ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
aunson

บรรยากาศทองคำ ณ ช่วงเวลานี้ BY Rจานอั๋น

โพสต์แนะนำ

ขอบคุณมากครับ ได้ข้อมูลจากอ.อั๋น แล้วอุ่นใจจัง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

'ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี'เปิดโปงยุทธวิธีฟาดกำไรเข้ากระเป๋าของเหล่า'เสือหิวเฮดจ์ฟันด์'จ้องหาจังหวะจากความบกพร่องของตลาด

 

เปิดไปแล้วสำหรับประวัติของ ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้มีดีกรี MBA เอกบริหารพอร์ตโฟลิโอจาก UCLA อดีตผู้บริหารระดับสูง บมจ.จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ กบข. และฟิทช์ เรทติ้งส์ รวมถึงเคยมีประสบการณ์ทำงานที่ จาร์ดีนเฟลมมิ่ง แอสเซท แมเนจเม้นท์ ที่ฮ่องกง ทำให้รู้จักใกล้ชิดกับ กองทุนเฮดจ์ฟันด์มากมาย ซึ่งตอนนั้นกองทุนเสือหิวกำลังมุ่งหน้าเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในภูมิภาคเอเชีย ประกอบกับ "หม่อมกร" เลือกทำวิทยานิพนธ์ตีแผ่ตัวตนของเฮดจ์ฟันด์ตอนเรียนปริญญาโทใบที่สองที่คณะเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวได้ว่า เขาเป็นผู้ที่รู้จักกับเฮดจ์ฟันด์มากที่สุดคนหนึ่งของไทย

 

ปรัชญาพื้นฐานที่ทำให้กองทุนเฮดจ์ฟันด์เข้ามาแสวงหาประโยชน์ได้นั้น ม.ล.กรกสิวัฒน์ อธิบายว่า เป็นเพราะระบบต่างๆ ในโลกไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ เมื่อมี "จุดอ่อน" ก็ย่อมมีคนหาประโยชน์จากความไม่สมบูรณ์นี้ สรุปง่ายๆ เฮดจ์ฟันด์เกิดขึ้นจากความบกพร่องของระบบทุนนิยม ยิ่งเฮดจ์ฟันด์เบ่งบานยิ่งตอบคำถามได้ว่าระบบยิ่งมีความไม่สมบูรณ์มากขึ้น และมีคนมาหาผลประโยชน์มากขึ้น จากความไม่สมบูรณ์นั้น

 

การจัดตั้งเฮดจ์ฟันด์ส่วนมากจะไปจดทะเบียนนิติบุคคลกันที่ประเทศที่มี Tax Haven (ปลอดภาษี) อย่างหมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น เกาะเคย์แมน ฯลฯ วัตถุประสงค์เพื่อหลบเลี่ยงการถูกตรวจสอบ ซึ่งประเทศพวกนี้จะจำกัดเฉพาะนักลงทุนที่ "กระเป๋าหนัก" เท่านั้น ส่วนพวกที่กระเป๋าไม่หนักอาจจะต้องไปลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนอื่นที่ไปซื้อหน่วยลงทุนของเฮดจ์ฟันด์อีกที

 

ข้อได้เปรียบของเฮดจ์ฟันด์ ก็คือ ผู้จัดการกองทุนสามารถก่อหนี้ (Leverage) ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะทำให้ได้กำไรหรือขาดทุน ได้มากกว่าการลงทุนแบบปกติ ยิ่งมีสัดส่วนการใช้ Leverage ต่อทุนสูงมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีความเสี่ยงและโอกาสได้กำไรเพิ่มมากขึ้น เช่นมีส่วนของทุนเพียง 1,000 ล้านดอลลาร์ อาจจะไปกู้ยืมมาทำให้กองทุนมีขนาดใหญ่ 5,000-10,000 ล้านดอลลาร์ ได้เลยทีเดียว

 

 

หม่อมกร เล่าต่อว่า พวกเฮดจ์ฟันด์จะมีผู้ช่วยคนสำคัญ คือ Prime Broker เนื่องจากการตั้งเฮดจ์ฟันด์มักจะเกิดขึ้นจากคนเพียงไม่กี่คนและจ้างลูกน้องไม่เยอะ พวกนี้จะไปจ้าง Prime Broker เป็นแบ็คออฟฟิศให้ทั้งระบบ เช่น งานบัญชี ส่วนผู้จัดการกองทุนมีหน้าที่เพียงแค่คิดว่าจะลงทุนอะไรดีเท่านั้น

 

ถามว่า Prime Broker คือใคร ก็คือพวกวาณิชธนกิจใหญ่ๆ ระดับโลกอย่าง เลแมน บราเธอร์ส, เมอร์ริล ลินช์ ฯลฯ พวกนี้ นอกจากช่วยเฮดจ์ฟันด์ทำงานแล้วยังพร้อมจะ "ปล่อยกู้" ให้ด้วย โดยเอา "พอร์ตลงทุน" เช่น หุ้น ตราสารหนี้ พันธบัตรมา "ตึ๊ง" (จำนำ) ไว้ หรือเฮดจ์ฟันด์จะ "ยืมหุ้น" จาก Prime Broker มาขาย Short ก็ได้ ซึ่ง Prime Broker ก็จะมีลูกค้ามา

 

ซื้อขายหุ้นกับตัวเองมากมาย จึงมีหุ้นทุกตัวให้เฮดจ์ฟันด์ "ยืมไปขายก่อน" พวกนี้ก็นอนกิน "ค่าธรรมเนียม" รวยเละ!!

ไม่เพียงวาณิชธนกิจใหญ่ๆ สนับสนุนให้เฮดจ์ฟันด์เติบโตแล้ว ธนาคารพาณิชย์ ยังมีส่วนร่วมในการ "ปล่อยกู้" ให้เงินเฮดจ์ฟันด์ไปลงทุนด้วย กองทุนพวกนี้จึงไม่ได้ทำงานในมุมมืดอีกต่อไป ธนาคารในต่างประเทศแนะนำให้ลูกค้าของตัวเองไปลงทุนในเฮดจ์ฟันด์อย่างเปิดเผย นอกจากนี้ ธนาคารพวกนี้ยังเป็นช่องทางให้เฮดจ์ฟันด์ "เก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน" ตัวเองก็ได้ผลประโยชน์จากการ "ซื้อขายเงินตรา" ของประเทศต่างๆ ให้เฮดจ์ฟันด์

 

"ผมเชื่อว่าสมัยปี 2540 ตอนนั้นธนาคารไทยก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรค่าเงินบาทของเฮดจ์ฟันด์แน่นอน ลองคิดดูว่ามีคนขายเงินบาทตูมๆ ทุกวัน ธนาคารต้องรู้ว่าตอนนี้มีเงินบาทออกจากระบบของเราแล้ว!"

 

ค้นหา 'จุดอ่อน' ของระบบแล้วจู่โจมฉับพลัน!!! ม.ล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า กรณีศึกษาที่น่าสนใจ คือ กรณีการโจมตีค่าเงินปอนด์ของอังกฤษในปี 1992 (ปี 2535) ตอนนี้ยังใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ก่อนที่อังกฤษจะประกาศลอยตัวค่าเงิน รัฐมนตรีคลังของเขาก็ออกมาบอกว่า "ไม่มีวันลด" จากนั้น 3 วันก็ต้องปล่อยลอยตัวค่าเงิน ตอนนั้น จอร์จ โซรอส เขาเห็นแล้วว่ามี “ช่องว่าง” ในระบบอัตราแลกเปลี่ยน จึงเข้า "โจมตี" (เก็งกำไร) ได้กำไรไปจำนวนมาก และทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นในทันที

 

"ถ้าเราอ่านประวัติศาสตร์ แม้แต่ธนาคารกลางอังกฤษและอิตาลี ยังไม่สามารถเอาชนะเฮดจ์ฟันด์ได้ กรณีของประเทศไทยก็เช่นกันก่อนลอยตัวค่าเงินบาท (ปี 2540) เฮดจ์ฟันด์ก็อ่านเกมออกตั้งแต่แรก สุดท้ายเราก็ต้องประกาศลอยตัวค่าเงิน..ภายใต้ระบบทุนนิยมการเข้ามาเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์เป็นเสมือนการเตือนว่าระบบกำลังมีจุดอ่อนเราต้องรีบไปแก้ไขซะ"

 

เขาเชื่อว่าเราไม่มีทางกำจัดพวกเฮดจ์ฟันด์ออกไปจากระบบได้หมด พวกนี้ คือ "กระจกส่องตัวเราเอง" บางครั้งเฮดจ์ฟันด์ก็เป็น Watch Dog (สุนัขเฝ้ายาม) ทางเศรษฐกิจได้เหมือนกัน แม้แต่กองทุน "เทมาเส็ก" ของรัฐบาลสิงคโปร์ และ "เวิลด์แบงก์" ยังเป็นลูกค้าของเฮดจ์ฟันด์! ซึ่งเขาไม่ได้หวังเพียงแค่ผลตอบแทน แต่ต้องการรู้ด้วยว่าพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เฮดจ์ฟันด์จึงมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก แม้แต่สหรัฐอเมริกาต้นแบบของระบบทุนนิยม ปัจจุบันก็กลับเป็น "เหยื่อ" ของทุนนิยมเสียเอง

 

ม.ล.กรกสิวัฒน์ ชี้ว่า ตอนนี้เฮดจ์ฟันด์ในเอเชียกำลังเติบโตเร็วมาก เพราะทุนนิยมไปโตที่ไหนมันจะไปที่นั่น ขณะที่อเมริกากับยุโรปมันโตจนถึงขีดสุดแล้ว จุดอ่อนของเอเชียก็คือแต่ละประเทศมีนโยบายทางเศรษฐกิจแตกต่างกันมาก และทุกประเทศถูกครอบงำโดยนโยบายภาครัฐทำให้เกิด "ช่องว่าง" เข้ามาหาผลประโยชน์ได้ง่าย และทุนเข้าครอบงำได้ง่าย

 

เขามองว่า เฮดจ์ฟันด์ก่อให้เกิด "ต้นทุนทางเศรษฐกิจ" เพราะสามารถดึงเงินออกจากระบบได้ครั้งละเป็นพันเป็นหมื่นล้านดอลลาร์ การที่กองทุนมีขนาดใหญ่ทุกความเคลื่อนไหวย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญได้เลยทีเดียว

 

วิธีค้าส่วนต่างกำไร (Arbitrage) แบบไม่มีความเสี่ยง อีกส่วนที่สำคัญของเฮดจ์ฟันด์ ก็คือ แนวคิดในการ ค้าส่วนต่างกำไร (Arbitrage) เพื่อทำกำไรโดยไม่มีความเสี่ยงของตลาด แนวคิดง่ายๆ ของการทำ Arbitrage เกิดเมื่อมีการบิดเบือนของราคาสินค้าเกิดขึ้น เพราะเมื่อไรสินค้าตัวเดียวกันมีการซื้อขายอยู่ใน 2 ตลาด ย่อมมีโอกาสที่ราคาจะถูกบิดเบือนได้สูง

 

หลายปีที่ผ่านมา มีเฮดจ์ฟันด์จำนวนมากเข้ามาจัดตั้งในฮ่องกง และสิงคโปร์ ตามภาวะเศรษฐกิจในเอเชียที่เติบโตขึ้น ซึ่งหลายคนมักสับสนระหว่าง Hedge Fund กับ Private Equity เฮดจ์ฟันด์รอกินส่วนต่างของระบบ ยิ่งเร็วยิ่งดีอาทิตย์เดียวก็พอ แต่ Private Equity มุ่งเน้นลงทุนระยะยาว ฟูมฟักจนเติบโตรอดอกผลแล้วถึงจะขายออกไป

 

สำหรับวิธีการลงทุนของเฮดจ์ฟันด์ เริ่มต้นจะเลือกหุ้น "สองตัว" ในเซ็กเตอร์เดียวกันเพื่อให้ได้ผลกระทบจาก Systematic Risk เท่าเทียมกัน โดยตัวแรกต้องมี "ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่า" ที่ควรจะเป็น และตัวที่สองมี "ราคาตลาดแพงกว่ามูลค่า" ที่ควรจะเป็น

 

ต่อมาก็จะ "ซื้อหุ้น" (ถือ Long) หุ้นที่มูลค่าตลาด "ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น" สมมติว่าใช้เงิน 100 ล้านบาท ซื้อหุ้น A แล้วไป "ยืมหุ้น" (B) ที่คิดว่า "ราคาแพงกว่ามูลค่าที่แท้จริง" มาทำการ "ขายล่วงหน้า" (ขาย Short) ด้วยจำนวนเงิน 100 ล้านบาท เท่ากัน

 

"ถ้าหากหุ้นสองตัวนี้ขึ้นลงในระดับเดียวกัน คือ 10% สถานะเงินลงทุนสุทธิก็ยังเท่ากับ "ศูนย์" เท่ากับว่าความเสี่ยงได้ถูก "กำจัด" ออกไปแล้ว ถ้าหากการวิเคราะห์ถูกต้องในตลาด "ขาขึ้น" หุ้นที่ Under Value (ราคาถูกกว่าความเป็นจริง) ก็จะขึ้นมากกว่าหุ้นที่ Over Value (ราคาแพง) และในตลาด "ขาลง" หุ้นที่ Under Value ก็จะ "ตกน้อยกว่า" หุ้นที่ Over Value ผลกำไร ก็คือ ส่วนต่างของหุ้นสองตัวนี้นั่นเอง"

 

ม.ล.กรกสิวัฒน์ อธิบายว่า จากเทคนิคนี้จะทำให้เฮดจ์ฟันด์สามารถทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด!! ถึงมีอีกชื่อว่า "กองทุนบริหารความเสี่ยง" นอกจากนี้ เฮดจ์ฟันด์ยังสามารถนำเงินที่ได้จากการขาย Short Sell หุ้น มาซื้อหุ้น (ถือ Long) หุ้นที่ยัง Under Value เพิ่มได้อีก ความสำเร็จของเฮดจ์ฟันด์จึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการเลือกหุ้นเป็นสำคัญ คือ เลือกหุ้นตัวที่ "ดีที่สุด" และ "แย่ที่สุด" ในเซ็กเตอร์นั้น แม้ในบางสถานการณ์หุ้นทุกตัวในเซ็กเตอร์นั้นจะดีเหมือนกันหมด แต่หุ้นแต่ละตัวก็ดีไม่เท่ากัน

 

กรณีที่หุ้นสองตัวนั้นอยู่ต่างอุตสาหกรรมกันจะต้องพิจารณาเงื่อนไขและผลกระทบในด้านเศรษฐกิจมหภาค ที่จะส่งผลให้หุ้นสองตัวมีความเคลื่อนไหวที่ต่างกัน เช่น หากเกิดเหตุการณ์ 9/11 หุ้นที่อยู่ในกลุ่มสายการบินจะต้องตกต่ำลง แต่หุ้นในกลุ่มระบบรักษาความปลอดภัยกลับได้ประโยชน์ นอกจากนี้ สภาพคล่องซื้อขายจะต้องสูงเพื่อให้กลยุทธ์ดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ เพราะถ้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สภาพคล่องต่ำ เฮดจ์ฟันด์อาจไม่สามารถซื้อหรือขายได้ตามราคาและปริมาณที่ต้องการก็จัดเป็น "ความเสี่ยง" ที่เพิ่มเข้ามา

 

"ที่สำคัญ ตอนนี้ภาคการเงินได้ครอบงำภาคเศรษฐกิจจริงไปแล้ว เห็นได้จากการซื้อขายน้ำมันในตลาดล่วงหน้า ที่มีมูลค่ามากกว่าซื้อขายจริงเป็นร้อยเท่า หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ถูกนำไปผูกกับตลาดการเงิน ยิ่งเป็นการสร้างโอกาสให้เฮดจ์ฟันด์มากขึ้นไปอีก"

 

สัปดาห์หน้า "หม่อมกร" จะมาเผยกลยุทธ์ทำกำไรของเฮดจ์ฟันด์ที่สามารถเก็งกำไรได้ทุกรูปแบบ รวมถึงไขคำตอบว่าทำไม!! เฮดจ์ฟันด์ถึง "ฆ่าไม่ตาย" และยังจะโตขึ้นได้อีก..ห้ามพลาด!!

 

'ตราสารหนี้' เชื่อมโยงทิศทางตลาดหุ้น แท้ที่จริงแล้ว อัตราผลตอบแทนของ "ตราสารหนี้" จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทาง "ฟันด์โฟลว์" ได้เป็นอย่างดี!!! ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ชี้ว่า คนที่เป็นผู้จัดการกองทุนจะต้องหาจุดลงตัวที่เหมาะสมระหว่าง Top Down และ Bottom Up ให้มาเจอกัน ส่วนมากแล้วทีมที่ดูแลพอร์ตตราสารหนี้จะวิเคราะห์ Top Down เพราะผลขาดทุนหรือกำไรจากพันธบัตรจะมาจากเศรษฐกิจเป็นหลัก ส่วนทีมหุ้นจะมีส่วนแข็งที่ Bottom Up หรือการวิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยภายในบริษัท ทั้งสองทีมต้องทำงานสอดประสานกัน

 

เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับอีกตลาดหนึ่งจะส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน อย่างเช่น ตลาดพันธบัตร ถ้าหากผลตอบแทนพันธบัตรลดลงอย่างรวดเร็ว แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังจะมีปัญหาหรือไม่!! คนเทรดหุ้นจะดูหุ้นอย่างเดียวไม่พอต้องดูตลาดตราสารหนี้ประกอบด้วย

 

"ผลตอบแทนของพันธบัตรมักจะบอกภาพของเศรษฐกิจเสมอ เช่น อยู่ดีๆ ผลตอบแทนวิ่งขึ้นไปมากกว่า 0.20-0.30% แสดงว่าตลาดกำลังบอกอะไรเราอยู่ อย่างกรณีพันธบัตรรัฐบาลกรีซมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วแสดงว่าความเสี่ยงเริ่มมากขึ้น เพราะผู้ออกตราสารต้องให้ผลตอบแทนที่สูงเป็นตัวจูงใจให้เข้ามาลงทุน"

 

ถ้าดูแต่เฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้บางทีจะช้ากว่าตลาดพันธบัตร ตัว Bond Yield จึงเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจได้ดีมาก นักลงทุนต้องมองให้ทันจะรอให้ตลาดหุ้นถูกเทขายก่อนแล้วค่อยขายตามอาจเสียโอกาสได้

 

 

หุ้นสหรัฐปิดตลาดบวก หวังเฟดผ่อนปรนมาตรการเพิ่มเติมบวกข่าวดีสเปนประมูลพันธบัตรได้ใกล้เคียงเป้า

 

ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดตลาด ปรับตัวขึ้น เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะประกาศมาตรการผ่อนปรนทางการเงินเพิ่มเติม ภายหลังการประชุมที่จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน

 

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดที่ 12,837.33 จุด เพิ่มขึ้น 95.51 จุด หรือ 0.75 % ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,357.98 จุด เพิ่มขึ้น 13.20 จุดหรือ 0.98% และดัชนีแนสแด็ก ปิดตลาด 2,929.76 จุด เพิ่มขึ้น 34.43 จุดหรือ 1.19 %

 

ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) เริ่มประชุมกันวานนี้ เพื่อหารือเรื่องนโยบายการเงิน ขณะที่นักลงทุนหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เนื่องจากวิกฤตหนี้ยุโรปย่ำแย่ลง และเศรษฐกิจสหรัฐเองก็อ่อนแอ

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจกับการประชุมสุดยอดจี20 ที่เม็กซิโก โดยการเจรจาพุ่งเป้าไปที่วิกฤตหนี้ยุโรป ที่บรรดาผู้นำยูโรโซน กำลังพิจารณาเรื่องการจัดตั้งสหภาพการธนาคาร

 

ขณะที่วิกฤตหนี้ ยังคงเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบตลาดอยู่นั้น สเปน สามารถระดมทุนจากการประมูลขายตั๋วเงินคลังอายุ 12 และ 18 เดือนได้ 3.04 พันล้านยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยพุ่งทะยานขึ้น

 

สเปน ขายตั๋วเงินคลังอายุ 12 เดือนได้ 2.4 พันล้านยูโร ที่อัตราผลตอบแทน 5.074% ทะยานขึ้นจาก 2.985% ในการประมูลครั้งก่อน ขณะที่ความต้องการซื้อสูงกว่าจำนวนที่นำออกประมูลอยู่ 2.2 เท่า เทียบกับ 1.8 เท่าในเดือนที่แล้ว

 

ส่วนตั๋วเงินคลังอายุ 18 เดือน สามารถระดมทุนได้ 639 ล้านยูโร โดยให้อัตราผลตอบแทน 5.107% เทียบกับ 3.302% ในการประมูลครั้งก่อน ในเดือนพ.ค. ขณะที่ความต้องการซื้อสูงกว่ายอดเปิดประมูลอยู่ 4.4 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 3.2 เท่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับทุกคน สวัสดีตอนเช้าของวันที่ 20/6/2555 เวลา 10.12 น.

 

เมื่อวานราคาทองคำยังไม่ขยับไปไหนมาก สาเหตุคาดว่า นักลงทุนน่าจะชะลอการลงทุนลงเพื่อรอผลการประชุมของ FOMC ที่จะมีการประชุมวันนี้จนพรุ่งนี้ครับ

 

ราคาทองคำเมื่อวานเปิดตลาดที่ 1627.13 เหรียญโดยสามารถทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1633.20 เหรียญ และมีราคาต่ำสุดอยู่ที่ 1617 เหรียญ

 

ปิดตลาดที่ 1618.18 เหรียญ รวมทั้งวันราคาทองคำวิ่งรวมทั้งหมด 13 เหรียญ และมี Volume การซื้อ-ขาย อยู่ที่ 123291 สัญญา

 

ลดลงจากวันจันทร์ที่ 18-6-2555 อยู่ 12162 กว่าสัญญา ราคาทองคำเคลื่อนตัวเป็นไปในลักษณะ Side ways Up ขึ้นทดสอบแนวต้าน

 

หลังจากนั้นไม่ผ่าน จึงถูกแรงขายออกมา และเคลื่อนตัวเป็น Side Ways Down ลงทดสอบแนวรับ ครับ

 

ส่งผลทำให้วันนี้ ภาพรวม ยังคงมีโอกาศ ขึ้นและลง อยู่ในกรอบ 1610-1630 = 20 เหรียญก่อน ครับ

 

แนวต้าน แนวรับ

 

แนวต้าน ผมขอมองและใช้แนวต้านหลักที่สำคัญเช่นเดิมอยู่ครับ 1626-1630 ****** ไม่ผ่านระวังแรงขาย** 1633-1637***1641-1650******

 

สรุป แนวต้าน เมื่อสู่โซน 1626 ขึ้นไป แนะนำให้นักลงทุนเริ่มระวังแรงขายออกมาทุกจังหวะ ครับ รวมถึงวันนี้และพรุ่งนี้ คงต้องช่วยกันลุ้น

 

ให้ผลการประชุม FOMC ออกมาตามที่นักลงทุนคาดหวังไว้ครับ (แต่คงยากหน่อยครับ อิอิ)

 

แนวรับ วันนี้ก็ขอใช้แนวรับที่ใกล้เคียงกับเมื่อวาน 1617-1614 เหรียญ ******* 1610 ถ้าหลุดระวัง ครับ ***1600**1583 *****

 

สรุป แนวรับวันนี้ ถ้ามองจากทางเทคนิคแล้ว มีความเป็นไปครับ ว่า ราคาทองคำ อาจจจะมีการลงทดสอบแนวรับหลัก แถว 1615-1610 ก่อนครับ

 

ตรงนี้รอดูถ้าหลุดลงไปทดสอบแล้วต่ำกว่า 1610 ลงไป แนะนำให้ นักลงทุน ชะลอการซื้อหรือหยุดการซื้อไว้ก่อน ครับ

 

เพือ่รอดูว่า ราคาทองคำเมื่อหลุด 1610 ลงไปแล้ว จะสามารถดีดกลับขึ้นมาได้หรือไม่ หรือ อาจจะหลุด 1600 ลงไปอีกครั้งไหม ครับ

 

สาเหตุที่ให้มุมมองแบบนั้นผมขอมุ่งประเด็น ไปที่การประชุม FOMC ที่จะมีขึ้นภายในวันนี้และวันพรุ่งนี้ครับ

 

โดยผลการประชุมนั้น ยากต่อการคาดเดา ครับ ดังนั้น ควรลดพอร์ตลง เพื่อป้องกันความเสี่ยงในตลาดที่ไม่แน่นอน ครับ

 

(แต่ระยะหลังมานี้ประธาน เฟด ออกมาทีไร รู้สึกนักลงทุนจะผิดหวังและขายสินทรัพย์ออกมาก่อน เพือ่ป้องกันความเสี่ยง)

 

ประเด็นนี้ ก็คงต้องติดตามผลการประชุมกันต่อไปครับ

 

กรอบเล็ก 1630-1600 = 30 เหรียญ

 

กรอบใหญ่ 1600-1650 = 50 เหรียญ

 

กรอบการเก็งกำไรที่ปลอดภัยที่สุดช่วงนี้ อยู่ที่ 1610-1625 ครับ ถ้าออกนอกกรอบแนะนำให้ทยอยลดแรงซือ้-ขาย ลงจนกว่าราคาทองคำจะเปลี่ยนกรอบใหม่ ครับ

 

วันนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจ ที่สำคัญและน่าติดตามดังนี้

 

1. ผลการประชุม G20 วันนี้วันสุดท้าย

 

2. เวลา 21.30 น. สต๊อกน้ำมันดิบ คาดการณ์เป็นผลบวกต่อราคาทองคำ

 

3. เวลา 23.30 น. เริ่มการประชุม FOMC วันแรก คาดการณ์ ราคาทองคำ อาจจะมีการผันผวนมากขึ้น ไม่ว่าขึ้นหรือลง

 

2012_06_20-062-20120620xEdEdvEldlPP42974.gif

 

 

โชคชะตาฟ้า ลิขิต ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน

 

การให้ที่ิยิ่งใหญ่ คือการให้ต่อไปไม่รู้จบ :57

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากค่ะ จานอั๋น

ดีคะจานอั๋น เพื่อนๆมีความสุขมีกำไรทุกการลงทุนนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ ขอรับ อ.อั๋น :01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ ขอรับ อ.อั๋น :01

:Hi

เศรษฐกิจ-หุ้นหุ้น-การลงทุนposttoday.

 

20 มิถุนายน 2555 เวลา 07:42 น

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง 3.8 ดอลล์ หลังตลาดคลายกังวลหนี้ยุโรป

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 3.8 ดอลลาร์ หรือ 0.23% ปิดที่ 1,623.2 ดอลลาร์/ออนซ์

 

นักวิเคราะห์ ระบุว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำผันผวนตลอดทั้งวัน ก่อนที่จะปิดในแดนลบ เนื่องจากการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นและการที่นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป ทำให้ความต้องการซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยนั้น ลดน้อยลงด้วย

 

ความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรปลดน้อยลงหลังจากสเปนระดมทุนจากการประมูลขายตั๋วเงินคลังอายุ 12 และ 18 เดือนได้ 3.04 พันล้านยูโรในช่วงเย็นวานนี้ตามเวลาไทย ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายสูงสุดที่วางไว้ ขณะที่อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยพุ่งทะยานขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เพราะตลาดได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะใช้มาตรการผ่อนคลายเพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับวิกฤตหนี้ยุโรป และรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาภายในประเทศ ในการประชุมวันที่ 19-20 มิ.ย.นี้

 

 

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

วันที่ 20 มิถุนายน 2555 08:07

นักลงทุนต่างชาติแห่ถือบอนด์รัฐบาลญี่ปุ่น

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

นักลงทุนต่างชาติแห่ถือบอนด์รัฐบาลญี่ปุ่น ยอดพุ่งเกือบ 1 ล้านล้านดอลล์

 

ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เปิดเผยว่า สัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (เจจีบี) ของนักลงทุนต่างประเทศ พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ สะท้อนว่า นักลงทุนพากันเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่วิกฤติหนี้ในยุโรปยังไม่มีท่าทีว่าจะคลี่คลายลง

แม้ภาระหนี้ของญี่ปุ่น มีมูลค่ามากกว่าขนาดเศรษฐกิจ 5 ล้านล้านดอลลาร์ของญี่ปุ่นอยู่ 2 เท่า และอยู่ในระดับสูงสุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรมก็ตาม แต่เจจีบี ก็ยังเป็นที่ต้องการเนื่องจากมีความปลอดภัย ซึ่งความน่าสนใจที่สำคัญของเจจีบีก็คือ พันธบัตรส่วนใหญ่ ถือครองโดยนักลงทุนในประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากเงินออมในภาคครัวเรือนมูลค่าราว 15 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยให้ญี่ปุ่นสามารถฝ่าฟันการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงการโจมตีตลาดได้

 

แต่การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนการถือครองเจจีบี ของนักลงทุนต่างชาติอาจทำให้เจจีบี เสี่ยงมากขึ้นต่อการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทน ถ้าหากผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศเริ่มต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังพยายามอย่างหนักในการสร้างเสถียรภาพให้แก่ฐานะการคลัง เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของสังคมผู้สูงอายุ

 

นับจนถึงสิ้นเดือนมี.ค. ชาวต่างชาติถือครองเจจีบี คิดเป็นมูลค่า 76 ล้านล้านเยน (9.63 แสนล้านดอลลาร์) เพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 8.3% ของมูลค่าคงค้างของพันธบัตรเจจีบี ทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่ารวมสูงเป็นประวัติการณ์ 919 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 4.9 ล้านล้านเยน

 

สินทรัพย์ทางการเงินในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 1,145 ล้านล้านเยน บ่งชี้ว่า ญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะหาเงินทุนมาชำระหนี้ภายในประเทศได้ โดยหนี้ของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่รัฐบาลพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาและมีภาวะเงินฝืดในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

 

พรรครัฐบาลของนายกรัฐมนตรีโยชิฮิโกะ โนดะได้บรรลุข้อตกลงกับพรรคฝ่ายค้านในสัปดาห์ที่แล้วเกี่ยวกับแผนการเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 10% ภายในเดือนต.ค.2558 ซึ่งเป็นมาตรการแรกที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูประเทศให้มีความมั่นคงทางการคลัง

 

 

Tags : บอนด์ญี่ปุ่น

 

 

เศรษฐกิจ-หุ้นการเงินposttoday

เงินบาทเปิด 31.42/44 บาท

20 มิถุนายน 2555 เวลา 08:35 น

 

 

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย รายงาน เงินบาทเปิด 31.42/44 คาดแกว่งในกรอบแคบ รอลุ้นผลประชุมเฟดคืนนี้

 

นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 31.42/44 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากช่วงเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดที่ระดับ 31.39/40 บาท/ดอลลาร์

 

วันนี้เงินบาทคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ เนื่องจากตลาดรอผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ(FED)คืนนี้ ในเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงรอดูสัญญาณในการตัดสินใจเรื่องการดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) ในรอบ 3 ด้วย

 

"น่าจะอยู่ในกรอบแคบๆ ตลาดคงจะรอผลประชุม FED ที่บ้านเราคงจะรู้ผลพรุ่งนี้ รอดูเรื่อง QE3 ด้วย ส่วนปัจจัยทางยุโรปโดยรวมก็ยังไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาในสเปน และอิตาลี" นักบริหารเงิน ระบุ

 

ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงเปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 78.87/89 เยน/ดอลลาร์ ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2668/2672 ดอลลาร์/ยูโร

 

นักบริหารเงิน คาดว่า เงินบาทวันนี้จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.40-31.50 บาท/ดอลลาร์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

วันที่ 21 มิถุนายน 2555 07:53

 

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

ราคาทองคำตลาดสหรัฐ ปิดตลาดร่วงลง 7.4 ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังผลประชุมของเฟดเมื่อคืน

 

ราคาทองคำ ส่งมอบเดือนส.ค. ที่มีการซื้อขายในตลาดโคเม็กซ์ ปรับตัวลดลง 7.40 ดอลลาร์หรือ 0.5% ปิดที่ 1,615.8 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ย และตัดสินใจขยายเวลาการใช้มาตรการ Operation Twist ไปจนถึงปีนี้ แทนการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (คิวอี3)

 

นักวิเคราะห์ ให้ความเห็นว่า ตลาดผิดหวัง ที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด เลือกขยายระยะเวลาการใช้มาตรการ Operation Twist ออกไปอีกแทนที่จะใช้คิวอี3 เพื่อหนุนสภาพคล่องในระบบการเงิน โดยนักลงทุนเชื่อว่าสภาพคล่องที่สูงขึ้น จะช่วยให้ภาวะการซื้อขายในตลาดต่างๆคึกคักขึ้นด้วย

 

นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น และราคาน้ำมันที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ด้วย

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

วันที่ 21 มิถุนายน 2555 07:02

เฟดคงดอกเบี้ย-ต่ออายุOperation Twist

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

เฟดคงดอกเบี้ย 0-0.25% พร้อมประกาศต่ออายุมาตรการ Operation Twist เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25 % ในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งเสร็จสิ้นวานนี้ (20 มิ.ย.) พร้อมกับขยายเวลาการใช้มาตรการ Operation Twist ไปจนถึงสิ้นปี 2555 โดยมีเป้าหมายที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ปรับตัวลดลง เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจและการจ้างงาน

 

คณะกรรมการกำหนดนโยบายของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลางในปีนี้ แต่อัตราการขยายตัวด้านการจ้างงานชะลอตัวลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และอัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก

 

"คณะกรรมการเฟด ตัดสินใจผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป เพื่อหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ โดยเฟดจะเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปในวงเงิน 2.67 แสนล้านดอลลาร์ และขายพันธบัตรระยะสั้นประเภทที่มีอายุไม่เกิน 3 ปีในวงเงินเท่ากัน โดยจะดำเนินมาตรการดังกล่าวไปจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ปรับตัวลดลง ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานให้ขยายตัวขึ้น นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้แรงกดดันด้านการเงินผ่อนคลายลงด้วย" แถลงการณ์ของเอฟโอเอ็มซี ระบุ

 

นอกเหนือจากการตรึงอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวและขายพันธบัตรระยะสั้นในวงเงินเท่ากัน หรือที่เรียกว่า Operation Twist แล้ว เฟด ยังปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ด้วย โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.9-2.4% ในปี 2555 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ 2.4-2.9% พร้อมกับคาดการณ์ว่า อัตราว่างงานจะยืนอยู่ที่ 8-8.2% ในปี 2555 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเม.ย.ที่ระดับ 7.8-8%

 

เฟด ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่อ่อนแอลงแล้ว เฟดจึงเตรียมความพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมเพื่อหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น และหนุนตลาดแรงงานให้ฟื้นตัวขึ้นอย่างยั่งยืน โดยจะพิจารณาถึงเสถียรภาพด้านราคาด้วย

 

คณะกรรมการเฟด ประกาศใช้มาตรการ Operation Twist ในการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 21 ก.ย.ปีที่แล้ว ด้วยการใช้เงินมูลค่า 4 แสนล้านดอลลาร์ เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่มีอายุการไถ่ถอน 6-30 ปี พร้อมกับขายพันธบัตรอายุ 3 ปีหรือต่ำกว่า ในวงเงิน 4 แสนล้านดอลลาร์เท่ากัน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายในเดือนมิ.ย. 2555 มีเป้าหมายที่จะฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำลง เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...