ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

สวัสดีครับ เฮียนายห้างฯ และเพื่อนๆทุกๆท่าน

 

เห็นรูปรถทองคำที่เฮียนายห้างฯ มาโพสต์ให้ดู ไม่รู้ว่า ถ้าสนใจซื้อจะสามารถ

เข้าโครงการ " รถคันแรก " ได้มั้ยครับ หุหุ แล้วก็คงไปเข้าโครงการ

" บ้านหลังแรก " แต่ปรับเป็น " คอนโดฯ หลังแรก " 55555

 

เดาว่า จะมีการดันราคาทองไปถึงเวลาที่นายเบอร์นันเก้ ออกมาแถลงตอน เที่ยงคืนครึ่ง

ถ้าพูดไม่ดี ก็ดันต่อไปเลย แต่ถ้าพูดแบบสร้างภาพ ก็ร่วง ถึงอย่างไรก็ตาม 85% พูดไม่ดี

เหลือแค่ 15% เท่านั้น สร้างสรรค์

 

หวังว่าเพื่อนๆ คงเข้าใจหัวใจของเด็กขายของ เพราะคิดเปอร์เซนต์ความเชื่อตามทองที่มีในพอร์ต 55555

5555555555555

 

เพื่อนๆส่วนใหญ่คงคิดแบบเดียวกับคุณเด็กขายของ เพราะส่วนใหญ่ก็เต็มปอดกับติดดอย ยังไงก็สู้ๆครับ วันนี้บ่ายๆว่าจะแวะไปอัพเดพสถานการณ์หน้าร้านทองตู้แดงเยาวราชซักหน่อยแล้ว

 

:rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณเด็กขายของ

 

ตลาดลอนดอนวันนี้คุณฯ คิดว่าจะไปทางไหน

สวัสดีคุณ ขาใหม่

เดาว่า " เจ้ามือฯ สั่งให้ไปเป็น ชาวไร่ ไร่มัน ไร่ทอง "

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดูจากข่าวช่วงนี้น่าจะเป็น + กับทองคำมากกว่าใช่ไหมครับคุณเด็กขายของ

 

ช่วงนี้เหมือนน้องทองไปไหนไปด้วยกันกับตลาดหุ้น

สวัสดีครับคุณ luk

มุมมอง + ทองครับ เพราะถ้า แผน Operation Twist ออกมา เขาไม่ต้องการให้

ธนาคารฯ หรือ กองทุนต่างๆ ถือพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทนสูง ดังนั้น เขาจึงปรับ

ลดผลตอบแทนระยะยาวของพันธบัตรลง เพื่อให้พวกนั้น นำเงินไปใช้จ่ายในการลงทุน

หรือ ปล่อยกู้ให้ภาคเอกชนแทน ซึ่งรวมไปถึงนักลงทุนรายย่อยที่ฝากเงินไว้กับพันธบัตร

เพราะเห็นว่าปลอดภัย

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

Wednesday, with banks leading decliners as investors awaited the outcome of the U.S. Federal Reserve meeting later.

วันพุธโว้ย ! หุ้นธนาคารหล่น ( จากปัญหาหนี้เสีย และต้องมีการเพิ่มทุนสำรอง ) นักลงทุนฯ คอยแถลงการณ์ การประชุมเฟด

 

ตลาดหุ้นฯ ยุโรป เปิดมา แดง

The Stoxx Europe 600 index XX:SXXP -0.65% fell 0.6% to 227.64

the German DAX 30 index DX:DAX -0.82% lost 0.9% to 5,524.31

the French CAC 40 index FR:PX1 -0.90% slipped 1% to 2,956.3

The FTSE 100 index UK:UKX -0.72% fell 0.4% to 5,341.20,

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับ เฮียนายห้างฯ และเพื่อนๆทุกๆท่าน

 

เห็นรูปรถทองคำที่เฮียนายห้างฯ มาโพสต์ให้ดู ไม่รู้ว่า ถ้าสนใจซื้อจะสามารถ

เข้าโครงการ " รถคันแรก " ได้มั้ยครับ หุหุ แล้วก็คงไปเข้าโครงการ

" บ้านหลังแรก " แต่ปรับเป็น " คอนโดฯ หลังแรก " 55555

 

ถ้ามีโครงการ "ทองก้อนแรก" มีหวังซื้อกระจาย 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอามาช่วยกันลุ้นให้ขึ้นไปยืน 1815 ให้ได้ แล้วค่อยตามไป 1900 นะพี่น้อง

 

!047 !047

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอามาช่วยกันลุ้นให้ขึ้นไปยืน 1815 ให้ได้ แล้วค่อยตามไป 1900 นะพี่น้อง

 

!047 !047

 

 

 

ตามนั้นครับ คืนระทึกอีกวัน

 

คุณ TeeKub ก็เหนียวแน่นเป็นประจำเหมือนเดิมนะครับ อิอิ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไอแบงก์ดีเดย์บริการโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มทั่วประเทศ 24 ก.ย.นี้

วันพุธที่ 21 กันยายน 2011 เวลา 16:24 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ขยายบริการธุรกรรมการเงินผ่านตู้เอทีเอ็มเพิ่มเติม จากเดิมที่ได้ร่วมโครงการเชื่อมโยงบริการทางการเงินระหว่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งสามารถทำธุรกรรมการเงินผ่านตู้เอทีเอ็มฟ รีระหว่างธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ธนาคารออมสิน และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จนถึงสิ้นปี 2554 นั้น ตอนนี้ไอแบงก์ได้เพิ่มบริการโอนเงินรายย่อยไปยังธนาคารสมาชิกทั้ง 19 แห่งทั่วประเทศแล้ว ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในวันที่ 24 กันยายน 2554

 

สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการ ATMไอแบงก์ สามารถทำรายการโอนเงินบัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีกระแสรายวัน จากเครื่อง ATM ธนาคารเจ้าของบัตรไปยังบัญชีธนาคารปลายทาง โดยทำรายการโอนเงินได้สูงสุด 50,000 บาท/วัน โอนเงินได้ไม่เกิน 30,000 บาท/รายการ และทำรายการโอนได้ 10 ครั้ง/วัน ซึ่งธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียม 25 บาท สำหรับการโอนเงินไม่เกิน 10,000 บาท และคิดอัตราค่าธรรมเนียม 35 บาท สำหรับการโอนเงินตั้งแต่ 10,001 – 30,000 บาท

 

ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง ให้บริการลูกค้าทุกศาสนา สำหรับลูกค้าที่สนใจผลิตภัณฑ์ของธนาคาร สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1302 หรือสาขาของธนาคารทั่วประเทศ ธนาคารของคุณ ...อุ่นใจเมื่อใช้ ibank

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กสิกรไทยชี้บ้านหลังแรกกระตุ้นอสังหาQ4แต่ทั้งปียอดโอนกรรมสิทธิ์หดตัว9.4-12.7%

วันพุธที่ 21 กันยายน 2011 เวลา 16:32 น. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์โค้งสุดท้ายปี 2554 ...มาตรการบ้านหลังแรกช่วยเพิ่มสีสันในตลาด"ระบุว่า

เมื่อวันอังคารที่ 20 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรก และราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 5,000,000 บาท โดยผู้ที่ซื้อสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อที่อยู่อาศัยมาคำนวณเพื่อหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของราคาบ้าน (ราคาบ้าน 5,000,000 บาท หักลดหย่อนได้ 500,000 บาท) โดยหักลดหย่อนเท่าๆ กัน เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยจะสามารถนำมาหักภาษีเพิ่มเติมจากที่ปัจจุบันผู้ที่ซื้อที่อยู่อาศัยสามารถนำอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัยมาหักลดหย่อนภาษีได้ปีละ 100,000 บาท โดยมาตรการดังกล่าวนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และจะมีผลการหักลดหย่อนภาษีนับตั้งแต่ปี 2556 อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวนี้ไม่รวมถึงการซื้อที่อยู่อาศัยมือสองและบ้านปลูกสร้างเอง

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ความชัดเจนจากมาตรการดังกล่าวนี้น่าจะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปีนี้ กลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายหลังจากที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยไปเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า มาตรการของรัฐบาลที่ให้หักลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกนั้น น่าจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ให้กลับมาคึกคักขึ้น โดยเฉพาะผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ปัจจุบันได้ชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยให้ตัดสินใจ และกลุ่มผู้ประกอบการที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายและที่กำลังจะสร้างเสร็จ โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีระยะเวลาในการสร้างเสร็จรวดเร็วกว่าโครงการแนวสูง

 

 

 

โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์เต็มจำนวนจากการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีซื้อบ้านหลังแรกจะต้องเป็นผู้มีเงินได้ 23,333 บาทต่อเดือนขึ้นไป (ภายใต้เงื่อนไขผู้มีรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี จะได้รับยกเว้นไม่ต้องจ่ายภาษี ในขณะที่ผู้มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องชำระภาษี จะไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยจะลดลงมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ 1. ราคาที่อยู่อาศัยที่ซื้อ 2.ระดับรายได้ของผู้ซื้อบ้าน 3. ฐานอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้ซื้อบ้าน

 

 

1. คำนวณความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยจากระดับรายได้ในแต่ละเดือน ภายใต้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัยร้อยละ 7.25 และผ่อนระยะเวลา 30 ปี จำนวนเงินผ่อนชำระต่อเดือนประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน

 

2.ภายใต้สมมติฐานรายได้ทั้งปี (ไม่รวมโบนัส) หักค่าใช้จ่ายส่วนตัว 60,000 บาท รายการลดหย่อนยกเว้นหลังการหักค่าใช้จ่าย 30,000 บาท หักลดหย่อนเงินสมทบประกันสังคม 9,000 บาท

 

ตัวอย่างเช่น ผู้ที่จะได้รับการลดหย่อนภาษีต่ำสุด คือ ผู้ที่ต้องจ่ายภาษีในอัตราร้อยละ 10 (หรือมีรายได้ประมาณ 21,000 ถึง 51,580 บาทต่อเดือน) และซื้อบ้านระดับราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท จะลดค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านโดยรวมไม่เกิน 10,000 บาท ตลอดระยะเวลา 5 ปี ส่วนผู้ที่จะได้รับการลดหย่อนภาษีสูงสุด คือ ผู้ที่ต้องจ่ายภาษีในอัตราร้อยละ 37 (หรือมีรายได้สูงกว่า 341,585 บาทต่อเดือน) และซื้อบ้านราคา 5,000,000 บาท จะลดค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้านลงได้ตั้งแต่ 150,000 บาท ไปจนสูงสุดได้ถึง 185,000 บาท (ตั้งแต่ร้อยละ 30-37 ของวงเงินที่สามารถหักค่าลดหย่อนได้ในแต่ละปี)

 

 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มาตรการบ้านหลังแรกน่าจะช่วยสร้างบรรยากาศในตลาดที่อยู่อาศัยให้มีความคึกคักมากขึ้น จากกรณีที่หากไม่มีมาตรการ ตลาดที่อยู่อาศัยอาจมีแนวโน้มชะลอตัว โดยมาตรการนี้น่าจะกระตุ้นคนที่มีความสามารถในการซื้อบ้านระดับกลาง-บนได้ค่อนข้างมาก (ราคาประมาณ 3,000,000 – 5,000,000 บาท) ซึ่งกลุ่มผู้บริโภคที่มีความสามารถในการซื้อบ้านราคาระดับกลาง-บน น่าจะมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างน้อย และมีความยืดหยุ่นในการที่จะเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงระดับราคาที่ลดต่ำลงได้ เมื่อภาวะเศรษฐกิจมีความอ่อนไหว ขณะที่ผู้บริโภคกลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างต่ำ เช่น ผู้ที่มีรายได้ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน จะมีข้อจำกัดในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยผู้ที่มีรายได้ระดับนี้ จะสามารถซื้อที่อยู่อาศัยระดับประมาณราคา 1,000,000 บาทลงไป

 

ขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยที่มีราคาระดับประมาณ 1,000,000 บาท หรือต่ำกว่า จะมีอยู่ประมาณร้อยละ 20 ของตลาดที่อยู่อาศัยที่เปิดตัว แต่ที่อยู่อาศัยระดับราคานี้ ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของทำเลที่อาจจะห่างไกลเส้นทางคมนาคมขนส่ง เช่น รถไฟฟ้า เป็นต้น อย่างไรก็ดีราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามต้นทุนการก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น ทำให้ในระยะข้างหน้าราคาบ้านระดับนี้คงจะมีสัดส่วนที่ลดลง และจะทำให้ผู้บริโภคที่มีรายได้ต่อเดือนไม่สูงมากมีข้อจำกัดในการซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น

 

 

 

นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าว ยังจำกัดกลุ่มผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะกลุ่มผู้อยู่ในฐานภาษี ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่ยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดาภ.ง.ด. 90 และ 91 ประมาณเกือบ 10 ล้านคน แต่มีผู้ที่ยื่นแบบและเสียภาษีประมาณ 2.1 ล้านคน ขณะเดียวกัน มาตรการดังกล่าวยังไม่รวมถึงบ้านมือสอง และบ้านปลูกสร้างเอง ซึ่งคนที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัดนิยมปลูกสร้างบ้านเองจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ อีกทั้งยังไม่ให้สิทธิผู้มีเงินได้ที่เคยเป็นผู้ที่กู้ร่วมและใช้สิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ที่จะได้รับประโยชน์นั้นหดแคบลง

 

 

สำหรับแนวโน้มที่อยู่อาศัยในช่วงที่เหลือของปี 2554 นี้ คาดว่า ตลาดคงจะมีการแข่งขันที่เข้มข้นและรุนแรง โดยผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คงจะเร่งทำการตลาด ออกแคมเปญที่จูงใจ เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยควบคู่ไปกับการกระตุ้นด้านสิทธิประโยชน์ภาษีของภาครัฐ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ จะเป็นจังหวะที่ดีที่ผู้ประกอบการจะเร่งระบายบ้านที่เหลือขายสะสมอยู่ในมือออกไป และจะเป็นช่วงที่ดีของผู้บริโภคในการซื้อที่อยู่อาศัย เนื่องจากในปี 2555 ที่จะถึงนี้ ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการคงจะต้องเผชิญกับปัจจัยเฉพาะที่จะมีผลต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น อาทิ

 

 

 

 มาตรการกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan to Value) สำหรับการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่า 10 ล้านบาทลงมา โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มาตราการดังกล่าวนี้ได้มีผลบังคับใช้สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวสูง หรือ คอนโดมิเนียม ซึ่งกำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันที่ร้อยละ 90 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 มาตรการดังกล่าวนี้ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จเหลือขาย

 

สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ กำหนดอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันที่ร้อยละ 95 โดยจะมีผลใช้เฉพาะสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ทำให้ผู้ประกอบการที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายคงจะต้องเร่งทำการตลาดระบายสินค้า

 

 ราคาประเมินที่ดินฉบับ 1 มกราคม 2552-2554 จะสิ้นสุดลง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ทางกรมธนารักษ์จะใช้บัญชีราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดินฉบับปี 2555-2558 ซึ่งราคาที่ดินประเมินรอบใหม่นี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 15-30 ของราคาประเมินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งราคาที่ดินในทำเลศักยภาพบางแห่งปรับตัวขึ้นถึงร้อยละ 50 ทั้งนี้ ราคาประเมินที่ดินที่ปรับขึ้นนี้จะมีผลต่อภาระรายจ่ายของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย (ค่าธรรมเนียมการโอนอยู่ที่ร้อยละ 2.0 ของราคาประเมินของทางราชการ)

 

 

 

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมในด้านอื่นๆ ต้องยอมรับว่า มีปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโตของตลาดค่อนข้างน้อย เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้ความเสี่ยงต่อวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคมีความไม่มั่นใจต่อรายได้และการจ้างงานในอนาคต นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังเผชิญภาระรายจ่ายในชีวิตประจำวันที่สูงขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยก็มีระดับสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ในปี 2554 นี้ อาจมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 155,500-161,500 หน่วย หดตัวลงร้อยละ 9.4-12.7 เมื่อเทียบกับปี 2553 ที่จำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยสูงถึง 178,128 หน่วย (ตามรายงานของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ )

 

สำหรับแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2555 นี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวนี้ น่าจะช่วยให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ปี 2555 มีประมาณ 152,500-162,750 หน่วย ลดลงร้อยละ 3.8 ถึง เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับปี 2554 โดยกรณีที่ลดลงนั้น เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจ ผู้บริโภคคงจะให้ความระมัดระวังมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคส่วนหนึ่งที่มีแผนการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่แล้วอาจตัดสินใจเร่งโอนกรรมสิทธิ์และซื้อที่อยู่อาศัยตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 นี้แล้ว เนื่องจากถ้ารอรอบต่อไป การซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2555 อาจมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น จากการใช้มาตรการ LTV สำหรับโครงการบ้านจัดสรร และการใช้ราคาประเมินที่ดินฉบับบใหม่

 

นอกจากนี้นโยบายนี้เป็นนโยบายเฉพาะบ้านหลังแรก และไม่รวมบ้านมือสอง อีกทั้งยังไม่ให้สิทธิผู้มีเงินได้ที่เคยเป็นผู้ที่กู้ร่วมและใช้สิทธิหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อที่อยู่อาศัย แม้จะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นก็ตาม ทำให้กลุ่มลูกค้าจึงอยู่ในขอบเขตที่จำกัด อย่างไรก็ดี หากไม่มีมาตรการนี้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในปี 2555 อาจอยู่ที่ประมาณ 149,000 - 157,620 หน่วย หดตัวร้อยละ 0.6-6.0 จากปี 2554

 

มาตรการบ้านหลังแรกไม่เพียงแต่จะมีผลในการกระตุ้นธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการแข่งขันของธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยเช่นกัน เพราะมาตรการในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดการแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ อย่างเช่นมาตรการสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ผ่านมา ที่รัฐบาลได้กำหนดให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเป็นผู้ดำเนินการ

 

นอกจากนี้ การที่มาตรการให้มีผลครอบคลุมไปถึงบ้านระดับราคาสูงสุดถึง 5,000,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของธนาคารพาณิชย์ ทำให้คาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ การแข่งขันในธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงมีความเข้มข้นขึ้น โดยยังคงเน้นการทำตลาดร่วมกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกลยุทธ์การตลาดน่าจะยังคงเป็นกลยุทธ์ด้านอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.0 เป็นระยะเวลาสั้นๆ เช่น 3 เดือน 6 เดือน เป็นต้น

 

แต่อย่างไรก็ดี ธนาคารพาณิชย์ยังคงจะต้องแข่งขันด้านราคา เพราะแม้ว่าสถาบันการเงินจะพยายามหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาเพียงใด แต่เมื่อปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง และผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็คงจะหาสถาบันการเงินที่เสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำให้แก่ลูกค้าของตน ทำให้สถาบันการเงินต่างคงจะต้องคิดกลยุทธ์และผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม เพื่อรักษาฐานลูกค้าของตน

 

สำหรับแนวโน้มยอดคงค้างสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2554 นี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้มีการปรับตัวเลขประมาณการอัตราการขยายตัวเนื่องจากมีการปรับข้อมูลใหม่ในปี 2553 โดยคาดว่ายอดคงค้างสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งระบบ จะมีประมาณ 2,034,000-2,052,200 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.5-8.5 ชะลอลงจากที่ขยายตัวประมาณร้อยละ 10.5 ในปี 2553

 

อย่างไรก็ดี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปี 2554 นี้ ยังมีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง ในวันที่ 19 ตุลาคม และวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 นี้ ซึ่งนับจากช่วงต้นปี 2554 ที่ผ่านมา ทางกนง. ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 6 ครั้ง มีผลทำให้สถาบันการเงินต่างปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยขึ้นตามมา ซึ่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่อาศัยคงจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า มาตรการหักลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรก น่าจะส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง นอกจากนี้การเพิ่มเพดานราคาที่อยู่อาศัยเป็น 5,000,000 บาทนั้น ช่วยขยายฐานลูกค้าสู่ระดับกลาง-บน ก็น่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่มีความพร้อมทางด้านการเงินตัดสินในการซื้อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวนี้ เป็นมาตรการหักลดหย่อนภาษี ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จะเป็นผู้ที่เสียภาษีบุคคลธรรมดา และมีรายได้เมื่อหักลดหย่อนตามมาตรฐานที่กำหนดที่สูงกว่า 150,000 บาทต่อปี มาตรการดังกล่าวนี้ มุ่งกระตุ้นกำลังซื้อของผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูง หลังจากก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการหลายด้านเพื่อผู้มีรายได้น้อยไปบ้างแล้ว อาทิ มาตรการเพิ่มรายได้ เป็นต้น

 

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่น่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้น่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จและพร้อมขายอยู่ในปัจจุบัน หรือผู้ประกอบการที่มีแผนที่จะสร้างเสร็จในปี 2555 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการคงจะเร่งดำเนินกลยุทธ์การตลาดให้มีความน่าสนใจมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 นี้ เนื่องจากในวันที่ 1 มกราคม 2555 ที่จะถึงนี้ จะมีปัจจัยสำคัญที่อาจมีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้ชะลอลงในระยะสั้น อาทิ มาตรการกำหนดวงเงินสินเชื่อ (LTV) จะมีผลบังคับใช้ในกลุ่มโครงการบ้านแนวราบ ขณะเดียวกันก็มีการใช้ราคาประเมินที่ดินฉบับ พ.ศ. 2555-2558 ซึ่งราคาที่ดินประเมินรอบใหม่นี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 15-30 ของราคาประเมินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจะมีผลต่อภาระรายจ่ายในการซื้อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกัน ธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ปกติจะเติบโตตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ นั้น คาดว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ การแข่งขันทางธุรกิจสินเชื่อที่อยู่อาศัยคงจะมีความเข้มข้นเช่นกัน

 

โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มาตรการบ้านหลังแรกจะมีส่วนกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 แต่โดยรวมทั้งปีแล้วคาดว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งปี 2554 ก็น่าจะยังคงหดตัวลงร้อยละ 9.4-12.7 เนื่องจากภาวะชะลอตัวของ 3 ไตรมาสแรกของปี 2554 และสำหรับปี 2555 คาดว่า ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอาจลดลงร้อยละ 3.8 ถึงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 เทียบกับกรณีไม่มีมาตรการนี้ การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในปี 2555 อาจหดตัวร้อยละ 0.6-6.0 จากปี 2554

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ชี้ปี 53 การลงทุนทองคำในประเทศจีนมากกว่าปีก่อนหน้าถึง 70%

วันพุธที่ 21 กันยายน 2011 เวลา 16:37 น. กอง บก.ออนไลน์ ข่าวรายวัน - ข่าวต่างประเทศ

 

สภาทองคำโลก (WGC) คาดว่าความต้องการลงทุนทองคำในจีนจะสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 200 เมตริกตันในปีนี้ โดยในปี 2553 ตัวเลขการลงทุนทองคำในประเทศจีนอยู่ที่ 187 ตัน หรือมากกว่าปีก่อนถึง 70% ขณะก่อนหน้านี้ WGC เคยประมาณการว่า ความต้องการทองคำในจีนอาจจะเพิ่มเป็นสองเท่าภายในระยะเวลา 10 ปี แต่การเติบโตอย่างมากของตลาดทองคำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การประมาณการคลาดเคลื่อน นอกจากนี้ WGC ระบุว่า เฉพาะปี 2553 ปริมาณการใช้ทองคำของจีนอยู่ที่ 706 ตัน ซึ่งรวมถึงปริมาณการใช้เพชรพลอย 452 ตัน ในขณะที่ความต้องการสินค้าเครื่องประดับอาจจะเพิ่มขึ้นจาก 9% ต่อปี เป็น 10% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงาน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้บวก3.31จุด ต่างชาติซื้อสุทธิ292.36ลบ.

วันพุธที่ 21 กันยายน 2011 เวลา 16:53 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ (21 ก.ย.) บวก 3.31 จุด หรือ 0.32 % ดัชนีอยู่ที่1,029.59 จุด มูลค่าซื้อขาย 17,462.02 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 292.36 ล้านบาท

 

สำหรับ5อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด ได้แก่

 

1.ADVANC มูลค่าซื้อขาย 1,720.71ล้านบาท ราคาปิดที่ 126.50 บาท ปรับบวก 2.50 บาท เปลี่ยนแปลง 2.02%

2.SCC มูลค่าซื้อขาย1,067.39 ล้านบาท ราคาปิดที่ 306.00 บาท ปรับบวก 2.00 บาท เปลี่ยนแปลง 0.66%

3.DTAC มูลค่าซื้อขาย 866.16 ล้านบาท ราคาปิดที่ 77.00 บาท ปรับบวก 1.50 บาท เปลี่ยนแปลง 1.99%

4.KBANK มูลค่าซื้อขาย859.59 ล้านบาท ราคาปิดที่ 123.50 บาท ปรับบวก 1.00 บาท เปลี่ยนแปลง 0.82%

5.PTTCH มูลค่าซื้อขาย 726.32 ล้านบาท ราคาปิดที่ 119.00 บาท ปรับลดลง 0.50 บาท เปลี่ยนแปลง -0.42%

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

YLG : นักลงทุนเทขายทองคำเลือกถือเงินสดเพื่อรอดูสถานการณ์

วันพุธที่ 21 กันยายน 2011 เวลา 17:14 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

YLG : นักลงทุนเทขายทองคำเลือกถือเงินสดเพื่อรอดูสถานการณ์

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่ง และโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 21 กันยายน 2554 สภาวะตลาดวันที่ 21 กันยายน 2554 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,798.04 – 1,815.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV11 อยู่ที่ 26,360 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 100 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 26,260 บาท ขณะที่ซิวเวอร์ฟิวเจอร์ SVV11 อยู่ที่ 1,245 บาท โดยราคาปรับเพิ่มขึ้น 8 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 1,237 บาท

 

 

แนวโน้มวันที่ 22 กันยายาน 2554 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยในรายงาน "World Economic Outlook" ครั้งล่าสุดว่า เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ "ระยะที่เป็นอันตราย"และได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกลงเหลือ 4% ในปีนี้และปีหน้า แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจทั่วโลกอ่อนแอลง ประกอบกับนักลงทุนยังคงกังวลว่ากรีซจะกู้ยืมเงินจากหน่วยงานระหว่างประเทศได้หรือไม่ แต่ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามคุณสมบัติสินทรัพย์ปลอดภัยเหมือนเคย

 

อย่างไรก็ตามวายแอลจีอยากแนะนำว่า ควรติดตามประเด็นการเคลื่อนย้ายเงิน ว่าจะไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยแหล่งใด เพราะในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนต่างขายทองคำออกมาโดยมีสาเหตุมาจากการแกว่งตัวอย่างมากของราคาทองคำ นักลงทุนเลือกที่จะถือเงินสดเพื่อรอดูสถานการณ์ ทำให้เชื่อได้ว่าหากไม่มีปัจจัยหนุนราคาทองคำอย่างแข็งแกร่ง การขยับขึ้นของราคาทองคำคงเป็นไปอย่างเชื่องช้า ซึ่งการปรับตัวขึ้นได้มากเพียงใดหรือนานเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมของเศรษฐกิจโลก ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

 

กลยุทธ์การลงทุนวายแอลจี มีมุมมองว่าสำหรับนักลงทุนที่รอจังหวะเข้าซื้อหากราคาย่อตัวลงมาและไม่หลุดแนวรับ 1,777 หรือ 1,752 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวหรือบริเวณแนวต้าน 1,836 หรือ 1,845 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และควรตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุดแนวรับ 1,752 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อรอซื้อในบริเวณ1,735 ดอลลาร์ต่อออนซ์แต่หากหลุดบริเวณนี้จำเป็นต้องตัดขาดทุน สำหรับนักลงทุนที่มีทองคำในมือ แนะนำให้ปิดสถานะทำกำไรหากราคาดีดตัวขึ้นหรือบริเวณแนวต้าน 1,836 หรือ 1,845 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

 

 

ทองคำแท่ง (96.50%)

แนวรับ 1,777 (25,610บาท) 1,752 (25,250บาท) 1,735 (25,000บาท)

แนวต้าน 1,836 (26,470บาท) 1,845 (26,590บาท) 1,860 (26,810บาท)

 

GOLD FUTURES (GFV11)

แนวรับ 1,777 (25,910บาท) 1,752 (25,550บาท) 1,735 (25,300บาท)

แนวต้าน 1,836 (26,770บาท) 1,845 (26,890บาท) 1,860 (27,110บาท)

 

SILVER FUTURES (SVV11)

แนวรับ 38.60 (1,188บาท) 38.04 (1,170บาท) 37.53 (1,155บาท)

แนวต้าน 41.43 (1,274บาท) 41.80 (1,285บาท) 42.22 (1,298บาท)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แอร์เอเชียออกโปรโมชั่นFREE SEATSเริ่มต้นที่ 0 บาท 1 ล้านที่นั่ง

วันพุธที่ 21 กันยายน 2011 เวลา 17:13 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

 

 

“แอร์เอเชีย” ออกโปรโมชั่น ‘FREE SEATS’ ในราคาสุทธิ (ไม่รวมภาษี และ ค่าธรรมเนียมน้ำมัน) เริ่มต้นที่ 0 บาท จำนวน 1 ล้านที่นั่ง ทั้งเที่ยวบินภายในประเทศและระหว่างประเทศ (เที่ยวบิน FD, AK, QZ)

 

อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย อุดรธานี อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี นราธิวาส ย่างกุ้ง พนมเปญ โฮจิมินห์ สิงคโปร์ มาเก๊า ฮ่องกง และเดลี บินจากฐานการบินภูเก็ต สู่ เชียงใหม่ อุดรธานี บาหลี และฮ่องกง บินจากฐานการบินเชียงใหม่ สู่ หาดใหญ่และสิงคโปร์ ผู้สนใจสำรองที่นั่งได้ตั้งแต่เวลา 23.00 น. วันที่ 20 กันยายน ถึงวันที่ 25 กันยายน 2554 (ตามเวลาประเทศไทย) ผ่าน www.airasia.com สำหรับการเดินทางตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม ถึง 27 ตุลาคม 2555

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1ต.ค.LPGเพิ่มอีก3บาททั้งปีใช้พลังงานโต6.6%

 

เศรษฐกิจ 21 กันยายน 2554 - 00:00

สนพ.ยันขึ้นแอลพีจีภาคอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2 ต.ค.นี้ อีก 3บาทต่อกิโลกรัม เผยปี 2554 มีความต้องการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ 1.898 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 6.6%

นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังดำเนินการตามแผนการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) ในภาคอุตสาหกรรม ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่กำหนดให้มีการปรับขึ้นในรอบที่ 2 อีก 3 บาทต่อกิโลกรัม เริ่มในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งจะทำให้ราคาก๊าซแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมปรับเพิ่มขึ้นจาก 21.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 24.13 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งยังต่ำกว่าราคาแอลพีจีในเวียดนาม ที่สูงถึง 45 บาทต่อกิโลกรัม

สำหรับความคืบหน้ากรณีสมาคมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง ได้ยื่นเรื่องศาลปกครองเชียงใหม่ ฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี (ครม.) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) และ สนพ. เพื่อขอให้ทุเลาการบังคับใช้กฎ ในเรื่องการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมนั้น ขณะนี้ศาลฯ ได้รับคำฟ้องไว้แล้ว โดยกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้อัยการสูงสุดเข้ามาดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป

รายงานข่าวจากสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) แจ้งว่า ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้น ปี 2554 นี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.898 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6.6% ซึ่งเติบโตตามสภาพเศรษฐกิจ โดยการใช้น้ำมันเบนซินจะอยู่ที่ 7,502 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 1.2% น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 19,018 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 2.9% เป็นผลจากนโยบายตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ส่วนก๊าซแอลพีจีโดยรวมเพิ่มขึ้น 8.2% ยกเว้นภาคอุตสาหกรรมที่มีการใช้ลดลง เพราะนโยบายการทยอยปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม

ส่วนการใช้ไฟฟ้า ปี 2554 ครึ่งปีหลังคาดว่าจะมีการใช้ไฟฟ้าที่ระดับ 81,974 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.2%โดยการใช้ไฟฟ้าในช่วงครึ่งปีแรกมีการขยายตัวลดลง เนื่องจากสภาพอากาศปีนี้มีอุณหภูมิไม่สูงมาก ทำให้มีความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยภาพรวมทั้งปีของปี 2554 การใช้ไฟฟ้าจะลดลง 0.3% อยู่ที่ระดับ 163,219 กิกะวัตต์ชั่วโมง รวมมูลค่านำเข้าไฟฟ้าทั้งปีอยู่ที่ 67,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่าตัวที่อยู่ 33,000 ล้านบาท.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คลังแจงหนี้สาธารณะพุ่ง ก.ค.สูงขึ้น1.64หมื่นล้าน

 

เศรษฐกิจ 21 กันยายน 2554 - 00:00

สบน.เผย หนี้ประเทศเดือน ก.ค.มีจำนวน 4.28 ล้านบาท พุ่งขึ้นจากเดือนก่อน 1.64 หมื่นล้านบาท ชี้รัฐบาลยังกู้เงินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดหนี้สาธารณะเพิ่มไม่หยุด ขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจถูกลดการค้ำประกัน

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า ยอดหนี้สาธารณะ ณ วันที่ 31 ก.ค.2554 มีจำนวน 4.28 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 40.57% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 1.64 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 1.6 หมื่นล้านบาท เป็นการออกพันธบัตรเพื่อการบริหารหนี้ 2.2 หมื่นล้านบาท การออกพันธบัตรเพื่อชดเชยการขาดดุล 8,000 ล้านบาท การไถ่ถอนเงินกู้ระยะสั้น 1.2 หมื่นล้านบาท แต่หนี้ต่างประเทศของรัฐบาลปรับลดลง เพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

นอกจากนี้ หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 620 ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท ขณะที่หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน ลดลง 199 ล้านบาท ส่วนหน่วยงานอื่นของรัฐนั้นไม่มีหนี้คงค้าง

ปัจจุบันหนี้ทั้งหมดแยกเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3.01 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1.07 ล้านล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน 1.58 แสนล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 3.05 หมื่นล้านบาท.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...