ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

เส้นปากถุง (BollingerBandsเส้นสีขาวทั้ง๓เส้น)แบบง่ายๆ ไม่ปวดเศียรเวียนเกล้า

เส้นบน---แนวต้าน

เส้นกลาง---แนวโน้ม(สำคัญสุด)

เส้นล่าง---แนวหนุน

ลักษณะที่๑---ทิศทางขึ้นเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวขึ้น เส้นล่างหันหัวลง

ลักษณะที่๒---ทิศทางขึ้นเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวขึ้น

เมื่อเจอลักษณะทั้ง๒นี้ ราคาระหว่างวันที่ขึ้นๆลงๆ เมื่อเจอจุดที่เห็นว่าต่ำแล้วให้ซื้อเข้าได้เลยครับ ขอเพียงเส้นกลาง(แนวโน้ม)ยังหันหัวขึ้นอยู่ แม้ราคาเแท่งเทียนจะอยู่ต่ำกว่าเส้นกลาง ก็ยังซื้อเข้าได้ หากเส้นบนเดินขวางเมื่อไหร่ ให้ทยอยลดพอร์ตได้เลยครับ

ลักษณะที่๓---เลือกทิศทาง---เส้นบนหันหัวลง เส้นล่างหันหัวขี้น ปากถุงแคบลง ถึงช่วงนี้ ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หากใครยังคิดอยากเคลื่อนไหว ก็จงเคลื่อนไหวไปหน้าทีวี จงอย่าทำการอย่างอื่นใด หากใครเป็นจอมยุทธ์ ก็ชิงเคลื่อนไหวก่อนใครได้

ขอแถมอีกนิด จงโฟกัสที่เส้นกลาง หากเส้นกลางเริ่มขยบหัวหัวขึ้นหรือลง ทิศทางอาจขึ้นหรือลงตามเส้นกลางแนวโน้มนั้น

ลักษณะที่๔---เคลื่อนไหวในกรอบแคบ---เส้นบน กลาง ล่าง เดินขวางทั้ง๓เส้น หากใครเล่นออนไลน์ สามารถเล่นได้เล็กน้อยอย่ามาก เมื่อราคาแท่งเทียนใกล้เส้นบน จงขาย ใกล้เส้นล่าง จงซื้อ ต้องเข้าออกให้ทันการณ์ หาไม่แล้วจากกำไรอาจขาดทุนได้นา ขอบอก

ลักษณะที่๕---ทิศทางลงเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวลง เส้ยล่างหัวหัวลง

ลักษณะที่๖---ทิศทางลงเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวลง เมื่อเส้นล่างเดินขวางเมื่อไหร่ ผู้ที่ใจกล้าที่เล่นออนไลน์ เริ่มทยอยซื้อเข้าได้ที่ละนิด อัตราเสี่ยงยังมีอยู่บ้างนะครับ สิบอกไห่

วิธีดูเส้นปากถุงที่กล่าวมานี้ .....ไม่ใช่ตำราของฝรั่ง แบบของฝรั่งผมเคยอ่านมาบ้างแล้ว ยาวมาก ปวดหัว ทำความเข้าใจได้ยากมากๆๆๆๆ ...........เหมาะเฉพาะกราฟราย๔ชม.และช่วงปกติเท่านั้นนะครับ (บางครั้งตลาดจงใจคึงขึ้นลงอย่าแรงๆ แทบหัวใจวายสำหรับผู้มีทองในมือและผิดทิศทางของตัวเอง เรียกว่า ช่วงไม่ปกติครับ)

ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4ชม. H1=1ชม. D1=1วัน และบอกชนิดของกราฟด้วย เช่น goldหรือset50เป็นต้น

post-237-028368600 1284692848.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักลงทุนแห่ชอร์ตหุ้นผู้ผลิต Blackberry เก็งธุรกิจขาลง

 

Posted on Friday, September 17, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พฤหัสบดีที่ 16 ก.ย. 2553)

• ดุลบัญชีเดินสะพัด (Q2/2010) ขาดดุล 123,300 ล้านดอลลาร์

• ผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ 450,000 ราย

• ดัชนีราคาผู้ผลิต หรือ PPI (ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้า

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (ศุกร์ที่ 17 ก.ย. 2553)

• ดัชนีราคาผู้บริโภค หรือ PPI (ส.ค.) โดย กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

• ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ย.) โดย มหาวิทยาลัยมิชิแกน

 

 

นักลงทุนแห่ชอร์ตหุ้นผู้ผลิต Blackberry เก็งธุรกิจขาลง

 

นักลงทุนเพิ่มสถานะ short ของหุ้นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชื่อดัง เพื่อหวังทำกำไรจากราคาหุ้นของบริษัทในช่วงขาลง หลังจากมีการเก็งกันว่าธุรกิจของบริษัทกำลังถูกเบียดแย่งส่วนแบ่งการตลาดโดยคู่แข่งอย่างบริษัท Apple ที่มี iPhone เป็นตัวชูโรง รวมถึงโทรศัพท์ภายใต้ซอฟท์แวร์จากค่าย Google

 

หุ้นของบริษัท Research In Motion ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนยอดฮิต อย่าง Blackberry กำลังถูกนักลงทุนเพิ่มสถานะ short ที่เป็นการยืมหุ้นมาเพื่อขายต่อ ก่อนที่จะทำกำไรจากการไปซื้อหุ้นคืนในราคาที่ต่ำกว่า ซึ่งข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า จำนวนหุ้นของ RIM ที่อยู่ใน short position ณ สิ้นเดือนที่ผ่านมา พุ่งขึ้นมากกว่าสองเท่าเมื่อเทียบกับกลางเดือนเมษายน และเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2550

 

ด้วยชื่อเสียงของเครื่อง Blackberry ที่เคยมีจุดเด่นจากฟังก์ชั่นคีย์บอร์ดสมบูรณ์แบบ ในตอนนี้กลับกลายมาเป็นฝ่ายถูกกดดันทำให้ต้องรีบพัฒนาตัวเครื่องที่มีหน้าจอแบบสัมผัส เพื่อไปประชันกับคู่แข่ง อย่าง iPhone ของค่าย Apple รวมถึงโทรศัพท์อย่างเช่น ยี่ห้อ Droid ของ Motorola ที่ใช้ซอฟท์แวร์ Android ของ Google

 

จริงๆ แล้ว Blackberry ก็เพิ่งส่งรุ่น Torch ที่มีหน้าจอแบบ touch screen ออกสู่ตลาดเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งก็มีเสียงตอบรับที่ทั้งดีและไม่ดี นอกจากนี้ ผู้ผลิตสมาร์โฟนที่มีฐานอยู่ใน Ontario ของแคนาดา ยังถูกกดดันในเรื่องการขยายตลาดในต่างประเทศ เช่นเดียวกับการเสียฐานลูกค้าคอร์ปอเรตที่เป็นตลาดหลัก

 

เมื่อไม่นานมานี้ ประเทศ อย่าง อินเดียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ขู่ที่จะแบนบริการโทรศัพท์ Blackberry ด้วยเหตุผลในเรื่องความมั่นคง

 

 

จำนวนบ้านถูกยึดในสหรัฐเร่งตัวเป็นเดือนที่ 3

 

เรียลตี้แทรค อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของสหรัฐ เปิดเผยว่าจำนวนบ้านที่ถูกยึดอันเนื่องมาจากการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้น เป็นเดือนที่ 3 ในรอบ 5 เดือน และเป็นตัวเลขที่ที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บสถิติในปี 2005

 

ยอดการถูกยึดทรัพย์จำนองเพิ่มขึ้น 3% ในเดือนส.ค สู่ระดับ 95,364 หลัง เมื่อเทียบเป็นรายเดือน และหากเทียบเป็นรายปีพบว่า จำนวนบ้านที่ถูกยึดในเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 25% ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวในตลาดอสังหาของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความกังวลว่าการฟื้นตัวในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐจะเป็นไปอย่างล่าช้า อันเป็นผลมาจากอัตราว่างงานที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย

 

ในขณะที่ยอดการขายบ้านทรุดตัวลงนับตั้งแต่นโยบายลดหย่อนภาษีของรัฐบาลได้หมดอายุลงเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ อัตราบ้านหลุดจำนองที่เพิ่มขึ้นก็เป็นสัญญานว่าจะมีจำนวนบ้านมือสองนั้นเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ความต้องการซื้อบ้านกลับปรับตัวลดลง ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยทีส่งผลให้ราคาบ้านในสหรัฐฯยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง

 

ข้อมูลของเรียลตี้แทรคระบุว่า รัฐเนวาด้าที่จำนวนบ้านที่ถูกยึดมากที่สุด โดยคิดเป็นสัดส่วนบ้านทุกๆ 84 หลังจะมีบ้านที่ถูกยึด 1 หลัง

 

ส่วนรัฐที่มีอัตราการยึดบ้านรองลงมาคือ ฟลอริด้า แอริโซนา แคลิฟอร์เนีย ไอดาโฮ ยูทาห์ จอร์เจีย มิชิแกน อิลลินอยส์ และฮาวาย

 

ทั้งนี้ผู้บริหารของเรียลตี้แทร็คกล่าวว่า สถานการณ์ในตลาดบ้านแถบไม่มีพัฒนาการจากสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

 

ยอดค้าปลีกอังกฤษร่วงสวนคาดการณ์

 

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกในเดือนส.ค.ร่วงลง 0.5% เมื่อเทียบกับเดือนก.ค.ที่เพิ่มขึ้น 0.8% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค.ที่ผ่านมา

 

ขณะที่การสำรวจของนักเศรษฐศาสตร์ 23 คนจากการสำรวจของโพลล์บลูมเบิร์กคาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกในเดือน ส.ค. น่าจะปรับตัวสูงขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้า

 

หลังจากที่ยอดขายที่ร้านหนังสือ อุปกรณ์กีฬา และร้านขายยาอ่อนตัวลง สะท้อนให้เห็นว่าการขึ้นภาษีและการลดงบประมาณรายจ่ายเริ่มส่งผลต่อผู้บริโภคแล้ว

 

ยอดขายที่ร้านอาหารตกลง 0.5% ในเดือนส.ค. ส่วนยอดขายที่ร้านประเภทอื่นๆ ร่วงลง 2.1% โดยมีเพียงยอดขายที่ห้างสรรพสินค้าที่เพิ่มขึ้น 0.9% และยอดขายที่ร้านขายสินค้าทางไปรษณีย์และอินเทอร์เน็ตที่ปรับตัวขึ้น 2.1%

 

การรายงานยอดค้าปลีกที่ลดลงนั้นส่งผลให้เงินปอนด์ของอังกฤษปรับลดลงทันที่ 0.4% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งเป็นสัญญานการบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของอังกฤษกำลังขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลง หลังจากที่ไตรมาสที่สองนั้น เศรษฐกิจของอังกฤษขยายตัวมากที่สุดในรอบ 9 ปี

 

ทั้งนี้แผนการรัดเข็มขัดของรัฐบาลเพื่อที่จะลดยอดการขาดดุลงบประมาณนั้นอาจจะส่งผลทำให้ความต้องการบริโภคลดลง

 

ร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์ดังอย่าง Next ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายเสื้อผ้ารายใหญ่อันดับสองของอังกฤษกล่าวว่าด้วยสภาวะแวดล้อม ณ ปัจจุบันนั้นทำให้บริษัทมองว่าแนวโน้มการขยายตัวของยอดขายนั้นจะชะลอตัวลงด้วย

 

นักเศรษฐศาสตร์จาก ING กล่าวว่า แผนการรัดเข็มขัดของรัฐบาลนั้นทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล และดูว่าจะเป็นปัจจัยที่ขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

 

 

EU เห็นชอบข้อตกลงการค้าเสรีกับเกาหลีใต้

 

สหภาพยุโรป (EU) เห็นชอบให้มีการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับเกาหลีใต้ในที่ประชุมสุดยอดระหว่างอียู-เกาหลีใต้ ในเดือนตุลาคมนี้

 

สตีเวน วาเนคเคียร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของเบลเยียมกล่าวในการแถลงข่าวว่า อียูและเกาหลีใต้เห็นชอบในข้อตกลงร่วมกันหลังจากที่มีการเจรจากันอย่างตึงเครียด โดยทั้งสองฝ่ายจะลงนามข้อตกลงการค้าเสรีในการประชุมสุดยอดอียู-เกาหลี วันที่ 6 ตุลาคมนี้

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ อียูและเกาหลีใต้คาดหวังว่าจะสามารถสรุปข้อตกลงดังกล่าวได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว แต่การเจรจาได้เลื่อนออกไปเนื่องจากอิตาลีออกเสียงคัดค้าน เพราะกังวลว่าข้อตกลงดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมยานยนต์

 

อย่างไรก็ดี นายวาเนคเคียร์ยอมรับว่า ข้อตกลงการค้าเสรีที่จะมีผลต่อการยกเลิกกำแพงภาษีระหว่างทั้งสองประเทศนั้นนับเป็นข้อตกลงที่ต้องแลกมาด้วยความพยายามอย่างมาก

 

ทั้งนี้ เกาหลีใต้ เป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอันดับ 8 ของอียู ขณะที่อียูเป็นตลาดส่งออกรายใหญ่อันดับสองของเกาหลีใต้

 

 

ภาคการผลิตของออสเตรเลียมีแนวโน้มลดลงใน Q3

 

ผลสำรวจความคิดเห็นเรื่องแนวโน้มอุตสาหกรรม ซึ่งจัดทำโดยเวสต์แพค ร่วมกับหอการค้าและอุตสาหกรรมของออสเตรเลีย บ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของออสเตรเลียมีแนวโน้มลดลงในไตรมาส 3 โดยเป็นผลมาจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกและการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศ

 

ผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (composite index) ที่แท้จริงลดลง 7.1 จุด สู่ระดับ 49.5 จุด ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดในรอบปี และต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในการสำรวจประจำไตรมาส 2 ที่ 54.8 จุด ขณะที่ดัชนีพ้องเศรษฐกิจที่คาดการณ์ไว้ ลดลง 4.6 จุด มาอยู่ที่ระดับ 50.2 จุด

 

ทั้งนี้ ดัชนีที่ใกล้ระดับ 50 จุด บ่งชี้ว่าการขยายตัวของภาคการผลิตประสบภาวะชะงักงัน หลังจากที่ในช่วงครึ่งปีแรกนั้น ดัชนีอยู่เหนือระดับ 50 จุด ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการขยายตัว

 

นายฮูว์ แมคเคย์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของเวสต์แพค กล่าวว่า "เรารู้สึกแปลกใจกับตัวเลขที่ลดลง ซึ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีแนวโน้มทรงตัวในครึ่งปีหลัง"

 

ทั้งนี้ การผลิตในไตรมาส 3 ของออสเตรเลียจะมีทิศทางเดียวกับตลาดโลก ซึ่งเป็นช่วงที่การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศต่างๆเริ่มเปลี่ยนแปลงจากที่นำโดยรัฐบาล ไปเป็นภาคเอกชนที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้สิ้นสุดลง

 

นายแมคเคย์ กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งไม่มีใครได้คะแนนเสียงข้างมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวนั้น มีผลต่อการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากการสำรวจ 80% กระทำหลังการเลือกตั้ง

 

นายเกร็ก อีแวนส์ ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของหอการค้าฯ กล่าวว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความคาดหวังในระดับปานกลางในเรื่องต่างๆ ซึ่งรวมถึงการคาดการณ์ราคาขาย สะท้อนให้เห็นว่าคาดการณ์เรื่องเงินเฟ้อจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย จึงไม่มีความจำเป็นที่ธนาคารกลางต้องเข้ามาแทรกแซงตลาดด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

 

จีนชี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยสร้างงาน 22 ล้านตำแหน่ง

 

ทางการจีนชี้อานิสงส์จากใช้มาตรการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวน (5.954 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ช่วยหนุนให้จีนมียอดการจ้างงานราว 22 ล้านตำแหน่ง นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก

 

หยิน เว่ยหมิน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และความมั่นคงของจีนกล่าวในการประชุมรัฐมนตรีด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของกลุ่มประเทศความร่วมมือทางเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (เอเปค) ครั้งที่ 5 ว่า รัฐบาลจีนมองว่าการขยายตัวด้านการจ้างงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจ

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในช่วงปลายปี 2551 รัฐบาลจีนได้เริ่มใช้มาตรการต่างๆ ในการกระตุ้นอุปสงค์และผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยมาตรการดังกล่าวครอบคลุมระยะเวลา 2 ปี และมีมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 4 ล้านล้านหยวน ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การรักษาระดับการจ้างงานและสร้างงานใหม่

 

รัฐบาลจีนได้ช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการต้องแบกภาระในการดูแลลูกจ้าง ด้วยการอนุญาตให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถยืดเวลาการชำระค่าประกันสังคม ขณะที่รัฐบาลได้เพิ่มการจัดสรรเบี้ยประกันสังคมสำหรับภาคธุรกิจเหล่านี้ซึ่งครอบคลุมบริษัทต่างๆ กว่า 1.6 ล้านแห่งในปี 2552 เพื่อช่วยเหลือพนักงาน 60 ล้านตำแหน่ง

 

อย่างไรก็ตาม หยิน เว่ยหมินกล่าวว่า จีนกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหม่ในช่วงที่ตลาดแรงงานฟื้นตัว โดยฉพาะแรงกดดันด้านการจ้างงานสำหรับคนหนุ่มสาวที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มผู้หางานในเมืองเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นครั้งแรก ขณะที่หนุ่มสาวชาวจีนในชนบทก็ต้องการเข้ามาหางานทำในเมืองด้วยเช่นกัน

 

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ด้านทรัพยากรมนุษย์จากกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปค 21 แห่งได้เข้าร่วมประชุมกันในวันนี้ เพื่อหารือถึงแนวทางการแก้ปัญหาวิกฤตการเงินโลกและตระหนักถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจร่วมกัน

 

 

อินเดียขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25%

 

ธนาคารกลางอินเดียตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ repo rate อีก 0.25% และขึ้นอัตราดอกเบี้ย reverse repo rate อีก 0.50% ซึ่งถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 5 แล้วในปีนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจขยายตัวขึ้นจนสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ทั้งนี้ แบงค์ชาติอินเดียได้ขึ้นดอกเบี้ย repo rate จาก 5.75% เป็น 6% และอัตราดอกเบี้ย reverse repo rate เป็น 5% จากระดับ 4.5%

 

แบงค์ชาติอินเดียระบุว่า ภาวะเงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวล โดยอัตราเงินเฟ้อดีดตัวสูงสุด และมีแนวโน้มว่าจะอยู่ที่ระดับสูงต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง โดยตั้งแต่เดือนเม.ย.-มิ.ย.นั้น อัตราเงินเฟ้อโดยเฉลี่ยรายเดือนของอินเดียอยู่ที่ 10.6%

 

รัฐบาลอินเดียได้ส่งสัญญาณว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่มีการประท้วงเรื่องเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน 3 ใน 4 ของประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 2 ดอลลาร์ต่อวัน

 

 

โตโยต้า หลุดโผ 1 ใน 10 แบรนด์ระดับโลกประจำปี 2553

 

อินเตอร์แบรนด์ คอร์ป บริษัทที่ปรึกษาสัญชาติอเมริกัน เปิดเผยว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ครองอันดับ 11 จากการจัดอันดับแบรนด์ระดับโลกในปีนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2547 ที่โตโยต้าไม่ติด 1 ใน 10

 

อินเตอร์แบรนด์จัดอันดับแบรนด์ระดับโลกด้วยการพิจารณาข้อมูลทางการเงินของบริษัทต่างๆ เพื่อกำหนดมูลค่าของแบรนด์นั้นๆ ซึ่งมูลค่าแบรนด์โตโยต้าร่วงลง 16% จากปีที่แล้ว อันเป็นผลมาจากการเรียกคืนรถหลายครั้งนับตั้งแต่ปีที่แล้ว

 

แม้จะไม่ติดอันดับ 1 ใน 10 ในปีนี้ แต่โตโยต้าก็ยังเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มีอันดับสูงสุด ขณะที่แบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ของเดมเลอร์ อยู่ที่อันดับ 12 ตามมาด้วยบีเอ็มดับเบิลยูที่อันดับ 15

 

ส่วนทางด้านบริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ มีมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังขยับลง 2 ขั้นสู่อันดับ 20

 

สำหรับแบรนด์อันดับ 1 ของโลกตกเป็นของโคคา-โคลา เช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินบาทเปิดตลาดวันนี้ที่30.82/30.84บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2010 เวลา 09:02 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทยรายงานว่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐเปิดตลาดเช้านี้ (17 ก.ย.) ที่ระดับ 30.82/30.84บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ระดับ 30.80/30.82บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยนักลงทุนจับตาปัจจัยการเมืองจากการที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะนัดชุมนุม19 ก.ย. อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าเหตุการณ์ชุมนุมไม่รุนแรง จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาด ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ในวันที่17 ก.ย.นี้ สหรัฐฯประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI) เดือน ส.ค.53

 

ซีไอเอ็มบีไทยสรุปสถานการณ์ตลาดเงิน บาท/ดอลลาร์ เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) แข็งค่าเล็กน้อย ตามทิศทางเงินยูโรที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์และเยน รวมทั้งการที่ตลาดคาดว่าในระยะสั้นนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังไม่ออกมาตรการใดๆ เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทอย่างที่ตลาดวิตก หลัง ธปท.ระบุว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในครั้งหน้า จะนำปัจจัยเรื่องเงินบาทที่แข็งค่า มาร่วมพิจารณาด้วย พร้อมทั้งย้ำด้วยว่า จะไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายดูแลอัตราแลกเปลี่ยน และระบุว่าเงินบาทควรเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาด

 

เยน/ดอลลาร์ เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) ปรับตัวค่อนข้างผันผวน โดยธนาคารลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) ยังคงเงียบเฉยหลังการเทขายเยนอย่างหนักในวันพุธ และนักลงทุนลังเลที่จะเข้าซื้อขาย เนื่องจากมีการคาดว่าบีโอเจอาจจะเริ่มการเทขายรอบใหม่เพื่อถ่วงเยนลง โดยญี่ปุ่นขายเยน/ดอลลาร์เป็นมูลค่า 1.8 ล้านล้านเยน (2.114 หมื่นล้านดอลลาร์) เมื่อวันพุธ ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันเดียว เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ส่งออก และเพิ่มปริมาณเงินเพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืด ขณะเดียวกันตลาดกำลังจับตาดูว่า นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐฯ จะแสดงความเห็นอย่างไรต่อการแทรกแซงตลาดของญี่ปุ่น

 

ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) ปรับตัวแข็งค่าขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 1 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์และเยน หลังจากมีอุปสงค์เข้ามาอย่างแข็งแกร่งในการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสเปน ซึ่งได้ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป ส่วนเงินเยนทรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในการซื้อขายที่ตลาดยุโรปวันพฤหัสบดี ขณะที่ทางการญี่ปุ่นไม่ได้เข้ามาแทรกแซงตลาดปริวรรตเงินตราในวันพฤหัสบดี หลังจากขายเยนออกมาเป็นจำนวนมากในวันพุธ อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงกังวลว่า อาจมีการเทขายเยนออกมาอีก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 17 ก.ย.2553

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2010 เวลา 10:00 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 17 ก.ย.2553

 

หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันวันที่ 17 กันยายน 2553 โดยระบุว่า น้ำมันดิบปิดต่ำกว่า 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอีกครั้ง หลังเอนบริดจ์ประกาศจะกลับมาให้บริการอีกครั้งในเช้าวันศุกร์

 

-ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับลดลง 1.45 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 74.57 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก

 

- นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการปิดท่อส่งน้ำมันดิบจาก

 

แคนาดามาสหรัฐฯของบริษัท เอนบริดจ์ ที่มีต่อปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบของสหรัฐฯ หลังจากที่บริษัทออกมาประกาศว่าจะเปิดให้บริการท่อส่งน้ำมันดิบ เส้น 6A อีกครั้งในเช้าวันศุกร์นี้

- ผลสำรวจดัชนีภาคอุตสาหกรรมของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขา ฟิลาเดลเฟีย ประจำเดือน ก.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ -0.7 จากระดับ -7.7 ในเดือน ส.ค. อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ยังติดลบในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการติดลบเดือนที่สองติดต่อกับ รวมกับตัวเลขของรัฐนิวยอร์คที่ประกาศออกมาว่าลดลงเมื่อวันพุธ แสดงให้เห็นว่า ภาคอุตสาหกรรมในแถบตะวันออกของสหรัฐฯ ยังคงไม่ฟื้นตัว

+ ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน ลดลง 3,000 ตำแหน่ง มาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน มาอยู่ที่ 450,000 ราย สวนทางกับการคาดการณ์ของตลาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 460,000 ราย

+ ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯ (PPI) ปรับเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินฝืด (Deflation) ลงไปได้บ้าง

+ พายุเฮอร์ริเคน Karl ก่อตัวขึ้นทางตอนใต้ของอ่าวเม็กซิโก เมื่อวานนี้ และมีแนวโน้มจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างที่เคลื่อนตัวไปยังบริเวณอ่าว Compeche ของเม็กซิโก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการผลิตน้ำมันเป็นจำนวนมาก โดยกำลังการผลิตน้ำมันในบริเวณดังกล่าวมีรวมกันกว่า 2.55 ล้านบาร์เรล ต่อวัน และหากมีความรุนแรงถึงกับต้องมีการหยุดการผลิต ก็จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบจากเม็กซิโก ไปยังสหรัฐฯ ได้

 

 

+ นอกจากนี้ ทางเม็กซิโก ก็ได้ประกาศปิดท่าเรือ 2 ใน 3 ท่าเรือหลักสำหรับการส่งออกน้ำมันไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันพฤหัสบดี เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจาก เฮอร์ริเคน Karl

 

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน พ.ย. ปรับลดลง 0.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 78.48 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ส่งมอบเดือน ต.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 0.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 76.15 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์:

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ อย่างไรก็ตาม ยังคงได้รับแรงกดดันจากความต้องกานำเข้าน้ำมันเบนซินในภูมิภาคที่ยังเบาบางอยู่

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบดูไบ แต่ยังคงมีปัจจัยลบจากอุปทานในภูมิภาคอยู่ในระดับสูง โดยปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังที่สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 8.07% จากสัปดาห์ก่อน ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันดีเซลก็ปรับตัวลดลงในช่วงฤดูฝน ทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

 

 

 

-ทิศทางราคาน้ำมันระยะสั้น

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์หน้ามีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 72-78 เหรียญสหรัฐฯ ติดตามดัชนีราคาผู้บริโภค และความรู้สึกของผู้บริโภค

ต่อภาวะเศรษฐกิจที่จะประกาศในวันศุกร์ รวมถึงตัวเลขที่เกี่ยวกับตลาดบ้านที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์หน้า

 

 

-ปัจจัยที่น่าจับตามอง

• ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีความรู้สึกของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจ

• ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศในสัปดาห์หน้า ได้แก่

วันจันทร์: ดัชนีตลาดบ้าน

วันอังคาร: ยอดสร้างบ้านใหม่

วันพุธ: --

วันพฤหัส: ยอดขายบ้านมือสอง ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ และ ยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงาน

วันศุกร์: ยอดขายสินค้าคงทน และดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ

 

• การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 21 ก.ย. นี้ ติดตามดูว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีมาตรการทางการเงินออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อเสริมสภาพคล่องในตลาด และการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

• ทางการของสหรัฐฯ จะอนุญาตให้ บริษัท เอนบริดจ์ เปิดดำเนินการท่อขนส่งน้ำมันดิบ เส้น 6A และ 6B เมื่อไร ซึ่งถ้ามีการปิดดำเนินการเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำมันดิบคงคลังและกำลังการผลิตของโรงกลั่นในสหรัฐฯ

• การก่อตัวของพายุเฮอริเคนในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐฯ ที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเดือน ก.ย. นี้ ซึ่งปกติเป็นเดือนที่มีการเกิดพายุเฮอริเคนมากที่สุดในรอบปี โดยมีการพยากรณ์จำนวนเฮอริเคนในปีนี้ไว้ที่ 8-12 ลูก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Set50ราย๑ชม. กรอบการเคลื่อนไหวของเมื่อวานนี้อยู่ที่ Yesterday HIGH-------- Yesterday LOW

ระวังหากทะลุขึ้นเลยเส้น Yesterday High หากต้านไม่อยู่ขึ้นสูงต่อ หากทะลุลงเลยเส้น Yesterday Low หากหนุนไม่อยู่ลงต่อ

ทิศทางลง แต่ขณะนี้มีแรงซื้อขึ้นเพิ่มเข้ามา

post-237-090426500 1284696018.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาวะ Gold Futures By GT Wealth Management 17 ก.ย. 53 (ภาคเช้า)

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- ศุกร์ที่ 17 กันยายน 2553 11:41:34 น.

กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--GT Wealth Management

ราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเช้ายังคงทรงตัวใกล้ระดับ 1,275 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ (Spot gold) หลังจากขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งใกล้ระดับ 1,278 ดอลล่าร์ต่อออนซ์ โดยตัวเลขการค้าปลีกอังกฤษที่ซบเซากระตุ้นแรงซื้อ ขณะความเป็นไปได้ว่าการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันอังคารหน้าอาจจะมีการพูดถึงเรื่องการผ่อนคลายนโยบาย สร้างความกังวลเพิ่มและกระทบต่อค่าเงินดอลล่าร์ ทำให้ปรับอ่อนค่าลงเทียบสกุลเงินหลัก แม้ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานจะปรับดีขึ้น โดยลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 450,000 ราย ต่ำสุดในรอบ 2 เดือนการซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดนิวยอร์กมีประมาณ 93,408 สัญญา SPDR คงการถือครองที่ระดับเดิม 1,294.75 ตัน ค่าเงินบาทเช้าวันนี้ทรงตัวใกล้ระดับ 30.80 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โกลด์ฟิวเจอร์สัญญาสิ้นสุดอายุเดือนตุลาคม (GFV10) เปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 บาทจากช่วงปิดตลาดวันพฤหัสบดี (16 ก.ย. 53) โดยเปิดที่ระดับราคา 18,650 บาท ส่วนราคาทองคำที่ประกาศโดยสมาคมค้าทองคำวันนี้ ราคาเสนอซื้อ 18,500 บาท ราคาเสนอขาย 18,600 บาท

 

ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุนบริษัทจีที เวลธ์แมเนจเมนท์ จำกัดกล่าวว่า ทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในประวัติการณ์หลังจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ รวมถึงการด้อยมูลล่าลงของสกุลเงิน ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะยังผลักดันราคาให้ปรับขึ้นต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ดีแรงซื้อที่เกิดขึ้นเป็นเงินที่ไหลเข้าจากการใช้เป็นที่พักเงิน รวมไปถึงการเก็งกำไรทำให้อาจจะมีแรงเทขายทำกำไรเป็นระยะ ทำให้ราคายังคงมีความผันผวน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากกร๊าบบ คุณทองใหม่ สำหรับข้อมูลข่าวสาร ขอบคุณกร๊าบบบบบบบบบบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...