ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

COMEX Gold 20100713 ระบบเขียวบ้องเเรก

 

เขียวแท่งแย้ว ดีจายจังรอมาหลายวันแระ ตามระบบปายแระ กิกิ อาจารย์เสม ขอบคุณมากๆ :D

 

 

!01 !01 !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตามระบบ นั่งนิ่งๆดูไปเรื่อยๆ

 

แล้วก็ รอ...ร้อ...รอแท่งเขียว

d452d2903c.gif0375fa2662.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แหะ แหะ เพื่งเห็นอาจารย์เสมเปลี่ยนรูปอ่ะ รูปเดิมดีกว่าแยะเลยอ่ะ ได้มุมได้มิติได้อารมณ์ดี แถมโหงวเฮ้งดีอีกตะหาก 5555555 เด่วสาวๆแถวนี้ประท้วงอีกแน่เลย กิกิ

 

 

:lol: :lol: :lol: :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฟาเบรกัสกะคุณเสมหน้าคล้ายๆกันเลยนะคะ สงสัยจะเป็นแฝดคนละฝาแต่ป้าอินยืนยันและนั่งยันว่าคุณเสมตัวจริงหล่อกว่าฟาเบรกัสเยอะเลย อิอิ (ตัวจริงจากในรูปอ่ะค่ะ) :D

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยอดขาดดุล US สาหัสสุดในรอบ 18 เดือน

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กรกฎาคม 2553 19:43 น.

 

 

เอเอฟพี - ยอดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม ทำสถิติสูงสุดในรอบ 18 เดือน โดยพุ่งขึ้นเกือบ 5 เปอร์เซ็นต์ จาก 40,300 ล้านดอลลาร์ ในเดือนเมษายน เป็น 42,300 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ตามรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่นำมาเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (13)

 

ตัวเลขการนำเข้าของอเมริกา สูงขึ้นเกือบ 3 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนพฤษภาคม คิดเป็นมูลค่า 194,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ 19 เดือนเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าการส่งออกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.4 เปอร์เซ็นต์ ด้วยมูลค่า 152,300 ล้านดอลลาร์อันเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบ 20 เดือนก็ตาม

 

ข้อมูลล่าสุดนี้ทำเอาบรรดานักเศรษฐศาสตร์ผิดหวังไปตามๆ กัน จากที่เคยคาดหวังว่า ยอดขาดดุลในเดือนพฤษภาคมน่าจะลดลงมาเหลือ 39,400 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ พวกเขาประมาณการ ว่า ยอดขาดดุลนี้อาจบั่นทอนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ระหว่าง 1-2 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสที่ 3 (1 เม.ย.-30 มิ.ย.) ที่ผ่านมา

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผลสำรวจธนาคารจีน เสี่ยงหนี้เสียเพิ่มขึ้นรุนแรง

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กรกฎาคม 2553 18:46 น.

 

 

 

เจ้าหน้าที่ธนาคากลางจีน กำลังตรวจนับธนบัตรซึ่งธนาคารปล่อยออกไปสู่มือผู้กู้ปริมาณมหาศาล และกำลังรอไหลกลับมาทั้งต้นทั้งดอก (ภาพเอเยนซี)

 

 

เอเยนซี-ไชน่า โอเรียนท์ แอสเซท แมเนจเมนท์ คอร์ป เผยผลสำรวจความคิดเห็นของบรรดาธนาคารพาณิชย์ในประเทศจีนพบว่า ในอีก 2 -3 ปีข้างหน้านี้ อุตสาหกรรมการธนาคารของจีนอาจเผชิญความเสี่ยงที่จะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้น เนื่องจากวงเงินกู้จำนวนมากที่ถูกปล่อยออกไปในปี 2552

 

ผลสำรวจที่เผยในวันที่ 13 ก.ค. คาดว่า ในปี 2555 ตัวเลขหนี้เสียจะพุ่งขึ้นสูงสุด และโดยส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และระบุว่าความเสี่ยงฯ ที่ธนาคารจะเผชิญ มีอาทิ ความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อที่ปล่อยให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก และรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อที่ปล่อยให้กับบริษัทด้านการเงินของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

นายเต๋า ถง นักวิเคราะห์จากเครดิตสวิส คาดว่าตัวเลขหนี้ค้างชำระของบริษัทการเงินท้องถิ่นของจีน

จะเป็นเหมือนระเบิดเวลาของเศรษฐกิจจีน ที่เริ่มนับไปในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่า ภายในปีนี้ ตัวเลขหนี้ค้างชำระของบริษัทเหล่านั้น จะพุ่งขึ้นถึง 8 ล้านล้านหยวน หรือร้อยละ 19 ของยอดเงินกู้รวมในอุตสาหกรรมการเงิน และร้อยละ 24 ของจีดีพีจีน

 

เช่นเดียวกับ ธนาคารเครดิต อกริโค ที่เปิดเผยว่า ในอีก 2 -3 ปีข้างหน้า ตัวเลขหนี้เสียและความเสี่ยงในอุตสาหกรรมการธนาคารของจีนจะสูงขึ้นอย่างน่ากลัว หลังอัตราการปล่อยสินเชื่อขยายตัว เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนเป็นเหตุผลสำคัญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผลสำรวจธนาคารจีน เสี่ยงหนี้เสียเพิ่มขึ้นรุนแรง

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กรกฎาคม 2553 18:46 น.

 

 

 

เจ้าหน้าที่ธนาคากลางจีน กำลังตรวจนับธนบัตรซึ่งธนาคารปล่อยออกไปสู่มือผู้กู้ปริมาณมหาศาล และกำลังรอไหลกลับมาทั้งต้นทั้งดอก (ภาพเอเยนซี)

 

 

เอเยนซี-ไชน่า โอเรียนท์ แอสเซท แมเนจเมนท์ คอร์ป เผยผลสำรวจความคิดเห็นของบรรดาธนาคารพาณิชย์ในประเทศจีนพบว่า ในอีก 2 -3 ปีข้างหน้านี้ อุตสาหกรรมการธนาคารของจีนอาจเผชิญความเสี่ยงที่จะมีหนี้เสียเพิ่มขึ้น เนื่องจากวงเงินกู้จำนวนมากที่ถูกปล่อยออกไปในปี 2552

 

ผลสำรวจที่เผยในวันที่ 13 ก.ค. คาดว่า ในปี 2555 ตัวเลขหนี้เสียจะพุ่งขึ้นสูงสุด และโดยส่วนใหญ่จะเป็นหนี้ในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และระบุว่าความเสี่ยงฯ ที่ธนาคารจะเผชิญ มีอาทิ ความเสี่ยงจากการปล่อยกู้ให้กับภาคอสังหาริมทรัพย์ สินเชื่อที่ปล่อยให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก และรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อที่ปล่อยให้กับบริษัทด้านการเงินของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

นายเต๋า ถง นักวิเคราะห์จากเครดิตสวิส คาดว่าตัวเลขหนี้ค้างชำระของบริษัทการเงินท้องถิ่นของจีน

จะเป็นเหมือนระเบิดเวลาของเศรษฐกิจจีน ที่เริ่มนับไปในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่า ภายในปีนี้ ตัวเลขหนี้ค้างชำระของบริษัทเหล่านั้น จะพุ่งขึ้นถึง 8 ล้านล้านหยวน หรือร้อยละ 19 ของยอดเงินกู้รวมในอุตสาหกรรมการเงิน และร้อยละ 24 ของจีดีพีจีน

 

เช่นเดียวกับ ธนาคารเครดิต อกริโค ที่เปิดเผยว่า ในอีก 2 -3 ปีข้างหน้า ตัวเลขหนี้เสียและความเสี่ยงในอุตสาหกรรมการธนาคารของจีนจะสูงขึ้นอย่างน่ากลัว หลังอัตราการปล่อยสินเชื่อขยายตัว เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนเป็นเหตุผลสำคัญ

 

 

 

!01 !01 !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขึ้นดอกเบี้ย.25% แนวโน้มขาขึ้น ลั่นครั้งหน้าปรับมากกว่าเดิม!

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กรกฎาคม 2553 23:24 น.

 

 

เข้าสู่ดอกเบี้ยขาขึ้น กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ครั้งแรกในรอบ 15 เดือน ธปท.มั่นใจแบงก์พาณิชย์ปรับดอกเบี้ยตาม ขึ้นทั้งฝากและกู้ พร้อมส่งสัญญาณครั้งหน้าโอกาสขึ้นมากกว่า 0.25% พร้อมเพิ่มเป้าจีดีพีใหม่ 23 ก.ค.นี้

 

นายไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%ต่อปี จากระดับ 1.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.50%ต่อปี ซึ่งมีผลทันที โดยการเปลี่ยนทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การประชุมกนง.ในวันที่ 8 เม.ย.52 ที่มีปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จากระดับ 1.50% มาสู่ระดับ 1.25%จนถึงปัจจุบัน หรือในช่วงระยะเวลา 15 เดือน ธปท.ใช้เวลาในการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้

ทั้งนี้ ในวันที่ 23 ก.ค.นี้ ธปท.จะประกาศปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจปีนี้และปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจดีขึ้น

 

ในการประชุมกนง. 1-2 ครั้งที่ผ่านมา จากความไม่แน่นอนปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง ทำให้กนง.มีการชะลอปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน แต่ในการประชุมครั้งนี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เพราะปัจจัยการเมืองกระทบแค่วงจำกัดและไม่มากอย่างที่ตื่นตระหนกกัน ขณะเดียวกันภาคเอกชนและผู้ประกอบการจากการสำรวจความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้นและความกังวลด้านการเมืองเริ่มผ่อนคลายกว่าในอดีต ทำให้กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้น จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการปรับอัตราดอกเบี้ยสู่ภาวะปกติตามลำดับ

 

“การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25%ครั้งนี้ จะมีผลให้ตลาดการเงินปรับตัวไปในทิศทางใด ขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ของตลาด แต่ที่แน่นอนตลาดทราบดีว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของวัฎจักรดอกเบี้ยในทิศทางใหม่ ส่วนกลไกตลาดในการแข่งขันดึงเงินฝากจากลูกค้าหรือภาวะสภาพคล่อง ทำให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับเท่าไหร่เป็นเรื่องที่ยากคาดเดา แต่หากเราส่งสัญญาณชัดเจนว่าอัตราดอกเบี้ยที่ผ่านมาจุดต่ำสุดแล้วก็เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์จะทยอยปรับขึ้นในทิศทางเดียวกันกับเรา”

 

ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า การดำเนินนโยบายการเงินต้องมองไปข้างหน้าและติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการปรับตัวของสถาบันการเงิน และมองว่าธนาคารพาณิชย์ควรปรับขึ้นทั้งอัตราดอกเบี้ยทั้ง 2 ขา คือเงินฝากและเงินกู้ ส่วนความช้าเร็วต่างกันของแต่ละสถาบันการเงิน ขึ้นอยู่กับภาวะสภาพคล่องและการแข่งขัน

 

กนง.มองว่าแม้ในปีนี้อัตราเงินเฟ้อไม่ได้สูงมากนัก เนื่องจากมีมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐ แต่คาดว่าในปีหน้าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งสูงขึ้นและมีโอกาสที่จะมีความเสี่ยงอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะสูงขึ้นจนหลุดกรอบบนของเป้าหมายในการดำเนินนโยบายการเงิน คือ 3% ภายในอีก 8 ไตรมาสข้างหน้า อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในครั้งนี้จะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อได้บ้าง

 

ดังนั้น แม้ขณะนี้อัตราเงินเฟ้อยังไม่สูงขึ้นมากนัก แม้ภาคเอกชนจะมีการเจรจาขอขึ้นค่าจ้างแรงงาน รวมถึงการขึ้นเงินเดือนและโบนัสให้แก่ข้าราชการ และมองว่าเป็นเรื่องปกติหากเศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ทำให้ความต้องการลูกจ้างหรือแรงงานจะมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย หลังจากที่ผ่านมาตลาดแรงงานตึงตัวมาก แต่ กนง.จะติดตามปัจจัยกดดันให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ รวมถึงแรงกดดันอุปสงค์จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่อเนื่อง

 

“ถ้าแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ลดลงก็ไม่ได้หมายความว่ากนง.จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายแค่ 0.25% ตลอดไป แต่จะพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจและแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อในการประชุมแต่ละครั้ง เพื่อเป็นการชั่งน้ำหนักต่อไป ซึ่งมองว่าแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยังมีอยู่ แม้แผ่วลงบ้างในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส แต่เฉลี่ยโดยรวมตลอดทั้งปีก็ยังมีแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจดีอยู่”

 

นายไพบูลย์ กล่าวว่า แม้ไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ก็เชื่อว่าไม่ได้เป็นเหตุผลหลักให้เงินทุนไหลเข้าไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศแถบภูมิภาคเอเชียมีการเจริญเติบโตสูงกว่ากลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลัก(G3) รวมถึงไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีทำให้ล่าสุดมีการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมาก ทำให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้ามายังไทยจำนวนมากอยู่แล้ว แต่การใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นตามกลไกตลาดก็สามารถช่วยดูแลได้ รวมถึงภาคเอกชนเองก็มีการปรับตัวอยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วง

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่การประชุมกนง.ครั้งก่อนมองว่าแรงกระตุ้นทางด้านการคลังในหลายประเทศจะทยอยหมดลง รวมถึงการสะสมสินค้าคงคลังลดลง และแรงขับเคลื่อนจะแผ่วลงบ้าง ทำให้ภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับช่วงครึ่งแรกของปีจากที่เศรษฐกิจในหลายประเทศเติบโตดีช่วงไตรมาสแรก แต่โดยรวมตลอดทั้งปีนี้เศรษฐกิจโลกก็ไม่น่าจะเกิดภาวะถดถอยรอบ 2 (Double Dip)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...