ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 5, 2014 วันที่ 5 ต.ค.57 ตำรวจปราบจราจลฮ่องกง ทุบม็อบอเมริกาน่วมแต่เช้าตรู่ การชุมนุมประท้วง ขอไปอยู่ในการปกครองชาติตะวันตก ในฮ่องกง ของกลุ่มอ็อคคิวพาย เซ็นทรัล ของอเมริกา ดำเนินมาเป็นคืนที่ 7 แล้ว ได้เกิดการปะทะกันครั้งใหม่ ระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงขอไปอยู่ในการปกครองชาติตะวันตก ในฮ่องกง กับตำรวจปราบจลาจล เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ในย่านชุมชนม๊อกก๊อก ซึ่งมีผู้อาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เนื่องจากผู้ชุมนุมถูกยุยงปลุกปั่นจากแกนนำสายอเมริกา ตำรวจจับกุมผู้ชุมนุม 19 คนและมีผู้บาดเจ็บ เกือบ 20 คน โดยแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มอ็อคคิวพาย เซ็นทรัล ของอเมริกา อ้างว่าทางการต้องการทำให้การชุมนุมของพวกเขาล่มสลาย และยุยงให้ผู้ชุมนุมจึงเข้าล้อมตำรวจ ทำให้ตำรวจต้องใช้ไม้กระบอง และสเปรย์พริกไทยในการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมจนเละตุ้มเป๊ะ แกนนำกลุ่มชุมนุมเผยว่า อาจจะยอมเจรจากับรัฐบาลอีกครั้ง ผู้นำเกาะฮ่องกง กร้าวให้ผู้ชุมนุมสลายการปิดล้อมย่านสำคัญทางธุรกิจ 2 แห่ง และจะใช้มาตรการสลายการชุมนุมที่หนักหน่วง เพื่อให้เกาะฮ่องกงกลับคืนสู่ภาวะปกติในวันจันทร์นี้ ว่าแล้ว ตุ่บ พลั่ก โอ้ย..เกิดขึ้นอีกจนได้ กำลังทหารจีน 6,000 คน ในฐานทัพฮ่องกง กำลังเตรียมออกมาทุบซ้ำ และกำลังทหารจีนบนแผ่นดินใหญ่ เตรียมเสริมกำลังไม่อั้นจำนวน เพื่อจัดการม็อบของชาติตะวันตก @ เสธ น้ำเงิน1 https://www.facebook.com/thailandcoup อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 5, 2014 ปิดหู ปิดตา เตือนภัย..ใครที่ชอบจับปลา แล้วเจอตัวแบบนี้อย่าเข้าไปจับเด็ดขาด เพราะมันไม่ใช่ปลา แต่มันเป็น "งูเห่าบอน" ถูกกัดแล้วตาย พิษเท่างูจงอาง ทราบกันถ้วนหน้านะคะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 5, 2014 (มีการแก้ไข) เอเลน่า Shumilova เป็นทั้งแม่และช่างภาพ รูปถ่ายของเขา ส่วนมากจะเกี่ยวกับลูกของเขา ฟาร์ม และ สัตว์ที่เลี้ยงในฟาร์มของเขา Facebook เมื่อเขากดชัตเตอร์ ตามสัญชาตญาณของเขาภาพถ่ายที่ได้จะเป็นธรรมชาติมากและสวยงามที่สุด http://www.liekr.com/post_132305.html ถูกแก้ไข ตุลาคม 5, 2014 โดย ginger 2 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 ภูมิพะโล มะหาราชา นะวะโม จักกิวังสิโก รัฏฐัปปะสาสะเน พยัตโต นีติจาริตตะโกวิโท สัมพุทธะมามะโก อัคโค สาสะนัสสูปะถัมภะโก ธัมมิโก ทะสะธัมเมหิ รัชชัง กาเรติ สัพพะทา สะวีริโย สะมุสสาโห ทีฆะทัสสี วิจักขะโณ ทัยยานัง วุฑฒิเปกโข โส สันติมัคคะนิโยชะโก เตสัง ทุกขาปะเนตาจะ สะทา สุโข ปะสังหะโร สัพพัตถะ สัพพะทัยยานัง อะติปปิโย มะโนหะโร สัพเพเปเต ปิยายันโต ปิยะปุตเต ปิตาริวะ สัพพะทัยยานะมัตถายะ ฐาเนสุ จะระมัตตะนา สัมมาอาชีวะ โยคัสสะ วิธิง วิเนติ โยนิโส ยา เจสา โลกะนาเถนะ ภาสิตา สะมะชีวิตา อัตตานัง อุปะมัง กัตวา อะนุยุญชะติ ตัง สะทา ทัยยานัง รัฏฐะปาลีนัง เอตัญเจวานุสาสะติ ภิกขูนัง สิกขะกามานัง ปิฏะ กัตตะ ยะ สิกขะนัง สุพพะตัง ภิกขุสังฆัญจะ ภิยโยโส อุปะถัมภะติ อิทาเนโส มะหาราชา ทัยยานัง รัฏฐะวัฑฒะโน สัฏฐิวัสสานิ ธัมเมนะ รัชชัง กาเรติ โสตถินา อีทิเส มังคะเล กาเล เทมัสสะ ชะยะมังคะลัง ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะ เตชะสา จิรัญชีวะตุ ทีฆายุ ทัยยานัง ธัมมะ ขัตติโย วัณณะวา พะละสัมปันโน นิรามะโย จะ นิพภะโย อิจฉิตัง ปัตถิตัง ยัง ยัง ตัง ตัง ตัสสะ สะมิชฌะตุ สะทา ปัสสะตุ ภัทรานิ นิจจัง รัชเช ปะติฏฐะตูติฯ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดี ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และอานุภาพแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากล ดวงพระวิญญาณสมเด็จบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ ได้โปรดอภิบาลรักษาพ่อและแม่แห่งแผ่นดินให้ทรงพระสิริสวัสดิ์ มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ มีพระราชประสงค์ในสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์ดังพระราชหฤทัยปรารถนา สถิตเป็นมิ่งขวัญของปวงข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตราบชั่วนิรันดร์กาล ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ กราบแทบพระบาท Cr อัย อะชิตะ อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 วันนี้ในอดีต : วันที่ 6 ตุลาคม พุทธศักราช 2519 วันคล้ายวันที่ตำรวจและกองกำลังติดอาวุธเคลื่อนเข้าปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีนักศึกษาและประชาชนหลายพันคนร่วมชุมนุมประท้วง เนื่องด้วยกรณีการกลับเข้ามาของจอมพลถนอม กิตติขจร จนเกิดการจลาจล เหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นเหตุการณ์จลาจลและการปราบปรามนักศึกษาและผู้ประท้วง ซึ่งเกิดขึ้นภายในและบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ รวมไปถึงบริเวณท้องสนามหลวง โดยสาเหตุการชุมนุมประท้วงเกิดจากกรณีการเดินทางกลับประเทศของจอมพล ถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เดินทางออกนอกประเทศไปในปี 2516 สืบเนื่องด้วยเหตุการณ์ 14 ตุลา โดยนักศึกษาได้ใช้สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นสถานที่ชุมนุม โดยทางการได้ระบุว่าในการปราบปรามครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 46 คน ซึ่งมีทั้งถูกยิงด้วยอาวุธปืน ถูกทุบตี หรือถูกทำให้พิการ ก่อนหน้าวันที่ 6 ตุลาหนึ่งวัน ได้มีการตีพิมพ์ภาพถ่ายการแสดงละครรำลึกถึงเหตุฆาตกรรมพนักงานการไฟฟ้า 2 คน ซึ่งร่วมปิดโปสเตอร์ประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอม ที่จังหวัดนครปฐม โดยถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตแล้วนำศพไปแขวนคอ โดยการแขวนคอจำลองจัดขึ้นโดยผู้ประท้วงในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนื่องจากนักศึกษาที่แสดงเป็นเหยื่อมีใบหน้าคล้ายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ผู้ประท้วงจึงถูกกล่าวหาว่าตั้งใจแสดงการแขวนคอพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นผลให้ สถานีวิทยุยานเกราะของกองทัพบก นำโดยพ.ท.อุทาร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา และผู้ประกาศคนอื่น กล่าวหาว่า นักศึกษาที่ประท้วงหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และประกาศให้ "ฆ่ามัน" และ "ฆ่าพวกคอมมิวนิสต์" ต่อมาพล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ รองอธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น สั่งการโจมตีในรุ่งเช้าวันที่ 6 ตุลาและอนุญาตให้สามารถยิงอย่างเสรีในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ รวมไปถึงพลตรีประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทยและรองนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นก็ได้แถลงว่า "..ถึงเวลาแล้วที่จะขจัดขบวนการนักศึกษาเป็นครั้งสุดท้าย.." โดยก่อนหน้านั้นก็มีวาทะกรรมเกี่ยวกับการกำจัดนักศึกษาจากพระกิตติวุฒโฑ โดยกล่าวว่า "ฆ่าคอมมิวนิสต์ ไม่บาป" โดยการปฏิบัติการปราบปรามนักศึกษาเริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 5 นาฬิกาของวันที่ 6 ตุลาคม โดยเริ่มแรกได้มีการยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ลงกลางสนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ตำรวจตระเวนชายแดนปิดทางออกทั้งหมดเมื่อเวลาประมาณ 7 นาฬิกา รถบรรทุกของพุ่งเข้าชนประตูใหญ่และตำรวจเร่งเข้าไปในมหาวิทยาลัยได้เมื่อเวลาประมาณ 11 นาฬิกา นักศึกษาหลายคนที่ติดอาวุธเปิดฉากยิงแต่พ่ายไปในเวลาอันสั้น แม้ว่านักศึกษาจะร้องขอให้หยุดยิง แต่พล.ต.ท.ชุมพล โลหะชาละ รองอธิบดีกรมตำรวจ อนุญาตให้ยิงเสรีในมหาวิทยาลัยต่อไป นักศึกษาและประชาชนผู้ร่วมชุมนุมทั้งชายหญิงราว 1,000 คน ถูกบังคับให้ถอดเสื้อนอนลงกับพื้น (ผู้หญิงได้รับอนุญาตให้สวมบราได้) บังคับให้คลานไปตามพื้นสนามหญ้า ทั้งถูกเตะต่อยและรุมทำร้าย หลายคนถูกทุบตีจนเสียชีวิต มีการแขวนศพผู้ที่เสียชีวิตแขวนไว้กับต้นไม้ริมสนามหลวง พร้อมทั้งเตะต่อยใช้เก้าอี้และอุปกรณ์ต่างๆกระทำต่อศพ พร้อมทั้งตะโกนด่าสาบแช่ง มีการนำศพทั้งผู้ที่เสียชีวิตแล้วและบาดเจ็บสาหัสมาเผาสด ๆ ด้วยยางรถยนต์ นักศึกษาแพทย์และพยาบาลที่เป็นสมาชิกหน่วยอาสาสมัคร "พยาบาลเพื่อมวลชน" ก็ถูกฆ่าตาย 5 คน ผู้พยายามกระโดดหนีและผู้ที่กำลังว่ายน้ำหนีในแม่น้ำเจ้าพระยาก็ถูกยิงจากเรือของกองทัพเรืออีกด้วย ทั้งยังมีการกล่าวหาว่าตำรวจและขบวนการกระทิงแดงข่มขืนนักศึกษาหญิงทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิต จนในที่สุดการสังหารหมู่ดำเนินไปถึงเที่ยงจึงสิ้นสุด หลังเหตุการณ์ปราบปราม ตัวเลขอย่างเป็นทางการบ่งว่ามีผู้เสียชีวิตเพียง 46 คน และบาดเจ็บ 167 คน ส่วนป๋วย อึ๊งภากรณ์ อธิการบดีม.ธรรมศาสตร์ขณะนั้น ประมาณผู้เสียชีวิตอย่างไม่เป็นทางการกว่า 100 คน โดยอิงแหล่งข้อมูลจากสมาคมจงหัวซึ่งมีหน้าที่กำจัดศพผู้เสียชีวิต และภายหลังการปราบปรามนักศึกษาแล้ว ได้เกิดมีคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองนำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยต่อมาคณะผู้ยึดอำนาจการปกครองจึงได้แต่งตั้งนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป หลังเหตุการณ์ในครั้งนั้น ไม่มีการจับกุมผู้ลงมือฆ่าและปราบปราม ไม่มีผู้ก่อการคนใดถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่นักศึกษาและประชาชนที่รอดชีวิต 3,094 คนถูกจับกุมภายในวันนั้น ผู้ถูกจับกุมเกือบทุกคนถูกตำรวจรุมซ้อมเมื่อมาถึงสถานที่คุมขัง นอกจากนี้ ยังมีพยานว่า ตำรวจเรียกผู้ถูกจับกุมว่า "เชลย" อันสื่อว่า ตำรวจกำลังทำสงครามกับนักศึกษา ต่อมา ส่วนใหญ่ได้รับประกันตัว แต่ยังเหลือ 27 คนถูกอายัดตัวเพื่อดำเนินคดี พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีสมัยที่ปล่อยตัวผู้ต้องหากล่าวว่า "..แล้วก็ให้แล้วกันไป ลืมมันเสียเถิดนะ.." ส่วนผู้ปราบปราบและกลุ่มต่างๆที่มีส่วนร่วมในการปราบปรามนักศึกษาครั้งนั้น ได้รับความดีความชอบในฐานะผู้พิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยาม อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 สนามหลวงแห่งความทรงจำในอดีต ที่แฝงไปด้วยหลากหลายความรู้สึก ( ย้อนอดีต...วันวาน ) รวมภาพในอดีตเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ All Old Pictures In The Past. อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 ขอบคุณ ... 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 ภาพถ่ายเปรียบเทียบ ถนนเส้นรอบกำแพงวัดโพธิ์ กรุงเทพในสมัยอดีตเคยมีรถรางวิ่ง และภาพในปัจจุบัน (ถนนอาจ คนละมุมกันแต่เพียงแค่นำมาเปรียบเทียบบรรยากาศในยุคนั้น) อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 ฃแฉ..ความลับ shared ทหารปฏิรูปประเทศไทย's status update. วันที่ 5 ต.ค.57 ดับข่าวลือ.. กรณีโทรศัพท์ และ DNA ผู้เสียชีวิตเกาะเต่า สุราษ แก็งค์โคนันปล่อยข่าวลือหน้าแตกยับเยิน จากกรณีคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยว นายเดวิด มิลเลอร์ วัย 24 ปี และ นางสาวฮานนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ วัย 23 ปี นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 15 ก.ย.57 ที่ผ่านมา และจับชาวพม่า 2 คน โดยมีหลักฐานเป็น DNA ตรงกับอสุจิในช่องคลอดของผู้ตายหญิงสาวนั้น ** ดูรายละเอียดลำดับเหตุการณ์ที่https://www.facebook.com/topsecretthai/posts/275473175976050 ต่อมาแก็งค์เสื้อแดงโคนันคุง มีการพยายามปล่อยข่าวลือต่างๆ นาๆ เพื่อพยายามทำให้ประเทศไทยเสียหาย ว่าตำรวจติดตามโทรศัพท์ผู้ตายได้จากผู้ต้องหา แต่โทรศัพท์ดังกล่าวที่คืนเป็นของ "หญิงสาว" ชาวอังกฤษที่เสียชีวิต..ซึ่งปล่อยไก่ตัวเบ่อเร่อเลย เพราะในหลักฐานบันทึกประจำวัน และเอกสารบันทึกทรัพย์สินของผู้ตาย นั้น ทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวหญิง มีโทรศัพท์มือถือ "ไอโฟน 5 สีขาว 1 เครื่อง" ไอแพด 1 เครื่อง และกล้องถ่ายรูป 1 ตัว ซึ่งเพื่อนของเธอได้รับฝากมากผู้ตายหญิง และนำมามอบให้กับตำรวจ ขณะเข้าตรวจค้นห้องพัก ตำรวจจึงได้ส่งมอบให้กับญาติของผู้ตายไปแล้วเมื่อวันที่ 18 ก.ย.57 โดยมีเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษ เป็นพยาน พร้อมลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ที่ สภ.ย่อยเกาะเต่า ถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นที่เพจต้นตอเสื้อแดงที่โพสมั่วๆ เรื่องโทรศัพท์มือถือนี้ หวังดิสเครดิส ผบ.ตร.ที่ไม่ใช่เสืี้อแดง โทรศัพท์ที่เต้าข่าวลือกัน จึง ไม่เกี่ยวกับของกลางในสำนวนคดีอะไรทั้งสิ้น แต่มีการ โพสมั่วๆ หลอกต้มคนหูเบาทั้งประเทศ แถมมีคนหูเบา ใจไม่หนักแน่น ยอมถูกหลอกต้มจนเปื่อย เละเป็นโจ๊ก เพราะความจริงในสำนวนราชการ คือ โทรศัพท์ที่ทางตำรวจยึดได้มาจากผู้ต้องหาที่นำไปทิ้งเพราะใช้ไม่ได้ เนื่องจากคนละระบบกับไทยนั้น เป็นโทรศัพท์มือถือ "ไอโฟน 4 สีดำ 1 เครื่อง" ที่ผู้ต้องหาพม่า 2 คน ได้ล้วงไปจากกระเป๋ากางเกงของนักท่องเที่ยวชายที่เสียชีวิต คนละเครื่องกับที่แก็งค์แดงโคนัน โพสหลอกต้มชาวบ้าน ชาวเมือง แล้วตำรวจสามารถยึดโทรศัพท์มาได้จากใกล้ที่พักผู้ต้องหาชาวพม่า หลังจับกุมคนร้าย ซึ่งเป็นของ "หนุ่มชาวอังกฤษ" ที่เสียชีวิต ไม่ใช้ของผู้หญิงที่ตาย ตามที่สร้างข่าวลือ เต้าข่าวมั่วๆ กัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบ โดยได้มีการส่งประวัติการใช้โทรศัพท์ พร้อมรหัสเครื่องให้กับเจ้าหน้าที่แล้ว เป็นอันว่ากรณีโทรศัพท์เครื่องนี้ แก็งค์แดงโคนัน หน้าแตกยิ่งกว่าริ้วปลาแห้ง และแตกยิ่งกว่าเอาขวดแก้วมาทุบลงพื้นเสียอีก คนเชื่อข่าวลือลวงโลกนี้ ก็พาลหน้าแตกตามกันไปติดๆ ส่วนอีกกรณีเรื่อง DNA แก็งค์แดงโคนัน ก็หน้าแตกซ้ำ เพราะการเก็บ DNA บุคคลต้องสงสัยที่เข้าข่าย กระทำในรัศมี 100 เมตรจนถึง 400 เมตร เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาทยอยทำไปเรื่อยๆ ซึ่งในส่วนของ DNA ของนายเมา ผู้ต้องสงสัยชาวพม่านั้น ได้ถูกเก็บไว้นานแล้วก็จริง เพียงแต่ยังไม่ถึงคิวที่จะตรวจสอบเทียบเคียงกับ DNA ในที่เกิดเหตุ จะไปจับเขาทันทีตอนนั้นไม่ได้ เพราะยังไม่ได้สอบเทียบกับ DNA น้ำอสุจิ ในช่องคลอดหญิงที่ตาย เนื่องจากมี DNA ที่เก็บได้ทั้งหมดกว่า 200 คน และการตรวจ DNA ไม่ใช่ทำขนมครก เพราะในทางวิทยาศาสตร์การตรวจสอบแต่ละครั้งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงจึงทราบผล พวกแก็งค์แดงโคนัน ที่โพสบางคนมั่วบอกตรวจ DNA แล้วทำไมไม่จับเลย โดยที่ไม่เคยมีความรู้ทางนิติเวชมาก่อนเลยว่าขั้นตอนแรกการตรวจครั้งนั้นเขาเก็บ DNA เฉยๆ แต่ยังมีขั้นตอนอีกขั้นถัดไป คือ "การสอบเทียบ" ตามคิว พอไม่รู้ความจริงจุดนี้ ประชาชนทั่วไป ก็โดนแก็งค์แดงโคนันหลอกต้มจนเปื่อยไปอีกรอบ..อายเลย นายเมา ได้รับสารภาพว่าได้ไปนั่งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และเล่นกีตาร์ร่วมกับ นายซอและนายวินจริง แต่กลับบ้านไปหาภรรยาก่อนเกิดเหตุ ผู้ก่อเหตุฆกรรมจึงมี 2 คน ซึ่งในช่วงแรกนายซอ และนายวินไม่ได้หนีออกไปจากเกาะ เนื่องจากคิดว่าตำรวจตรวจดีเอ็นเอแล้วไม่สามารถชี้ตัวได้ว่าตนคือผู้กระทำผิด (คล้ายๆ ที่แก๊งค์แดงโคนันหลอกประชาชนทั้งประเทศ) อีกทั้งหากหนีไปเกรงว่าจะน่าสงสัย เลยเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ ภายในที่พัก อีกทั้งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดรอบบริเวณจุดเกิดเหตุที่มีมากกว่า 350 ตัว โดยมาตรฐานกล้องตัวหนึ่งต้องใช้เวลาตรวจสอบช่วงเวลาก่อน และหลังเกิดเหตุถึง 12 ชั่วโมง แล้วกล้อง 350 ตัว จะต้องใช้เวลานานเท่าไร ?? หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีจำนวนมาก จึงต้องแน่นหนามากที่สุด เพื่อป้องกันการจับผิดตัว อุปสรรคสำคัญอีกอย่างหนึ่งต่อการสืบสวนในคดีนี้คือ ความผูกพันของชาวต่างด้าวบนเกาะเต่า โดยเฉพาะชาวม้ง และชาวยะไข่ ซึ่งมีความรักในชาติพันธุ์อย่างมาก ทำให้การหาข้อมูลเบาะแสคนร้ายของเจ้าหน้าที่ทำได้ยาก เพราะชาวบ้านบริเวณนั้น เป็นชาวต่างด้าว จึงไม่ค่อยให้ความร่วมมือ รวมถึงถุงยางอนามัยที่พบในที่เกิดเหตุ ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร แค่เวลาผ่านไป 24 ชั่วโมง ก็ตรวจผลอะไรแทบไม่ได้แล้ว เพราะสถานที่ท่องเที่ยวมีคนจำนวนมาก และมีขยะชายทะเลจำนวนมากด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่สามารถระบุว่าเป็นการเกี่ยวข้องในคดีนี้ได้ แต่แก็งค์แดงโคนัน ก็พยายามเถ นำไปเป็นข้ออ้างกล่าวโทษคนโน้น คนนี้ ตามแต่ความต้องการของกลุ่มตน ข้อสงสัยทั้งหลายที่เต้าเรืรอง เผยแพร่ข่าวลือกัน ก็ไม่เคยมีในสำนวนคดีทางราชการแม้แต่น้อยนิด ล้วนแต่เมคจินตนาการ และเป็นความเท็จทั้งสิ้น หลักฐาน DNA ทางวิทยาศาสตร์นี้ของผู้ต้องหาชาวพม่า 2 คน และหลักฐาน DNA จากอสุจิในช่องคลอดของผู้ตายผู้หญิง ที่สถาบันนิติ ฯ เก็บไว้ก่อนที่ญาติจะนำศพหญิงผู้ตายกลับประเทศ เป็น DNA เดียวกัน ตรงกัน แค่ DNA ผู้ต้องหา 2 คน ตรงกับ DNA ในน้ำอสุจิช่องคลอดผู้ตาย ไม่ว่าความสงสัยแวดล้อมอะไรทุกอย่างก็จบไปแล้ว ส่วนสูง อาวุธ อะไรทั้งหลาย ล้วนแค่มโนกันไปเอง จะจับช้าหรือเร็ว แต่ผล DNA ตรง ก็คือ ตรง ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น นี่คือไม้ตายของคดี ว่าพม่า 2 คน ข่มขืน และฆ่าชาวอังกฤษจริง บางคนมโนหนักกู่ไม่กลับ เข้าไปอีกว่าทำไมไม่เอาหลักฐาน DNA มาให้ดู ถ้าทำได้แบบนั้น ทุกคดีเป็นหลายแสนคดี เขาก็จะเอาอย่างบ้าง อ้างว่าต้องมาตรฐานเดียวกัน และ ตามกฎหมายไทย การเปิดเผยหลักฐานในคดีต้องทำในศาลเท่านั้น เพราะสำนวนในคดี เจ้าหน้าที่คนไหนเอามาเปิดเผยนอกศาลคือต้องโทษอาญาจำคุก ถ้าอยากรู้ว่าผล DNA เป็นของจริงหรือไม่ ก็ง่ายสุดๆ เวลาศาลนัดพิจารณาคดีนี้ ก็แค่เข้าไปนั่งฟังในศาล ศาลก็จะเรียกผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มาให้การเป็นพยาน ต่อหน้าทุกคนในห้องพิจารณาคดี ถ้าอยากรู้ก็ไปรอฟังด้วยหู ดูด้วยตาช่วงนั้น บางคนฝันเฟื่องไปอีก บอกรอยแผลที่ผู้ตายหลายแผลไม่ใช่รอยจอบ แสดงว่าไม่รู้จริง ถ้าอยากรู้ว่าใช่หรือไม่ ง่ายมากๆ เพียง ลองให้คนอื่นเอามุมจอบสับที่ขา หรือ แขนตนเองสุดแรง ก็จะรู้ว่ารูแผล ก็ลึก และเจาะคมแบบนี้แหละ เพราะมุมจอบนั้นแหลมคมมาก ผนวกกับแรงคนทำ ความเร็วเหวี่ยงจู่โจมทำร้าย จึงเกิดขึ้นลึกและหลายแผล แค่ผล DNA คราบเลือดที่จอบ กับ DNA ผู้ตายตรงกัน แค่นี้แก็งค์แดงโคนัน ก็หน้าแตกอายไปทั่วกาแล็กซี่แล้ว แก็งค์แดงโคนัน อ้างอีกว่าคนกระทำตัวสูงใหญ่กว่าพม่า เพราะต้องต่อสู้กัน นี่ก็มโนไปขั้นเทพ เพราะเหตุเกิดคืนนั้น "ไม่มีการต่อสู้กัน" เพราะผู้ต้องหาพม่า 2 คน ลอบจู่โจมผู้ตายทั้ง 2 คนจากด้านหลัง ขณะเขานั่งพรอดรักกัน โดยการใช้จอบทำร้ายที่หัวก่อน ส่งผลให้รอยแผลจากคมจอบ และแรงกระแทก ทำให้ผู้ตายทั้ง 2 คนหมดสติ และไม่โอกาสต่อสู้อะไรกับใคร ตามที่แก็งค์แดงโคนัน มโน จินตนาการ พยายามให้ได้ที่จะให้มีคนอื่นร่วมฆาตรกรรมต่อสู้กัน ผู้ต้องหาพม่า 2 คน ที่มีโทษถึงประหารชีวิต เขาก็สำนึกผิดและรับสารภาพ ว่าทำกันแค่ 2 คน ถ้ามีคนทำร่วมแก็งค์ฆาตรกรกับเขา 2 คน เขาก็บอกความจริงไปแล้ว คนที่จะต้องโทษถึงประหาร เพราะ DNA มัดเป็นหลักฐาน ไม่มีอะไรต้องเสียอีก ถ้ามีคนอื่นร่วม เขาก็บอกไปแล้ว จะปิดไปเพื่ออะไร ไหนๆ จะตายก็ต้องพาคนที่ทำผิดด้วยกันไปตายด้วย ไม่ดีกว่าหรือ เรื่องอะไรจะยอมตายกัน 2 คน แล้วคนอื่นรอด จับคนร้ายเร็วก็ว่า จับช้าก็บ่น ไม่จับก็ด่า..สรุป คนที่ตำหนิเจ้าหน้าที่ จะไม่ถูกใจอะไรทั้งสิ้นทุกกรณี ตราบที่คนร้ายนั้นไม่ใช่ผู้ที่ตนเองเก็งข้อสอบเข้าไว้ !! ตอนนี้แก็งค์แดงโคนัน พ่ายแพ้ต่อหลักฐาน DNA และหลักฐานในคดีทุกชนิด เรียกว่าอายจนแทบแทรกแผ่นดินมุดหนึไปใจกลางโลก จึงต้องหาวิธีเถตามมุกถนัดเผาไทย และแดงติดอาวุธ นปช. คือ เรียกร้องให้คนไทยไปลงชื่อหางว่าว ให้ชาติตะวันตกมาแทรกแซง ทำลายประเทศไทย หวังเอาชื่อ สกุล คนที่หูเบาไปกรอกลงชื่อทางเว็ป แอบอ้างเอาไปทำหลักฐานปลอม ไปขึ้นเงินเป็นผลงาน สวามิภักดิ์อังกฤษ และชาติตะวันตก ตามที่ตนเองรับ Job งานมาป่วน และเต้าข่าวปล่อยข่าวลือทำลายประเทศไทย คิดตรรกะบ้านๆ ง่ายๆ คนหวังดีกับประเทศไทยที่ไหน จะล่าชื่อคนไทยให้ต่างชาติตะวันตกมาแทรกแซงทำลายประเทศไทย..แค่คิดล่าชื่อทำลายประเทศตนเองก็จบแล้ว !! เอางี้แก็งค์แดงโคนัน มาถกกันเรื่อง DNA สอบเทียบแล้วตรงกันดีกว่า เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงหรอกมันพิสูจน์มโนไม่ได้ เรื่อง DNA นี้แหละ..โป๊ะเชะที่สุดแล้ว เพราะจะกระชากหน้ากากแก๊งค์แดงโคนันคุง...กลายเป็นแก็งค์พิน็อคคิโอ โกหก จมูกยาว !! ก่อนคอมเม้นท์ โปรดอ่านที่หมายเหตุ กติกาของเพจคือ " ห้ามโพสข่าวลือ " อะไรไม่ใช่หลักฐานราชการ ก็คือ "ข่าวลือ" ทั้งสิ้น เป็นการสร้างผลเสียต่อชื่อเสียงประเทศไทย @ เสธ น้ำเงิน2 https://www.facebook.com/thailandcoup อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 วันเกิดตากล้อง อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 ต่อต้าน พรบ ยา ฉบับละเลยประชาชน's photo. 2 hrs · "หยุด" อ่านสักนิดแล้ว "คิด" ดูดีดี #เพราะชีวิตประเมินค่ามิได้ #มีปัญหาเรื่องยาปรึกษาเภสัชกร ต่อต้าน พรบ ยา ฉบับละเลยประชาชน ร่วมกันต่อต้าน พ.ร.บ.ยาที่เป็นพิษร้ายต่อประชาชน ดาวน์โหลดแบบฟอร์มต่อต้าน พรบ.ยา ได้ที่ http://news.pharmacy.psu.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=1001&Itemid=1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 คุณค่าของชีวิต มีขอทานอยู่คนหนึ่ง แขนขวาของเขาขาด เป็นที่น่าสงสารสำหรับผู้พบเห็น ใครพบเจอก็มักจะให้เงินแก่เขา อยู่มาวันหนึ่ง เขาได้เข้าไปขอทานที่บ้าน ของชาวนาหลังหนึ่ง หญิงเจ้าของบ้านขอให้เขาช่วยย้ายอิฐจากหน้าประตู บ้านเข้าไปไว้ยังสวนหลังบ้าน ชายขอทานรู้สึกโมโหเป็นอย่างยิ่ง “คุณก็รู้ว่าแขนผมด้วนยังจะให้ผมขนอิฐอีก คุณนี่่จิตใจโหดร้ายมากแกล้งคน พิการอย่างผมได้ลงคอ! ” จู่ๆ หญิงเจ้าของบ้านก็ได้ก้มตัวลงไปหยิบอิฐด้วยมือข้างเดียว เมื่อนางขนไป ได้รอบหนึ่ง ก็พูดกับชายขอทานว่า “ฉันขนอิฐด้วยมือข้างเดียวได้ ทำไมคุณจะขนไม่ได้!” ชายขอทานน้ำท่วมปากไม่รู้จะพูดอะไรต่อ จึงก้มตัวลงไปขนอิฐให้แก่นางด้วย ความไม่ค่อยจะเต็มใจนัก เขาใช้เวลาขนอิฐไป 2 ชั่วโมงเต็ม ทั้งเหนื่อยหอบ ทั้งเหงื่อไหลไคลย้อย หญิงเจ้าของบ้านได้นำผ้าเช็ดหน้ามาให้เขาหนึ่งผืน เมื่อใช้ผ้าเช็ดหน้าและลำคอ จากผ้าสีขาวก็กลายเป็นผ้าสีดำ นางยังมอบเงิน ให้แก่เขาอีก 100 บาท เมื่อชายขอทานรับเงินก็กล่าวคำขอบคุณ “คุณไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก เพราะนี่คือค่าจ้างที่คุณใช้หยาดเหงื่อแรงกาย แลกมา” เจ้าของบ้านกล่าว “ผมจะไม่ลืมสิ่งที่คุณสอนผมในวันนี้ ขอให้คุณเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไว้เป็นที่ ระลึกเถิด” ชายขอทานกล่าวแล้วก็ขอตัวจากไป ปีหนึ่งในหน้าแล้ง ชายขอทานสวมสูทอย่างสง่างามกลับมาเยี่ยมหญิงชาวนา อีกครั้ง “เมื่อก่อนผมเคยเป็นขอทาน แต่ตอนนี้ผมเป็นเจ้าของกิจการ คุณช่วยสร้าง แรงบันดาลใจของผม วันนั้นหากไม่ใช่เพราะคุณ วันนี้ผมก็คงจะยังเป็นขอ ทานอยู่” อดีตขอทานกล่าว “เพราะคุณเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง ไม่ใช่ฉันหรอก” นางกล่าวออกไป อดีตขอทานได้เสนอมอบตึกแถวห้องหนึ่งให้แก่นาง นางปฏิเสธไม่รับ ทำให้ เขารู้สึกสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร! “เพราะคนที่บ้านของฉันต่างก็ยังทำงานกันได้อยู่อยู่นะสิ!” นางกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม ที่มา : https://www.facebook.com/NusonBooks/photos/a.286417594859673. 1073741828.286409091527190/339903569511075/?type=1&relevant_count=1 เรื่องดีๆ มีข้อคิด : http://on.fb.me/1bB5J4Z สาระน่ารู้ดีๆเรื่องกาแฟ : http://on.fb.me/17FdAN3 มหัศจรรย์เห็ดหลินจือ : http://on.fb.me/17y51Cs ขำขัน มันส์ฮา : http://on.fb.me/1cnaPFM — with เรื่องดีๆ มีข้อคิด อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 สามี.....ฉันไปรับคุณพ่อคุณแม่มาด้วยแล้ว วันแต่งงาน ด้านหน้าโรงแรมสภาพแออัด จอแจยุ่งเหยิง คุณแม่ถามฉันว่า " สองคนที่นั่งอยู่ตรงมุมๆคล้ายขอทานเป็นใคร? " ยามที่ฉันมองไป มีชายชราคนหนึ่งกำลังจ้องฉันอยู่ ด้านข้างยังมีหญิงชรา อีกคน เมื่อรู้ว่าฉันกำลังมองพวกเขารีบก้มหัวลง ฉันไม่รู้จักพวกเขา แต่ก็ไม่ คล้ายขอทาน เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังใหม่อยู่ แม้แต่จีบรอยพับยังมองเห็นได้ คุณแม่บอกพวกเขาคล้ายขอทาน คงเป็นเพราะสาเหตุที่ร่างกายคุดคู้ ดั่ง เป็นโรคกระดูกอ่อน ข้างกายคุณยายมีไม้ท้าววางอยู่ คุณแม่พูดว่า "เทียนฉือ เป็นเด็กกำพร้า ฝ่ายเขาไม่มีญาติมา หากไม่รู้จักก็ไล่พวกเขาออก ไปเถอะ สมัยนี้ขอทานร้ายกาจมาก ชอบมาคอยอยู่หน้าโรงแรม เห็นบ้านไหน จัดงานมงคล ก็จะปลอมตัวเป็นญาติเพื่อมากินดื่มฟรี" ฉันบอกว่าไม่เป็นไรเรียกเทียนฉือมาถามแล้วกัน เทียนฉือลุกลี้ลุกลนจนชน ดอกไม้ที่ฉันกำอยู่ในมือร่วงลงพื้น สุดท้ายเออเออ ออออ บอกว่าเป็นคุณลุง คุณป้าของบ้านเขาเอง ฉันมองค้อนแม่ นึกในใจ เกือบจะไล่ญาติเขาออกไป แล้ว คุณแม่ถามเทียนฉือ "เธอเป็นเด็กกำพร้าไม่ใช่หรือ แล้วญาติมาจากไหนล่ะ?" เทียนฉือเป็นคนที่กลัวคุณแม่ ก้มหัวลงแล้วพูดว่า "เป็นญาติห่างๆเป็นเวลานานแล้วที่ไม่ได้ติดต่อกัน" แต่การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ทางบ้านไม่มีญาติมาสักคน ในใจรู้สึกเจ็บปวด ทุกข์ใจยิ่ง ฉันซบลงที่ไหล่จองเทียนฉือ ตำหนิเขาที่มีญาติมาก็ไม่บอกแต่แรก สมควร ให้พวกเขาย้ายโต๊ะใหม่ ในเมื่อเป็นญาติก็ไม่ควรที่จะไปนั่งที่โต๊ะสำรอง เทียนฉือห้ามไว้แล้วพูดว่า "ให้พวกเขานั่งตรงนั่นเถอะ หากนั่งโต๊ะอื่นแล้วพวกเขาอาจดื่มกินไม่สะดวก" กระทั่งงานเลี้ยงดื่มกินเริ่มแล้ว โต๊ะนั้นก็นั่งเพียงคุณลุงคุณป้าสองคน ตอน ถึงพิธีบ่าวสาวคารวะขอบคุณแขกผู้มาในงาน เดินถึงโต๊ะนั้น เทียนฉือชะงัก ลังเลชั่วครู่ แล้วจูงมือฉันเดินเฉียดพวกเขาไป ฉันหันกลับไปมอง เห็นพวก เขาก้มหัวลงต่ำมาก คิดๆแล้วฉันลากมือเทียนฉือเดินกลับไปหา "คุณลุงคุณป้า พวกเราทั้งสองมาคารวะสุราแก่พวกท่าน" ทั้งสองคนเงยหัวขึ้นมา มีอาการที่ไม่อยากจะเชื่อจ้องมาที่ฉัน ทั้งสองผู้ชรา ล้วนมีเส้นผมที่ขาวโพลน ดูไปแล้วชรามาก อายุน่าจะเจ็ดแปดสิบปีแล้ว ดวงตาคุณป้าว่างเปล่า ถึงแม้ใบหน้าตรงกับฉันแต่แววตาไม่อยู่นิ่ง ฉันลอง เอามือโบกไปมา ไม่มีปฏิกิริยา ที่แท้คุณป้าเป็นคนตาบอด "คุณลุงคุณป้า นี่คือภรรยาผม'เซี่ยวเจี๋ย' พวกเราตอนนี้กำลังคารวะสุราพวก ท่านอยู่" เทียนฉือใช้สำเนียงเสียงคนชนบทย้ำเตือนพวกเขา "ออ ออ" คุณลุงลุกขึ้นมาด้วยท่าทีโอนเอน มือซ้ายเกาะไหล่คุณป้าไว้ มือขวายกถ้วย เหล้าขึ้นมาด้วยความสั่นเทา หลังนิ้วมือเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นเหมือน ดั่งรังไหมสีเหลืองๆ เล็บหนาๆในร่องยังคงไว้เศษดินดำๆ วันเวลาที่ผ่านไป หน้าสู้ดินหลังสู้ฟ้า ทำให้เอวของพวกเขาโค้งงอแล้ว ฉัน ตะลึงเมื่อเห็นว่าขาขวาของคุณลุงนั้นว่างเปล่า คุณป้าตาบอดคุณลุงพิการ เป็นคู่สามีภรรยาแบบไหนกันน่ะ? ไม่ต้องยืนขึ้น พวกท่านนั่งลงเถอะ ฉันเดินไปประคองพวกเขา คุณลุงส่าย ไปมาแล้วแล้วนั่งลง คุณป้าไร้สาเหตุอยู่ๆก็สะอึ้นร้องไห้ คุณลุงลูบหลังเธอ เบาๆโดยไม่พูดอะไร คิดจะปลอบใจพวกเขาแต่เทียนฉือลากฉันออกมาก่อน ฉันพูดกลับเทียนฉือว่า "รอเวลาที่พวกเขากลับบ้าน ให้เงินไปบ้างเถอะ น่าสงสารมาก พิการทั้งสอง คน คิดไม่ตกว่าพวกเขามีความเป็นอยู่อย่างไร" เทียนฉือพยักหน้าไม่พูดอะไร โอบกอดฉันแน่น วันส่งท้ายปีเก่าปีแรกหลังแต่งงาน เทียนฉือบอกว่า ปวดกระเพาะไม่กินข้าว เย็นก็เดินกลับไปนอนที่ห้อง ฉันให้คุณแม่ช่วยเคี่ยวข้าวต้มแล้วก็ตามเข้าไป ในห้อง เทียนฉือนอนอยู่บนเตียงนัยต์ตายังมีน้ำตาคลออยู่ ฉันบอก "เทียนฉือไม่ควรทำแบบนี้ วันสิ้นปีปีแรกก็ไม่อยู่ทานข้าวเย็นร่วมกัน ซ้ำมาที่ ห้องยังทำตัวเยี่ยงนี้อีก ทำอย่างกับว่า ทางบ้านฉันปฎิบัติไม่ดีต่อเธอ ขอให้ เป็นวันเทศกาลเธอก็จะปวดกระเพาะ ไฉนเลยจะมีเรื่องประจวบเหมาะเช่นนี้ ที่จริงแล้วฉันรู้ว่า เธอไม่ได้ปวดกระเพาะ พูดซิ มันเรื่องอะไรกันแน่?" เทียนฉือเงียบไปนานแล้วจึงพูดว่า "ขอโทษ เขาเพียงแค่คิดถึงคุณลุงคุณป้า และพ่อแม่ที่จากไปแล้ว กลัวว่า อยู่ที่โต๊ะทานข้าวแล้วกลั้นไม่อยู่ ทำให้พ่อแม่ไม่พอใจได้ ถึงอ้างว่าปวดกระ เพาะ" ฉันกอดเขาไว้แล้วพูดว่า "ช่างเป็นเด็กที่โง่นัก คิดถึงพวกเขา หลังปีใหม่แล้วพวกเราไปเยี่ยมพวกเขา ก็ได้ อีกอย่างฉันก็อยากรู้นักว่า พวกเขาใช้ชีวิตความเป็นอยู่กันอย่างไร" เทียนฉือบอก "ช่างเถอะ ถนนในป่าเส้นนั้นเดินทางลำบากมากเธอจะเหนื่อยเสียก่อน หาก วันหน้าสร้างถนนใหม่แล้ว พวกเรามีเด็กแล้ว ค่อยพาเธอไปหาพวกเขาก็ แล้วกัน" ในใจฉันอยากจะพูดว่า: รอพวกเรามีเด็กแล้ว เวลานั้นพวกเขายังจะมีชีวิตอยู่ หรือเปล่ายังไม่รู้เลย แต่ไม่กล้าพูดออกมา ได้แต่พูดว่า "ส่งเงินและสิ่งของไปให้บ้างก็แล้วกัน" ปีที่สอง ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฉันประจวบเหมาะมีภารกิจอยู่ที่อื่น วัน ไหว้พระจันทร์ไม่สามารถกลับบ้านได้ ฉันคิดถึงเทียนฉือและพ่อแม่เป็นพิ เศษ ฉันเลยคุยโทรศัพย์กับเทียนฉืออย่างยาวนาน ฉันถามเทียนฉือ "หากคิดถึงฉันจนนอนไม่หลับจะทำยังไง?" เทียนฉือบอกว่า "เล่นเน็ตหรือไม่ก็ดูทีวี ไม่ไหวอีกก็นอนลงถ่างตาไว้แล้วคิดคิด คิดตะบี้ตะ บันคิด" คืนนั้น พวกเราคุยกันจนกระทั่งมือถือร้อนและแบตหมด นอนอยู่บนเตียงใน โรงแรม มองดวงจันทร์กลมๆนอกหน้าต่าง ฉันยังไงก็นอนไม่หลับ ถ่างตา แล้วน้ำตาไหลเพราะคิดถึงเทียนฉือ คิดถึงคุณพ่อ คิดถึงคุณแม่ คิดว่าเทียนฉือ ก็น่าจะนอนไม่หลับ ไม่แน่อาจจะกำลังท่องเว็บอยู่บนเน็ต พลิกตัวแล้วฉันก็เปิดเครื่องคอมฯ ยื่นขอสมัครเป็นสมาชิกใหม่ โดยใช้ชื่อว่า "อ่านคุณ" คิดจะหยอกล้อเทียนฉือ หาอยู่สักครู่ เทียนฉืออยู่จริงๆ ฉันเป็น ฝ่ายยื่นคำขอเป็นเพื่อนเอง เขายืนยันรับไว้ ฉันถามเขาว่า "วันดีดีที่ทุกครอบครัวสังสรรค์กัน เธอทำไมมาท่องอยู่บนเน็ตล่ะ?" เขาพูดว่า "เป็นเพราะภรรยาผมติดภารกิจอยู่ข้างนอก คิดถึงเธอจนนอนไม่หลับ เลย มาท่องเน็ต" ฉันพอใจกับคำพูดนี้มาก ก็พิมพ์ต่อไปว่า "ภรรยาไม่อยู่บ้าน สามารถหาคนรักอื่นบนเน็ตทดแทนชั่วคราวก็ได้" ครึ่งค่อนวันเขาถึงเคาะออกมาว่า "หากคุณคิดจะหาคนรักบนเน็ต ขอโทษ ผมไม่ใช่คนที่คุณต้องการหาลาก่อน" "ขอโทษ ฉันไม่ใช่จะสื่อความหมายเป็นแบบนั้น คุณอย่าพึ่งโมโห" ปา ปา ปา ฉันรีบกดส่งออกไป ผ่านไปสักครู่ เขาถามฉัน "แล้วทำไมคุณก็ท่องอยู่บนเน็ตล่ะ?" ฉันพูดว่า "ฉันทำงานอยู่ข้างนอก เวลานี้คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ สักครู่ที่ผ่านมาพึ่งคุยโทร ศัพย์กับเพื่อนผู้ชายเสร็จ ก็ยังนอนไม่หลับ เลยมาเข้าเน็ต" "ผมก็คิดถึงพ่อแม่ แต่ว่าท่านไม่ได้อยู่ด้วย ลูกต้องการเลี้ยงดูแต่ทำไม่ได้ " "ท่านไม่ได้อยู่ด้วย ลูกต้องการเลี้ยงดูแต่ทำไม่ได้ พูดยังไง?" ฉันเอาคำพูดนี้พิมพ์ซ้ำกลับไป ฉันรู้สึกมึนงง เทียนฉือทำไมถึงพูดอะไรออก มาเช่นนี้ ? "คุณชื่อว่า ' อ่านคุณ ' วันนี้ผมก็จะให้คุณได้อ่านสักครั้งแล้วกัน เรื่องบางเรื่อง เก็บไว้ในใจนานๆอาจจะป่วยไข้ได้ หากได้ระบายออกมาบ้างอาจจะสบายขึ้น อีกทั้งยังไงเธอและผมก็ไม่รู้จักกัน เธอก็คิดเสียว่า ฟังนิทานไปเถอะ" จากนั้น ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับรู้เรื่องราวต่างๆที่เทียนฉือเก็บไว้ก้น บึ้งของหัวใจตลอดมา "สามสิบปีที่แล้ว พ่อของผมอายุใกล้ห้าสิบแล้วยังไม่ได้แต่งงาน เป็นเพราะ ว่าขาพิการอีกทั้งทางบ้านก็ยากจน จึงไม่มีสาวใดยอมแต่งงานด้วย จากนั้น มีชายชราขอทานจูงผู้หญิงตาบอดมาที่หมู่บ้าน ชายชราป่วยหนักมาก พ่อ เห็นแล้วก็สงสารพวกเขาจึงให้มาพักที่บ้านตนเอง แต่ไม่คิดเลยว่าชายชรา นั้นตั้งแต่เข้ามาในบ้านก็ป่วยจนไม่เคยลุกขึ้นมาได้เลย หลังจากนั้นลูกสาว ของชายชราก็คือหญิงสาวที่ตาบอด ได้แต่งงานกับพ่อของผม ปีถัดมาได้ให้กำเนิดผม บ้านผมมีฐานะที่ยากจน แต่ทว่าผมไม่เคยอดแม้แต่ มื้อเดียว พ่อกับแม่ทำนาไม่ได้ไม่มีรายได้จึงรับจ้างคนอื่นปอกข้าวโพด หลัง จากปอกมาทั้งวันทั้งสิบนิ้วพุพองห้อเลือด วันรุ่งขึ้นใช้ผ้าพันแล้วปอกต่อ เพื่อให้ผมได้ไปโรงเรียน ที่บ้านเลี้ยงแม่ไก่ไว้สามตัว สองตัวออกไข่ไว้เพื่อ ขาย อีกตัวออกไข่เพื่อให้ผมกิน แม่บอกว่า ตอนยังขอทานอยู่ในเมืองได้ยิน มาว่าเด็กที่ไปโรงเรียนล้วนกินไข่ไก่ ลูกบ้านเราก็ต้องกิน วันหน้าจะได้ ฉลาดกว่าเด็กในเมือง แต่พวกท่านไม่เคยกินเลย มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมเห็นคุณแม่ตอกไข่ลงหม้อแล้ว จากนั้นใช้ลิ้นเลียไข่ขาวที่ คงเหลืออยู่ในเปลือก ฉันกอดแม่แล้วร้องไห้ใหญ่ บอกว่า ต่อไปไม่ว่ายังไง จะไม่ยอมกินไข่อีกแล้ว คุณพ่อเมื่อรู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว โมโหจนจะเอา ไม้ตีคุณแม่ สุดท้ายผมยอมประนีประนอม ต่อไปเราสามคนจะต้องกินด้วย กัน ถึงแม้พวกท่านจะเห็นด้วย แต่ทุกครั้งพวกท่านก็แค่ทำเป็นพิธี เอาฟัน แตะๆเท่านั้น ผู้คนในหมู่บ้านไม่เคยเรียกชื่อของผม ล้วนเรียกผมว่า คนของบ้านคนตา บอดขาพิการ คุณพ่อคุณแม่ได้ยินใครเรียกผมเช่นนั้น มักจะไล่ตีผู้นั้นอย่าง ไม่คิดชีวิต คุณแม่มองไม่เห็นก็จะหยิบเศษอิฐทุ่มมั่ว ปากก็ด่าว่าไอ้พวกชั่ว ร้าย พวกเราตาบอดขาพิการ แต่เด็กของเราสมบูรณ์ไม่ยอมให้พวกเจ้า เรียกเช่นนั้น อนาคตข้างหน้า พวกแกไม่มีสักคนที่จะมาได้ดีกว่าเด็กของ เราได้ ปีนั้นผลการสอบชั้นมัธยม เด็กของบ้านคนพิการสอบได้อันดับหนึ่งของจัง หวัด ข่าวแพร่สะพัดออกไป ทำให้คุณพ่อคุณแม่แสนภูมิใจ เชิดหน้าชูตาได้ เป็นครั้งแรก ทางอำเภอช่วยออกค่าเล่าเรียนและอีกจิปาถะให้แก่ครอบครัว เรา วันที่ส่งผมไปเรียน คุณพ่อเป็นครั้งแรกที่ได้ออกจากป่า ตอนขึ้นรถน้ำตาผม ไหลไม่หยุค คุณพ่อมือหนึ่งถือไม้ท้าวค้ำยันอีกมือเช็ดน้ำตาให้ผม พูดว่าเข้า เมืองแล้วต้องตั้งใจเรียน จากนั้นก็หางานทำในเมืองแล้วแต่งงานซะ คนอื่น ถามถึงพ่อแม่ของลูก ลูกก็บอกเขาไปว่า ลูกเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่มิเช่น นั้นแล้วคนอื่นจะดูถูถลูกได้ โดยเฉพาะการหาคู่แต่งงาน เธอจะดูแคลนได้ จะทำให้เจ้าพลาดการมีคู่ครอง เช่นนั้นแล้วจะทำให้ข้าไม่มีหน้าไปพบบรรพ บุรุษ คุณพ่อ ผมขอร้องคุณพ่ออย่าพูดอีกเลย นี่มันอะไรกัน ยังไม่ทันไรเลย ก็ให้ ผมอย่ายอมรับความเป็นพ่อแม่ลูกกันแล้ว คุณแม่ก็พูดขึ้นมาว่า นี่เป็นเรื่อง จริงต้องเชื่อฟัง ลูกจำไม่ได้แล้วหรือ ตอนอยู่โรงเรียน เพียงแค่บอกว่า ลูก เป็นคนของบ้านคนพิการ คนอื่นก็มองลูกด้วยสายตารังเกียจแล้ว แรกเริ่ม แม้แต่คุณครูก็ไม่ปลื้มลูก ฉะนั้นต่อไปวันข้างหน้าหากพาสาวคู่ครองในเมือง กลับมาบ้าน ก็ให้บอกไปว่า พวกเราเป็นแค่ลุงเป็นป้า คุณแม่พูดจบก็ปาด น้ำตา คุณพ่อพูดต่อว่า อย่าพาคู่ครองมาที่บ้าน หากพามาแล้ว แม่ของลูก อั้นไม่อยู่ต้องเผยความลับออกมาแน่ จากนั้น นำไข่สิบกว่าฟองไว้บนอกผม แล้วจูงคุณแม่จากไป" น้ำตาฉันไหลออกมาไม่หยุค ความพิการไม่ใช่ความผิดของพวกท่าน นั้นเป็น เพราะสวรรค์ไร้ความยุติธรรม แต่ทว่า พวกท่านก็ได้ให้กำเนิดเทียนฉือที่สม บูรณ์ออกมา เทียนฉือคนโง่คนนี้มีพ่อแม่เช่นนี้ งดงามสมบูรณ์ไร้ที่ติอีกแล้ว ฉันโมโหมาก ทำไมเขาถึงมองฉันจะเป็นคนอย่างที่เขาคิด "งั้นหลังจากนั้น เธอก็บอกคู่ครองว่าพวกท่านเป็นลุงเป็นป้าหรือ?" ฉันพิมพ์คำถามนี้กลับไป "อันที่จริงผมก็ไม่เชื่อที่พวกท่านพูดไว้ คู่ครองของผมต้องการนั้นคือตัวผม ไม่ใช่พ่อ แม่ผม ทำไมถึงไม่สามารถยอมรับว่าเป็นพ่อเป็นแม่ได้ ทว่าผมจาก บ้านมาสิบปี คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยไปหาผมที่โรงเรียนแม้แต่ครั้งเดียว ปีแรกที่ผมทำงานแล้วผมคิดที่จะพาพวกท่านไปเที่ยวเล่นในเมือง พวกท่าน ไม่ยินยอม บอกว่า หากให้ผู้อื่นรู้ว่ามีพ่อแม่ที่พิการจะทำให้ผมเสียหน้า มีผล กระทบต่อการที่จะมีคู่ครอง ซึ่งชีวิตพวกเขาอยู่แต่ในป่าไม่คิดที่จะจากไป แล้ว คุณแม่ยังพูดด้วยว่า ตัวท่านนี่แหละที่มาจากตัวเมือง ก็ไม่รู้สึกว่าในตัว เมืองมีอะไรดี หลังจากนั้น ผมมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ยามที่ผมเห็นว่าถึงเวลาแล้ว เลยพา เธอกลับบ้านสักครั้ง ใครจะคาดคิด เมื่อถึงบ้านแล้วแม้แต่ข้าวมื้อเย็นก็ไม่อยู่ กินด้วยก็ไปแล้ว ผมไล่ตามไปเธอพูดว่า ใช้ชีวิตอยู่กับคนแบบนี้แม้เพียงวัน เดียวเธอก็อยู่ไม่ได้ ซ้ำยังพูดว่า ต้นกำเนิดของคนในบ้านผมมีปัญหาวันหน้า มีลูกด้วยต้องไม่แข็งแรงแน่ ผมโมโหมากให้เธอไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี กลับ มาถึงบ้าน คุณแม่นั่งร้องไห้ คุณพ่อก็ด่าผม หาว่าไม่เชื่อฟังท่าน ต้องการให้ ไร้ผู้สืบสกุลหรือไง? หลังจากนั้น ผมก็ได้คบเพื่อนหญิงคนที่สอง ซึ่งก็คือคนที่เป็นภรรยาผมใน ปัจจุบัน ผมรักเธอมาก แม้ยามฝันยังกลัวสูญเสียเธอไป อีกทั้งครอบครัวเธอ ร่ำรวยเงินทอง ญาติๆก็เป็นบุคคลชั้นสูงในสังคม เคยมีประสบการณ์ครั้ง ก่อนหน้า ผมหวาดกลัวมากจึงจำต้องอกตัญญู ทว่ายามถึงวันปีใหม่หรือเทศ กาลต่างๆ ผมมักจะคิดถึงพวกท่าน ขอบคุณเธอมากที่รับฟังผมระบายมาตั้ง มากมาย ตอนนี้จิตใจผมสบายขึ้นเยอะเลย" หลังออกจากเน็ตฉันยังคงไม่มีความง่วง คนเรามักกล่าวกันว่าบุตรไม่รังเกียจ ที่มีมารดาขี้เหร่ สุนัขไม่รังเกียจครอบครัวที่ยากจน ดูซิ!พวกเราทำอะไรไว้? ฉันเข้าใจเทียนฉือที่ไม่สามารถทำอะไรได้ และ เข้าใจความทุกข์ภายในใจ คุณพ่อคุณแม่ของเขา แต่ ใครจะรู้บ้างว่า ทำให้ฉันที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่มาก่อน หน้า ต้องตกลงไปในวังวนห้วงแห่งความไร้รักไร้คุณธรรมไปด้วย ยามท้องฟ้าใกล้แจ้ง ฉันเดินไปเคาะห้องผู้จัดการแผนก บอกเขาว่า ต่อจาก นี้ทุกเรื่องราวในภารกิจที่คงเหลือ ให้เขามีอำนาจเด็ดขาดในการจัดการเรื่อง ราวที่คงเหลือ ฉันมีธุระจำเป็นต้องรีบไปจัดการให้แล้วเสร็จ ภารกิจที่เหลือ ก็ขอไหว้วานคุณแล้วกัน จากนั้นฉันจัดเก็บสัมภาระอย่างเรียบง่ายแล้วตรง ดิ่งไปที่สถานีรถ ยังดี ที่ยังทันรถเที่ยวแรก ถนนสายนั้นเดินทางด้วยความยากลำบากจริงๆ แรกเริ่มขายังพอมีกำลัง แต่ หลังจากนั้น เท้าเสียดสีจนพุพอง เดินแทบไม่ไหวอีกต่อไป เป็นช่วงเที่ยง วันพอดี แดดก็จ้ามาก ฉันได้แต่หอบหายใจ น้ำดื่มที่เอามาก็ดื่มแทบหมด แล้ว อีกทั้งฉันไม่รู้ว่า หนทางข้างหน้าอีกยาวไกลเพียงใด ถอดรองเท้าออก บีบเค้นจุดพุพอง ยามนั้นเจ็บปวดจนฉันร้องเสียงหลงออกมา อยากโทรศัพย์ให้เทียนฉือมารับฉันกลับบ้านจริงๆ ท้ายสุดก็อดทนไว้ได้ เก็บ ดอกต้นกกข้างทางมารองไว้ใต้เท้า รู้สึกสบายขึ้นมาก คิดถึงคุณพ่อคุณแม่ ของเทียนฉือยังทำงานหนักอยู่ที่บ้าน ขาเกิดพละกำลังขึ้นมาทันทีลุกขึ้นยืน แล้วเดินต่อไป ตอนที่หัวหน้าหมู่บ้านพาฉันมาถึงประตูบ้านของเทียนฉือ แดดยามเย็นที่ถูก แผดเผามาก่อนหน้าแดงฉาน กำลังส่องไปที่ต้นพุทราแก่ที่อยู่หน้าบ้าน ใต้ ต้นพุทราคุณลุงนั่งอยู่ อ้อ.. ไม่ใช่ซิ..ต้องเป็นคุณพ่อของเทียนฉือถึงจะถูถ คุณพ่อเมื่อเทียบกับงานแต่งงานแก่ไปอีกมาก มือยังคงปอกข้าวโพดอยู่ ไม้ ท้าววางอย่างสงบพิงกับขาข้างที่พิการ คุณแม่คุกเข่ากับพื้น เพื่อเตรียม กวาดเก็บเมล็ดข้าวโพดที่ตากแดดแห้งแล้ว กำลังใช้มือกวาดเข้าหาตัวเอง นี่! เปรียบเสมือนเป็นภาพวาด ภายในภาพวาดก็คือ พ่อแม่ที่งดงามสมบูรณ์ ที่สุดในปฐพี ฉันเดินเข้าหาพวกท่านทีละก้าวๆ คุณพ่อมองเห็นฉัน ข้าวโพดที่ยังกำอยู่ใน มือพลัดตกสู่พื้น ปากอ้าค้าง แล้วถามด้วยความตกตะลึง "เธอ..เธอทำไมถึงได้มานี่?" คุณแม่ที่อยู่ข้างๆ คล่ำหาแล้วถาม:พ่อ.. "ใครมาเหรอ?" "เทียน.....คนของบ้านเทียน.....เทียนฉือ หา! อยู่.....อยู่ไหน?" คุณแม่ตื่นตกใจหาทิศทางที่ที่ฉันยืนอยู่ ฉันโค้งงอเอว วางกระเป๋าลง จาก นั้นจับมือท่านไว้ ต่อหน้าพวกท่านแล้ว ฉันพกพาความละอายเจ็บลึกๆที่อยู่ในใจคุกเข่าลงโครม: "พ่อ แม่ ! ฉันมารับพวกท่านกลับบ้านแล้ว !" คุณพ่อไออย่างแห้งๆสองครั้ง น้ำตาไหลลงอาบแก้มที่เต็มไปด้วยริ้วรอย "ข้าบอกแล้ว ลูกของข้าข้าไม่ได้เลี้ยงเปล่า" คุณแม่เอามือทั้งสองข้างถูกับร่างตัวเองไปมา จากนั้นโอบกอดฉันไว้ น้ำตา เป็นสายๆไหลออกจากนัยต์ตาที่ว่างเปล่าอุ่นๆไหลลงสู่ต้นคอของฉัน ยามที่ฉันพาคุณพ่อคุณแม่ออกจากหมู่บ้าน มีการจุดประทัดฉลองด้วย ฉันได้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกภูมิใจเชิดหน้าชูตาอีกครั้ง ตอนเทียนฉือเปิดประตู ออกมา เห็นหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาที่ยืนอยู่ข้างกายฉันคือคุณพ่อคุณแม่ตกใจไม่ น้อย ยืนตะลึงอยู่เช่นนั้นพูดอะไรไม่ออกสักคำ ฉันพูด " เทียนฉือ ฉันคือคนที่ใช้ชื่อว่า ' อ่านคุณ ' ฉันรับคุณพ่อคุณแม่เรากลับมา แล้ว คุณพ่อคุณแม่ที่งดงามสมบูรณ์เยี่ยงนี้ ทำไมเธอถึงยอมที่จะใหัพวก ท่านอยู่ในป่าล่ะ?" "ขอบคุณ " เทียนฉือสะอึ้นร้องไม่เป็นเสียง โอบกอดฉันไว้แน่น เหมื่อนคุณแม่ของเขาที่ น้ำตาอุ่นๆไหลอาบต้นคอฉัน อ่านแล้วซาปซึ้งใจ ผู้ที่รักพ่อแม่ของตนเอง บุตรที่มีความกตัญญูทั้งหลาย แชร์บทความนี้ต่อๆกันไป ผู้คนทั้งหลายจะได้ปรนนิบัติดูแลพ่อแม่ด้วยดี ที่มา : https://www.facebook.com/photo.php? ขำขัน มันส์ฮา : http://on.fb.me/1cnaPFM — with เรื่องดีๆ มีข้อคิด อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 LOVE IS 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
yot111 510 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ ตุลาคม 6, 2014 หวัดดีวันจันทร์คับคุณ ginger เพื่อนๆ The Pacu Fish [ปลาปาคู] เป็นสัตว์กินพืช จะมีฟันเหมือนคน ไม่แหลมคม ที่จริงมนุษย์เราคือสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ หากเป็นสัตว์กินเนื้อจะมีฟันแหลมคม สัตว์บก เช่น สิงห์โต สัตว์น้ำ เช่น ปลาปิรันยา 2 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น