ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ยุโรปทดสอบความแข็งแกร่งแบงก์ 91 แห่ง ให้หายข้องใจว่าจะรับมือกับวิกฤตได้เพียงใด

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กรกฎาคม 2553 20:56 น.

 

 

เอเอฟพี/เอเจนซี - คณะกรรมาธิการแห่งหน่วยงานกำกับตรวจสอบการธนาคารของยุโรป (ซีอีบีเอส) แถลงในตอนเย็นวันพุธ(7)ว่า บรรดาธนาคารในสหภาพยุโรป (อียู) ที่กำลังถูกดำเนินการทดสอบฐานะความเข้มแข็งทางการเงินในปีนี้ มีทั้งสิ้น 91 แห่ง ในจำนวนนี้ครอบคลุมถึงธนาคารทุกแห่งที่ดำเนินกิจการในประเทศต่างๆ มากกว่า 1 ประเทศ ตลอดจนพวกธนาคารระดับท้องถิ่นในเยอรมนี และ สเปน ซึ่งเป็นพวกที่ถูกตลาดการเงินสงสัยข้องใจมากที่สุดว่าจะเป็นจุดอ่อนแอมีปัญหาหนัก

 

การทดสอบซึ่งเรียกกันว่า stress test นี้ มุ่งที่จะประเมินความสามารถของแบงก์เหล่านี้แต่ละแห่งว่าจะยังคงมีฐานะทางงบดุลบัญชีมั่นคงมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากต้องเผชิญกับวิกฤตการเงินชนิดแทบที่จะทำให้ระบบการธนาคารในยุโรปพังครืน สำหรับจำนวนแบงก์ยุโรปที่ถูกทดสอบในปีนี้ สูงขึ้นหลายเท่าตัวจากปีที่แล้วซึ่งมี 22 แห่งเท่านั้น และซีอีบีเอส ยืนยันตามที่ทางการเยอรมนีกับฝรั่งเศสได้เคยให้ข่าวมาก่อนหน้านี้ นั่นคือจะมีการเผยแพร่ผลการทดสอบของปีนี้ในวันที่ 23 กรกฎาคม

 

ทั้งนี้ การทดสอบแบบนี้สหรัฐฯเคยทำกับบรรดาธนาคารของตนมาก่อน และบังเกิดผลดีในการทำให้ตลาดการเงินกลับมีความมั่นอกมั่นใจเกี่ยวกับฐานะของแบงก์เหล่านี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะคุณเสม คุณส้มโอมือ5fc0f220.gif นั่งคอยจนเหงือกแห้งม่ะรู้คืนนี้จาเหงือกบานแทนรึป่าว1b38f9e2.gifceb85dec.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ศูนย์วิจัยกสิกรฯ ชี้ถึงเวลา กนง.ขึ้น “ดอกเบี้ยนโยบาย” เป็น 1.50%

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กรกฎาคม 2553 17:54 น.

 

 

 

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

 

 

 

 

 

“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาด การประชุมบอร์ด กนง.รอบนี้ (14 ก.ค.) หรือรอบถัดไป (25 ส.ค.) อาจมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% เป็น 1.50% เหตุความเสี่ยงเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนธนาคารพาณิชย์จะขยับเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝาก-สินเชื่อตาม

 

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากระดับผ่อนคลายอย่างมากที่ 1.25% เป็น 1.50% ในการประชุมรอบที่ 5 ของปีในวันที่ 14 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นโอกาสที่ใกล้เคียงกันกับความเป็นไปได้ที่ กนง.อาจจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมรอบที่จะถึงนี้ และเตรียมการณ์สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบถัดไปในวันที่ 25 ส.ค.53

 

ทั้งนี้ ไม่ว่ามติการประชุมรอบนี้จะมีข้อสรุปออกมาเป็นเช่นไรในระหว่างสองกรณีข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าจังหวะเวลาที่ห่างกันเพียง 1 รอบการประชุม หรือประมาณ 6 สัปดาห์ คงไม่มีความแตกต่างกันมากนักสำหรับการดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับที่เป็นปกติมากขึ้น (Normalized) ท่ามกลางสถานการณ์ที่ความเสี่ยงด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มอยู่ในขอบเขตที่บริหารจัดการได้ ขณะที่ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในปีข้างหน้า นอกจากนี้ การดำเนินการดังกล่าว หากเกิดขึ้น ยังเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

 

สำหรับผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในระบบหรือต้นทุนทางการเงินนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าการปรับตัวของตลาดการเงินในระยะถัดไป นอกจากจะขึ้นกับมติ กนง.ในการประชุมรอบนี้แล้ว คงจะอยู่ที่การส่งสัญญาณของ กนง.ถึงความต่อเนื่องในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่าจะมีมากน้อยเพียงใดในระยะที่เหลือของปี รวมไปถึงมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ ของนักลงทุน

 

ประเด็นสำคัญเพิ่มเติมสำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น อยู่ที่ความสามารถในการขยายสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ ตลอดจนกลไกการส่งผ่านนโยบายการเงินโดยการดูดซับสภาพคล่องผ่านการใช้เครื่องมือต่างๆ ของทางการ โดยมองว่า หาก กนง.มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมตาม แต่จังหวะเวลาและขนาดการปรับขึ้นนั้น คงจะอยู่ที่ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ ภาวะการแข่งขัน และการบริหารจัดการสภาพคล่องในระบบของทางการเป็นสำคัญ

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางมาเลเซียได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 2.50% เป็น 2.75% ส่วนดอกเบี้ยประเทศอื่นๆเป็นดังนี้ ฟิลิปปินส์ 4.00%, อินโดนีเซีย 6.50%, เวียดนาม 8.00%, ไต้หวัน 1.375%, และไทย 1.25% ใช้อัตรานี้มาตั้งแต่ เม.ย.52

 

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตัวบอกเหตุ..สิ่งควรสังเกตก่อนการลงทุน?

กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

 

ณ นาทีนี้ “ตัวบอกเหตุ” ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าที่โด่งดังที่สุด หนีไม่พ้นเจ้า “พอล” ปลาหมึกยักษ์ 8 หนวด อายุ 2 ขวบ ที่มีบ้านเกิดอยู่ที่อังกฤษ ของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำในเมือง Oberhausen ประเทศเยอรมนี ครับ

 

ในมหกรรมฟุตบอลโลก 2010 นี้ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ได้จัดให้เจ้าหมึก “พอล” ทำนายผลการแข่งขันของทีมชาติเยอรมันกับทีมคู่แข่ง ด้วยการเลือกกินอาหาร (หอยตระกูลเดียวกับหอยแมลงภู่) จากกล่อง 2 กล่องที่ติดด้วยธงชาติเยอรมันและชาติคู่แข่ง หากพอลเลือกกินจากกล่องใด ก็แปลว่า “เจ้าพอล” เลือกทีมนั้นให้เป็นผู้ชนะ

 

ตั้งแต่รอบคัดเลือกเป็นต้นมา ทีมชาติเยอรมันลงเล่นมาเป็นจำนวน 5 นัด ได้แก่ รอบคัดเลือก 3 นัด รอบ 16 ทีมที่พบกับอังกฤษ และรอบ 8 ทีมที่พบกับอาร์เจนตินา ผลปรากฏว่า เจ้าหมึกพอล สามารถทำนายผลการแข่งขันได้ถูกต้องทั้ง 5 นัด หรือ 100% เต็ม โดยทั้ง 5 นัดนี้ เยอรมันก็ไม่ได้ชนะรวดทั้ง 5 นัด นะครับ เนื่องจาก มีนัดที่ไปแพ้เซอร์เบีย 1-0 ในรอบคัดเลือก ด้วย

 

สำนักข่าวต่าง ๆ เช่น AP และ BBC ต่างยกย่องให้ “หมึกพอล” เป็น Oracle (หมึกผู้หยั่งรู้) บ้าง เป็น Psychic (หมึกพลังจิต) บ้าง แฟนบอลอังกฤษบางรายถึงขนาดเขียนด่า “เจ้าพอล” ในเว็บไซต์ว่าเป็นหมึกทรยศ เมื่อครั้งในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ไปทำนายให้เยอรมันชนะประเทศบ้านเกิดของตัว

 

บ้าไปกว่านั้น ก่อนที่เจ้าพอลตัวจริงจะทำการพยากรณ์ผลนัดรองชนะเลิศระหว่าง สเปน-เยอรมัน เพื่อแกล้งให้แฟนบอลเยอรมันขวัญเสีย มีแฟนบอลไม่ทราบสัญชาติ (ก็น่าจะเป็นสเปน) ตัดต่อภาพให้ “หมึกพอล” เลือกทีมสเปน แล้วนำเผยแพร่ลงอินเทอร์เน็ต จนทางพิพิธภัณฑ์ต้องออกมาปฏิเสธว่า “พอล” ยังไม่ได้ทำการพยากรณ์แต่อย่างใด

 

แต่ท้ายที่สุด ผลพยากรณ์อย่างเป็นทางการก็ออกมาว่า “เจ้าพอล” ได้เลือกทีมสเปนให้เป็นผู้ชนะในแมทช์รอบรองคืนนี้จริง ๆ แน่นอนว่าคำทำนายดังกล่าวเป็นที่ขัดใจของชาวเยอรมัน โดยเฉพาะกับกุนซือ โยอัคคิม เลิฟ และขุนพลเยอรมันได้ข่าวว่ากำลังใจหายไปพอสมควร คงต้องรอลุ้นผลกันคืนวันที่ 7 ครับว่าผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากผลเป็นไปตามคำทำนายแล้วละก็ สวัสดิภาพของ “เจ้าพอล” ก็คงน่าเป็นห่วงครับ

 

Hemline Index

 

ในโลกของการลงทุน ก็มี “ตัวช่วยบอกเหตุ” ในทำนองของ “เจ้าพอล” เหมือนกัน เช่น ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) นักวิเคราะห์หุ้นชื่อว่า George Taylor ได้ริเริ่ม Hemline Index ขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน “สภาพตลาดหุ้น” กับ “ระดับชายกระโปรงของผู้หญิง” หรือ Hemline ในช่วงเวลาเดียวกัน กล่าวคือเมื่อใดที่ “กระโปรงยาว หรือ ชายกระโปรงต่ำ” เป็นที่นิยม สภาพดัชนีหุ้นในช่วงเวลานั้นก็จะตกต่ำตามไปด้วย ในขณะที่ช่วงใดที่ กระโปรงสั้นเป็นที่นิยม (ระดับชายกระโปรงสูง) ช่วงนั้นสภาพดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย

 

The Wall Street Journal รายงานว่า ดัชนี “ชายกระโปรง” นี้สามารถพยากรณ์สภาวะตลาดหุ้นได้ถูกต้องในช่วงทศวรรษที่ 1920 ช่วงที่กระโปรงสั้นเป็นที่นิยม ตลาดหุ้นก็เฟื่องฟู ก่อนที่ตลาดจะตกต่ำลงอย่างมากในช่วง Great Depression ทศวรรษ 1930 ซึ่งเป็นช่วงที่กระโปรงยาวหันกลับมาฮิตกันมากในช่วงนั้น อีกทั้ง สามารถพยากรณ์สภาพตลาดได้ถูกต้องในช่วงทศวรรษ 1960 ที่ตลาดหุ้นกลับมาบูมอีกครั้งในเวลาเดียวกันกับกระโปรงสั้น และช่วงตลาดหุ้นตกต่ำในปี ค.ศ.1987 ที่กระโปรงยาวเริ่มกับมานิยมอีก (อ่านเพิ่มเติมจาก “Hemlines Are Dropping. Sell Everything” WSJ.com, September 6, 2007)

 

Super Bowl Indicator

 

ถัดมาจาก ดัชนีชายกระโปรง “ตัวบอกเหตุ” โด่งดังมากอีกตัวในสหรัฐอเมริกา ก็คือ ผลการแข่งขันซูเปอร์โบว์ล หรือที่รู้จักกันดีในนามของ Super Bowl Indicator ที่ระบุว่า หากในปีใด ทีมผู้ชนะซูเปอร์โบว์ลมาจากสาย Original National Football Conference (NFC) หรือ NFC ดังเดิม (เช่น ทีม Green Bay Packers หรือ Dallas Cowboys) ตลาดหุ้นในปีนั้นจะมีแนวโน้มที่จะสดใส ในขณะที่หากปีใด ทีมจากสาย Original American Football Conference (AFC) หรือ AFC ดั้งเดิม เป็นผู้ชนะ (เช่น Denver Broncos หรือ New England Patriots) ก็มีแนวโน้มว่าตลาดหุ้นในปีนั้นมีแนวโน้มจะตกต่ำ

 

The Wall Street Journal รายงานได้ว่า ถึงแม้ว่าในช่วงเวลา 4-5 ปีมานี้ เจ้าดัชนีซูเปอร์โบว์ลนี้จะผิดพลาดไปบ้าง แต่โดยรวมแล้ว Super Bowl Indicator สามารถพยากรณ์ได้แม่นยำถึง 79% หรือ ทำนายถูก 34 จาก 43 ครั้ง รวมถึงปีที่แล้ว (อ่านเพิ่มเติมจาก “Super Bowl Indicator Says Stocks to Rise” WSJ.com, January 28, 2010) สำหรับปีนี้ ผู้ชนะคือ New Orleans Saints จากสาย NFC ระบุถึงคำทำนายว่าปีนี้ตลาดหุ้นปีนี้น่าจะสดใส ก็คงต้องรอลุ้นจนถึงปลายปีว่าตลาดจะสดใสจริงตามนั้นหรือไม่

 

Golden & Death Cross

 

เป็น “ตัวบอกเหตุ” ที่เกิดจากการตัดของเส้นค่าเฉลี่ยของราคาย้อนหลัง 50 วัน (50-day MA) กับเส้นค่าเฉลี่ยของราคาย้อนหลัง 200 วัน (200-day MA) ที่นิยมกันมากในการวิเคราะห์ทางเทคนิค จุดตัดนี้จะบอกถึงแนวโน้มของตลาดในอนาคต มี 2 ประเภท คือ Golden Cross หรือ “จุดตัดทองคำ” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเส้น 50-day MA ตัดขึ้นผ่าน เส้น 200-day MA แสดงถึงแนวโน้มที่สดใสของตลาดในช่วงเวลาข้างหน้า อีกตัวหนึ่งคือ Death Cross หรือ “จุดตัดมฤตยู” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเส้น 50-day MA ตัดลงผ่าน เส้น 200-day MA แสดงถึงแนวโน้มในอนาคตที่มืดมนของตลาด

 

โดย ณ วันที่ 6 ก.ค. 53 นี้ เกือบจะเกิด Death Cross ขึ้นในกราฟของดัชนี Dow Jones และ ดัชนี S&P 500 แล้ว (หลังจากที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วกับดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นมาเมื่อปลายเดือนที่แล้ว) นักลงทุนในตลาดคงต้องคอยติดตามสภาพตลาดอย่างใกล้ชิด และเมื่อ Death Cross เกิดขึ้นกับดัชนีหลักทั้ง 2 แล้ว คงต้องรอลุ้นว่าแนวโน้มของตลาดจะเป็นไปอย่างที่ทำนายไว้หรือไม่

 

ท้ายนี้ ไม่ว่า “ตัวบอกเหตุ” จะบ่งชี้ออกมาเป็นอย่างไร คงต้องยอมรับกันว่าเรื่องราวในอนาคต อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ เหมือนอย่างคำที่ว่า “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ซึ่งสภาวการณ์ที่ไม่แน่นอนอย่างเช่นปัจจุบันนี้ นักลงทุนทุกท่านควรลงทุนด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

CL 20100709 ระบบเขียวในรายวัน กองทุนยังเเดง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

CL 20100709 ระบบเขียวในรายวัน กองทุนยังเเดง

post-31-040929500 1278724902.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...