ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

กระแสตอบรับประมูลบอนด์โปรตุเกสดีเกินคาด

 

Posted on Thursday, January 13, 2011

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (พ. 12 ม.ค.2554)

• ราคาสินค้านำเข้า (ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 1.1% จากเดือนก่อนหน้า

• ราคาสินค้าส่งออก (ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 0.7% จากเดือนก่อนหน้า

• สต็อกน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ ลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พฤ. 13 ม.ค.2554)

• ดุลการค้าระหว่างประเทศ (พ.ย.) โดย กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ

• ดัชนีราคาผู้ผลิต (ธ.ค.) โดย กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

• ตัวเลขการขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ โดย กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

 

 

กระแสตอบรับประมูลบอนด์โปรตุเกสดีเกินคาด

 

โปรตุเกสได้ประมูลขายพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 16,100 ล้านดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ (12 ม.ค. 54) ตามเวลาประเทศไทย โดยความต้องการพันธบัตรอายุ 4 ปี มีมากกว่าการเสนอขายถึง 2.6 เท่า ส่วนความต้องการพันธบัตรอายุ 10 ปี มีมากกว่าการเสนอขายถึง 3.2 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกระแสตอบรับที่ค่อนข้างดี

 

ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี ลดลงเล็กน้อยจาก 6.806% เป็น 6.719% แต่ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 4 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 4.041% เป็น 5.396%

 

โปรตุเกสกลายเป็นอีกหนึ่งเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างกังวลว่าจะเป็นประเทศต่อไปที่ต้องรับความช่วยเหลือทางการเงินต่อจาก กรีซและไอร์แลนด์

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้โปรตุเกสจะประสบความสำเร็จในการจำหน่ายพันธบัตรในครั้งนี้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าก็คือ โปรตุเกสจะสามารถรักษาผลตอบแทนพันธบัตรให้อยู่ในระดับนี้ได้หรือไม่ และจะใช้วิธีอย่างไร เพราะผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ เดือน

 

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการคลังใน EU กำลังหารือกันเพื่อพิจารณาข้อเสนอที่จะให้มีการขยายวงเงินช่วยเหลือช่วยเหลือประเทศในภูมิภาค ที่ทำผ่านกองทุนสร้างเสถียรภาพทางการเงินแห่งยุโรป (EFSF) ที่มีมูลค่า 440,000 ล้านยูโร โดยการหารือดังกล่าวได้มีขึ้นในกรุงบลัสเซลล์เมื่อวันจันทร์และอังคารที่ผ่านมา และการเปลี่ยนแปลงที่กำลังถกกันอยู่นั้นก็รวมถึงการเพิ่มขนาดกองทุน และการยอมให้กองทุนดังกล่าวเข้ามาแทรกแซงในตลาดตราสารหนี้ด้วย

 

 

รมต. คลังฝรั่งเศสชื่นชมแผนการซื้อพันธบัตรยุโรปของญี่ปุ่น

 

คริสติน ลาการ์ด รัฐมนตรีคลังฝรั่งเศสยกย่องแผนการซื้อพันธบัตรยุโรปล็อตใหญ่ของทางการญี่ปุ่นในเร็วๆนี้ เพื่อสร้างเสถียรภาพทางในระบบการเงินที่มีปัญหาของไอร์แลนด์

 

รมว.คลังฝรั่งเศสกล่าวแสดงความเห็นในการประชุมร่วมกับโชซาบูโร ไจมิ รัฐมนตรีกระทรวงบริการการเงินของญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ในระหว่างการเดินทางเยือนฝรั่งเศสว่า ฝรั่งเศสรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งกับแผนการซื้อพันธบัตร 20% ที่จะออกโดยกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) ของญี่ปุ่นในเดือนนี้

 

รมว.คลังฝรั่งเศส กล่าวว่า การแสดงความพร้อมที่จะช่วยเหลือทางการเงินแก่ไอร์แลนด์นั้นถือเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นในระดับสากลที่มีต่อเงินยูโร

 

นอกจากนี้ นางลาการ์ดและรัฐมนตรีญี่ปุ่นยังได้หารือเรื่องการประชุมสุดยอด G-8 และการประชุม G-20 ที่ฝรั่งเศสจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในปีนี้ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบเรื่องการให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดต่อไปเพื่อปฏิรูประบบการกำกับดูแลทั่วโลกในตลาดการเงิน

 

 

เยอรมนีชี้โปรตุเกสพร้อมใช้มาตรการแก้วิกฤติเพิ่มเติม

 

นางแองเจลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวในระหว่างการเดินทางไปเยือนไซปรัสว่า โปรตุเกสยืนยันจะว่าพร้อมจะใช้มาตรการเพิ่มเติมในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ

 

โดยนางแมร์เคลให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าร่วมประชุมกับนายดีมิทรีส คริสโทเฟียส ประธานาธิบดีไซปรัสว่า "ประธานาธิบดีโปรตุเกสให้คำมั่นว่า หากคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป, ธนาคารกลางยุโรป และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ พิจารณาเพิ่มมาตรการในการช่วยแก้ปัญหาของประเทศ เขาก็พร้อมจะรับความช่วยเหลือดังกล่าว"

 

นอกจากนี้ นางแมร์เคลกล่าวเสริมว่า โปรตุเกสได้ตัดงบค่าใช้จ่ายลงเป็นจำนวนมาก แต่ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเห็นผล

 

 

GDP เยอรมันปี 2553 ฟื้นแรงตามคาด

 

ข้อมูลของทางการเยอรมันระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศกลับมาฟื้นตัวในปีที่แล้ว ในอัตราสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว ขณะตัวช่วยที่สำคัญอย่างการใช้จ่ายผู้บริโภคกลับยังคงอ่อนแอ เมื่อเทียบกับการลงทุนภาคธุรกิจที่บูมขึ้นมาก

 

ข้อมูลจากสำนักสถิติแห่งชาติของเยอรมันแสดงให้เห็นว่า การขยายตัวของจีดีพีได้ดีดกลับขึ้นมาอยู่ที่ 3.6% หลังจากที่ร่วงลงตกต่ำที่สุดในยุคหลังสงคราม และดิ่งลงไปถึง 4.7% ในปี 2552

 

ถึงกระนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาล่าสุดยังไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ที่แสดงว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคขยับตัวดีขึ้นแล้ว เหมือนกับที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปต่างกำลังคาดหวังถึงกำลังซื้อจากเยอรมัน ว่าจะเข้ามาช่วยชดเชยผลกระทบจากวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในขณะนี้

 

การบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเพียง 0.5 % เมื่อเทียบกับยอดการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่พุ่งพรวดขึ้นถึงกว่า 9 % ขณะที่การลงทุนอื่นๆ เพิ่มขึ้น 6.4 %

 

และในขณะที่ตัวเลขส่งออกขยับสูงขึ้น 14 %เมื่อปีที่แล้ว ตัวเลขการนำเข้าของประเทศก็ทะยานขึ้นเช่นกัน ที่อัตรา 13 % โดยนักวิเคราะห์หลายคนก็ยังประเมินด้วยว่าตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคควรจะต้องดีขึ้นอย่างมากในปีนี้

 

บริษัทต่างๆ ในเยอรมันกำลังได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งสะท้อนได้จากดัชนี DAX ของตลาดหุ้นเยอรมัน อันประกอบไปด้วยหุ้นขนาดใหญ่ 30 บริษัท และในจำนวนนั้นก็มี 22 บริษัทที่ทำผลประกอบการทะลุเป้า

 

หนึ่งในข่าวดีนั้นก็มี Siemens ซึ่งเป็นบริษัทวิศวกรรมรายใหญ่ที่สุดของยุโรป เมื่อบริษัทคาดว่ากำไรและยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้จะสูงกว่าตัวเลขในปีที่แล้ว จากการที่ดีมานด์สินค้าพุ่งสูงขึ้น

 

 

โอบามา กำหนดกล่าวแถลงการณ์ประจำปีวันที่ 25 ม.ค.นี้

 

ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์ประจำปีหรือ State of the Union ในวันที่ 25 ม.ค.นี้ ซึ่งจะมีการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ทั่วประเทศ และยังเป็นการกล่าวปราศรัยเรื่องนโยบายที่หลายฝ่ายมองว่ามีความสำคัญมากที่สุดของผู้นำสหรัฐ ก่อนที่จะมีการจัดการประชุมร่วมสภาคองเกรส

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า จอห์น โบเนอร์ โฆษกสำนักงานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้ส่งจดหมายเชิญอย่างเป็นทางการไปยังโอบามา เพื่อกล่าวแถลงการณ์แล้ว

 

โอบามาคาดว่า จะให้คำมั่นเรื่องการสร้างงานมากขึ้น รวมทั้งการกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และควบคุมยอดขาดดุลงบประมาณที่สูงขึ้น

 

การกล่าวแถลงการณ์ครั้งนี้มีแนวโน้มว่า จะครอบคลุมนโยบายต่างประเทศต่างๆ เช่น การเริ่มถอนกองกำลังทหารสหรัฐออกจากอัฟกานิสถานตามที่ได้มีการวางแผนไว้ในช่วงเดือนก.ค. รวมทั้งเรื่องโครงการนิวเคลียร์ที่ตึงเครียดของอิหร่านและเกาหลีเหนือ

 

 

มาตรการคุมเข้มด้านการเงินอาจฉุดยอดปล่อยกู้จีนชะลอตัว

 

ยอดปล่อยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์จีนมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลเดินหน้าใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน โดยเฉพาะการคุมเข้มด้านการปล่อยเงินกู้ในตลาดจำนอง

 

อย่างไรก็ตาม รายงานที่เผยแพร่โดยธนาคารแบงก์ ออฟ คอมมิวนิเคชั่นส์ (BOC) ในเซี่ยงไฮ้ระบุว่า ยอดปล่อยเงินกู้โดยรวมจะยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการสินเชื่อในระบบเศรษฐกิจอยู่มาก

 

นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังระบุตัวเลขคาดการณ์ยอดปล่อยเงินกู้ในรูปสกุลเงินหยวนล็อตใหม่ในปีนี้ที่ระดับ 7 - 7.5 ล้านล้านหยวน ส่วนอัตราการขยายตัวของยอดเงินกู้คงค้างในรูปสกุลเงินหยวนจะอยู่ที่ 14.5% - 16% เมื่อเทียบกับที่เพิ่มขึ้น 19.9% ในปี 2553

 

ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์จีนมียอดปล่อยเงินกู้ที่ระดับ 7.95 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2553 ซึ่งแม้ว่ายอดปล่อยเงินกู้ดังกล่าวจะลดลง 1.65 ล้านล้านหยวนจากปี 2552 ที่อยู่ในระดับ 9.6 ล้านล้านหยวน แต่ยังคงอยู่สูงกว่าเพดานที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 7.5 ล้านล้านหยวน

 

 

จีนเปล่อยเงินหยวนซื้อขายในสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก

 

จีนปล่อยให้มีการซื้อขายเงินหยวนได้เป็นครั้งแรกที่ตลาดสหรัฐฯ โดยมีรัฐบาลกรุงปักกิ่งให้การสนับสนุนการซื้อขายสกุลเงินที่มีอัตราการเติบโตสูงนี้ พร้อมกับเป็นอีกก้าวที่สำคัญในการผลักดันเงินสกุลของตนในเวทีโลก Bank of China ซึ่งมีรัฐบาลจีนเป็นเจ้าของ อนุญาตให้ลูกค้าตนสามารถซื้อขายเงินหยวนในประเทศสหรัฐฯ ได้แล้ว โดยเป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการขยายตลาด offshore ของเงินหยวน เหมือนกับที่ได้มีการเริ่มเปิดให้ซื้อขายกันไปแล้วที่ฮ่องกงในปีที่ผ่านมา

 

ความเคลื่อนไหวของ Bank of China เกิดขึ้นท่ามกลางข้อกล่าวหาจากฝั่งอเมริกาที่มองว่า จีนควบคุมค่าเงินหยวนให้อยู่ต่ำกว่าระดับที่ควรจะเป็น ทำให้ตนต้องเสียดุลการค้าแก่จีนเป็นจำนวนมหาศาล

 

การเตรียมตัวที่จะให้ค่าเงินหยวนสามารถแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นในต่างประเทศนี้ ยังเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของจีน ในฐานะที่เป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลก การตัดสินใจของจีนดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่ ปธน.หูจิ่นเทาของจีนจะเดินทางไปเยือนกรุงวอชิงตันในสัปดาห์หน้า เมื่อมีการคาดว่านโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจะถูกนำขึ้นมาเป็นประเด็นอีกครั้ง

 

 

จีนสั่งห้ามนำเข้าหมูและไข่จากเยอรมนี

 

ทางการจีนแถลงว่า จีนสั่งห้ามนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ไข่จากเยอรมนีแล้ว ขณะที่ปัญหาสารพิษไดออกซินปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์เกษตรของเยอรมนีรุนแรงขึ้น

 

ก่อนหน้านี้ เยอรมนีสั่งฆ่ากำจัดหมูที่ฟาร์มทางภาคเหนือ ภายหลังพบสารไดออกซินในระดับที่เป็นอันตรายในเนื้อหมูเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่พบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

ขณะเดียวกัน คำสั่งของจีนที่ห้ามนำเข้าเนื้อหมูและสินค้าไข่จากเยอรมนีจะมีผลบังคับใช้ในทันที เพื่อเป็นการป้องกันสุขภาพของผู้บริโภคในจีน

 

พร้อมกันนี้จะได้ตรวจสอบสินค้าที่มาจากเยอรมนี เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย หลังจากก่อนหน้านี้ เกาหลีใต้และสโลวาเกียสั่งห้ามและระงับการนำเข้าเนื้อหมู ไข่ และเนื้อสัตว์ปีกจากเยอรมนีไปแล้ว

 

 

ฮ่องกงครองแชมป์เสรีภาพเศรษฐกิจโลก

 

เฮอริเทจ ฟาวน์เดชัน สถาบันวิชาการสายอนุรักษนิยมของสหรัฐฯ เผยในรายงาน ซึ่งประเมินเสรีภาพทางเศรษฐกิจใน 183 ประเทศทั่วโลกว่า ฮ่องกงมีคะแนน 89.7 ซึ่งสูงกว่าระดับเฉลี่ยทั่วโลกที่ 59.7 ทำให้ฮ่องกงครองอันดับ 1

 

รายงานดังกล่าวระบุว่า ฮ่องกงยังคงรั้งตำแหน่งดินแดน ที่มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลกเป็นสมัยที่ 17 ติดต่อกัน เพราะฮ่องกงซึ่งเป็ฯหนึ่งในศูนย์กลางทางด้านการเงินและธุรกิจที่มีการแข่งขันมากที่สุดในโลก พิสูจน์ให้เห็นแล้วถึงความยืดหยุ่นอย่างสูงในระหว่างวิกฤตการเงินทั่วโลก

 

ขณะที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ กลับหล่นลงมาอยู่ที่อันดับ 9 จากอันดับ 8 ในปีที่แล้ว ส่วนอังกฤษร่วงตกจากอันดับ 11 ไปอยู่อันดับที่ 16 ในปีนี้ เนื่องจากนโยบายรัดเข็มขัด เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจ ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ในอันดับที่ 135

 

ส่วนเสรีภาพทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2544 ได้คะแนนไป 64.7 มากกว่าในปีก่อน 0.6 คะแนน ทำให้อันดับในปีนี้เลื่อนขึ้นมาอยู่ที่ 62 จาก 66 ในปี 2553 นอกจากนี้ ไทยยังรั้งอยู่ในอันดับ 10 จากทั้งหมด 41 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย และยังมีคะแนนโดยรวมสูงกว่าระดับคะแนนเฉลี่ยทั่วโลกและคะแนนเฉลี่ยของภูมิภาค หลังเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นอย่างรวดเร็วจากภาวะการชะลอตัว ด้วยความสามารถในการส่งออก และการเติบโตอย่างมั่นคง

 

แต่ความไม่มั่นคงทางการเมืองของไทย รวมทั้งการคอรัปชันทั้งในภาครัฐและเอกชน ยังเป็นสาเหตุหลักของความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจ โดยอาจทำลายบรรยากาศการลงทุนและศักยภาพในการพัฒนา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

(เพิ่มเติม) ดัชนี SET ต้นภาคเช้าวันนี้พุ่งกว่า 10 จุด รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2554 10:23:16 น.

ตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้เปิดทำการอย่างสดใสดีดตัวต่อจากวานนี้ ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนโดยรวมปรับตัวดีขึ้น หลังจากความกังวลปัญหาหนี้ยุโรปคลี่คลายลง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐบวกขึ้นมาเมื่อคืนนี้ และราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

เมื่อเวลา 9.58 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,029.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.12 จุด (+0.99%)

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นเช้านี้ปรับตัวขึ้นมาแรงหลังจากเมื่อคืนผลประมูลพันธบัตรของโปรตุเกส ซึ่งเป็นปัจจัยที่ตลาดจับตาดู (ซึ่งการประมูลคือการที่โปรตุเกสเข้าไปขอกู้กับนักลงทุน) ผลคือความสามารถในการกู้ออกมาดี ผู้เข้าร่วมประมูลค่อนข้างมาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เป็นสัญญาณบวก เพราะนอกจากโปรตุเกสแล้วยังมีการประมูลพันธบัตรของสเปนอีก 3,000 ล้านยูโร และอิตาลี 7,000 ล้านยูโร

 

"โดยรวมโปรตุเกสค่อนข้างมีปัญหามากที่สุด แต่นักลงทุนก็ยังให้การตอบรับที่ดี เพราะฉะนั้นประเทศอื่นก็น่าจะออกมาในทิศทางเดียวกัน" นายพงศ์ภัทร กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มตอบสนองในทางบวกระดับหนึ่งแล้ว วันนี้น่าจะยังแกว่งตัวขึ้นอยู่ แนวต้าน 1,030 จุด และ 1,036 จุด

 

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.22 น.ดัชนีอยู่ที่ 1,027.70 จุด เพิ่มขึ้น 8.19 จุด (+0.80%)

--อินโฟเควสท์ โดย ศศิธร ซิมาภรณ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

(เพิ่มเติม) ดัชนี SET ต้นภาคเช้าวันนี้พุ่งกว่า 10 จุด รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2554 10:23:16 น.

ตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้เปิดทำการอย่างสดใสดีดตัวต่อจากวานนี้ ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนโดยรวมปรับตัวดีขึ้น หลังจากความกังวลปัญหาหนี้ยุโรปคลี่คลายลง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐบวกขึ้นมาเมื่อคืนนี้ และราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

 

เมื่อเวลา 9.58 น.ดัชนี SET มาอยู่ที่ 1,029.63 จุด เพิ่มขึ้น 10.12 จุด (+0.99%)

นายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นเช้านี้ปรับตัวขึ้นมาแรงหลังจากเมื่อคืนผลประมูลพันธบัตรของโปรตุเกส ซึ่งเป็นปัจจัยที่ตลาดจับตาดู (ซึ่งการประมูลคือการที่โปรตุเกสเข้าไปขอกู้กับนักลงทุน) ผลคือความสามารถในการกู้ออกมาดี ผู้เข้าร่วมประมูลค่อนข้างมาก อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เป็นสัญญาณบวก เพราะนอกจากโปรตุเกสแล้วยังมีการประมูลพันธบัตรของสเปนอีก 3,000 ล้านยูโร และอิตาลี 7,000 ล้านยูโร

 

"โดยรวมโปรตุเกสค่อนข้างมีปัญหามากที่สุด แต่นักลงทุนก็ยังให้การตอบรับที่ดี เพราะฉะนั้นประเทศอื่นก็น่าจะออกมาในทิศทางเดียวกัน" นายพงศ์ภัทร กล่าว

 

อย่างไรก็ตาม ตลาดเริ่มตอบสนองในทางบวกระดับหนึ่งแล้ว วันนี้น่าจะยังแกว่งตัวขึ้นอยู่ แนวต้าน 1,030 จุด และ 1,036 จุด

 

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.22 น.ดัชนีอยู่ที่ 1,027.70 จุด เพิ่มขึ้น 8.19 จุด (+0.80%)

--อินโฟเควสท์ โดย ศศิธร ซิมาภรณ์

 

 

ขอบคุณสำหรับข่าวสารคะ ติดตามต่อปาย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

(เพิ่มเติม) ม.หอการค้าฯ เผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ธ.ค.53 ที่ 71.9 จาก 70.3 ในพ.ย.

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2554 11:36:09 น.

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือน ธ.ค.53 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวม อยู่ที่ 71.9 เพิ่มขึ้นจาก 70.3 ในเดือน พ.ย.53 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานทำ อยู่ที่ 72.0 เพิ่มขึ้นจาก 70.5 ในเดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 98.7 เพิ่มขึ้นจาก 96.3 ในเดือนพ.ย.

 

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน

สำหรับปัจจัยบวกที่ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธ.ค.53 ได้แก่ คณะรัฐมนตรียกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน, การปรับขึ้นค่าแรงทั่วประเทศในอัตรา 8-17 บาท/วัน, รัฐบาลต่ออายุมาตรการลดค่าครองชีพให้ประชาชน, รัฐบาลมีนโยบายตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร, ราคาผลผลิตทางการเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นต้น

 

ขณะที่ปัจจัยลบ ได้แก่ ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรัวตัวเพิ่มขึ้น, ผู้บริโภคกังวลต่อความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากปัญหาหนี้ในสหภาพยุโรป, ผู้บริโภคมีความกังวลต่อปัญหาราคาค่าครองชีพและราคาสินค้า ตลอดจนความกังวลที่มีต่อปัญหาการเมืองในอนาคต เป็นต้น

 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไม่น่าจะมีปัจจัยลบมาบั่นทอนมากนัก ส่วนเรื่องเศรษฐกิจในยุโรป โดยเฉพาะเรื่องหนี้สินของยุโรป ไม่น่าจะบั่นทอนความเชื่อมั่นผู้บริโภค เนื่องจากคาดว่าปัญหาหนี้สาธารณะยุโรปจะแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องราคาน้ำมัน รัฐบาลยังตรึงราคาดีเซลต่อ รวมถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ขณะนี้เริ่มอ่อนค่าลงมา ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นน่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้กำลังซื้อของภาคเกษตรเพิ่มขึ้น

 

ทั้งนี้ เชื่อว่าความเชื่อมั่นในอนาคตจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากการสำรวจพบว่าความเชื่อมั่นทางด้านรายได้ในอนาคตใกล้เคียงระดับ 100 มาอยู่ที่ 98.7 ซึ่งหากใน 1-2 เดือนนี้ ความเชื่อมั่นด้านรายได้มาอยู่ที่ 100 ได้ ก็จะทำให้การบริโภคในไตรมาสที่ 1 ของปี 54 ขยายตัวได้ 3-4% และยอดขายในประเทศน่าจะขยายตัวได้ 5-7% เพราะฉะนั้นการบริโภคในประเทศจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 1 ให้ขยายตัวได้ 3-3.5% ส่วนทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 4.2% ได้ และมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวได้ 4.5% เนื่องจากแผนประชาวิวัฒน์ 9 ข้อหากเห็นผลได้ภายใน 6 เดือน และการปรับขึ้นค่าแรง 8-17 บาท จะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ 0.1-0.15%

 

--อินโฟเควสท์ โดย พณฦ/กษมาพร/รัชดา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 13 ม.ค. 2554

 

ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

เขียนโดย กอง บก.ออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2011 เวลา 10:15 น.

ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน 13 ม.ค. 2554

 

 

 

หน่วยวิเคราะห์สถานการณ์พลังงาน บมจ.ไทยออยล์รายงานสถานการณ์ราคาน้้ำมันวันที่ 13 ม.ค. 2554 "น้ำมันกระฉูดสูงสุดในรอบ 27 เดือน จากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงอีก"

 

 

 

-ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ส่งมอบเดือน ก.พ. ปรับเพิ่มขึ้น 0.75 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ปิดที่ 91.86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจาก

+ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงาน สังกัดกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ได้ออกมารายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง สิ้นสุด ณ วันที่ 7 ม.ค. 54 ว่าปรับลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน

(หน่วย: ล้านบาร์เรล) EIA API รอยเตอร์โพล

น้ำมันดิบคงคลัง ลดลง 2.2 เพิ่มขึ้น 0.1 ลดลง 1.1

น้ำมันเบนซินคงคลัง เพิ่มขึ้น 5.1 เพิ่มขึ้น 7.0 เพิ่มขึ้น 1.8

น้ำมันดีเซลคงคลัง เพิ่มขึ้น 2.7 เพิ่มขึ้น 1.6 เพิ่มขึ้น 1.0

 

 

+ เบจบุ๊ค ซึ่งเป็นรายงานสำหรับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 25-26 ม.ค.54 นี้ ได้รายงานว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯเริ่มปรับตัวดีขึ้น ทั้งภาคการค้าปลีกและกลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่มีความต้องการที่สูงอยู่ในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดีภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังต้องติดตาม เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจบางตัวยังคงไม่ค่อยดีนัก ได้แก่ ตัวเลขยอดการสร้างบ้างใหม่

 

 

+ ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับเงินยูโร เนื่องจากนักลงทุนตอบรับการออกพันธบัตรรัฐบาลของประเทศโปรตุเกสที่ประสบความสำเร็จเมื่อวานนี้ โดยตลาดจับตามองการออกพันธบัตรรัฐบาลของ สเปนและอิตาลี รวมทั้งการประชุมของธนาคารกลางยุโรปในวันพฤหัสนี้

 

 

- บริษัท StatOil ของประเทศนอร์เวย์ ได้กลับมาดำเนินการผลิตน้ำมันดิบอีกครั้ง หลังจากที่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้ปิดบ่อน้ำมันสองแห่ง ที่ Snorre และ Vigdis ในทะเลเหนือ ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 157,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากก๊าซรั่วไหล

 

 

- หลังจากที่ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ของระบบท่อขนส่งน้ำมันสายหลักบริเวณอลาสก้ามายังสหรัฐฯ ก็ได้เริ่มกลับมาดำเนินการอีกครั้ง โดยเริ่มการขนส่งน้ำมัน 400,000 บาร์เรลต่อวัน จากปกติ 600,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ของอัตราขนส่งปกติ

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ที่ตลาดลอนดอน ส่งมอบเดือน ก.พ. ปรับเพิ่มขึ้น 0.51 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 98.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ตลาดสิงคโปร์ ส่งมอบเดือน ก.พ. เพิ่มขึ้น 1.86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล มาปิดที่ 93.80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์:

ราคาน้ำมันเบนซิน ปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ อย่างไรก็ตามอุปสงค์ในภูมิภาคปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางความกังวลจากการปิดซ่อมบำรุงหน่วยผลิตน้ำมันเบนซินของหลายประเทศในเร็วๆนี้

ราคาน้ำมันดีเซล ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการน้ำมันดีเซลในภูมิภาคเอเซียที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะจากประเทศอินโดนีเซีย

 

 

 

-ทิศทางราคาน้ำมันระยะสั้น

 

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสในสัปดาห์นี้ คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 87- 93 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ติดตามการประกาศตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ, ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานของสหรัฐฯ และการประชุมของธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษ ในวันนี้

 

 

----------------------------------------

 

 

-ปัจจัยที่น่าจับตามอง

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่จะประกาศในสัปดาห์นี้ ได้แก่

วันพฤหัสบดี : ตัวเลขการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ, ดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดผู้ขอรับสิทธิประโยชน์จากการว่างงานของสหรัฐฯ และการประชุมของธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งจะมีการประกาศอัตราดอกเบี้ย

วันศุกร์ : ดัชนีราคาผู้บริโภค, ยอดค้าปลีก, การผลิตภาคอุตสาหกรรม และความรู้สึกของผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

• สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อของจีน ในเดือน ธ.ค. ที่จะประกาศในเร็วๆ นี้ ซึ่งถ้ายังไม่ปรับลดลง (จากระดับ 5.1% ในเดือน พ.ย.) จะเป็นแรงกดดันให้ทางการจีนอาจจะจำเป็นต้องนำมาตรการการเงินที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน รวมทั้ง การใช้น้ำมันด้วย

• สถานการณ์หนี้ในยุโรป โดยเฉพาะ โปรตุเกส และสเปน และการตอบรับของนักลงทุนต่อการออกพันธบัตรของกลุ่มสหภาพยุโรปเป็นครั้งแรกในวันพฤหัสนี้ ซึ่งอาจจะกดดันค่าเงินยูโรให้อ่อนค่าลงไปอีก รวมทั้งการประชุมของธนาคารกลางยุโรปในวันพฤหัสนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อ.ขา ได้ดูนะคะ แต่ติดภาระกิจเข้าๆ ออกๆ ไม่เป็นเวลา เลยไม่ค่อยได้เข้ามาโพส

 

อ.อย่าเพิ่งน้อยใจนะคะ . สงสารลูกนกลูกกาตาดำๆนะ (ถ้าไม่มีข้อมูลของอ.สงสัยจาหาค่าขนมไม่ได้แน่ อิอิ) !_09

เหมือนคุณ tiny คะ ไม่ค่อยมีเวลามาโพส แต่รอข้อมูลอ.ทองใหม่ทุกวัน แค่อ่านช่าวยังไม่มีเวลาอ่านได้หมดเลยคะ อายจังที่ต้องมาสารภาพ :P ว่าแล้วขอทวงกราฟด้วยคะ :lol: :lol:

!thk !thk มากๆคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหมือนคุณ tiny คะ ไม่ค่อยมีเวลามาโพส แต่รอข้อมูลอ.ทองใหม่ทุกวัน แค่อ่านช่าวยังไม่มีเวลาอ่านได้หมดเลยคะ อายจังที่ต้องมาสารภาพ :P ว่าแล้วขอทวงกราฟด้วยคะ :lol: :lol:

!thk !thk มากๆคะ

ฮาฮา ดีนะที่ทวงกราฟ กะว่าจะไปนอนพักเสียแย้ววว เดี๋ยวจัดให้จ้า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟวิเคราะห์ ให้ดูกราฟประกอบ

ก่อนเปิดสถานะควรดูแนวโน้มว่าขึ้นหรือลง หากแนวโน้มขึ้นเปิดสถานะL หากราคาขึ้นถึงH3 หากต้านอยู่ ให้ปิดสถานะL เปลี่ยนเปิดสถานะS แต่หากราคาทะลุด่าน

H3แตก ให้ถือLต่อ ถ้าราคาถึงH4ให้ทยอยออกหรือปิดL แต่ถ้าชอบเสี่ยงก็ให้ถือต่อ โดยมีเป้าหมายที่H5

หากเปิดSไว้ก่อน ราคาไปที่L3 หากรับไว้อยู่ ให้ปิดSแล้วเปิดL หากL3แตกให้ถือSต่อ ราคาถึงL4ให้ทยอยปิดS แต่ถ้าชอบเสี่ยงให้ถือSต่อ โดยมีเป้าหมายที่L5

post-237-078530100 1294896812.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กราฟวิเคราะห์ ให้ดูกราฟประกอบ

ก่อนเปิดสถานะควรดูแนวโน้มว่าขึ้นหรือลง หากแนวโน้มขึ้นเปิดสถานะL หากราคาขึ้นถึงH3 หากต้านอยู่ ให้ปิดสถานะL เปลี่ยนเปิดสถานะS แต่หากราคาทะลุด่าน

H3แตก ให้ถือLต่อ ถ้าราคาถึงH4ให้ทยอยออกหรือปิดL แต่ถ้าชอบเสี่ยงก็ให้ถือต่อ โดยมีเป้าหมายที่H5

หากเปิดSไว้ก่อน ราคาไปที่L3 หากรับไว้อยู่ ให้ปิดSแล้วเปิดL หากL3แตกให้ถือSต่อ ราคาถึงL4ให้ทยอยปิดS แต่ถ้าชอบเสี่ยงให้ถือSต่อ โดยมีเป้าหมายที่L5

post-237-004840600 1294896855.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...