ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

หลังศาลโลกตัดสินคดีเขาพระวิหาร

 

ข่าวด่วน!!! จากเพื่อนที่เป็นทหารครับ ผบ.ทบ. ออกมาแถลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า...........ต้องถอนทหารไทย

เพราะถ้าหากถอนแบงค์อื่น จะเสียค่าธรรมเนียม!!!(ha ha ha ) พอดีเงินในกระเป๋าตังค์หมดเกลี้ยง

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

12.40เพิ่งรู้นะเนี่ย....สมาคมสัตวแพทย์สากล ได้สรุปสาเหตุที่ลูกช้างล้มตายเป็นจำนวนมากนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากกรณีนักการเมืองจำนวนมาก ชอบสบถสาบาน ก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง เกี่ยวกับจะไม่โกงบ้านกินเมืองนั่นเอง ........

นักการเมืองมักจะสาบานว่า ถ้าลูกช้างได้ทำงานรับใช้บ้านเมืองแล้ว หากโกงกิน ขอให้ลูกช้างมีอันเป็นไป ดังนั้น ลูกช้างจึงเสียชีวิตมากด้วยสาเหตุนี้ .

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รหัส 12,26,9 แบบดั้งเดิม และ รหัส 5,35,9 แบบ Signal ส่งสัญญานนำทาง ทั้ง 2 รหัส ให้อยู่ด้านลบ ยังมีจังหวะย่อ ลด ราคาทองต่อไป

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาพ อธิบายเรื่องของดินแดน พิพาท ระหว่างไทยเขมร แบบเข้าใจง่ายๆๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รหัส 7,5,2 แบบไวไว ยังครับ ยังไม่มีจังหวะที่จะขึ้นเลยในวันปิดวันนี้ ยังน่าจะออกต่ำกว่า 1281 อยู่เลย ดูจากเส้นดำเส้นแดง กำเงินสดไว้ต่อไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่าเทียบเยน จากคาดการณ์เฟดอาจลด QE

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2556 07:27:57 น.

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (11 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะตัดสินใจลดขนาดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงจีดีพีไตรมาส 3 และตัวเลขจ้างงานเดือนต.ค.

 

 

 

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 99.21 เยน จากระดับ 99.15 เยน และอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.9193 ฟรังค์ จากระดับ 0.9277 ฟรังค์

 

ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3408 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3355 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.5992 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6002 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.9355 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.9375 ดอลลาร์สหรัฐ

 

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน จากการคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจะลดขนาด QE หรือโครงการซื้อพันธบัตร หลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของสหรัฐ โดยสหรัฐระบุว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 204,000 ตำแหน่ง จากระดับที่เพิ่มขึ้น 163,000 ตำแหน่ง และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 125,000 ตำแหน่ง บ่งชี้ให้เห็นว่านายจ้างมีมุมมองในแง่บวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ

 

ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงประจำไตรมาส 3/2556 ของสหรัฐ ขยายตัว 2.8% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 2.0% และเป็นการขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2555 หลังจากที่ขยายตัวได้ 2.5% ในไตรมาส 2 เพราะได้แรงหนุนจากการที่ภาคธุรกิจปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลัง

 

สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.25% จากระดับ 0.5% ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากตัวเลขเงินเฟ้อของยูโรโซนปรับตัวลดลง

 

นายมาริโอ ดรากี ประธานอีซีบีกล่าวว่า การตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.25% นั้น อีซีบีพิจารณาจากปัจจัยด้านเงินเฟ้อ สภาพคล่อง และสัญญาณชี้นำล่วงหน้าของอีซีบี

 

นอกจากนี้ นายดรากียังย้ำถึงสัญญาณชี้นำล่วงหน้าของอีซีบี โดยกล่าวว่าอัตราดอกเบี้ยของอีซีบีจะยังคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน หรือระดับต่ำกว่านี้ต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่ง เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอเป็นวงกว้าง และความเคลื่อนไหวทางการเงินที่ซบเซา

 

นักลงทุนจับตาดูนางเจเน็ต เยลเลน รองประธานเฟด ที่จะแถลงของต่อคณะกรรมการด้านการธนาคารของวุฒิสภาในวันพฤหัสบดีนี้

 

ทั้งนี้ แม้คาดกันว่าการเสนอชื่อนางเยลเลนให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ต่อจากนายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดคนปัจจุบัน ภายในสื้นเดือนม.ค.ปีหน้านั้น จะได้รับการรับรอง แต่ความคิดเห็นของนางเยลเลนเกี่ยวกับตลาดแรงงานและเศรษฐกิจก็จะเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนักลงทุนกำลังรอให้มีสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับแผนการด้านนโยบายในอนาคตของเฟด

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

ADVERTISEMENT

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำมันขึ้นหลังจากเจรจาปลดนิวเคลียร์อิหร่านคืบ หุ้นมะกันบวก-ทองคำลง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 พฤศจิกายน 2556 05:17 น.

 

เอเอฟพี/มาร์เก็ตวอชต์ - ราคาน้ำมันขึ้นวานนี้(11) หลังการเจรจาโน้มน้าวให้อิหร่านล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์มีความคืบหน้า ส่วนวอลล์สตรีทบวกเล็กน้อย หลังทะยานขึ้นแรงในช่วงปลายสัปดาห์ สวนทางกับทองคำที่ปิดลบ ด้วยความกังวลว่าเฟดจะลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ ปิดที่ 95.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.28 ดอลลาร์ ปิดที่ 106.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

แม้ว่าการเจรจาระหว่างอิหร่านกับชาติมหาอำนาจ จะยังไม่บรรลุข้อตกลงที่อาจนำมาซึ่งการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรเตหะรานและนำผู้ผลิตน้ำมันสำคัญกลับสู่ตลาดโลก ทว่าการพูดคุยกันอย่างมาราธอนที่ได้เห็นคณะผู้แทนสหรัฐฯและอิหร่านหารือกันนานกว่า 7 ชั่วโมงก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษตามหลังปฏิวัติอิหร่านปี 1979

 

กลุ่มชาติมหาอำนาจ 5+1 อันประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐฯ รัสเซีย จีน ร่วมด้วย เยอรมนี วางแผนพบกับคณะผู้แทนจากอิหร่านอีกครั้งในวันที่ 20 พฤศจิกายน เพื่อหวังบรรลุข้อตกลงระยะสั้นที่อาจระงับกิจกรรมนิวเคลียร์ของเตหะรานไว้ก่อนระหว่างสองฝ่ายเจรจาต่อรองเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ครอบคลุม

 

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวกเล็กน้อยวันจันทร์(11) นักลงทุนพักหายใจหายคอ หลังในวันศุกร์(8) พุ่งแรง ตามหลังข้อมูลที่สดใสของภาคแรงงาน เช่นเดียวกับตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอเมริกา

 

ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 20.81 จุด (0.13 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,782.52 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 1.23 จุด (0.07 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,771.84 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 0.56 จุด (0.01 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,919.79 จุด

 

อย่างไรก็ตามราคาทองคำวานนี้(11) ขยับลงเล็กน้อย หลังข้อมูลภาคแรงงานอันแข็งแกร่งของสหรัฐฯ ก่อความกังวลว่าธนาคารกลางอเมริกา(เฟด) อาจลดระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วๆนี้ โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 3.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,281.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม

 

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000140622

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับป๋า

 

ทองย่อ บาทอ่อน

 

ขอบคุณสำหรับ บ่น ๆ นะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองคำปิดลบ 3.5 ดอลล์ จากความวิตกเฟดอาจลด QE

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 12 พฤศจิกายน 2556 06:50:12 น.

 

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 พ.ย.) โดยสัญญาทองคำปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. เพราะได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะลดขนาดมาตรการ QE หรือโครงการซื้อพันธบัตรในเร็วๆนี้

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 3.5 ดอลลาร์ หรือ 0.27% ปิดที่ 1,281.1

ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.5 เซนต์ ปิดที่ 21.282 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ร่วงลง 10.5 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,432.4 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 3.35 ดอลลาร์ ปิดที่ 754.55 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าเฟดอาจจะลดขนาด QE หลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของสหรัฐ โดยสหรัฐระบุว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนต.ค.เพิ่มขึ้น 204,000 ตำแหน่ง จากระดับที่เพิ่มขึ้น 163,000 ตำแหน่ง และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 125,000 ตำแหน่ง บ่งชี้ให้เห็นว่านายจ้างมีมุมมองในแง่บวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ

 

ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงประจำไตรมาส 3/2556 ของสหรัฐ ขยายตัว 2.8% ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 2.0% และเป็นการขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2555 หลังจากที่ขยายตัวได้ 2.5% ในไตรมาส 2 เพราะได้แรงหนุนจากการที่ภาคธุรกิจปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลัง

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

http://www.ryt9.com/s/iq31/1774874

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้นสหรัฐ,น้ำมันปิดบวก-ทองลงเล็กน้อย

 

12 พฤศจิกายน 2556 เวลา 06:27 น. |

 

 

หุ้นดาวโจนส์ปิดบวก 21.32 จุด วอลุ่มเบาบาง นักลงทุนหยุดพักวันทหารผ่านศึก ขณะที่ ราคาน้ำมันปิด + 54 เซนต์ ด้านราคาทองคำลดลง 3.50 ดอลล์

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 15,783.10 จุด เพิ่มขึ้น 21.32 จุด หรือ +0.14% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,771.89 จุด เพิ่มขึ้น 1.28 จุด หรือ +0.07% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 3,919.79 จุด เพิ่มขึ้น 0.56 จุด หรือ +0.01%

 

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา ขณะที่วอลุ่มมีเพียงบางเบา เนื่องจากสถานที่ทำการของสหรัฐปิดทำการในวันจันทร์ที่ผ่านมา เนื่องในวันทหารผ่านศึก ซึ่งทำให้สหรัฐไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ

 

ด้าน ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 3.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,281.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขยับลงเล็กน้อย หลังข้อมูลภาคแรงงานอันแข็งแกร่งของสหรัฐฯ ก่อความกังวลว่าธนาคารกลางอเมริกา(เฟด) อาจลดระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วๆนี้

 

ขณะที่สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ ปิดที่ 95.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.28 ดอลลาร์ ปิดที่ 106.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังการเจรจาโน้มน้าวของชาติมหาอำนาจให้อิหร่านล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์มีความคืบหน้า

 

http://www.posttoday.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หุ้นสหรัฐ,น้ำมันปิดบวก-ทองลงเล็กน้อย

 

12 พฤศจิกายน 2556 เวลา 06:27 น. |

 

 

หุ้นดาวโจนส์ปิดบวก 21.32 จุด วอลุ่มเบาบาง นักลงทุนหยุดพักวันทหารผ่านศึก ขณะที่ ราคาน้ำมันปิด + 54 เซนต์ ด้านราคาทองคำลดลง 3.50 ดอลล์

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 15,783.10 จุด เพิ่มขึ้น 21.32 จุด หรือ +0.14% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,771.89 จุด เพิ่มขึ้น 1.28 จุด หรือ +0.07% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 3,919.79 จุด เพิ่มขึ้น 0.56 จุด หรือ +0.01%

 

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา ขณะที่วอลุ่มมีเพียงบางเบา เนื่องจากสถานที่ทำการของสหรัฐปิดทำการในวันจันทร์ที่ผ่านมา เนื่องในวันทหารผ่านศึก ซึ่งทำให้สหรัฐไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ

 

ด้าน ราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ลดลง 3.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,281.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขยับลงเล็กน้อย หลังข้อมูลภาคแรงงานอันแข็งแกร่งของสหรัฐฯ ก่อความกังวลว่าธนาคารกลางอเมริกา(เฟด) อาจลดระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วๆนี้

 

ขณะที่สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 54 เซนต์ ปิดที่ 95.14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.28 ดอลลาร์ ปิดที่ 106.40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังการเจรจาโน้มน้าวของชาติมหาอำนาจให้อิหร่านล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์มีความคืบหน้า

 

http://www.posttoday.com

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลุ้นความเชื่อมั่นทองคำฟื้น การเมืองร้อนไม่กระทบโดยตรง แต่ทำให้บาทอ่อนกระทบราคาในประเทศ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤศจิกายน 2556 15:01 น.

 

556000014691801.JPEG

 

ศูนย์วิจัยทองคำ ชี้เฟดคงคิวอีหนุนความเชื่อมั่นทองคำฟื้น ด้านการเมืองร้อนไม่กระทบทองโดยตรง แต่มีผลทำเงินบาทอ่อนกระทบทองคำในประเทศ

 

นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำฟื้นตัวในเดือนพฤศจิกายน โดยค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 55.76 จุด เพิ่มขึ้น 9.05 จุด หรือร้อยละ 19.37 เหตุกลุ่มตัวอย่างเชื่อเฟดคงคิวอีต่อถึงปีหน้าหนุนราคาทองระยะสั้น ซึ่งสอดคล้องทั้งกลุ่มผู้ลงทุน และกลุ่มผู้ค้า เพราะเมื่อมองดัชนีแยกกลุ่มพบว่า เป็นเชิงบวกทั้ง 2 กลุ่ม ขณะปัจจัยเดือนพฤศจิกายนพบว่า ตัวอย่างยังเชื่อคงคิวอียังหนุนทองโลก ส่วนประเด็นการเมืองในประเทศ ไม่น่ากระทบต่อราคาทองคำโดยตรง แต่อาจจะส่งผลค่าเงินบาทมีทิศทางที่อ่อนค่ากว่าในระดับปัจจุบัน เพราะกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ

 

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำระยะ 3 เดือนสอดคล้องกัน โดยสะท้อนทัศนคติเชิงบวก ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 56.45 จุด เพิ่มขึ้นจากการจัดทำเดือนตุลาคม 8.19 จุด หรือร้อยละ 16.97 ส่วนคำถามว่านักลงทุนจะซื้อทองคำในช่วง 1 เดือนข้างหน้าหรือไม่ พบว่าร้อยละ 35.32 ของกลุ่มตัวอย่างจะซื้อทองคำในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ร้อยละ 39.73 คิดว่าจะยังไม่ซื้อทองคำ และร้อยละ 24.95 ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อหรือไม่

 

นายภูษิต วงศ์หล่อสายชล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัย เปิดเผยบทสรุปความคิดเห็นผู้ค้าทองคำที่รวบรวมตัวอย่างจากผู้ค้าส่งทองคำรายใหญ่ และผู้ประกอบกิจการนายหน้าการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ 11 ตัวอย่าง เชื่อว่าราคาทองคำในตลาดโลกช่วงเดือนพฤศจิกายนโดยรวมน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,250-1,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่ากรอบราคาต่ำสุดในเดือนพฤศจิกายนน่าจะอยู่ในช่วง 1,270-1,280 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่กรอบสูงสุดน่าจะอยู่ในกรอบ 1,360-1,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

 

ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ กลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าราคาจะเคลื่อนไหวระหว่าง 18,500-20,700 บาท และกรอบการเคลื่อนไหวต่ำสุดกลุ่มตัวอย่างให้น้ำหนักระหว่าง 18,900-19,100 บาท และมีกรอบการเคลื่อนไหวสูงสุดบริเวณ 20,400-20,700 บาท โดยมีประเด็นเรื่องการคงนโยบายคิวอี การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท โดยเฉพาะผลกระทบจากประเด็นการเมือง การเก็งกำไรในตลาดทองคำ และความต้องการทองคำในช่วงปลายปีเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อราคาทองคำ

 

นอกจากนี้ กรอบเวลาการชะลอมาตรการคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กลุ่มผู้ค้ามีความเห็นที่แตกต่างกัน โดยผู้ค้า 5 ท่านคาดว่า เฟดจะชะลอมาตรการในช่วงปลายไตรมาสแรกของปีหน้า ขณะที่ 4 ท่านคาดว่า น่าจะชะลอในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี และมี 2 ท่านที่คาดว่า จะชะลอมาตรการในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557 โดยให้เหตุผลว่าเฟดน่าจะรอการตัดสินใจเรื่องเพดานหนี้ก่อนจะพิจารณาชะลอมาตรการคิวอีต่อไป

 

http://manager.co.th/iBizchannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000140359

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเจรจารอบ 2 ว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนทางการค้าและการลงทุนระหว่างแอตแลนติก (Transatlantic Trade and Investment Partnership: TTIP) ระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐได้เริ่มขึ้นในวันนี้ โดยมีเป้าหมายในการขจัดอุปสรรคทางการค้าในหลากหลายภาคธุรกิจเพื่อหนุนการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจของทั้งสองภูมิภาค

 

สหรัฐได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ หลังจากมีการเปิดเผยว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งสหรัฐ (NSA) และหน่วยข่าวกรองอื่นๆของสหรัฐได้สอดแนมข้อมูลและดักฟังโทรศัพท์ของบรรดาผู้ นำยุโรป โดยคาดว่าจะมีการหารือประเด็นการคุ้มครองข้อมูลในระหว่างการเจรจาดังกล่าว

 

สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐระบุว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะประชุมร่วมกันที่กรุงบรัสเซลส์เพือหารือประเด็นภาคบริการ, การลงทุน, พลังงานและวัตถุดิบ รวมทั้งประเด็นด้านการกำกับดูแลต่างๆ

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 12 พฤศจิกายน 2556)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง

นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด กล่าวถึง ความเสี่ยงและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2557 ว่า ยังมี 2 ประเด็น ที่นักลงทุนจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะกระทบกับเศรษฐกิจไทย คือ ปัจจัยการเมือง และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาว จะทำให้การคำนวณราคาสินทรัพย์ปรับลดลง และเดิมที่ธนาคารกลางสหรัฐกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวลงผิดปกติ ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด หากถอนมาตรการ QE แล้วต่อจากนี้ไม่รู้ว่า จะผันผวน กระทบกับค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยของไทย มากน้อยแค่ไหน ยังเป็นความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง

 

ดังนั้นจากความเสี่ยงดังกล่าว จะต้องปรับลดประมาณการณ์จีดีพีปีหน้าลงจากเดิมมองไว้ที่ 4.5 % และ จีดีพีปีนี้จะต้องปรับลดจาก 3.5% ด้วยเช่นกัน

 

ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ(วันที่ 12 พย.56)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Gold Demand ในตลาดโลก

ชยนนท์ รักกาญจนันท์

Posted by ชยนนท์ รักกาญจนันท์ on วันพุธ, 23 ตุลาคม 2013 in ชยนนท์ รักกาญจนันท์

6capture.jpg

สืบเนื่องจาก ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เจอและพูดคุยกับนักลงทุนหลายคน และประเด็นที่ถูกพูดถึงบ่อยๆก็คือ แนวโน้ม และทิศทางของราคาทองในอนาคตข้างหน้า

 

ในมุมมองของผม การจะคาดการณ์อนาคตข้างหน้าได้ถูกต้องนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ ถึงรู้ว่าสินทรัพย์ใดจะให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว แต่นักลงทุนเหล่านั้น กลับเฝ้า และตั้งคำถามกับการเคลื่อนไหวในระยะสั้นมากจนเกินไป จนทำให้ลืมแก่นของการลงทุน และทำเรื่องที่แน่นอน ให้กลายเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนไปเสีย ยกตัวอย่างเช่น รู้แน่ๆว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนชื่อ ABC จะโตขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว อีก 5 ปีข้างหน้า จะโตมากกว่านี้ 30-50% แต่กลับพยายามหาจังหวะการเข้าซื้อในระยะสั้นๆ ซึ่งวิ่งขึ้นลงด้วยปัจจัยหลายอย่างไม่ใช่แค่เรื่องผลประกอบการเพียงอย่างเดียว ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก สุดท้ายก็ตกรถแบบน่าเสียดาย

 

กลับมาที่ราคาทองและแนวโน้มนะครับ ขอเล่าย้อนให้เห็นภาพซักหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับราคาทอง ซึ่งเมื่อเห็นภาพนี้ คุณจะมองเห็นแนวโน้มของราคาทองในอีกมุมที่น่าสนใจ

 

เป็นที่ทราบกันดีว่า ราคาทองโดนทิ้งแบบรุนแรงก็ช่วงสงกรานต์ปีนี้ แล้วตามมาด้วยแรงขายอย่างหนักจนไปทำจุดต่ำสุดแถวๆ $1,180 ทำให้คนที่ลงทุนในทองในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาที่บริเวณ $1,500-$1,800 ดูไร้อนาคตจริงๆ คำถามคือ ใครขาย แล้วเขาขายเพราะอะไร? ทดไว้ในใจนะครับ เดี๋ยวอ่านไปเรื่อย ภาพจะชัดขึ้น

 

รายงานจาก WGC ในไตรมาส 2 ตามกราฟด้านล่างที่ผมเอามาดู

จะเห็นว่า Investment Demand (ความต้องการทองเพื่อการลงทุนของทอง) นั้น แบ่งออกเป็น ทองทำแท่ง, พวกเหรียญต่างๆ และ ในรูปแบบของ ETF

 

จากรูป เห็นไหมครับว่า ตัวที่ผันผวนที่สุดก็คือ Demand จาก ETFs ต่างๆ ซึ่งในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Demand กลายเป็นติดลบค่อนข้างมาก ซึ่งอย่างที่เราทราบข่าวกันตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่า มี Hedge Fund ระดับโลกหลายกอง เข้ามาเก้งกำไรในทองผ่าน SPDR Gold Trust กอง ETF ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างกองของ Paulson และ Soros เป็นต้น และเมื่อเข้ามาเก็งกำไร แต่ราคาทองไม่วิ่งอย่างที่ใจต้องการ พวก Hedge Fud เหล่านี้ ก็เทขาย และลดสัดส่วนการถือทองออกมาอย่างที่เราเห็น นั้นคือเหตุผลหนึ่ง

 

อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ มุมมองต่อราคาทองของนักลงทุนระยะสั้นเริ่มเปลี่ยนไป จากการที่ Fed เริ่มส่งสัญญาณว่าอยากจะทำ QE Tapering เนื่องจากเศรษฐกิจอเมริกาดูมีทีท่าว่าจะฟื้นได้แล้ว แต่ก็อย่างที่เราเห็นวันนี้นะครับ ดูท่าว่า การประชุม FOMC อีกสองครั้ง Fed คงยังทำ Tapering ไม่ได้ เพราะผลกระทบจาก Government Shutdown นั้นยังไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน และปัญหาเพดานหนี้ (Debt Ceiling) ก็แค่เลื่อนไป รอวันคุยกันใหม่ต้นเดือน ก.พ. ปีหน้า

 

แล้วพวก Hedge Fund ขายทองผ่าน ETF ออกมาเยอะไหม?

ต้องบอกว่า เยอะ แถมมีแรงขายต่อเนื่องจากการหลุดสัญญาณเทคนิคหลายอย่าง ไปดูภาพต่อไปจะได้เห็นชัดขึ้นอีกระดับ

capture00.jpg

กราฟด้านบน เป็นการถือครองทองคำแท่งในกองทุน SPDR Gold Trust ที่น่าตกใจก็คือ เคยสะสมสูงถึง 1,350 ตัน เมื่อตอนต้นปี 2013 แต่ก็ทำขายออกมาจากพอร์ตอย่างรวดเร็วต่อเนื่องมาจนตอนนี้ก็เดือนที่ 8 แล้ว ทำให้การถือครองทองของ SPDR Gold ตอนนี้ ต่ำกว่า 900 ตัน ซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงวิกฤต Subprime ต้นปี 2009 เลยทีเดียว

 

เห็นแบบนี้ ก็ยิ่งตอบคำถามชัดเจนว่า แรงขายที่ทำให้ราคาทองในตลาดโลกลงมาอย่างที่เราเห็นกันวันนี้ ก็เพราะนักลงทุนที่ลงทุนผ่าน ETF นั้นเอง ซึ่งถ้าดูจากยอดการถือครอง ต้องบอกว่า นักลงทุนกลุ่มนี้ หนีทองออกมาแล้วเป็นจำนวนมาก หลายคนมองว่า ทองไม่ใช่สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงแล้ว หมดอนาคตไปแล้ว ก็ว่ากันไปนะครับ

 

ตารางสุดท้ายครับ จะเห็นว่า ถ้าไม่นับ Demand จากฝั่ง ETFs ที่ปีนี้แห่เทขายกันอย่างเมามันส์นั้น จะพบว่า Gold Demand นั้น โตขึ้นทุกๆปี นับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา เพิ่งจะมาชะลอจริงๆก็ปี 2012 และปีนี้ จากประเด็นที่ผมได้อธิบายไปแล้ว แต่ที่น่าสังเกตก็คือ Demand จาก Central Bank หรือธนาคารกลางจากทั่วโลกนั้น ตั้งแต่ปี 2003-2009 ติดลบมาตลอด เพราะยูโรโซนแบ่งขายออกมาเรื่อยๆ เพื่อสร้างศักยภาพของสกุล EUR แต่แล้ว เหตุการณ์ปัญหาหนี้ก็เกิดขึ้น การขายทองลดพอร์ตฝั่งยุโรปยังคงมีอยู่ แต่ ผู้ซื้อที่เป็นธนาคารกลางฝั่งตลาดเกิดใหม่ก็เข้ามาไล่ซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะดูทีท่าแล้ว การถือ US Dollar ไว้เป็นทุนสำรองเพียงอย่างเดียว ดูจะเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป

capture001.jpg

ผมเชื่อว่า Demand จากธนาคารกลางในประเทศตลาดเกิดใหม่จะยังมีต่อเนื่อง นำโดย ตุรกี รัสเซีย และพี่จีน ในขณะที่คนจีนและคนอินเดียก็ยังสะสมทองเป็นหนึ่งใน Wealth ต่อเนื่องจากค่านิยม และเชื่อว่า แรงขายจาก SPDR Gold Trust และ ETF เจ้าอื่นๆ ใกล้จะหมดไปแล้ว เพราะยอดการถือครองของกองทุนเหล่านี้ เข้าใกล้จุดต่ำสุดเมื่อตอนวิกฤต Subprime มากๆ

 

มองภาพยาวๆแบบนี้ การแบ่งเงินลงทุนมากระจายความเสี่ยงและถือทองไว้ในพอร์ตระยะยาว ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายนะ

 

โชคดีในการลงทุนครับ

 

http://www.moneychannel.co.th/index.php/easyblog/entry/chayanon/gold-demand.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...