ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

Kimheng 9999

บทความแนวโน้มราคาทอง วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2556 (รอบเย็น)

 

สรุปภาพรวมของตลาดเมื่อวานนี้

 

ตลาดขับเคลื่อนด้วยผลของถ้อยแถลงของประธานเฟด (Ben Bernanke) ในช่วงต้นตลาดเอเชียซึ่งถือว่าค่อนข้างอ่อนไหว (Sensitive) กับข่าวได้ง่าย และเริ่มสงบลงในช่วงตลาดยุโรปซึ่งไม่มีการประกาศตัวเลขสำคัญๆอะไร พอเข้าสู่ตลาดอเมิรกาผลของตัวเลข U.S Jobless claims ซึ่งถือว่าอ่อนแอกว่าการคาดการณ์ของตลาดได้ส่งผลให้มีแรงซื้อทองคำขึ้นบ้างหลังเข้าทดสอบแนวรับใกล้บริเวณ 1280/1278 อย่างไรก็ตามทางแผนกแรงงานสหรัฐฯได้ออกมาบอกว่าตัวเลขที่อ่อนแอในครั้งนี้อาจมาจากผลของ Seasonal adjustment ( July 4) ซึ่งก็หมายความว่า ตัวเลขที่แท้จริงอาจไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เห็นส่งให้มีแรงเทขายทองคำอีกระลอก

โดยภาพรวมตลาดอเมริกาค่อนข้างดูเชิงดูท่าทีไม่กล้าผลีผลามเข้าซื้อทองคำ (เพราะอาจกลัวแรงเทขายทำกำไรจากทางด้านเอเชียและยุโรป) อย่างไรก็ตามเมื่อราคาทองคำได้ลงมาทดสอบแนวรับอีกระลอกใกล้บริเวณ 1278 ซึ่งผู้เขียนก็ได้ให้ไว้เมื่อวานก็คงพบแรงซื้ออีกครั้งถึงจะไม่หนาแน่นนักเนื่องจากตลาดได้วิ่งขึ้นมาไกลพอสมควรโดยปราศจากปัจจัยพื้นฐานสนับสนุนยกเว้นลมปากของ Ben Bernanke

 

สิ่งที่น่าสนใจและจับตาดูวันนี้

 

ยังคงค่อนข้างเบาบางตามตารางข้างล่างนี้ ตลาดอาจมีการเคลื่อนไหวในลักษณะพักตัว หรือ Consolidate สักระยะหลังมึนๆกับคำพูดของ Bernanke. คำพูดที่น่าจะดูดีและเหมาะสมสำหรับประธานธนาคารกลางอันดับหนึ่งของโลกและถือว่าเป็นกลาง ก็ได้แก่ เฟดจะปรับเปลี่ยนนโยบายหรือมาตรการต่างๆให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ (Alan Greenspan’s style) ปล่อยให้ตลาดคิดกันเอาเองและก็ถูกต้องอย่างยิ่ง ซึ่งตลาดอาจคิดได้ว่า หมายความว่าถ้าตัวเลขบ่งชี้ทางเศรษฐกิจออกมาแข็งแกร่งหรือดีวันดีคืนเฟดก็จะลดการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน (ลดขนาดของ QE ลงจนในที่สุดก็เลิกใช้ไป) แต่ถ้าตัวเลขบ่งชี้ทางเศรษฐกิจเริ่มส่อแววชะงักเฟดก็คงต้องใช้นโยบายผ่อนคลายอย่างมากต่อไปอีก เป็นต้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนทุกท่านก็อาจยังจำเป็นต้องติดตามผลของตัวเลขในสหรัฐฯค่ำคืนนี้นะครับทั้ง 2 ตัวเลย

 

แนวโน้มและกลยุทธ์ประจำวันนี้

 

หลังความผันผวนในช่วงตลาดเอเชียอภินันทนาการโดยนาย Ben Bernanke ยอมรับว่ามีแรงเทขายทำกำไรกันอย่างหนาแน่นใกล้แนวต้าน 1300 แต่การเข้าซื้อใกล้ หรือ แถวบริเวณแนวรับ 1280/1278 ก็พอสามารถทำกำไรได้บ้าง

ส่วนภาพรวมของการซื้อขายวันนี้ก็เป็นไปได้สูงครับว่าจะอยู่ในกรอบไม่กว้างนัก (พักหายใจ) Sentiment วันนี้ถือว่า Neutral

กลยุทธ์วันนี้คือ ถ้าต้นตลาดวันนี้ราคาทองคำมีการปรับย่อลงก่อนก็ยังคงเหมาะแก่การเข้าซื้อเล็กๆสั้นๆ แต่ตลาดกลับเข้าทดสอบด้านบนก่อน (1288/1290) จึงถือว่าไม่เข้าสูตร อย่างไรก็ตามขณะนี้ตลาดก็กำลังทดสอบแนวรับแถวบริเวณเส้นความเคลื่อนไหวเฉลี่ย 50periods ในกราฟรายชั่วโมงอยู่ จะไล่ขายลงไปก็ดูจะไม่เหมาะสม ยกเว้นจะมีตาทิพย์เห็นล่วงหน้าว่าราคาทองคำจะหลุดลงไป แต่ถึงจะหลุดใครจะรู้ อาจหลุดไปเพื่อรับประธาน Stop loss orders เล็กธรรมดาๆ เพราะฉะนั้นบรรดา Bulls ที่เป็น Aggressive investors อาจซ่าส์เข้าซื้อทองคำบริเวณดังกล่าว 1275+/- โดยจำเป็นต้องวาง stop loss order ไกลหน่อย เพราะแนวรับถัดไปจะอยู่แถวบริเวณ 1270 ตามด้วย 1267 /1265 ส่วน conservative investors อาจต้องรอผลของตัวเลขค่ำคืนนี้ตามเคยคล้ายเมื่อคืน ส่วนผู้เขียนในเมื่อการเคลือนไหวของทองคำในวันนี้ไม่เข้าสูตรสำเร็จทั่วๆไป จึงอาจ wait and see ไปจนถึงผลของตัวเลขในคืนนี้ เผื่อมีอะไรให้ทำสั้นๆพอหอมปากหอมคอ (เข้าซื้อ )

แต่ก็นะขณะนี้ราคาทองคำจอดนิ่งอยู่แถวบริเวณ เส้น moving average 50 periods เข้าสู่ชั่งโมงที่ 4 แล้ว ดูยั่วๆให้เข้าซื้อจัง ยังไงดีนะ โอเค เดี๋ยวไปลองโยนหัวก้อยดูก่อนแล้วกัน ออกหัว ซื้อเล็กๆ ออกก้อย *รอดูผลของตัวเลขก่อน ฮิฮิ ผู้เขียนชวนเสี่ยงโชคเสี่ยงดวงซะแล้ว ขอให้ผู้อ่านและนักลงทุนทุกท่านโชคดีครับ

 

แนวรับ-แนวต้านวันที่ 12/7/56 updated at 16.15น.

R2=1288/1290

R1=1280/1285

S1=1275

S2=1270

S3=1268/1265

………………………….

หมายเหตุ: บทความนี้ถูกจัดทำขึ้นบนพื้นฐานของแหล่งข้อมูลที่เชื่อว่าหรือควรเชื่อว่ามี ความน่าเชื่อถือ และ / หรือมีความถูกต้อง อย่างไรก็ตามผู้จัดทำไม่รับรองความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลดังกล่าวข้อมูลและความเห็นที่ปรากฎข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือเพิ่มเติมได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ผู้จัดทำไม่มีความประสงค์ที่จะชักจูงหรือชี้ชวนให้ผู้ลงทุนลงทุนซื้อหรือขายหลักทรัพย์ ผู้จัดทำจึงไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นจากการนำข้อมูลหรือความเห็นของบทความนี้ไปใช้ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบในการตัดสินใจลงทุน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

“การคิด” ไม่ใช่แค่ “หมากรุก” เท่านั้น (จบ) อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

การคิดเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์

แต่การยกระดับการคิดในชีวิตประจำวันให้สามารถคิดได้สลับซับซ้อนมากขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับชีวิตการทำงาน

หรือชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่มีหลายมิติซ้อนทันกันอยู่เป็นเรื่องของรัฐและสังคม

การศึกษาพื้นฐานที่รัฐทุกรัฐสร้างขึ้นมาเป็นการสร้างกลไกรัฐในด้านของการยกระดับการคิดของนักเรียน

ให้ก้าวข้ามการคิดในชีวิตประจำวัน แน่นอนว่าหน้าที่อีกด้านหนึ่งของการศึกษาพื้นฐาน ได้แก่

การสร้างคุณลักษณะของพลเมืองในแบบที่รัฐต้องการ แต่อีกด้านหนึ่ง ก็คือ

กระบวนการทำให้การคิดของนักเรียนเปลี่ยนแปลงไปให้ได้

วิชาทุกวิชาที่สอนกันในการศึกษาพื้นฐานจึงเป็นวิชา

ที่สามารถส่งเสริมการคิดของนักศึกษาให้ผนวก/ประยุกต์/ดึงเอาการคิดในชีวิตประจำวัน

ให้ขยับไปสู่การคิดในเรื่องที่เป็นนามธรรมมากขึ้น ผมย้ำว่าทุกวิชานะครับ

วิชาประวัติศาสตร์หรือศีลธรรมที่นักเรียนทุกคนในสังคมคิดว่าเป็นวิชาท่องจำที่น่าเบื่อหน่าย

แต่หากผู้สอนเข้าใจหลักการวิธีคิดของประวัติศาสตร์ก็สามารถจะสอนให้นักเรียนคิดได้

และจะเอื้อให้คิดได้ดีเสียด้วยซ้ำไป

การสอนให้เกิดการคิดเริ่มต้นจากการทำให้นักเรียนมองเห็นว่า "คำถาม" หรือ “ปัญหา”

คืออะไร ในแต่ละระดับชั้นย่อมมีความซับซ้อนยากง่ายของ “ปัญหา” ไม่เหมือนกัน

จากการทำให้นักเรียนเห็นและเข้าใจในตัว “ปัญหา”

ด้วยการแสดงให้เห็นว่าหากเราสามารถอธิบาย “ปัญหา” นั้นแล้ว

เราจะมองต่อไปในสิ่งใดที่สำคัญมากขึ้น จากนั้นก็เริ่มต้นได้ด้วยการชี้ให้เห็นว่า “ข้อมูล”

ที่เกี่ยวข้องกับ "ปัญหา" นั้นมีอะไรบ้าง และหากจะตอบคำถามนั้น

จะต้องมองหา “ข้อมูล” อะไรเพิ่มเติม

กระบวนการชี้ให้เห็นว่า “ข้อมูล” ที่เกี่ยวข้องนั้นมันเกี่ยวกันอย่างไร ก็คือ

การแสดงให้เห็นถึงการสร้าง/จินตนาการให้นักเรียนได้เห็นถึง “สายสัมพันธ์” ของข้อมูลปลีกๆ

ชุดหนึ่งที่เมื่อนำมาสัมพันธ์กันแล้วก็จะทำให้เกิดความเข้าใจใหม่หรือทำให้เกิด “ความหมายใหม่” ขึ้นมา

การทำให้นักเรียนสามารถสร้างหรืออย่างน้อยก็รับรู้ว่า “สายสัมพันธ์” ของข้อมูลปลีกๆ

ชุดหนึ่งทำให้เกิด "ปรากฏการณ์" เกิดขึ้นลักษณะหนึ่งที่ย่อมแตกต่างไปจากการเชื่อม “สายสัมพันธ์”

กับข้อมูลชุดอื่น (เช่น การผสมโปตัสเซียมกับกำมะถันแดงเข้าด้วยกันอย่างแผ่วเบา

จะมีผลทางเคมีแตกต่างไปจากเอากำมะถันแดงผสมกับขี้แมว เป็นต้น :

ขอโทษนะครับสำหรับตัวอย่างที่ไม่ดีอันนี้ เผอิญเป็นความรู้เคมีชุดเดียวที่เหลืออยู่ในความทรงจำ

และเมื่อต้องหยิบมาใช้ในทันทีนั้น ก็มีอยู่แค่นี้

ความรู้เคมีเรื่องนี้นักเรียนช่างกลรุ่นราวคราวเดียวกับผมน่าจะรู้ทุกคนกระมังครับ)

การคิดที่สลับซับซ้อนมากขึ้นตามอายุของนักเรียนและชั้นเรียน ก็คือ

การขยับมิติของการเชื่อมโยง “สายสัมพันธ์” ของข้อมูลให้มีลึกซึ้งซับซ้อนมากขึ้น

และทำให้มองเห็น “ข้อมูล” ชุดเดิมในมุมมองที่แตกต่างออกไป

กระบวนการการเรียนการสอนในแต่ละวิชาสามารถที่จะทำให้นักเรียนมองเห็น “สายสัมพันธ์”

ของข้อมูลปลีกๆ ชุดหนึ่งขึ้นมาได้

เพราะรายวิชาทุกวิชาก็ล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการสร้างจินตนาการ “เชื่อมโยง” ข้อมูลปลีกๆเฉพาะของวิชานั้นๆ

ปัญหาสำคัญที่ทำให้ปลัดกระทรวงศึกษาต้องผลักดันเอาวิชา “หมากรุก”

เข้ามาสู่โรงเรียนก็เพราะว่าการศึกษาในระบบโรงเรียน

ไม่สามารถทำให้การสอนในแต่ละรายวิชานั้นทำให้นักเรียนสร้างจินตนาการ “เชื่อมโยง”

ข้อมูลในรายวิชานั้นได้ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจได้ว่าเรียนวิชานั้นๆ

แล้วจะนำไปสู่ความเข้าใจอะไรบ้างที่กว้างขวางมากกว่าเดิม

แม้ว่าครูในการศึกษาระบบโรงเรียนปรารถนาจะแก้ไขการเรียนการสอนของตน

ก็ไม่สามารถที่จะทำได้อย่างเป็นอิสระ เพราะการสอบเรียนต่อในระดับสูงขึ้นไปก็จะพบข้อสอบที่ไม่ได้เน้นจินตนาการเชื่อมโยงอะไร การสอบเพื่อเข้าสู่การศึกษาอุดมศึกษา

ก็เป็นการสอบที่ไม่ได้คิดจะวัดจินตนาการเชื่อมโยงอะไร

สองสามปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยในภาคเหนือแห่งหนึ่งออกข้อสอบสังคมศาสตร์

เข้ามหาวิทยาลัยหลายข้อด้วยการให้แปลภาษาบาลี ดังนั้น

ครูในโรงเรียนและสถานกวดวิชาทั้งหลายก็จะเน้นวิชาว่าด้วยทักษะการกาข้อสอบเท่านั้นเอง

หากจะมีจินตนาการอยู่บ้างก็ค่อนข้างเหลวไหล (เลื่อนเปื้อน ไม่ได้สติ) เช่น

ข้อสอบทำนองที่ว่าหากมีอารมณ์ทางเพศแล้วควรจะทำอะไร เป็นต้น

แต่ไม่ใช่ว่าครูทั้งหมดพยายามที่จะแก้ไขการสอน

ผมพบว่าครูส่วนใหญ่จะเลือกแนวทางที่ง่ายกว่าและไม่ก่อผลเสียต่อใครรวมทั้งต่อตัวครูเอง ก็คือ

สอนไปตามที่กระทรวงศึกษากำหนดไว้ ไม่ต้องคิดขวนขวายหาหนังสือจากต่างประเทศดีๆ

มาอ่านหรือจับกลุ่มปรึกษาหารือเพื่อพัฒนานักเรียนอย่างจริงๆ

เพราะกิจกรรมที่ครูควรทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์การวัดความดีความชอบของโรงเรียน

และระบบการศึกษาไทย

ด้วยความที่เกณฑ์วัดความดีความชอบไม่สามารถวัดความพยายามของครู

ในการแสวงหาแนวทางในการสร้างจินตนาการให้แก่นักศึกษา

จึงทำให้บรรยากาศของการแสวงหาความรู้และแนวทางการสอนที่ให้นักเรียนฉลาดขึ้น

จึงเป็นเรื่องประหลาดไป แม้กระทั้ง ในการศึกษาระดับอุดมศึกษา

อาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งบอกว่าหากตัวท่านพยายามจะทำวิจัย

หรือชวนคุยวิชาการกับเพื่อนอาจารย์ ก็จะพบกับความแปลกแยกและเฉยชา

จนท่านต้องกลับมาถกเรื่องสัพเพเหระเพื่อรักษาเพื่อนเอาไว้

อีกท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญงานวิจัยถึงกับกล่าวทำนองว่าหากครูที่มีหน้าที่สอนครูไม่ฉลาดแล้ว

ครูทั่วไปจะฉลาดได้อย่างไร

สิ่งที่ “รู้” ในโรงเรียนจึงเป็นความรู้ที่อยู่นอกตัวนักเรียน

ความรู้จึงเหมือนกับ “ไขควง” ที่หวังว่าหากวันใดจะใช้ไขสกรูก็ไปหยิบมาใช้ “ความรู้”

และการแสวงหา “ความรู้” ด้วยการ “คิด” จึงไม่ฝังเข้าไปในระบบสมองของนักเรียน

ทั้งๆ ที่ “ความรู้” ทั้งหมดต้องเข้าไปอยู่ในสมองนักเรียนเพื่อที่นักเรียนจะได้ใช้ความรู้นั้น

ไปอธิบายหรือใช้ไปการทำความเข้าใจสรรพสิ่งรอบตัวของเขา

Tags : อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกๆท่าน มีความสุขวันหยุดนะคะ

 

ขอบคุณเพื่อนๆเช่นกัน

 

1000142_445018632263048_159047854_n.jpg

Thanong Fanclub

IMFทำกรีซเจ้งหนักกว่าเดิม

 

จากรายงานลับของIMF มีการยอมรับว่าผิดไปแล้วในการดูแลกรีซเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ

 

ในการเข้าไปช่วยเหลือการเงินกรีซ IMFเหมือนเจ้าหนี้ทั้งหลายที่ต้องการให้ลูกหนี้ลดหนี้บังคับให้กรีซลดการขาดดุลย์ IMFไม่ได้ไปถึงขนาดให้ทำงบประมาณสมดุลย์ และคาดการว่าการลดการขาดดุลย์จะทำให้เศรษฐกิจหดตัว5.5%

 

ที่ใหนได้เศรษฐกิจกรีซหดตัวอย่างรุนแรง17% เสียหายเกินกว่าที่คาดการสามเท่า

 

และในทำนองเดียวกัน IMFคาดการว่าแผนการรัดเข็มขัดนี้ จะทำให้กรีซมีอัตราว่างงาน1ถ% แต่ตัวเลขว่างงานกับกลายเป็นสูงถึง25%

 

พอการว่างงานสูงถึง17%และเศรษฐกิจมีการหดตัวถึง25% เป้าการลดภาระขาดดุลย์ของรัฐบาลกรีซที่IMFวางไว้ก็ไม่บบรลุผล

 

นี้คือผลกระทบทวีคูณของการคลังที่หดตัว พอผิดไปแล้วIMFอย่างมากพูดว่าไอแอมซอรี่ แต่ประเทศกรีซเสียหายไปแล้ว อย่างยากที่จะฟื้นกลับมา

 

ตอนสมัยที่ช่วยไทยปี1997 ไอเอ็มเอฟก็ให้ยาไทยผิดลักษณะคล้ายๆกัน คือทำให้คนป่วย ป่วยหนักจนใกล้ตาย ด้วยนโยบายการคลังที่เข้มงวดและนโยบายดอกเบี้ยที่สูง มีผลทำให้เศรษฐกิจหดตัวอย่างรุนแรง และระบบการเงินยิ่งพังเละไปหมด

 

กรีซเป็นเป็าที่ต้องโดนเชือด เพื่อให้ประเทศยุโรปอื่นๆเห็นเป็นตัวอย่าง ถ้าไม่ยอมจะโดนยึดหมด

 

 

http://news.goldseek.com/GoldSeek/1373560088.php

 

 

1069900_144264669103249_1750670121_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

มาดูขนาดตลาดบอนด์สหรัฐฯ ถ้ามันพังจะเหลืออะไร

 

ตลาดบอนด์สหรัฐฯโตจาก$20ล้านล้านปี1989 เป็น$39ล้านล้านช่วงปี 2010 ก่อนจะลดลงเป้น$38ล้านล้านในปีที่แล้ว

 

ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีขนาดเลก็กว่ามาก มีขนาด$10ล้านล้านในปี 1989 แต่ปีที่แล้วมีขนาด$18ล้านล้าน ใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจที่$16ล้านล้าน

 

ถ้านายเบน เบอร์นันเก้หยุดQE ดอกเบี้ยจะขึ้น ราคาบอนด์จะตก แบงค์ที่ถือบอนด์และเล่นอิงอนุพันท์อื่นๆจะขาดทุนมหาศาลและล้มได้

 

เพราะฉะนั้นเฟดต้องเลี้ยงไข้ให้นานที่สุด

 

1069267_144338612429188_1202704112_n.png

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทีนี้มาดูขนาดของตลาดอนุพันท์ ที่เฟดจำต้องอุ้ม

 

ตลาดอนุพันท์ที่แบงค์เล่นกันสนั่นโลกมีขนาด$632ล้านล้านที่เป็นnotional value ณสิ้นปี2012ในจำนวนนี้มีคอนแทรคที่เกี่ยวพันกับดอกเบี้ย $489 ล้านล้าน

 

ถ้าเฟดหยุดQEตลาดนี้จะพัง แบงค์จะล้ม

 

เฟดเลยต้องเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรง พังกันไปหมด

972214_144340022429047_603846898_n.png

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

ธนาคารกลางของUS Federal Reserveกำลังจะพัง

 

นาย Paul Craig Roberts อดีตผู้ช่วยรมวคลังสมัยรัฐบาลรีแกน บอกว่าเฟดเดอรัล รีเชร์ฟกำลังจะพัง เพราะกำลังติดกับดักการพิมพ์เงินของตัวเอง

 

โรเบริ์ตส์เป็นคนแรกที่ออกมาพูดว่าเฟดเป็นไอ้โม่งที่ทุบทองช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผ่านการทำ naked shorts หรือขายทองคำกระดาษล่วงหน้าจำนวนถึง500ตันทั้งๆที่ไม่มีทองในมือ ไม่มีกองทุนใด หรือนักลงทุนใดจะเสียสติในการทุบราคาทองในจำนวนมากขนาดนี้ เพราะตัวเองจะขาดทุนทันทีมหหาศาล คนที่ทุบทองแบบนี้ได้มีแต่เฟดเจ้าเดียวที่ขาดทุนก็ไม่เป็นไรเพราะพิมพ์ดอลล่าร์กับมือ แต่ทำไปเพื่อรักษาค่าเงินดอลล่าร์ไม่ให้อ่อนและให้คนเชื่อมั่นในค่าเงินดอลล่าร์ต่ไป

 

โรเบริตส์กล่าวว่าเฟดเลิกพิมพ์เงินหรือการทำQEไม่ได้ เพราะว่าถ้าเลิกตลาดการเงินจะพังทันที และเมื่อราคาบอนด์ตก จากการพังของตลาดบอนด์ ค่าของหนี้ที่ผูกกับตราสารอนุพันท์ (derivatives)ในบัญชีของแบงค์จะตก แบงค์ก็จะเจ้ง

 

นี่เป็นสิ่งที่เฟดยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่าเฟดตั้งขึ้นมาเพื่ออุ้มแบงค์

 

เพราะฉะนั้นเฟดต้องพิมพ์เงินต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด แล้วผลของมันคืออะไร มันเป็นบ้านที่สร้างด้วยสำรับไพ่ ในที่สุดมันต้องพังทะลาย จะพังผ่านอัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์ คือค่าเงินดอลล่าร์จะพัง

 

โรเบริตส์ตั้งข้อสังเกตุอีกอันที่น่าสนใจคือ ความพยายามของสหรัฐฯที่จะเจรจาการค้าเสรีผ่านTrans Pacific Partnership โดยกีดกันจีนออกไป เป็นเงื่อนงำที่จะให้ระบบการค้าหนุนการใช้ดอลล่าร์ต่อไป

 

ประธานาธิบดีโอบามา มาไทยเมื่อปีที่แล้วมีการเปิดวาระTrans Pacific Partnershipกับไทย และรัฐบาลปูก็รับลูก โดยให้กระทรวงพานิชย์รับผิดชอบในการเจรจา เพื่ออุ้มดอลล่าร์กระดาษต่อไปให้นานที่สุด

 

 

1044409_144337279095988_1325764590_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1063680_192435205925_374369763_q.jpg

 

5 ปัจจัยเสี่ยงในครึ่งปีหลัง ที่ทำให้ “New High” ไม่ใช่เรื่องง่าย

 

0 commentsGlobal Markets, Investment, Thai Stock Markets

ก.ค.

13

 

 

 

 

7899-attachment-200x300.jpg

จั่วหัวบทความอันใหม่ของตัวเองไว้แบบนี้ ผมยอมโดนตราหน้าว่า เป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายนะครับ แต่การลงทุนในตลาดหุ้น เราเอาแต่มองโลกในแง่ดี โดนละเลยข่าวร้ายและปัจจัยพื้นฐานไปคงจะไม่ได้ เพราะต้องยอมรับว่า จังหวะ และเวลาในการเข้าซื้อ ก็มีผลทำให้ผลตอบแทนของนักลงทุนแตกต่างกันได้ในระยะสั้นและระยะกลาง แต่สำหรับนักลงทุนประเภทถือลืม ไม่ขายไม่ขาดทุน ผมมองว่า 6 เดือนหลังจากนี้ อาจเป็นช่วงชะลอ และเป็นโอกาสให้ทยอยลงทุนเพิ่ม เพื่อสร้างพอร์ตที่โตขึ้นไปอีกระดับ รองรับวัยเกษียญใน 10-20 ปีข้างหน้าได้แน่นอน

แต่ก็นะ อย่างที่เราเห็นว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด มองผลตอบแทน และคาดการณ์ตลาดหุ้นในระยะสั้นๆเป็นส่วนใหญ่ เพราะครึ่งหนึ่งของความผันผวนในตลาดหุ้น มันเกิดจากอารมณ์ มันไม่ได้มีเหตุผลรองรับและมาอธิบายได้ทั้งหมด 100% ซักหน่อย เพราะฉะนั้น เรามาดูกันครับ ในมุมมองของผม ปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลังนี้ จะมีอะไรบ้าง

1. การที่ Fed (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) มีแผนจะชะลอ และยกเลิก QE ไม่ว่าจะเป็นปีนี้ หรือปีหน้า ย่อมส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในประเทศเกิดใหม่ เพราะอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวในสหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น Yield Gap ของผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐฯกับประเทศเกิดใหม่ (รวมถึงไทย) ก็จะลดลง ความน่าสนใจในการขนเงินมาลงทุนฝั่งนี้ก็จะลดลงตามไปด้วย เมื่อนั้น ค่าเงินในตลาดเกิดใหม่จะอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า ยิ่งเป็วตัวเร่งให้ฝรั่งมีมุมมองอยากขนเงินกลับประเทศในระยะสั้นๆ ซึ่งภาพนี้ เราเห็นมาแล้วในช่วงเดือน พ.ค. และ มิ.ย. ที่ผ่านมา ส่วนตัวแล้วผมมองว่า แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติทั้งในตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น จะยังมีอีกในครึ่งปีหลังเป็นระลอกๆ แม้ว่าช่วงนี้ ตลาดจะกลับมาดีชั่วคราวหลังการเปิดเผย FOMC Statement ว่า สมาชิกส่้วนใหญ่ยังอยากคง QE ไว้ และอาจไปเริ่มชะลอจริงๆในต้นปีหน้า ซึ่งมันก็แค่ยืดระยะเวลาการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกจากไประยะหนึ่งเท่านั้น

2012-10-dshort-qe-300x218.gif

2. เศรษฐกิจจีนทำท่าชะลอตัว และดูจะหลุดจากกรอบทีรัฐบาลกำหนดไว้ที่ 7.5% เสียแล้ว ล่าสุด กระทรวงการคลังของจีน (ซึ่งก็อยู่ในรัฐบาล) ก็ออกมาคาดการณ์ GDP Growth ว่า เป็นไปได้ว่าปีนี้จะลงมาอยู่ที่ 7.0% ยังไม่นับถึงระบบ Shadow Banking ที่จะเป็นปัญหาในระยะยาว เราก็พอจะเห็นว่า รัฐบาลจีน ไม่เน้นการเติบโตในเชิงปริมาณเหมือนอย่างระบบทุนนิยมทั่วไป เพราะแทนที่จะออกมาตรการกระตุ้น อัดฉีดเงินอย่างประเทศญี่ปุ่น หรืออเมริกาเพิ่มเติม กลับห้ามปรามธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ และทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงแทน ซึ่งสะท้อนว่า รัฐบาลพุ่งเป้าการแก้ปัญหาไปที่ “คุณภาพ” ยอมให้ GDP Growth ชะลอตัวลง ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ดังนั้น มีโอกาสสูงทีเดียวที่ บริษัทหรือประเทศคู่ค้า ที่พึ่งพาหรือมีธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับจีนในสัดส่วนที่เยอะ (เกินกว่า 30%) อาจประสบปัญหายอดขายตก การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และกำไรลดลง ไม่มากก็น้อย ซึ่งมองในมุมนี้ เชื่อว่า บริษัทจดทะเบียนในไทยหลายบริษัทก็เกี่ยวข้องและทำการค้ากับจีนบางส่วน

picture-3-177-300x211.png

3. ตลาดส่งออกรายใหญ่ของไทอีกหนึ่งตลาด ยังลูกผีลูกคน … ตลาดนั้นก็คือ “ยุโรป” ล่าสุด กรีซ กับ โปรตุเกส ก็มีปัญหาขอเลื่อนการเจรจาขอเงินกู้ เนื่องจากมีปัญหาการเมืองภายใน ความยากของปัญหาการเมืองภายในในยูโรโซนคือ ความคิดของพรรคการเมืองฝ่ายร่วมรัฐบาลกับฝ่ายค้านนั้น ส่วนใหญ่ค้านกันแบบสุดโต่ง แถมที่นั่งในพรรคร่วมรัฐบาลก็มากกว่ากึ่งหนึ่งเพียงนิดเดียว ไม่ได้กุมเสียงข้างมากแบบปลอดภัย (เหมือนรัฐบาลไทย) ดังนั้น เมื่อระยะเวลาผ่านไป เศรษฐกิจในประเทศไม่ดีขึ้น ฝ่ายค้านก็หยิบประเด็นต่างๆมาโจมตี และทำให้ประชาชนคล้อยตาม จนเสถียรภาพสั่นคลอนได้ง่าย เป็นแบบนี้เรื่อยๆ ถึงแม้เศรษฐกิจจะไม่หดตัวจริง แต่ก็คงขยายตัวในอัตราที่ต่ำต่อไป ส่งออกของไทยที่ตั้งเป้าไว้ 7% ไปๆมาๆ ก็คงลดลงต่ำกว่า 5% และนี้คือที่มาที่นักวิเคราะห์และแบงก์ชาติปรับลดเป้า GDP ทั้งปีของเราลงต่ำกว่า 5% เรียบร้อย

Portugal-bonds.jpg

4. ผลกระทบเชิงลบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มเห็นบ้าง ล่าสุดบริษัทสหฟาร์ม ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกไก่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิตมากกว่า 350,000-500,000 เมตริตัน ต่อปี ล้มทั้งยืนเพราะลงทุนเกินตัว และตัวบริษัทก็อ้างเหตุผลว่า บางส่วนเกิดจากค่าแรงขั้นต่ำที่ 300 บาทนั้นสูงเกินไปบวกกับรัฐบาลใช้นโยบายแทรกแซงผลผลิตทางการเกษตร ทำให้ต้นทุนก็สูงขึ้น ถึงแม้จะสบายใจได้ว่า ปัญหาจะไม่ลุกลามและบานปลาย และอาจเป็นผลบวกต่อคู่แข่งที่ทำธุรกิจผลิตและส่งออกไก่รายอื่นด้วยซ้ำ แต่เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุน และนักวิเคราะห์กลับมามองถึงปัญหาที่มีมาตลอดแต่ละเลยหรือมองข้ามกันไปนี้อีกครั้ง

5. อุปสรรคในการขับเคลื่อนการลงทุนจาก พรบ. 3.5 แสนล้านเพื่อบริหารจัดการน้ำและการออกกฎหมายเพื่อกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนปรับโครงสร้างการขนส่ง ดูทีท่าจะชะลอและเลื่อนออกไป โดยกรณี พรบ. 3.5 แสนล้านนั้น ศาลปกครองมีคำสั่งให้การทำประชาพิจารณ์และการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมเสียก่อน ซึ่งน่าจะใช้เวลาเกิน 1 ปีกันเลย ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสนอต่อวุฒิสภาให้นำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการปราบปรามคอร์รัปชันทำการถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ซึ่งกรณี พรบ.น้ำ อาจเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า พรบ. 2.2 ล้านล้าน นั้น ก็ไม่ใช่จะออกมาได้ง่ายๆ เมื่อการลงทุนภาครัฐชะลอตัว หรือหายไป อีกทาง ความคาดหวังต่อการปลดล็อค Infrastructure ในประเทศก็ต้องเลื่อนไปก่อน นักลงทุนที่ลงทุนโดยใช้ธีมการลงทุนภาครัฐฯนี้ ก็ดูท่าความหวังน่าจะหายไปเยอะทีเดียว

13621148501362114858l-300x274.jpg

สรุปทั้ง 5 ปัจจัย เป็นปัจจัยภายนอกประเทศ ซะ 3 ปัจจัย โดยหนึ่งปัจจัย เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนของนักลงทุนในตลาดโลก อีกสองปัจจัยกระทบกับการส่งออกในประเทศ และปัจจัยหลักที่เหลือ เป็นความเสี่ยงจาก Investment ในประเทศ และ Government Spending ที่ชะลอตัว ไม่ได้เป็นตามคาด เรียกว่า ถ้ากาง GDP ออกมา ตอนนี้ ก็เหลือแค่ C (Consumption) เท่านั้น ที่พอจะยันให้ GDP Growth ยังเป็นไปตามเป้า แต่เอาจริงๆ หนี้ภาคครัวเรือนก็เร่งตัวแรงจนเกือบจะน่ากังวลเช่นเดียวกัน ซึ่งมันแปลได้ว่า โตมาจากการดึง Future Income มาบริโภคในตอนนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากลดภาษี รถคันแรก และบ้านหลังแรก ที่เร่งให้ชนชั้นกลางหาบ้านหารถมาใช้ ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่า ตัวเองพร้อมหรือไม่พร้อมในการผ่อนชำระระยะยาว

E7A8DF9326E176C15482B2CCDC32.jpg

แต่ถ้าถามว่า เศรษฐกิจไทย มันแย่ขนาดนั้นเลยไหม ก็ต้องบอกว่า SET Index ปรับตัวขึ้นมาเร็วมากในช่วงปีที่แล้ว รวมทั้งไตรมาสแรกของปีนี้จากความคาดหวังว่าจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นทั้งปี ความคาดหวังเหล่านั้นมันดูจางลง ไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจไทยห่วยแต่อย่างใดนะครับ อย่าลืมว่า GDP Growth ที่ระดับ 4.5% ขึ้นไป เนี่ย ถือว่าสุดยอดแล้วในระดับโลก ปัญหาคือ เรามองภาพเศรษฐกิจปีนี้สวยงามเกินความเป็นจริงไปเล็กน้อย ตอนนี้ก็ต้องค่อยๆปรับมุมมองให้เหมาะสมกับทางเดินข้างหน้า ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มีทั้งเรื่อง Fund Flow และอาจกระทบต่อ Fundamental ของบริษัทจดทะเบียนบ้าง แต่ Key Factor ที่สำคัญคือ การถอน QE จากการที่เชื่อว่าสหรัฐฯฟื้นตัว นั้น เป็นเรื่องที่เชื่อได้ว่าจะดีในระยะยาว ถ้าสหรัฐฯฟื้นตัวจริงๆ ก็จะดึงให้เศรษฐกิจโลกกระเตื้องขึ้นไม่มากก็น้อยในระยะยาว เพราะฉะนั้น ตัวเลขเศรษฐกิจของฝั่งสหรัฐฯในแต่ละเดือน ในแต่ละสัปดาห์ ตอนนี้จะมีผลต่อนักลงทุนทั้งโลก ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นผันผวนไปเป็นช่วงๆ ต้องอดทน และมีสติพร้อมรับสถานการณ์กันนะครับ สู้ๆ ทุกท่าน

Related posts:

 

 

 

 

 

ภาพเดียว บรรยายได้ครบ ทำไมหนี้ยุโรปเป็นปัญหาของทุกคน

 

 

ย้อนอดีตกับ Black Monday 19 ตุลาคม 1987

 

 

Corrective Wave รูปแบบของการปรับฐาน จบหรือยัง ดูอย่างไร?

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

303399_588762551143817_5865098_n.jpg

สวัสดี ตู้เย็น อยากเล่นด้วยคน yot Lavender Hong Alan GoldLeng เด็กสยาม

ขอบคุณ ที่ช่วยกัน.....

 

Thanong Fanclub

เปิดรายชือธนาคารทึคุมUS Federal Reserve

 

ในทางทฤษฎี เฟดคุมแบงค์ บริหารนโยบายการเงินเพื่อเสถียรภาพของระบบการเงิน แต่ในทางปฏิบัติ เฟดเป็นโนมีนีของพวกธนาคารWall Streetที่ครอบงำสหรัฐฯอย่างเบ็ดเสร็จเวลานี้

 

เฟดทำQEทุกวันนี้ไม่ได้ ทำไปเพื่อช่วยเศรษฐกิจให้ฟื้น แต่พิมพ์เงินเพื่ออุ้มแบงค์ในเครือไม่ให้ล้ม

 

เพราะเจ้าของเฟดคือเอกชน ไม่ใช่รัฐฯ แต่เฟดทำตัวเป็นอีแอบ สร้างภาพว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐมาตลอด

 

อย่างที่ผมเคยเขียนมา ใครอยู่ใกล้เงินมากที่สุดตอนที่มันเริ่มออกมาจากระบบ ผู้นั้นจะมีอำนาจเหนือตลาดมากที่สุด

 

เครือข่ายที่คุมเฟดนี้ประกอบด้วย18แบงค์ที่เป็นprimary dealer networkหรือเครือข่ายดิลเลอร์ตลาดแรกกับเฟด พวกนี้จะประมูลพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน ผ่านเฟด จึงมีอำนาจเหนือราคา และปริมาณเงินในระบบ

 

รายชื่อดีอลเลอร์ตลาดแรกPrimary Dealers :

 

Bank of America

Barclays Capital Inc.

BNP Paribas Securities Corp.

Cantor Fitzgerald & Co.

Citigroup Global Markets Inc.

Credit Suisse Securities (USA) LLC

Daiwa Securities America Inc.

Deutsche Bank Securities Inc.

Goldman, Sachs & Co.

HSBC Securities (USA) Inc.

J. P. Morgan Securities Inc.

Jefferies & Company Inc.

Mizuho Securities USA Inc.

Morgan Stanley & Co. Incorporated

Nomura Securities International Inc.

RBC Capital Markets

RBS Securities Inc.

UBS Securities LLC.

Of this group four banks in particular receive unprecedented favoritism of the US Federal Reserve. They are:

 

แต่ที่คุมเฟดจริงๆคือ

 

JP Morgan

Bank of America

Citibank

Goldman Sachs

 

เฟดต้องพิมพ์เงินผ่านQE เพื่อช่วยกดดอกเบี้ยและให้สภาพคล่องกับ4แบงค์ที่เขาเรียกว่าtoo big too fail หรือใหญ่เกินไปที่จะล้ม เพราะแบงค์เหล่านี้เล่นอนุพันธ์มโหฬารมาก ตลาดอนุพันธ์ไปแบงค์ก็ล้ม

 

ตารางประกอบคือตัวเลขอนุพันธ์ปี 2008 มีมูลค่า$234ล้านล้าน หรือเทียบเท่า16เท่าของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือ 4เท่าของเศรษฐกิจโลก

 

JP Morgan, Bank of America, Citibank, Goldman Sachs มีส่วนแบ่งในตลาดอนุพันธ์95%

 

เรียกได้ว่าผูกขาดและล็อคระบบเอาไว้

 

 

http://www.silverbearcafe.com/private/04.11/guaranteed.html

 

 

1005745_144595045736878_2144932966_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1002433_311973108938803_230395613_n.jpg

26 พุทธศตวรรษ

"ธรรมะกับหลวงตา"

 

วันนี้ วันอาทิตย์เจ้าเด็กวัดนั่งฟังหลวงตาเทศน์ แล้วจึงถามหลวงตาด้วยความสงสัยว่า

 

เด็กวัด...หลวงตาเจ้าข้า มีข่าวคนขโมยตู้บริจาคขอรับ เห็นชาวบ้านกับ พระเณรช่วยกันจับชาวบ้านตีโจร เกือบตายนะขอรับ

หลวงตา..เงินคือกับดักของกิเลส เมื่อนำตู้บริจาค มาตั้งแล้วไม่เฝ้าไม่ดูแล โจรหรือขโมยก็เข้ามาลัก มาขโมยนะซิ

เด็กวัด...อ้าว วัดก็ต้องตั่งตู้บริจาค ใว้หลายๆตู้ซิเจ้าคับ จะได้มีเงินมาสร้างโบถส์สร้างวิหาร โยมเห็นวัดสวยจะได้มาเข้าวัดเยอะๆ

 

บางวัดจึงต้องตั่งตู้รอบวัดเลยอ่ะขอรับ

 

หลวงตา...ข้ามีตัวอย่างเรื่องห้ามเรี่ยไรเงิน - ทองในพระพุทธศาสนาให้เจ้าฟัง

สมัยนั้น พวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี กล่าวแนะนำอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลี ที่มาประชุมกันอย่างนี้ว่า

 

ท่านทั้งหลายจงถวายรูปิยะ (เงิน) แก่สงฆ์์ กหาปณะหนึ่งก็ได้ กึ่งกหาปณะก็ได้ บาทหนึ่งก็ได้ มาสกหนึ่งก็ได้

สงฆ์จักมีกรณียะด้วยบริขาร เมื่อพระวัชชีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว

ท่านพระยสกากัณฑกบุตรจึงกล่าวกะอุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลีว่า...ท่านทั้งหลาย

 

พวกท่านอย่าได้ถวายรูปิยะแก่สงฆ์ ทองและเงินไม่ควรแก่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตร

 

พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรไม่ยินดีทองและเงิน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรมีแก้วและทองวางเสียแล้ว ปราศจากทองและเงิน

อุบาสกอุบาสิกาชาวเมืองเวสาลีแม้อันท่านพระยสกากัณฑกบุตร กล่าวอยู่อย่างนี้

 

ชาวบ้าน ก็ยังขืนถวายรูปิยะแก่สงฆ์ กหาปณะหนึ่งบ้าง กึ่งกหาปณะบ้าง บาทหนึ่งบ้าง มาสกหนึ่งบ้าง.

 

ครั้นล่วงราตรีนั้นแล้ว พวกพระวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี ได้จัดส่วนแบ่งเงินนั้นตามจำนวนภิกษุแล้ว

 

ได้กล่าวกับท่านพระยสกากัณฑกบุตรว่า ท่านพระยสกา เงินจำนวนนี้เป็นส่วนของท่าน

ท่านพระยสกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย ฉันไม่มีส่วน (ใน) เงิน ฉันไม่ยินดีในเงิน….

เด็กวัด...(แล้วเพื่อนๆละขอรับ..คิดอย่างไร)

 

^_______^

BY : เด็กวัด

 

เด็กวัด..

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

เฟดทำQEอุ้มแบงค์พรรคพวก ส่วนธนาคารที่ไม่อยู่ในเครือเฟดโดนปิดไปแล้ว465แห่ง

 

ระหว่าง2008-2012 ทางเจ้าหน้าที่ของสถาบันประกันเงินฝากได้ปิดธนาคารไปแล้ว465แห่งทั่วประเทศสหรัฐฯ ทรัพย์สินโดนtake over หรือเลหลังขายเพื่อใช้หนี้ อันเกิดมาจากหนี้เสีย

 

ส่วนธนาคารอยู่ในเครือเฟดยังกินดีอยู่ดี แถมรวยขึ้น เพราะไม่มีคู่แข่ง และไล่ซื้อของถูกจากพวกที่ล้ม

 

ธนาคารในเครือเฟด Too Big Too Fail Banksจะล้มได้อย่างไร ในเมื่อ

 

1. เฟดพิมพ์เงินทำQEเข้าไปซื้อmortgage backed securitiesของพวกในเครือ ราคาตามบัญชี แทนที่จะเป็นราคาตลาดที่ตกฮวบฮาบ

 

2. ให้สภาพคล่องไม่อั้นที่ดอกเบี้ยเกือบ0% ส่วนแบงค์ Not Too Big To Fail Bankปล่อยล้มตามธรรมชาติ

 

3. ให้ตกแต่งบัญชี ซ่อนหนี้เน่า

 

 

The 2008 financial crisis led to the failure of a large number of banks in the United States. The Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) closed 465 failed banks from 2008 to 2012.[1] In contrast, in the five years prior to 2008, only 10 banks failed.

 

http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_bank_failures_in_the_United_States_(2008–present)

 

 

List of bank failures in the United States (2008–present) - Wikipedia, the free encyclopediaen.wikipedia.org

The 2008 financial crisis led to the failure of a large number of banks in the United States. The Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) closed 465 failed banks from 2008 to 2012.[1] In contrast, in the five years prior

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ถอดรหัสเซียน : โต้คลื่นหุ้น รู้ทันเทคนิค

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...