิบัติหรือคำสอนนั้น แล้วก
เชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ เราทำได้ ไม่เหลือวิสัย เราทำได้ แล้วก็ปล่อยให้ทำไปด้วยศรัทธา

พร้อมกันนั้นก็
มีวิริยะ
คือความกล้าหาญ ความพากเพียร ความบากบั่น สนุกสนานในการทำ พอใจในการทำ เป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำ
ไม่ต้องรอต่อผลงานได้มา กำลังทำอยู่มันก็พอใจและเป็นสุข อิ่มอยู่ด้วยความสุข ได้ความสุขโดยไม่ต้องเสียเงิน

ทีนี้ก็
มีสติ
เฝ้าระวังรักษาป้องกัน ไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ในความคิดความนึกหรือในการกระทำ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจเอง

มีสมาธิ
คือจิตแน่วแน่ต่อพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก
, มีจุดมุ่งมั่นต่อพระนิพพาน เรียกว่า มีเอกัคคตาจิตมุ่งพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำทุกอย่างที่รักษาจิตชนิดนั้นไว้ ก็คือแบบสมาธิวิธีต่างๆ มันจะต่างกันอย่างไร มันก็อยู่ที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ทั้งนั้น คือมีความหลุดพ้นจากความทุกข์เป็นอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น

แล้วในที่สุด
ก็มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
คือ ความรู้อย่างถูกต้องชัดเจน ในสิ่งที่ต้องกระทำ หรือควรกระทำ
อย่าให้ความอยาก เช่นกิเลสตัณหา เพื่อตัวกู-ของกู เข้ามาแทรกแซง นั้นมันจะทำให้เสียหมด นี่เรียกว่า ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง แหละ "ทำงานทุกชนิดด้วยจิตว่าง ยกผลงานให้ความว่างทุกอย่างสิ้น กินอาหารของความว่างอย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้นแล้วในตัวแต่หัวที" ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู มันไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหาอะไร, มีจิตที่บริสุทธิ์ อยู่ด้วยปัญญา และ ความสุขสงบ นี่คือ บวชอยู่ที่บ้าน.

ใครเห็นด้วยก็ลองดู บวชอยู่ที่บ้าน ที่ชะเง้อหาบวชที่วัด บวชในป่านั้น บางทีจะเป็นความโง่ ลำบากมากกว่าคนที่บวชอยู่ที่บ้านก็ได้ ระวังให้ดี. ถ้ามีความตั้งใจจริง ระมัดระวังจริง บวขอยู่ที่บ้านจะได้ผลมากกว่าบวชอยู่ที่วัดหรือในป่า ก็ยังเป็นไปได้ เพราะว่า การบวชอยู่ที่วัดหรือในป่า มันยังเหลวไหลอยู่ทั่วๆ ไป มันยังไม่สำเร็จประโยชน์เต็มตามความหมายที่ควรจะได้เลย.

เอาละ, เป็นอันว่า วันนี้เราพูดกันด้วยเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลก โดยใช้ชื่อว่า
บวชอยู่ที่บ้าน : เว้นจากสิ่งที่ควรเว้นโดยประการทั้งปวง อยู่ที่บ้าน. แล้วก็ประพฤติหน้าที่ที่ควรประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างดีที่สุด อย่างเต็มกำลังเต็มสติปัญญาสามารถอย่างดีที่สุด ในหน้าที่ของตนๆ แล้วก็เป็นสุขอยู่กับการทำหน้าที่ ไม่มีกิเลสตัณหา ที่จะหวังผลอย่างนั้นอย่างนี้ มาสนองกิเลส เรื่องก็มีเท่านี้ ว่าบวชอยู่ที่บ้าน

ไม่ได้หมายความว่า ให้สึกไปอยู่ที่บ้านกันเสียให้หมด แต่หมายความว่า แม้อยู่ที่บ้านก็อย่าน้อยใจ อย่าเสียใจ, แม้อยู่ที่บ้านก็สามารถที่จะทำได้ดีที่สุด ที่บ้านนั้นเอง เพราะคนที่อยู่บ้านมันยังมีมากกว่าคนที่อยู่ที่วัด คนเหล่านั้นไม่ควรจะเสียประโยชน์อะไร ควรจะได้ประโยชน์ทุกอย่างทุกประการ เท่าที่พุทธบริษัทในพระพุทธศาสนาจะพึงได้

ขอให้ผู้ที่อยู่บ้าน หรือยังอยู่ที่บ้านนั้น จัดแจงปรับปรุงให้ชีวิตการเป็นอยู่ของตนนั้น อนุโลมเข้ากันกับการบวช โดยสมาทานสิกขาบท คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา, ธรรม ๕ ประการนี้ แทรกอยู่ในการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นสุดท้าย
ถ้าปฏิบัติกรรมฐานอยู่อย่างเคร่งครัดในป่า ในวัดในดงก็ตาม เขาก็ระวังให้ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ในการปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างเต็มที่ แล้วผลก็แน่นอน สำเร็จตามความปรารถนา

การบรรยายในวันนี้ก็สมควรแก่เวลา แม้จะว่ามันเป็นเรื่องที่แปลกออกไป ก็ควรจะได้พิจารณาดู จะได้ใช้เวลาที่บ้าน ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แม้จะต้องยังอยู่ที่บ้านก็ไม่เสียเปรียบเสียหาย ไม่เสียเปรียบแก่ผู้ที่จะทิ้งบ้านออกไปได้โดยน่าอัศจรรย์ พูดง่ายๆ ว่า
ถ้าทำได้นะ ถ้าทำได้บวชอยู่ที่บ้าน น่าอัศจรรย์กว่าบวชอยู่ที่วัด.

ขอยุติการบรรยายนี้ ด้วยความสมควรแก่เวลา เป็นโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลาย สวดบทพระธรรม ในรูปคณสาธยายส่งเสริมกำลังใจของท่านทั้งหลาย ให้เข็มแข็งในการประพฤติปฏิบัติธรรมะสืบต่อไปในบัดนี้

 

คัดจาก หนังสือ บวชทำไม โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ สุขภาพใจ ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคมาฆบูชา ครั้งที่ ๑๒

 

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

น้ำใจทหารหาญที่มีต่อประชาชนไม่เคยเหือดหาย

ทหารพรานช่วยเด็กหญิง 2 ขวบ ตกบ่อน้ำ ปลอดภัย...

เมื่อเวลา 12.20 น. วานนี้ (1 ส.ค.57) เจ้าหน้าที่ทหารจาก ร้อย.ทพ.4914 ได้เข้าทำการช่วยเหลือ ด.ญ.สุรินดา บาตูแน อายุ 2 ขวบ เป็นหลานของ นางอาจอ บาตูแน

 

ทราบว่าขณะนางอาจอฯ กำลังซักผ้าบริเวณบ่อน้ำ บ้านเลขที่ 53/3 บ.กะดี ม.1 ต.เชิงคีรี อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส หลานได้พลัดตกบ่อน้ำที่มีความลึกประมาณ 5 เมตร ความลึกของน้ำประมาณ 1เมตร เจ้าหน้าที่ทหารได้ทำการช่วยเหลือเด็กจนได้รับความปลอดภัยดี ยายของเด็กดีใจและกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทหารที่ให้ความช่วยเหลือ...

ลมหายใจที่ปลายด้ามขวาน

 

 

 

10346295_746583702072958_8778890007501007649_n.jpg?oh=b477f6dcfc0e3b22a37b9b3366df3a1e&oe=544DE132

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

วันที่ 2 ส.ค.57 โลกหมุนกลับ ฝรั่งเบื่อชีวิตนอกมาทำเศรษฐกิจพอเพียงในไทย

 

อดีตวิศวกรชาวสวิสเซอร์แลนด์ นายโทนี่ สมิท วัย 54 ปี ที่เบื่อชีวิต ในเมืองสวิทเซอร์แลนด์ ตัดสินใจเดินทางมาเมืองไทย เพราะเห็นเป็นเมืองน่าอยู่ แล้วเกิดมาพบรักกับคนไทยที่เป็นร้านขายอาหารตามสั่งอยู่กรุงเทพฯ เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเกิดชอบอาหารไทย รักการทำอาหาร ฝึกทำอาหารจนคล่อง หัดทำผัดไท-หอยทอด

จากนั้นได้เดินทางมาปักหลักอยู่จังหวัดอ่างทอง เปิดร้านอาหารตามสั่งชื่อร้าน ส.นายฝรั่ง ขายอาหารตามสั่ง ผัดไทย-หอยทอด อยู่ที่หมู่ที่ 1 ต.จรเข้ร้อง อ.ไชโย จ.อ่างทอง และมีลูกค้าอุดหนุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนต่างทึ่งในฝีมือและรสชาติการทำอาหารของนายโทนี่

 

โดยนายโทนี่ เผยว่า ตนไม่คิดเลยว่าจะดังขนาดนี้ เมื่อเช้าขณะที่กำลังเปิดร้านและเตรียมของอยู่ในร้าน ได้มีลูกค้าเข้ามาสั่งอาหารแต่เช้า บ้างก็สั่งผัดไท บ้างก็สั่งหอยทอด นี่ยังไม่ถึงครึ่งวันลูกค้าก็เข้ามาอุดหนุนเป็นจำนวนมาก ตนทำอาหารตั้งแต่เช้ายังไม่ได้หยุด เหนื่อยแต่ก็มีความสุข ซึ่งหนังสือพิมพ์นี่ลูกค้าก็ซื้อมาให้ดู เห็นแล้วก็รู้สึกดีใจ ปลื้มใจ และก็ตื่นเต้น

 

ด้านนางศิริพร สมิท ภรรยาของนายโทนี่ กล่าวว่า หลังจากที่ข่าวออกไป ลูกค้าก็เข้ามาอุดหนุนที่ร้านเยอะมากตั้งแต่เช้า โทนี่ทำผัดไทกับทำหอยทอดมือเป็นระวิง ซึ่งในปกติลูกค้าจะมีเยอะในช่วงกลางวันและบ่าย ๆ แต่ในวันนี้มีลูกค้าเข้ามาตั้งแต่เช้า ซึ่งมีทั้งลูกค้าประจำ ลูกค้าขาจร โดยลูกค้าขาจรส่วนใหญ่เข้ามาก็จะบอกว่าเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ก็เลยมาตามมาหาร้าน

ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ชื่นชอบอาหารที่โทนี่เป็นคนทำ ต่างบอกว่าน่ากินและอร่อย บางคนต้องนั่งรอคิวก็ไม่บ่น และลูกค้าบางรายก็ขอถ่ายรูปกับโทนี่ด้วย สร้างความปลื้มใจให้กับโทนี่เป็นอย่างมาก

 

ฝรั่งเคยเป็นถึงวิศวกร เขาอยู่ตะวันตก รายได้สูงมากื แต่เขากลับเบื่อ และมาหลงมนต์เสน่ห์อาหาร ธรรมชาติ และหญิงไทยที่อ่อนหวาน เขาจึงหันหลังให้ทุนนิยมตะวันตก อย่างถาวร

 

คนไทยบางกลุ่มที่ทรยศชาติ คดโกง และมุ่งทำร้ายเบื้องสูง กลับไม่มีโอกาสมาเหยียบแผ่นดินสุวรรณนี้เลย วันๆ ได้แต่โพสเฟสเห่าหอน ส่งภาพมาให้สาวกทุยจุดธูปเทียนสักการะ

 

โลกหมุนกลับด้านจริง เวรกรรมที่ทำต่อแผ่นดินเกิด ยุติธรรมเสมอ ใครรักแผ่นดินนี้ ก็ได้อยู่อาศัยอย่างเป็นสุข ใครทรยศก็มีอันเป็นไป ต้องออกจากแผ่นดินนี้ไปอยู่ที่อื่น

 

คนแล้ว คนเล่า คนแล้ว คนเล่า...แปลก แต่จริง พิสูจน์ จับต้องได้ เสื้อแดงดูเป็นอุธาหรณ์เตือนใจไว้

 

@ เสธ น้ำเงิน2

 

10556364_331379210362593_3412725754518690326_n.jpg?oh=9560d42e984bb0a6f6077317c59cc3e3&oe=543A013A

 

10551087_331379247029256_2254814004621678764_n.jpg?oh=a164d30c3686a7c88d7a73fcfcb5f6b3&oe=54443D89&__gda__=1414812672_67c9b4d48aeedab35de21d2758ecf27d

 

10349984_331379277029253_7024913329939366110_n.jpg?oh=d8473be9f75797c1df6fe706a1470fa0&oe=5449659E&__gda__=1415028802_8a94605b6f71d9f45cd4a187dad80722

 

60623_331379160362598_7808930699678748503_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันที่ 2 ส.ค.57 ทหารจับ ตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ เก็บส่วยวินมอเตอร์ไซต์

 

ด้วยได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องวินมอเตอร์ไซต์ แถวสะพานไทย-เบลเยี่ยม กทม. ว่าถูกรีดไถให้ส่งส่วยรายเดือน ทำให้เกิดความเดือดร้อน ทหารจึงส่งสายลับไปสืบพบว่าเป็นความจริง จึงทำการล่อให้ตกหลุมพราง

 

ต่อมามีนายประเสริฐ มาเก็บส่วนวินฯ จำนวน 17 คัน และนำไปมอบให้ตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ ทหารจึงไปแจ้งกองปราบ ให้เรียกตัวมา และบันทึกการจับกุม ในขั้นต้นขังทั้ง 2 คน 7 วันตามกฎอัยการศึก จากนั้นจึงจะแจ้งข้อหาดำเนินคดีอาญาต่อไป ส่วนตำรวจก็เพิ่มการสอบวินัยร้ายแรง เนื่องจากเป็นข้าราชการ

 

เลิกกันเสียทีเถอะส่งส่วยเนี่ย มันทำประชาชนหาเช้ากินค่ำ เขาเดือดร้อน ใจเขาใจเรา กินเงินเดือนจากภาษีเขา แล้วยังจะมาเก็บส่วยเขาอีก

 

เห็นใจวินมอเตอร์ไซต์เขาบ้าง ถ้าเขาไม่ถูกเก็บส่วย เขาก็ไม่ต้องมาขูดรีดค่าโดยสารกับประชาชนที่ไปใช้บริการ ท้ายสุดประชาชนก็ได้รับความเป็นธรรม

 

หัวไม่ส่าย หางอย่ากระดิกเลย ถ้ากระดิกก็จับตัดหางไม่รักดีให้หมด ไม่เว้นทหาร ตำรวจ เทศกิจจับหมด และคนที่รับส่วยพัฒนพงศ์ ต่อไปจาก เสธ เจมส์ อีก 12 หน่วยงาน เตรียมปาดเหงื่อได้เลย โดนแน่ เพราะมีชื่อครบทุกคนแล้ว

 

@ เสธ น้ำเงิน2

 

10525809_331365927030588_1688590551129935257_n.jpg

 

10553484_331365947030586_378962638443842622_n.jpg

10556407_331365973697250_3569285864722113568_n.jpg?oh=b8ea0a0fbd3c5ec0e5282be32b8e5cda&oe=54458245

 

10527591_331365903697257_4890464939997841875_n.jpg

 

 

วันที่ 2 ส.ค.57 เกิดการนัดประท้วงอิสราเอล และอเมริกา ในเมืองใหญ่ทั่วโลก วันนี้

 

มีการเผยแพร่แบนเนอร์การรณรงค์ เชิญชวนมารวมตัวประท้วงอิสราเอล และอเมริกา ในเมืองใหญ่ๆ ของโลกหลายเมือง ทั้งในอเมริกา และ EU โดยต้นทางการชวนประท้วงนี้ มาจากมาเลเซี

 

นับเป็นเรื่องแปลกมาก เพราะการจัดประท้วงในมาเลย์นั้น ไม่ได้ง่ายๆ เหมือนไทย รัฐบาลต้องไฟเขียวเท่านั้น จึงจัดได้ ไม่งั้นโดนจับหมด และมาเลย์ก็เพิ่งเสียเครื่องบินโดยสารไป 2 ลำ ที่ยังเป็นปริศนาว่าใครบงการเบื้องหลังจนถึงบัดนี้

 

มาเลย์เป็นประเทศแรกๆ ได้จัดส่งทีมแพทย์เข้าไปที่ฉนวนกาซ่า เพื่อมนุษยธรรม และมาเลย์ยังเป็นประเทศสมาชิกในกลุ่มโอเปคที่ทรงอิทธิพล ในการควบคุมกลไกน้ำมันของโลก

 

มาเลย์เซีย กำลังทำอะไรบางอย่าง เพื่อตอบโต้แบบหลังฉากที่เครื่องบินพาณิชย์เขา 2 ลำถูกใครบางคนก่อวินาศกรรม และเกือบเป็นลำที่ 3 เมื่อสัปดาห์ก่อน เมื่อหอบังคับการบิน สนามบินต่างชาติแห่งหนึ่ง สั่งให้เครื่องบินมาเลย์ MH ขึ้นบินได้ ท่ามกลางเครื่องบินพาณิชย์อีกลำ กำลังลงจอด จนเกือบประสานงากันกลางสนามบิน ไม่งั้นต้องช็อคโลกอีกรอบ

 

มันมีสัญญาณแปลกๆ จากหลายมุมโลก ดังนั้นตำรวจสลายฝูงชน และหน่วยข่าวกรอง ตามจุดเมืองใหญ่ที่นัดชุมนุมเหล่านี้ ควรระมัดระวังที่สุด เพราะหากเกิดใครคลั่ง ทำเบิดพลีชีพขึ้นมา..

 

เมืองทั้งเมืองได้เกิดเหตุจลาจล พินาศย่อยยับ และต้องถึงกับประกาศภาวะฉุกเฉินแน่ๆ ใครที่จะเดินทางไปเมืองเหล่านี้ ตามเวลาท้องถิ่นแต่ละประเทศ ให้ติดตามข่าวสารจากเพื่อนฝูงดีๆ ก่อนด้วย

 

@ เสธ น้ำเงิน4

10385372_331277897039391_1360761422587294489_n.jpg

 

10580135_331277927039388_3454637345139294870_n.jpg

 

10553346_331277943706053_5706820303595734119_n.jpg

 

10580219_331277987039382_8639582805712629107_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10552442_331268320373682_6062841799783389658_n.jpg?oh=6be2faeeef2e72704f77cf781466449e&oe=54581DAB&__gda__=1415096866_8a0d37094a20b79def62a2ee50a830f6

วันที่ 2 ส.ค.57 ทางการจีนยอมรับแล้วว่า มีขีปนาวุธข้ามทวีปติดหัวรบนิวเคลียร์และยิงสหรัฐได้

 

การพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของจีนนั้น แม้กระทำลับๆ ตลอดมา แต่จีนไม่เคยมีการยอมรับ หรือเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง แต่มีสัญญาณแปลกๆ จากทางการจีน เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูง ยอมรับแล้วว่า ที่มณฑลฉ่านซี บ้านเกิดของประธานาธิบดีจีน ศูนย์การทหารของมณฑลแห่งนี้กำลังพัฒนาขีปนาวุธ "ตงเฟิง-41" หรือ DF-41 ซึ่งมีพิสัยทำการ 12,000 กิโลเมตร

นับเป็นขีปนาวุธที่มีรัศมีทำการไกลที่สุดรุ่นหนึ่งของโลก ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเปิดเผยในรายงานต่อทำเนียบขาว เมื่อเดือน มิถุนายน 57 ว่า ขีปนาวุธรุ่นดังกล่าวสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ได้หลายชนิด

 

นับเป็นความเคลื่อนไหวที่แปลกมากของจีน เพราะจีนจะไม่ยอมเปิดเผยความลับการพัฒนาอาวุธทางทหารของตนมาตลอด ตั้งแต่จบสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่นานมานี้ ผู้นำจีนก็เพิ่งเดินสาย ตามติดหมีขาวปูติน ไปอเมริกาใต้ เข้าพบผู้นำบางชาติ ก่อนประชุมกลุ่ม BRICS

 

และตั้งแต่ราววันที่ 10 ก.ค.57 เป็นต้นมา อเมริกา EU ก็มีท่าทีแบบจากหลังเท้า เป็นหน้ามือ กับรัฐบาลไทย ไม่แถลงโจมตี ไม่กดดัน ไม่พูดเรื่องประชาธิปไตย การค้ามนุษย์ การละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอีกเลย เป็นอะไรที่มึนมาก

 

แถมเว็ปไซต์สถานทูตมะกัน กับประเทศ EU ในไทย ก็พร้อมใจกันเอาคำเตือนประชาชนของตนเองในการเดินทางมาไทยออกไป เหลือแค่ออสเตรเลียประเทศเดียว ที่ยังมีคำเตือนเหลือหน้าเพจสถานทูต

 

เกาหลีเหนือขาซี้กับจีน ก็ขู่มะกันว่าจะยิงนิวเคลียร์ใส่ทำเนียบขาว กับเพนตากอน แต่หลายคนก็ปรามาสว่า ของเกาหลีระยะยิงไม่ไกลขนาดนั้น มันกลิ่นตุๆ พิกลสำหรับจีน เขากำลังจะทำอะไรกันแน่

 

จีนยังแค้นญี่ปุ่น จากผลสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนบัดนี้ เพราะทหารเขาตายมาก ขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง ของเกาหลีเหนือ คงยิงใส่ญี่ปุ่นสบายๆ ถ้าจีนขยิบตา และถ้าเจ้าขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยไกล DF-41 นี้มันถูกลักลอบขนไปให้เกาหลีเหนือล่ะ

 

ถ้าจีนหนุนอาวุธนี้ ใช้สงครามตัวแทนเหมือนมะกันบ้าง ประธานาธิปดี คิมจองอึน จะเอามันไปใช้ทำอะไร ?? และจีนก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ เพราะไม่ได้ยิงเอง..อะไรก็เกิดขึ้นได้กับคิมจองอึน ความแค้นจากเลือดพ่อ มันยังเดือดพล่านในกาย และใจของเขาตลอดเวลา

 

คำทำนายนอสตราดามุส ว่าจีนจะชนะสงครามโลกครั้งที่ 3 อาหรับจะปกครองยุโรป โดยใช้อาวุธจากจีน กลิ่นมันเริ่มฉุนขึ้นทุกขณะ

 

@ เสธ น้ำเงิน4

 

tps://www.facebook.com/topsecretthai

 

1907395_331268330373681_2272816180304487087_n.jpg?oh=2434157d7740d5b9575993655950ec15&oe=544D68E1&__gda__=1413879473_421d9ae81493ef59ce9b38a629ec65a3

 

10440206_331268300373684_2485689474223007025_n.jpg

 

13595_331268287040352_7797992963963129268_n.jpg?oh=e30c64c2182606b08cfa4c4e3e2f465c&oe=544AE3B6

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

รองเท้าสมาร์ทช่วยนำทางคนตาบอด

 

Krispian Lawrence และ Anirudh Sharm 2 นักออกแบบชาวอินเดีย ได้ออกแบบรองเท้าอัจฉริยะที่มีชื่อเรียกว่า Lechal เป็นรองเท้าที่ทำงานร่วมกับสมาร์ทโฟนในระบบปฏิบัติการ Android, iOS และ Windows มันจะช่วยนำทางให้กับผู้พิการทางสายตา รองเท้าจะสั่นเพื่อบอกทิศทางในการเดิน และมีระบบเซ็นเซอร์ไว้เตือนสิ่งที่กีดขวางอีกด้วย

_________________________________

 

สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ www.nextsteptv.com

 

ทำอย่างไรถึงจะได้รับข้อความที่ MySci โพสทุกครั้ง ... กดคำว่า "ถูกใจแล้ว" ใต้ "ภาพหน้าปก" จะมีคำว่า "รับการแจ้งเตือน" ให้กดที่คำนี้ จนเห็นเครื่องหมายถูก ปรากฎขึ้น เพียงเท่านี้ คุณก็จะไม่พลาดข้อความดีๆ จาก MySci อีก

 

10460445_10152192589536123_5264815731825869334_n.jpg?oh=14aa7df2ab1ba8747842b350cf4fc874&oe=5459A6D9&__gda__=1413607564_25c473bda99c51bbf128dfe47875eaaf

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

เม็ดเลือดแดงมีอายุกี่วัน

 

เม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ในการส่งถ่ายออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เม็ดเลือดแดงมีขนาดประมาณ 6-8 ไมครอน มีลักษณะค่อนข้างกลม เว้าบริเวณกลางคล้ายโดนัท ไม่มีนิวเคลียส มีสีแดง มีอายุ 110-120 วัน หรือราว 4 เดือน เมื่อเม็ดเลือดแดงแก่ตัวลงจะถูกส่งไปที่ม้ามและถูกทำลาย มนุษย์ที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะมีเม็ดเลือดแดงอยู่ในร่างกายประมาณ 20-30 ล้านล้านเซลล์

_________________________________

 

สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ www.nextsteptv.com

 

ทำอย่างไรถึงจะได้รับข้อความที่ MySci โพสทุกครั้ง ... กดคำว่า "ถูกใจแล้ว" ใต้ "ภาพหน้าปก" จะมีคำว่า "รับการแจ้งเตือน" ให้กดที่คำนี้ จนเห็นเครื่องหมายถูก ปรากฎขึ้น เพียงเท่านี้ คุณก็จะไม่พลาดข้อความดีๆ จาก MySci อีก

 

10565147_10152190580436123_8828129942882896778_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

อากาศยานส่วนบุคคลที่สามารถลงจอดได้ในพื้นที่เฮลิคอปเตอร์

 

Elytron เป็นแนวคิดเครื่องบินส่วนตัว ที่จะทำให้นักบินลงจอดได้ในแนวตั้งเช่นเดียวกับการจอดของเฮลิคอปเตอร์ และสามารถลงจอดในพื้นที่จำกัดได้ โดยมีใบพัดเป็นรูปแบบที่เรียกว่า Proprotor ช่วยในการลงจอดในนวตั้ง ภายในสามารุบรรจุผู้โดยสารได้ 7 ที่นั่ง และเหมาะแก่การใช้ในการเคลื่อนย้ายฉุกเฉิน

_________________________________

 

สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ www.nextsteptv.com

 

ทำอย่างไรถึงจะได้รับข้อความที่ MySci โพสทุกครั้ง ... กดคำว่า "ถูกใจแล้ว" ใต้ "ภาพหน้าปก" จะมีคำว่า "รับการแจ้งเตือน" ให้กดที่คำนี้ จนเห็นเครื่องหมายถูก ปรากฎขึ้น เพียงเท่านี้ คุณก็จะไม่พลาดข้อความดีๆ จาก MySci อีก

 

10563042_10152187133946123_5146441501079734073_n.jpg?oh=2f18557c9a64c48cf43bd4026a81417c&oe=543925C8&__gda__=1412683181_7b16feaef8809bab396757b2fd1780fa

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

สเปรย์ปกป้องโทรศัพท์

 

สเปรย์รูปแบบใหม่นี้อัดแน่นไปด้วยโมเลกุลขนาดเล็กที่จะช่วยปกป้องโทรศัพท์ของคุณจากน้ำต่างไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน กาแฟ หรือแม้กระทั่งรอยขีดขวน เพียงนำสเปรย์พ่นให้ทั่วตัวเครื่อง ก็สามารถป้องกันน้ำและรอยขีดขวดได้ และสามารถจมอยู่ใต้น้ำได้ถึง 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที สำหรับราคาเริ่มต้นอยู่ที่ชุดละ 29.95 เหรียญสหรัฐหรือราว 900 บาท

 

วิดีโอ:

_________________________________

 

สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ www.nextsteptv.com

 

ทำอย่างไรถึงจะได้รับข้อความที่ MySci โพสทุกครั้ง ... กดคำว่า "ถูกใจแล้ว" ใต้ "ภาพหน้าปก" จะมีคำว่า "รับการแจ้งเตือน" ให้กดที่คำนี้ จนเห็นเครื่องหมายถูก ปรากฎขึ้น เพียงเท่านี้ คุณก็จะไม่พลาดข้อความดีๆ จาก MySci อีก

 

 

10511520_10152182140521123_3138888565119308164_o.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...