ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ขอขอบใจคุณเด็กขายของหลายๆที่ให้ขอมูลข้าน้อย :01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 มีนาคม 2555 07:15:10 น.

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรและเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 มี.ค.) หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่สกุลเงินยูโรถอยร่นลงมาจากระดับสูงสุดในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซอาจจะไม่ราบรื่นตามที่คาดการณ์ไว้

 

 

 

ค่าเงินยูโรขยับขึ้น 0.09% แตะที่ 1.3213 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันศุกร์ที่ 1.3201 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.13% แตะที่ 1.5857 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5836 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.33% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ 81.520 เยน จากระดับ  81.790 เยน และร่วงลง 0.20% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9122 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9140 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียดิ่งลง 0.66% แตะที่ 1.0663 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0734 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์ร่วงลง 1.07% แตะที่ 0.8203 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8292 ดอลลาร์

 

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงหลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานภายในประเทศหดตัวลง 1% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2552 และสะท้อนถึงภาวะชะลอตัวของภาคการผลิตสหรัฐ

 

ส่วนสกุลเงินยูโรนั้น แม้ว่าดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่ยูโรได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่าแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซอาจจะไม่ราบรื่นตามที่คาดการณ์ไว้ แม้สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (IIF) เปิดเผยว่า สถาบันการเงินรายใหญ่ 12 แห่ง รวมถึงธนาคารบีเอ็นพี พาริบาส์ ของฝรั่งเศส และธนาคารดอยช์ แบงก์ ของเยอรมนี ได้ลงนามในคำมั่นสัญญาว่าจะมีส่วนร่วมในแผนการบรรเทาภาระหนี้สินของกรีซก็ตาม

 

ทั้งนี้ รัฐบาลกรีซประกาศแผนสว็อปพันธบัตรอย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ก.พ. ซึ่งภายใต้แผนดังกล่าว นักลงทุนภาคเอกชนที่ถือครองพันธบัตรของกรีซต้องยินยอมรับการขาดทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือกรีซ ด้วยการยอมรับเงื่อนไขการปรับลดมูลค่าหน้าตั๋วพันธบัตรของรัฐบาลกรีซลง 53.5% ในขณะที่การขาดทุนที่แท้จริงอาจสูงถึง 75%

 

นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในวันพฤหัสบดีนี้ หลังจากอีซีบีประกาศมาตรการรีไฟแนนซ์ระยะยาว (Longer Term Refinancing  Operation) หรือ LTRO ด้วยการอัดฉีดเงินกู้วงเงิน 529,530.81 ล้านยูโร (7.133 แสนล้านดอลลาร์) ให้กับภาคธนาคารของยูโรโซนเมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยธนาคารทั้งสิ้น 800 แห่งที่ขอเงินกู้ดังกล่าว

 

อีซีบีเคยดำเนินมาตรการ LTRO ครั้งแรกในเดือนธ.ค. 2554 โดยปล่อยกู้เป็นวงเงิน 4.89 แสนล้านยูโร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของอิตาลีกับสเปนให้ปรับตัวลดลง และยังช่วยให้ยูโรโซนสามารถหลีกเลี่ยงจากภาวะสินเชื่อหดตัวในเดือนม.ค.ด้วย

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.พ.ในวันศุกร์เวลา 20.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขการจ้างงานเดือนก.พ.จะเพิ่มขึ้น 210,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 8.3%

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 6 มีนาคม 2555 06:49:50 น.

สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 มี.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าความขัดแย้งเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากภาวะการซื้อขายได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากจีนปรับลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้

 

 

 

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ขยับขึ้น 2 เซนต์ ปิดที่ 106.72 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 107.42 - 105.50 ดอลลาร์

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 15 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 123.80 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 122.66 - 124.66 ดอลลาร์

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแข็งแกร่งในช่วงแรก เนื่องจากตลาดคาดการณ์ว่า ความขัดแย้งเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันและจะช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นด้วย โดยล่าสุดมีรายงานว่านายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้จัดประชุมร่วมกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการตอบโต้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน

 

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโอบามาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะใช้วิธีการทางการทูตและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเป็นแนวทางในการตอบโต้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ก่อนที่ทางอิสราเอลจะใช้กำลังทางทหารเพื่อจัดการในเรื่องนี้ ด้านนายเนทันยาฮูประกาศว่า "อิสราเอลมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองจากการคุกคามทุกรูปแบบ"

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบ WTI อ่อนแรงลงจากระดับสูงสุดในระหว่างวัน ก่อนที่จะปิดตลาดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงาน หลังจากรัฐบาลจีนได้ปรับลดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5% จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 8%

 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานภายในประเทศหดตัวลง 1% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2552 และสะท้อนถึงภาวะชะลอตัวของภาคการผลิตสหรัฐ

 

นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในคืนวันพุธตามเวลาไทย ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.3%

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาทองคำร่วงลงหลังจากรัฐบาลจีนปรับลดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5% จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 8% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังคงเป้าหมายการขยายตัวของเงินเฟ้อไว้เท่าเดิมที่ 4% ในปีนี้

 

สัญญาทองคำได้รับปัจจัยลบมากขึ้นเมื่อมาร์กิต อิโคโนมิกรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการของในยูโรโซน หดตัวลงสู่ระดับ 49.3 จุดในเดือนก.พ. จากระดับ 50.4 จุดในเดือนม.ค. ขณะที่ทางการสหรัฐระบุว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานภายในประเทศหดตัวลง 1% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2552

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.1% แตะที่ 79.322 จุดในช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย

 

นักวิเคราะห์คาดว่า แม้ทองคำเข้าสู่ระยะพักฐานในช่วงสั้นๆ แต่ทองคำยังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะยาว เนื่องจากทางการสหรัฐยังคงเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชีย

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทำไมมันลงงะ :_10

ก็มันไม่เป็นจรวดนี่ เครื่องนี้ท่าทางอืดดดด ไม่มีควันด้วย เปลี่ยนเหอะเฮีย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อรุณสวัสดิ์เช้าวันอังคารครับทุกท่าน

 

ทองคำปิดร่วง 5.9 ดอลล์

 

06 มีนาคม 2555 เวลา 06:51 น. |

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลง5.9 ดอลล์ หลังจีนลดเป้าหมาย GDP ปีนี้

 

สัญญาทองคำที่ตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 5.9 ดอลลาร์ หรือ 0.35% ปิดที่ 1,703.9 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1705.0 - 1703.0 ดอลลาร์

 

สัญญาทองคำร่วงลงหลังจากรัฐบาลจีนปรับลดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5% จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 8% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจีนยังคงเป้าหมายการขยายตัวของเงินเฟ้อไว้เท่าเดิมที่ 4% ในปีนี้

 

สัญญาทองคำได้รับปัจจัยลบมากขึ้นเมื่อมาร์กิต อิโคโนมิกรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการของในยูโรโซน หดตัวลงสู่ระดับ 49.3 จุดในเดือนก.พ. จากระดับ 50.4 จุดในเดือนม.ค. ขณะที่ทางการสหรัฐระบุว่า ยอดสั่งซื้อของโรงงานภายในประเทศหดตัวลง 1% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นสถิติที่หดตัวลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2552

 

อย่างไรก็ตาม สัญญาทองคำปรับตัวลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.1% แตะที่ 79.322 จุดในช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย

 

นักวิเคราะห์คาดว่า แม้ทองคำเข้าสู่ระยะพักฐานในช่วงสั้นๆ แต่ทองคำยังคงมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะยาว เนื่องจากทางการสหรัฐยังคงเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชีย

 

http://www.posttoday.com

ถูกแก้ไข โดย Namchiang

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันนี้ ลุ้นไปผ่าน 1717 นะค่ะ พี่น้อง จะได้ขึ้นสักที เมื่อคืนก็จัดไปอีกยอด 1695 ยังไม่ได้ขาย รอลุ้นวันนี้ค่ะ :Announce รู้แล้วใช่ไหมน้องทอง หากยังชักช้า เดี๋ยวเจอ เจ้ สั่งลุยนะค่ะ อิอิ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ก็มันไม่เป็นจรวดนี่ เครื่องนี้ท่าทางอืดดดด ไม่มีควันด้วย เปลี่ยนเหอะเฮีย

ช่วงอาทิตย์นี้ จะเอาสาเหตุอะไรมาเป็นจรวดล่ะ เดาไม่ถูกเลยครับ อ๋อ ! มีอย่างเดียว อิหร่านกับอิสราเอล แต่สงครามก็เป็นสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่ ก็ต้องมีคำสั่งอุ้มค่าเงินยูโร แต่เด็กขายของถามน้องสาวเพื่อนที่ทำมาหากินเป็นสกุลเงินยูโร เขาบอกว่า ไม่ได้รับความเดือดร้อนจากยูโรมูลค่าลดลง เพราะ รับเงินมายูโร ก็จ่ายเงินยูโร ข้าวของอาหารการกินก็ไม่ได้สูงขึ้น สวัสดิการด้านการเรียนฟรีก็ยังเต็มที่ อย่าเอารูปแบบของประเทศไทยมาเทียบไม่ได้ เพราะใช้เงินลงทุนไม่เป็น ส่วนใหญ่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และประชานิยม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝ่ายบริหารความเสี่ยงราคาและวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บมจ.ปตท.(PTT) รายงานแนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้(5-9 มี.ค.)ว่า ระยะสั้นคาดว่าราคาน้ำมันดิบ Brent จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 120-128 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมัน WTI จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 105-110 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

 

โดยปัจจัยสำคัญในสัปดาห์นี้ เช่น ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) นาย Ben Bernake ให้คำมั่นว่าจะคงนโยบายผ่อนปรนทางการเงินต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดการณ์ว่า GDP ในปี 2555 นี้จะขยายตัว 2.2-2.7% โดยอัตราการว่างงานจะทรงตัวอยู่ที่ 8.2% - 8.5%

 

ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศแผนอัดฉีดเงินเข้าระบบ โดยปล่อยเงินกู้ระยะ 3 ปี แบบไม่จำกัดจำนวนแก่ธนาคารพาณิชย์ (Long Term Refinancing Operation : LTRO) รอบที่ 2 มูลค่า 5.3 แสนล้านยูโร จะเพิ่มความมั่งคงให้ธนาคารยุโรป ทั้งนี้ ECB ได้ปล่อยเงินกู้ LTRO ไปแล้วรอบแรกในเดือน ธ.ค.54 ที่มูลค่า 4.9 แสนล้านยูโร และสหภาพยุโรปกล่าวว่าไม่มีความจำเป็นต้องปล่อยปริมาณสำรองเชิงยุทธศาสตร์ ทดแทนการลดนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน

 

อย่างไรก็ดี ต้นสัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าลดลง หลังนักลงทุนคลายกังวลจากซาอุดิอาระเบียปฏิเสธข่าวท่อขนส่งน้ำมันในประเทศระเบิด และอุปทานน้ำมันยังคงมีเพียงพอโดย OPEC ผลิตน้ำมันในเดือน ก.พ.55 อยู่ที่ระดับ 31.2 ล้านบาร์เรล/วัน สูงกว่าระดับเป้าหมายถึง 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ทั้งนี้วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ ผลักดันให้มีการปล่อยปริมาณสำรอง หากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงและกระทบต่อผู้บริโภค

 

ทั้งนี้ ให้จับตาการประชุมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ นาย Barack Obama กับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล นาย Benjamin Netanyahu ในวันที่ 5 มี.ค.55 ซึ่งจะหารือเกี่ยวกับอิหร่าน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันทื่ 6 มีนาคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินบาทเปิด 30.64/66 ปรับตัวแข็งค่าเล็กน้อย (06/03/2555)

นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เช้านี้เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 30.64/66 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นมาจากเย็นวานเล็กน้อย แต่โดยรวมถือว่าค่อนข้างทรงตัวจากเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 30.69/71 บาท/ดอลลาร์

 

ส่วนความเคลื่อนไหวของค่าเงินสกุลหลักต่างประเทศช่วงเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 81.37/40 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 81.26/27 เยน/ดอลลาร์ ขณะที่เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3321/3325 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 1.3160 ดอลลาร์/ยูโร

 

นักบริหารเงิน ประเมินทิศทางค่าเงินบาทวันนี้น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 30.60-30.75 บาท/ดอลลาร์

 

โดยหลักๆ ยังให้ติดตามทิศทางค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค และเรื่องที่หลังจากรัฐบาลจีนได้ปรับลดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5% ซึ่งอาจจะกระทบเศรษฐกิจโลก

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันทื่ 6 มีนาคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อังกฤษปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้ (06/03/2555)

หอการค้าอังกฤษปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้ลงเหลือ 0.6%แต่ยังเชื่อมั่นว่าอังกฤษจะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบสองได้

 

หอการค้าอังกฤษ (บีซีซี) ได้เผยแพร่รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจ ประจำไตรมาส โดยปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศในปีนี้ ลงเหลือ 0.6% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 0.8% และต่ำกว่าอัตราขยายตัวที่ 0.8% ในปี 2554

 

"เศรษฐกิจอังกฤษกำลังเผชิญกับความท้าทายรุนแรงต่างๆ โดยปัญหาในยูโรโซน สร้างความยากลำบากให้กับการส่งออกของประเทศ ประกอบกับความต้องการภายในประเทศก็หดตัวลง" นายจอห์น ลองเวิร์ธ ผู้อำนวยการบีซีซี กล่าว

 

ทั้งนี้ บีซีซี เชื่อว่า ปัจจัยหลักที่จะขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจอังกฤษในช่วงสองปีข้างหน้าคือ การส่งออกสุทธิและการลงทุนทางธุรกิจแต่ ระดับหนี้สิน ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงและอุปสงค์ที่ซบเซา จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวอยู่ในระดับต่ำเป็นระยะเวลายาวนาน

 

บีซีซี คาดการณ์ด้วยว่า จีดีพีของอังกฤษ จะขยายตัวในระดับต่ำ เพียง 0.2-0.4% ในช่วงสองไตรมาสแรกของปีนี้แต่เศรษฐกิจอังกฤษจะขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นที่ 1.8% ในปี 2556

 

นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคจะขยายตัว 0.8% ในปีนี้ และ 1.7% ในปีหน้า หลังจากที่ร่วงลงถึง 0.8% ในปี 2554

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ (วันที่ 6 มีนาคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รัฐบาลขาดเครื่องมือในการดูแลราคาน้ำมัน (06/03/2555)

ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดน้ำมันดิบ Brent ในตลาดลอนดอน ทำสถิติสูงสุดถึง 128.40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในระหว่างการซื้อขาย เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 3ปี 8 เดือน จากการที่สำนักข่าวในอิหร่านรายงานข่าวว่า ท่อส่งน้ำมันในประเทสซาอุดิอาเรเบียถูกวางระเบิด ซึ่งซาอุดิอาเรเบียออกมาปฏิเสธข่าวนี้ในภายหลัง ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 123-124 $/bbl.

 

การที่ราคาน้ำมันผันผวนขึ้นลงในแต่ละวันสูงถึง 2-3 $/bbl. ตามข่าวความไม่สงบในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะข่าวความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกในเรื่องความขัดแย้งในโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านนั้น แสดงถึงความอ่อนไหวของราคาน้ำมันในปัจจุบัน และราคาน้ำมันพร้อมที่จะพุ่งขึ้นไปทันทีที่ค่าความเสี่ยง (risk premium) ในราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ตามสถานะการณ์ความขัดแย้งที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น

 

มีผู้ถามผมว่าถ้าสถานะการณ์ความขัดแย้งมันรุนแรงสูงสุดถึงขนาดเกิดเป็นสงครามหรือไม่ถึงกับเป็นสงครามตะวันออกกลาง แต่มีการใช้กำลังทหารเข้าแก้ไขปัญหาแทนการเจรจาหรือคว่ำบาตรทางการค้าอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ราคาน้ำมันจะขึ้นไปสูงสุดที่ระดับเท่าไร และรัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากน้ำมันราคาแพงได้อย่างไร

 

ในส่วนของราคานั้น ผมคาดว่าในสถานะการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ คือมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ (ซึ่งผมคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นไม่ถึง 10%) ทำให้การสำเลียงน้ำมันดิบทางเรือจากอ่าวเปอร์เซียปริมาณ 1 ใน 5 หรือ 20% ของการขนส่งน้ำมันทางเรือทั่วโลก (ประมาณ 17 ล้านาร์เรล/วัน) ต้องเป็นอัมพาต ราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นไปได้ในระยะสั้นๆถึง 200 $/bbl. แล้วจะลดลงมาอยู่ในระดับ 150 $/bbl. แล้วแต่ว่าสถานะการณ์จะยืดเยื้อยาวนานขนาดไหน และจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศของเราขึ้นไปได้ 4-5 บาท/ลิตรโดยเฉลี่ย

 

ส่วนคำถามที่ว่ารัฐบาลจะช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนได้อย่างไร ผมคงต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า ค่อนข้างจะหมดหวัง

 

ทั้งนี้เพราะถ้าไปพิจารณาว่ารัฐบาลมีเครื่องมืออะไรที่จะนำมาช่วยตรึงราคาน้ำมันในช่วงวิกฤตอย่างนี้ได้บ้าง ก็ปรากฏว่ารัฐบาล (ทั้งชุดก่อนและชุดปัจจุบัน) ได้นำเอาเครื่องมือเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินกองทุนน้ำมัน ภาษีสรรพสามิตน้ำมันไปใช้ในภาวะที่ไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดจนหมดเกลี้ยงแล้ว ดังนั้นเมื่อเกิดภาวะวิกฤตจริงๆ รัฐบาลจึงขาดเครื่องมือที่จะใช้ช่วยเหลือประชาชนบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากสถานะการณ์น้ำมันราคาแพง

 

อย่างที่ทราบกัน ขณะนี้เงินกองทุนน้ำมันมีฐานะติดลบเกือบสองหมื่นล้านบาท เพราะมีภาระต้องจ่ายชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ซึ่งขณะนี้มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ (ล่าสุดเดือนมีนาคมขึ้นไปถึง 1,210 เหรียญสหรัฐฯ/ตันแล้ว) ทำให้กองทุนต้องไปกู้ยืมเงินจากธนาคารกรุงไทยในวงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้ในการอุดหนุนราคาก๊าซ และทำท่าว่าจะไม่เพียงพอ ต้องขอเพิ่มวงเงินอีก 10,000 ล้านบาท

 

ในขณะที่กองทุนเองก็มีเงินไหลเข้าน้อยกว่าเงินไหลออก เพราะรัฐบาลชุดนี้ไปลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันในส่วนของน้ำมันเบนซิน และดีเซลลงโดยไม่จำเป็น โดยลดการจัดเก็บลงทั้งหมด (เบนซิน 95/91 ลิตรละ 7.50-6.70 บาท ดีเซล ลิตรละ 2.80 บาท) ทั้งๆ ที่ไม่มีสถานะการณ์อะไรในตลาดโลกที่น่าเป็นห่วง

 

การตัดสินใจลดการเก็บเงินเข้ากองทุนมากเกินไปโดยอ้างอิงเหตุผลทางการเมืองเพียงอย่างเดียว จึงทำให้กองทุนน้ำมันต้องเป็นหนี้สินมากขนาดนี้ และไม่สามารถเป็นเครึ่องมือของรัฐบาลใช้แก้ปัญหาราคาน้ำมันในยามจำเป็นได้

 

ทางด้านภาษีสรรพสามิตน้ำมันก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลชุดที่แล้วได้ใช้ภาษีสรรพสามิตไปตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่ให้สูงเกิน 30 บาท/ลิตร โดยได้ลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตลงจาก 5.31 บาท/ลิตร เหลือเพียง 0.005 บาท/ลิตร หรือเท่ากับไม่เก็บเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุผล และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำถึงขนาดนั้น

 

ผลจากการตัดสินใจดังกล่าว นอกจากจะทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ไปถึง 108,000 ล้านบาท/ปีแล้ว ยังทำให้มีปัญหามาจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน ที่ไม่สามารถขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลได้ ต้องต่ออายุไปทีละเดือนๆ กระทบต่อการจัดหารายได้ของกระทรวงการคลังและการจัดทำงบประมาณ นอกจากนั้นยังทำให้รัฐไม่สามารถดูแลราคาน้ำมันในภาวะฉุกเฉินโดยใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นเครื่องมืออีกด้วย

 

จะเห็นได้ว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะมองปัญหาด้านพลังงานในมิติของการเมืองมากกว่าปัญหาของประเทศ และนิยมที่จะแก้ปัญหาในระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้ามากกว่าผลประโยชน์ระยะยาว จึงนำเอาเครื่องมือที่มีอยู่ไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่มีความจำเป็นเท่าที่ควร ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตด้านพลังงานขึ้นจริงๆ รัฐบาลก็หมดเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา ในที่สุดก็ต้องหันเข้าหาวิธีการที่นักการเมืองถนัดที่สุด นั่นก็คือการกู้เงินหรือตั้งงบประมาณมาอุดหนุนราคาน้ำมันนั่นเอง

 

และถ้าเริ่มทำอย่างนั้นเมื่อไร ประชาชนตาดำๆอย่างพวกเราก็เตรียมตัวไว้ได้เลยครับว่า ในอนาคตเราก็คงหนีไม่พ้นชะตากรรมแบบเดียวกับประชาชนชาวกรีกที่ต้องแบกหนี้สาธารณะสูงถึง 160% ของ GDP และประเทศชาติก็ต้องล้มละลายในที่สุด !!!

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (วันทื่ 6 มีนาคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำเปิดปรับขึ้น 50 บาท (06/03/2555)

ทองคำเปิดตลาดปรับขึ้น50บ.แท่งซื้อ24,700ขาย24,800รูปพรรณซื้อ24,346.96ขาย25,200 บาท

 

รายงานราคาทอง (ทองคำ 96.5%) ประจำวันที่ 06 มีนาคม 2555 ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ราคาทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 24,700.00 ขายบาทละ 24,800.00 ราคาทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 24,346.96 ขายบาทละ 25,200.00 ทั้งนี้ ราคาทองคำปรับขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับราคาวานนี้ ( 5 มี.ค.)

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ (วันทื่ 6 มีนาคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รายละเอียดประเด็นหลักเมื่อวาน ที่วิจารณ์และนำมาเป็นประเด็นชี้นำตลาดทุน

 

สรุปแถลงการณ์ เหวิน เจียเป่า ลดเป้าหมาย GDP/55, ใช้นโยบายการคลังอย่างรอบคอบ (06/03/2555)

นายเหวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน ได้แถลงต่อที่ประชุมจำปีของรัฐสภาจีนในวันนี้ ซึ่งถือเป็นการแถลงครั้งสุดท้ายในฐานะนายกรัฐมนตรีจีน ก่อนที่เขาจะครบวาระการดำรงตำแหน่ง สำหรับสาระสำคัญของการแถลงในวันนี้ มีดังต่อไปนี้

 

-- รัฐบาลจีนได้ปรับลดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2555 ลงมาอยู่ที่ระดับ 7.5% จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ที่ 8% ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลจีนได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศ หลังจากที่ได้คงเป้าหมายเอาไว้ที่ 8% มาเป็นเวลา 7 ปีติดต่อกัน

 

นายเหวินกล่าวว่า "รัฐบาลได้ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีในปีนี้ลงเล็กน้อย ซึ่งเราคาดหวังว่าจะสอดคล้องกับเป้าหมายในแผนระยะ 5 ปี ฉบับที่ 12 และเพื่อเป็นแนวทางให้ประชาชนในทุกภาคส่วน เร่งดำเนินการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ เพื่อที่เราจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้นและมีคุณภาพมากขึ้นในระยะยาว"

 

--  จีนจะยังคงคุมเข้มตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมราคาอสังหาริมทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่สมเหตุผล โดยนายเหวินย้ำว่าจีนจะทำให้ราคาบ้าน ลดลงสู่ "ระดับที่สมเหตุสมผล" และป้องกันความเสี่ยงในระบบที่อาจจะเกิดขึ้นจากมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วงลง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลท้องถิ่นประสบกับความยากลำบากในการชำระคืนหนี้ 10.7  ล้านล้านหยวน (1.7 ล้านล้านดอลลาร์) ที่ขอกู้มาจากธนาคารของรัฐในปี 2552

 

นอกจากนี้ จีนตั้งเป้าก่อสร้างบ้านสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยให้แล้วเสร็จจำนวน 5 ล้านยูนิตภายในปีนี้ พร้อมกับเริ่มก่อสร้างบ้านใหม่อีก 7 ล้านยูนิตตามโครงการส่งเสริมสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

 

-- นายเหวินยอมรับว่า จีนยังคงเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายมากมายในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทั้งจากต่างประเทศและภายในประเทศ

 

"ประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศยังขาดแรงกระตุ้นเพื่อหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่สูงมาก ส่วนประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังคงเผชิญทั้งแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการเติบทางเศรษฐกิจที่เป็นไปอย่างล่าช้า ในขณะที่จีนเองกำลังเผชิญกับสถานการณ์เร่งด่วนและยากลำบากในการแก้ปัญหาในเชิงสถาบันและเชิงโครงสร้างมากขึ้น และการใช้นโยบายเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าวก็เป็นไปอย่างไม่สมดุล, ขาดการประสานงานกันอย่างจริงจัง และมีการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน" นายเหวินกล่าว

 

-- จีนตั้งเป้าที่จะเพิ่มปริมาณการส่งออกและนำเข้าอีก 10% เมื่อเทียบเป็นรายปี ในปี 2555 เพื่อปรับปรุงธุรกรรมการชำระหนี้ต่างประเทศ ขณะเดียวกันจีนจะยังคงเดินหน้าใช้นโยบายลดหย่อนภาษีการส่งออก และดำเนินยุทธศาสตร์กระตุ้นการค้า โดยผ่านทางการยกระดับด้านเทคโนโลยี, การปรับปรุงคุณภาพ และการกระจายตลาด ขณะเดียวกัน จีนจะปรับแนวทางต่างเพื่อเพิ่มปริมาณการนำเข้าและส่งเสริมการค้าที่สมดุล ปรับปรุงนโยบายการนำเข้า สร้างฐานที่แข็งแกร่งเพื่อส่งเสริมการส่งออก และผลักดันการเติบโตด้านการส่งออกและการนำเข้าให้มีความสมดุล

 

-- จีนจะดำเนินนโยบายการคลังอย่างรอบคอบในปี 2555 โดยจะดำเนินการอย่างทันเวลา มีการปรับการคาดการณ์อย่างเหมาะสม รวมทั้งดำเนินนโยบายให้เป็นไปตามเป้าหมายมากขึ้น นอกจากนี้ นายเหวินกล่าวว่า จีนจะรักษายอดขาดดุลและตัวเลขหนี้สินของรัฐบาลให้อยู่ใน "ระดับที่เหมาะสม"

 

ทั้งนี้ รัฐบาลได้กำหนดยอดขาดดุลงบประมาณ 8.00 แสนล้าน หยวนในปีนี้ ซึ่งคิดเป็น 1.5% ของจีดีพี และลดลงจากปีที่แล้ว 1.00 แสนล้านหยวน

 

ส่วนในด้านนโยบายการเงินนั้น จีนจะดำเนินการแบบรอบคอบในปี 2555 เช่นกัน หลังจากที่จีนได้ปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.50% สู่ระดับ 20.5% ในวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการปรับลดครั้งที่ 3 ในเวลา 3 เดือน

 

นอกจากนี้ จีนยังได้กำหนดตั้งเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ระดับ  8 ล้านล้านหยวน (1.27 ล้านล้านดอลลาร์) และตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของ ปริมาณเงินหมุนเวียน M2 ไว้ที่ 14% สำหรับปี 2555

 

ทีีมา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 5 มีนาคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานว่า ต้นสัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้าปรับลดลง เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลจากซาอุดีอาระเบีย ปฏิเสธข่าวท่อขนส่งน้ำมันในประเทศระเบิด และอุปทานน้ำมันยังคงมีเพียงพอ

ทั้งนี้ โอเปกรายงานปริมาณน้ำมันที่ผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับวันละ 31.2 ล้านบาร์เรล สูงกว่าระดับเป้าหมายถึงวันละ 1.2 ล้านบาร์เรล

นอกจากนี้ วุฒิสมาชิกสหรัฐอเมริกาจะผลักดันให้มีการปล่อยปริมาณสำรอง หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลต่อผู้บริโภค

บริษัท ปตท.ระบุด้วยว่า ขอให้จับตาการประชุมระหว่างนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับนายเบนยามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล กรณีอิหร่าน ในวันนี้ ซึ่งในระยะสั้นคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 120-128 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และเวสต์เทกซัส อยู่ที่ 105-110 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์ (วันที่ 5 มีนาคม 2555)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...