ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

ตกเวลากลางคืน ทุ่มครึ่ง ตัวเลขสหรัฐโพลบอกว่า ออกมาดี ถ้าดีตามโพลว่าจริง ราคาทองก็ย่อ แต่ย่อแล้วก็สมควรน่าจะเด้งคืนมาได้ แต่จุดต่ำสิ เท่าไหร่ $1292 ถ้ารับไม่ไหว $1282, $1276 ตามลำดับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) จากข้อมูลที่อยู่อาศัยของสหรัฐที่สดใสและความตึงเครียดที่ผ่อนคลายลงระหว่างยูเครนและรัสเซีย

 

ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.3360 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.3397 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ปรับขึ้นที่ 1.6728 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6697 ดอลลาร์

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 102.58 เยน เทียบกับระดับ 102.35 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9064 ฟรังค์ จากระดับ 0.9027 ฟรังค์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียทรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9324 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งแกร่ง เนื่องจากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐ เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐในเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้นแตะ 55 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน จาก 53 ในเดือนก.ค. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และแตะระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 53

 

นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนจากการที่บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส รัสเซียและยูเครน ได้ประชุมกันที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อพยายามคลี่คลายวิกฤตยูเครน ขณะที่นายแฟรงค์-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี กล่าวเมื่อเช้าวานนี้ว่า มีความคืบหน้าบางประการในการหารือ 4 ฝ่าย

 

ทางด้านเงินปอนด์ของอังกฤษพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 เดือนเมื่อเทียบดอลลาร์ หลังจากนายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษกล่าวว่า ธนาคารกลางอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ก่อนการปรับขึ้นค่าจ้าง

 

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.ของสหรัฐที่จะเปิดเผยในเวลา 19.30 น.วันนี้ ตามเวลาไทย

 

ส่วนในวันพฤหัสบดี เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางทั่วโลกจะเปิดฉากการประชุมสุดยอดประจำปีที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิง และนักลงทุนจะจับตาดูถ้อยแถลงของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อประเมินสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 สิงหาคม 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,300 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) เนื่องจากสถานการณ์ยูเครนที่คลี่คลายลงและตลาดหุ้นนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นนั้น ได้กดดันให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 6.9 ดอลลาร์ หรือ 0.53% ปิดที่ 1299.3 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 11 เซนต์ ปิดที่ 19.635 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 11 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,446.2 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ ปิดที่ 894.90 ดอลลาร์/ออนซ์

 

นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ ขานรับรายงานที่ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐในเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้นแตะ 55 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน จาก 53 ในเดือนก.ค.

 

นอกจากนี้ การที่สถานการณ์ตึงเครียดในยูเครนเริ่มคลี่คลายก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างแรงกดดันให้กับตลาดทองคำด้วย โดยมีรายงานว่านายพาฟโล คลิมคิน รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครน และนายเซอร์ไก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมนานหลายชั่วโมงที่เยอรมนี เพื่อหาหนทางคลี่คลายวิกฤตในยูเครน

 

นักลงทุนจับตาดูการประชุมเศรษฐกิจในหัวข้อ "Re-Evaluating Labor Market Dynamics "ที่เมืองแจ็คสัน โฮล มลรัฐไวโอมิง ในสัปดาห์นี้ โดยคาดว่านักลงทุนจะให้ความสนใจต่อการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตลาดแรงงานของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด นอกจากนี้ นายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารรกลางยุโรป (อีซีบี) ก็จะเข้าร่วมปาฐกถาในการประชุมครั้งนี้ด้วย

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 สิงหาคม 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดแนวโน้มเงินบาทสัปดาห์นี้ (18-22 ส.ค.) อาจเคลื่อนไหวในกรอบ 31.80-32.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยต้องจับตากระแสเงินทุนต่างชาติ ตลอดจนความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์เสี่ยง ภายหลังจากที่สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนและชาติตะวันตก ตลอดจนความขัดแย้งในอิรัก เริ่มคลายความกังวลลงบางส่วน นอกจากนี้ นักลงทุนอาจจับตาถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของธนาคารกลางทั่วโลกที่เมืองแจ๊คสัน โฮล รัฐไวโอมิ่ง (21-23 ส.ค.) รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ (อาทิ เครื่องชี้ตลาดที่อยู่อาศัย และอัตราเงินเฟ้อเดือนก.ค.) เพื่อหาสัญญาณสะท้อนจังหวะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ขณะที่ ตลาดการเงินในประเทศอาจมีจุดสนใจเพิ่มเติมที่รายงานจีดีพีประจำไตรมาส 2/57 ของไทยในช่วงต้นสัปดาห์

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 17 สิงหาคม 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐ เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐในเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้นแตะ 55 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน จาก 53 ในเดือนก.ค. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และแตะระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 53

 

ดัชนีที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องล่าสุดสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานที่สดใส โดยระดับที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากลุ่มผู้สร้างบ้านที่มีมุมมองเชิงบวกต่อตลาด มีจำนวนมากกว่าผู้ที่มีมุมมองในเชิงลบ

 

นายเควิน เคลลี ประธาน NAHB กล่าวว่า ขณะที่ภาพรวมการจ้างงานปรับตัวดีขึ้นนั้น กลุ่มผู้สร้างบ้านระบุว่าบรรดาผู้ซื้อที่มีศักยภาพกำลังเข้ามาในตลาดที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18/08/57)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเช้าวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ยูเครน นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ

 

ดัชนี MSCI Asia Pacific เพิ่มขึ้น 0.4% สู่ระดับ 148.51 จุด เมื่อเวลา 9.16 น.ตามเวลาโตเกียว

 

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 15,451.94 จุด เพิ่มขึ้น 129.34 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,188.63 จุด เพิ่มขึ้น 47.32 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,065.19 จุด เพิ่มขึ้น 12.06 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,318.68 จุด เพิ่มขึ้น 5.90 จุด และดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,862.97 จุด เพิ่มขึ้น 1.22 จุด

 

ตลาดหุ้นเอเชียได้รับแรงหนุนหลังจากมีรายงานว่า นายพาฟโล คลิมคิน รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครน และนายเซอร์ไก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมนานหลายชั่วโมงที่เยอรมนี เพื่อหาหนทางคลี่คลายวิกฤตในยูเครน

 

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ยูเครนได้เปิดทางให้ขบวนรถบรรทุกที่รัสเซียระบุว่าเป็นความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เดินทางเข้ามายังดินแดนทางตะวันออกของยูเครน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซีย โดยมีคณะกรรมการกาชาดสากลเป็นผู้กำกับดูแล

 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทย สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐ เปิดเผยว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐในเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้นแตะ 55 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน จาก 53 ในเดือนก.ค. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และแตะระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินไว้ว่าดัชนีจะอยู่ที่ 53

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 สิงหาคม 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน (NDRC) ประกาศปรับลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลในประเทศลง 190 หยวนต่อตัน และ 185 หยวน/ตัน ตามลำดับ โดยจะมีผลตั้งแต่วันอังคารนี้

 

ราคาดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันอังคารนี้ ซึ่งเท่ากับว่า ราคาขายปลีกจะลดลง 0.14 หยวนต่อลิตรสำหรับน้ำมันเบนซิน และราคาน้ำมันดีเซลจะลดลง 0.16 หยวนต่อลิตร

 

การลดราคาขายปลีกน้ำมันครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 6 แล้วสำหรับปี 2557 โดยการปรับลดราคาล่าสุดคือเมื่อวันที่ 22 ก.ค.

 

ภายใต้กลไกปัจจุบัน น้ำมันเบนซินและดีเซลจะถูกปรับราคาเมื่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 50 หยวนต่อตันเป็นเวลา 10 วันทำการ สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 สิงหาคม 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

'อีโบลา'ลามเศรษฐกิจ เตือนไทยอย่าชะล่าใจ อีกปัจจัยเสี่ยงครึ่งปีหลังฉุดส่งออก-บริโภค-ท่องเที่ยว (19/08/2557)

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง(ไทย)

"ไวรัสอีโบลา - สงคราม" ปัจจัยเสี่ยงโลก หวั่นฉุดบริโภค-ลงทุน-การท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง ธุรกิจไทยผวาส่งออกไทยทั้งปีโตแค่ 1.6 % สศค. ชี้ทำท่องเที่ยวโลก-ไทยหดคนขยาดขึ้นเครื่อง ฝ่ายวิจัยธ.กรุงไทย ห่วงปท.คู่ค้า จี-3 อียู-สหรัฐฯสะดุดลง เลขาฯ"อาคม" เสียงอ่อยชี้ศก.ไทยโตได้เป้า 2-2.5 % หรือไม่ขึ้นกับ "ส่งออก-เบิกจ่าย" ด้าน"บิ๊กตู่" สั่งรับมือ- เร่งรัดเบิกจ่ายงบ คาดงบปี 58 ครึ่งแรกอัดเม็ดเงินกระตุ้นศก.ได้กว่า 1.15 ล้านล้านบาท การประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อบริหารราชการแผ่นดินที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. เป็นประธานที่ประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้กำชับให้หัวหน้าส่วนราชการเร่งใช้จ่ายงบประมาณไตรมาส 1 ปีงบ 2558 หรือไตรมาส 4 ของปีปฏิทิน ให้ถูกต้องตามกรอบเวลา โดยเฉพาะโครงการลงทุนภาครัฐขนาดเล็กไม่เกิน 100 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อให้เม็ดเงินได้กระจายสู่ภาคเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงานกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะขยายตัวไม่น้อยกว่า 4 % ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีขยับขึ้นมาอยู่ที่ 2%

 

อย่างไรก็ดี ยังมีความกังวลสถานการณ์ภายนอกประเทศ ทั้งการสู้รบ ความไม่สงบของหลายประเทศในภูมิภาค และเชื้อโรคไวรัสอีโบลา

 

*"สถานการณ์โลก" เสี่ยงหลัก

นายรชตพงษ์ สุขสงวน ผู้อำนวยการผู้บริหารฝ่าย ฝ่ายวิจัยความเสี่ยงธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)(บมจ.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ตอนนี้ห่วงสภาพแวดล้อมโลกมากกว่า ขณะที่เชื้ออีโบลาก็เป็นสิ่งที่จะละเลยไม่ได้ เพราะจำนวนคนติดเชื้อเริ่มเพิ่มแล้ว ซึ่งถือว่าไม่ไกลจากเศรษฐกิจไทย แม้กลุ่มประเทศจี3 (สหรัฐอเมริกา , ยูโรโซน และญี่ปุ่น) จะมีสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยความขัดแย้งในภูมิภาคยังเป็นปัจจัยที่อาจดึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ยุโรป ให้กลับสะดุดลง เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ถ้ากลับไปเปิดฉากต่อสู้อิรัก อาจทำให้งบประมาณด้านทหารบานหรือปริมาณน้ำมันสำรองอาจลดลง จนอาจส่งผลต่อราคาน้ำมันโลกให้ปรับขึ้น ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯปีหน้าที่คาดจะขยายตัว กว่า 3% อาจจะสะดุด

"ต้องติดตามสถานการณ์เป็นรายสัปดาห์ ซึ่งความไม่แน่นอนที่ผ่านมาทำให้เงินที่คาดว่าจะไหลออก กลับไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีก แต่ถ้ามองในอีก 1-2สัปดาห์เงินบาทน่าจะแข็งค่าไม่เกิน 31.60 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯหรือแข็งค่าสูงสุดไม่เกิน 32.10- 32.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ทั้งปีเชื่อว่าเงินบาทยังมีทั้งปัจจัยทำให้แข็งและอ่อนค่าซึ่งภาค ธุรกิจต้องป้องกันความเสี่ยง"

ในแง่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยนั้น ช่วงที่เหลือภาพเศรษฐกิจไทยไม่มีการเปลี่ยนทิศแนวโน้มยังคงขยายตัวดีกว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ที่จะได้รับอานิสงส์จากการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานรัฐ ทำให้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวเกิน 4% โดยที่ทั้งปียังคงทำได้ที่ 2% ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยว อาจต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาฟื้นตัว อีกทั้งยังรอดูโฉมหน้าของคณะรัฐมนตรี (ครม.)เป็นที่ยอมรับหรือไม่

*เกาะติดผลกระทบ"อีโบลา"เป็นหลัก

ดร.อมรเทพ จาวะลา หัวหน้าส่วนวิจัยเศรษฐกิจและตลาดการเงิน สำนักวิจัย บมจ.ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ศูนย์วิจัยฯ ให้น้ำหนักปัจจัยความเสี่ยงในด้านการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลามากกว่า ปัญหาความขัดแย้งและสงครามที่มีอยู่ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงหวังพึ่งตลาดการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4 ที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี หากมีปัญหาของเชื้อโรคอีโบลาเข้ามา อาจจะกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งเชื่อมโยงไปยังภาคธุรกิจการบริการต่างๆ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิง รวมถึงสายการบิน ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับโรคไข้หวัดนก และซาร์ในอดีต

ขณะที่ปัญหาสงครามในต่างประเทศ มองว่า สงครามเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและพอจะเห็นภาพกันมานาน แต่สงครามจะเป็นตัวสะท้อนความเชื่อมั่นในทางด้านการลงทุน น้ำมัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะเชื่อมโยงและมีผลกระทบต่อประเทศไทยผ่านด้านราคาน้ำมัน โดยเฉพาะสงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งหากมีการสู้รบกันต่อเนื่องจนทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น อาจเป็นแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อของไทยให้เร่งตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต่างประเทศทั้ง 2 ปัจจัยยังมองว่ามีวงจำกัด จึงไม่สามารถประเมินเป็นความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้เป็นตัว เลขได้

นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจปีนี้วางกรอบที่ 1.8-2.5% แต่คิดว่าจะขยายตัวได้ 2.3% หลังจากปัจจัยความเสี่ยงภายในประเทศหายไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ก็คงต้องจับตาดูปัญหาภายนอกประเทศ โดยดูว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ที่ระดับ 5% หรือไม่ และสงครามในตะวันออกกลางที่จะกระทบต่อราคาน้ำมันให้ดีดตัวสูงขึ้น การแซงก์ชันในประเทศรัสเซีย และเชื้อโรคอีโบลาหากมีการขยายการแพร่กระจายออกไป อาจจะก่อความเสียหายและกระทบต่อมายังประเทศไทยได้

นายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงประเด็นผลกระทบจากโรคอีโบลาว่า กรณีดังกล่าวนี้ในปัจจุบัน ธปท. ยังไม่ได้รวมเข้าไปเป็นประเด็นที่จะพิจารณาเรื่องของผลกระทบในขณะนี้ แต่ก็มองว่าเป็นหนึ่งในประเด็นที่จะต้องเพิ่มเติมเข้าไปในการจัดทำประมาณการ เศรษฐกิจไทยครั้งหน้าต่อไป โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดกับภาคการท่องเที่ยวมากกว่าในเบื้องต้น

*ฉุดบริโภค-ลงทุน-ท่องเที่ยวโลก

นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก กล่าวโดยระบุว่า เคยพูดมาตลอดว่า 3 ปัจจัยเสี่ยงจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ ประกอบด้วย 1.กรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ได้เริ่มปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ(คิวอี) จะส่งผลทำให้ภาวะการเงินของโลกเกิดความปั่นป่วน และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยของโลกปรับตัวสูงขึ้น 2.ภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล-ปาเลสไตน์ ลิเบีย ซีเรีย อิรัก ยูเครน และ 3. โรคระบาด เช่นกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศของ ทวีปแอฟริกา ขณะที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างเฝ้าระวัง

"ทั้ง 3 ปัจจัยเสี่ยงจะมีผลทำให้อารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคทั่วโลกมีความ ระมัดระวังมากขึ้น จะทำให้การค้า การลงทุน และเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ซึ่งการค้ากับประเทศที่มีภาวะสงครามคงต้องระวังในเรื่องการชำระเงินของ ลูกค้า ส่วนไวรัสอีโบลา จะทำให้คนซึ่งจะเดินทางติดต่อธุรกิจ หรือท่องเที่ยวทั่วโลกลดลง จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในทุกสินค้า ไม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ หรือแม้กระทั่งสินค้าอาหาร และสินค้าอื่นๆ ซึ่งจากที่คาดว่าในไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้การส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ที่ 5-6% แต่มองแล้วหากขยายตัวได้ 2-3% ก็ถือว่าเก่งแล้ว อย่างไรก็ดีล่าสุดทางสภาผู้ส่งออกคาดการณ์ส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ ในปีนี้ที่ 1-1.6% ส่วนเป้า 3.5% ของกระทรวงพาณิชย์คงเป็นเรื่องยาก"

*ส่งออกลดพึ่งพากลุ่ม จี-3

สำหรับแนวทางในการปรับตัวของผู้ส่งออกไทยในเดือนที่เหลือของปีนี้ รวมถึงในปี 2558 ที่ไทยจะถูกสหภาพยุโรปตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(จีเอสพี) สินค้าทุกรายการ ผู้ส่งออกควรสร้างโอกาสในการทำการค้ากับกลุ่ม BRICS ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวด เร็ว(Emerging Market) ให้มากขึ้น ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ที่จะลด/เลิกการใช้เงินสกุลดอลลาร์ ซึ่งปัจจุบัน กลุ่ม BRICS มีสัดส่วนจีดีพีรวมกันคิดเป็น 25-26% ของจีดีพีโลก โดยลดการพึ่งพา 3 ตลาดหลักคือ สหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นลง

ส่วนดร.ชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย กล่าวว่า ภาวะสงครามและเชื้อไวรัสอีโบลา ที่กำลังแพร่ระบาด ในภาพรวมจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกไทยในหลายสินค้าอย่างแน่นอน แต่ในส่วนของสินค้าทูน่าซึ่งอยู่ในกลุ่มอาหารจำเป็น และราคาไม่แพง เช่นทูน่ากระป๋องคาดจะเป็นผลบวกส่งออกได้มากขึ้นจากผู้บริโภคจะมีการกักตุน สินค้ามากขึ้นเพราะในกรรมวิธีการผลิตปลอดจากเชื้อโรค และสามารถเก็บไว้ได้นาน

* อีโบลาทำคนตื่นกลัวขึ้นเครื่อง

รายงานจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่าภาวะความเสี่ยงสถานการณ์ไวรัสอีโบลา ระบุว่า ขณะนี้แม้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง เพราะการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวยังไม่ได้มาถึงในโซนทวีปเอเชีย แต่ส่งผลทางอ้อมต่อสถานการณ์การท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะการโดยสารทางเครื่องบิน เพราะคนกลัวไม่อยากขึ้นเครื่องบิน ดังนั้นจึงส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกได้ และอาจส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวไทยได้ เช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ สศค. ติดตามอยู่หากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในวงกว้างขึ้นซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็ ต้องมีแผนรองรับความเสี่ยง

"ประเมินภาวะเศรษฐกิจไทยของสศค. ณ ขณะนี้ ยังไม่มีการประเมินความเสี่ยงจากภัยเชื้อไวรัสอีโบลาโดยตรงและทางอ้อม โดยในช่วงก่อนหน้านี้สศค. ยังคงประเมินความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยเป็นหลัก เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยยังหดตัวต่อเนื่อง แต่ขณะนี้สถานการณ์การเมืองไทยเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว "

*"ส่งออก-เบิกจ่ายงบ"ชี้วัดศก.ปีนี้

ขณะที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสศช." กล่าวว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวตามเป้าหมายที่สศช.แถลงไว้ (เมื่อ 19 พ.ค. 57 )ที่ 1.5-2.5 % ได้หรือไม่ ต้องติดตามตัวเลขการส่งออกว่าจะขยายเพิ่มมากกว่าเดือนมิถุนายนได้อย่างต่อ เนื่องหรือไม่ (ส่งออกมิ.ย. 57 มีมูลค่า 1.98 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โต 3.9% ส่งผลให้ครึ่งปีแรกส่งออกไทยโต 0.3% ) และการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2558 วงเงิน 2.575 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ ( 1 ต.ค. –ธ.ค. 57 ) จากเดิมที่เน้นเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปีงบ (1 ก.ค. -30 ก.ย.)พร้อมทั้งเร่งใช้จ่ายงบ 2557 ในส่วนที่เหลือ

ทั้งนี้สศช.จะแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 และเศรษฐกิจไทย 6 เดือนแรกของปี ในวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคมนี้ หลังจากเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 ได้ปรับเป้าประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้จาก 3-4 % ลงมาอยู่ที่ 1.5-2.5 % หลังจีดีพีไตรมาสแรก ติดลบ 0.6%

*ฉีดงบ 58 กระตุ้นศก. 1.15 ล้านล้าน

ด้านนายสมศักดิ์ โชติรัตนศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2558 จะมีเม็ดเงินอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจประมาณ 45% ของงบรายจ่ายรวม 2.575 ล้านล้านบาท หรือเป็นวงเงินประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท โดยเป็นงบรายจ่ายในไตรมาสแรกของปีงบ 2558 หรือไตรมาสสุดท้ายปีนี้ตามปีปฏิทิน 1.03 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน20% ของงบรายจ่ายทั้งหมด โดยเฉพาะโครงการลงทุนไม่เกิน 100 ล้านบาทถือเป็นโครงการเร่งด่วนที่จะสามารถเร่งเบิกจ่ายได้ก่อน ซึ่งขณะนี้ทางสำนักงบประมาณอยู่ระหว่างให้หน่วยงานส่งแผนรายละเอียดเข้ามา คาดรวบรวมได้เสร็จภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จากจะแบ่งกลุ่มตามยุทธศาสตร์ต่างๆ อาทิเช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ 5 แห่ง, การพัฒนาด่านชายแดน และการพัฒนาเครือข่ายระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อรองรับเศรษฐกิจชายแดนเชื่อมโยงประเทศในภูมิภาคอาเซียนรองรับการเปิด ประชาคมอาเซียนในปี 2558

ขณะที่งบค้างท่อในปีงบประมาณ 2557 จะสามารถกันงบประมาณผูกพันสัญญาเบิกจ่ายข้ามปีไว้ได้ทั้งหมดโดยไม่มีปัญหา ดังนั้นยังมั่นใจว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้ ยังขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 2% ตามที่ สศช. คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

นอกจากนี้พิจารณาถึงความชัดเจนของงบประมาณที่จะจัดสรรในการลงทุนโครงสร้าง พื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งของประเทศ 2.4 ล้านล้านบาท ระยะเวลา 8 ปี (2558-2565)นั้น หากผลการประชุมร่วมกับหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ คสช. ได้ข้อยุติคาดว่าในสัปดาห์หน้าหรือหลังจาก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 เข้าสู่ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)วาระแรก (18 สิงหาคม 2557 ) ไปแล้วจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

*งบลงทุนพื้นฐาน 6.7 หมื่นล.ฉลุย

อย่างไรก็ดี ภายหลังการประชุมร่วมกับกระทรวงคมนาคม เมื่อปลายสัปดาห์พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ในฐานะรองหัวหน้าคสช.และหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจคสช. กล่าวว่า ที่ประชุมได้อนุมัติงบเพื่อดำเนินการในโครงการเร่งด่วนในโครงการลงทุนโครง สร้างพื้นฐานปีงบ 2558 ที่วงเงิน 6.71 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะครอบคลุมโครงการลงทุนทั้งทางถนน น้ำและอากาศ

*เร่งงบ 57 ดันเป้า 2.27 แสนล้าน

ขณะที่นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และในฐานะเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) กล่าวว่า ช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2557 สคร.จะเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของ คสช. ที่ตั้งเป้าผลักดันให้เกิดการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจในภาพรวมที่ 75 % เท่ากับปีงบประมาณ 2556 หรือเบิกจ่ายให้ได้ 2.27 แสนล้านบาท จากกรอบงบลงทุนรวม 3.15 แสนล้านบาท

โดยในการประชุมคนร.เมื่อวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ยังได้พิจารณาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปี 2557 ของรัฐวิสาหกิจ 10 แห่ง ตามเกณฑ์พิจารณาดังนี้ 1) การทำโครงการใหม่จะต้องสอดคล้องกับนโยบายและภารกิจหน้าที่ ความพร้อมในการดำเนินการ และความจำเป็นเร่งด่วน 2) การปรับเพิ่มงบลงทุนจากรายการเดิม จะพิจารณากรณีที่ผูกพันสัญญาแล้วหรือเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว 3) การปรับลดงบประมาณ จะพิจารณาให้สำหรับการประหยัดงบประมาณ ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก หรือไม่มีความจำเป็นแล้วหรือซ้ำซ้อนกับรายการอื่นๆ

โดยจากการพิจารณาข้อเสนอของรัฐวิสาหกิจทั้ง 10 แห่ง ตามหลักการข้างต้นของ คนร. ได้เห็นชอบให้ปรับลดวงเงินเบิกจ่ายจาก 5.41 หมื่นล้านบาท เป็น 4.63 หมื่นล้านบาท คิดเป็นการปรับลดจำนวน 7.767 พันล้านบาท พร้อมทั้งได้เร่งรัดให้รัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อ ประชาชนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ในการพิจารณาเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมงบลงทุนระหว่างปี ให้คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้ดำเนินการตามเดิม เพื่อให้การพิจารณางบลงทุนรัฐวิสาหกิจมีเอกภาพ

*สทท.ยันท่องเที่ยวยังไม่กระทบ

นางปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดไวรัสอีโบลาในขณะนี้ยังไม่กระทบต่อภาพรวมการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากระบบควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข บวกกับมาตรการของการท่าอากาศยานในการคัดกรองผู้โดยสารถือเป็นระบบที่ได้ มาตรฐานและวางใจได้ ขณะที่ยอดนักท่องเที่ยวจากทวีปแอฟริกาปัจจุบันมีสัดส่วนการเดินทางเข้าไทย เพียงหลักพันต่อปี ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวงดเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศ จึงไม่เป็นผลกระทบร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

*บินไทย เลี่ยงพื้นที่เสี่ยง

ด้าน ร.อ.มนตรี จำเรียง รักษาการสายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ (ดีวาย) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันการบินไทยทำการบินไปยังเมืองโจฮันเนสเบิร์ก สาธารณรัฐแอฟริกาใต้เพียงจุดเดียว โดยให้บริการสัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน และเป็นเมืองที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของการแพร่ระบาด แต่เพื่อความรอบคอบได้สั่งการให้ลูกเรือเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในการหยุดบินเส้นทางดังกล่าวหากมีการแพร่ระบาดมายัง แอฟริกาใต้

นอกจากนี้บินไทยได้มีการกำหนดมาตรการในการป้องกันโรคระบาดดังกล่าว ได้แก่ 1.มาตรการคัดกรองในการตรวจรับผู้โดยสารและการบริการลูกค้าภาคพื้น 2.มาตรการในการให้บริการบนเครื่องบิน 3.มาตรการในการจัดเตรียมอากาศยานและฆ่าเชื้อโรค 4.มาตรการในการทำความสะอาดภายในอากาศยาน 5.มาตรการในการป้องกันและเฝ้าระวังสุขอนามัยของพนักงาน 6.มาตรการด้านการรับขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ และ 7. มาตรการด้านโภชนาการ อาทิ การคัดเลือกวัตถุดิบและวิธีการปรุงอาหารที่สะอาดได้มาตรฐานและไม่มีความ เสี่ยงต่อการเป็นพาหะของโรค

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ (วันที่ 17 - 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดี ป๋า

 

จัดเต็ม ซะหายคิดถึงเลย

 

ขอบคุณนะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.85/86 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ปิดตลาดอยู่ที่ระดับ 31.82/84 บาท/ดอลลาร์

 

"เมื่อคืนตลาดค่อนข้างเงียบ คาดว่าคงรอตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่จะออกมาในช่วงค่ำๆของวันนี้ตามเวลาประเทศไทย" นักบริหารเงิน กล่าว

 

นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.80-31.90 บาท/ดอลลาร์

 

* ปัจจัยสำคัญ

 

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 102.60 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 102.45 เยน/ดอลลาร์

 

- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3355 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่อยู่ที่ระดับ 1.3394 ดอลลาร์/ยูโร

 

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 31.8210 บาท/ดอลลาร์

 

- แบงก์เผยแม้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 จะกลับมาเป็นบวก แต่ปัญหาด้านหนี้ครัวเรือน-ส่งออกยังถ่วงให้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังขยายตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

- คลังเล็งแก้กฎหมายยึดอำนาจคุมเอสเอ็มอีแบงก์ หวังแก้ปัญหาภายใน 1 ปี พร้อมตัดหนี้เสียขาย 2 หมื่นล้าน เปิดทางให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยสะท้อนต้นทุนแท้จริงแนะแยกบัญชีพีเอสเอ

 

- "ก้องเกียรติ" มองตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเร็ว เหตุสภาพคล่องในประเทศสูง คนไทยเล่นกันเอง ด้านต่างชาติทยอยขายตราสารหนี้ เหตุกังวลสหรัฐ-อังกฤษขึ้นดอกเบี้ย แนะขายหุ้นขึ้นแรง เก็บหุ้นสภาพคล่องสูง ด้าน เอเซียพลัสมองกำไรและรายได้สูงกว่าปี 2555 ชี้จะไม่ใช่ผู้นำแข่งลดค่าคอมมิชชั่น

 

- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) จากข้อมูลที่อยู่อาศัยของสหรัฐที่สดใสและความตึงเครียดที่ผ่อนคลายลงระหว่างยูเครนและรัสเซีย

 

- สำนักข่าว MENA รายงานโดยอ้างแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่อียิปต์เมื่อคืนนี้ว่า เจ้าหน้าที่เจรจาของอิสราเอลและปาเลสไตน์ได้ตกลงขยายระยะเวลาหยุดยิงในฉนวนกาซาออกไปอีก 24 ชม

 

- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,300 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) เนื่องจากสถานการณ์ยูเครนที่คลี่คลายลงและตลาดหุ้นนิวยอร์กที่พุ่งขึ้นนั้น ได้กดดันให้นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

 

- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงลดลง 45 ดอลลาร์ฮ่องกง เปิดที่ระดับ 12,020 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึง เทียบเท่ากับ 1,300.23 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ลดลง 4.87 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 19 สิงหาคม 2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าววิ่ง - ข่าววิ่ง(ไทย)

รายงานข้อมูลเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯที่มีการขยายตัวขึ้นมากกว่าที่นักลงทุนส่วนใหญ่ประเมิน...

 

โดยส่งผลให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง และลดการลงทุนในทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย จนทำให้ราคาทองเมื่อคืนนี้อ่อนตัวลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่า 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และยังมีแนวโน้มที่ราคาทองจะอ่อนตัวลงต่อ โดยราคาทองปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 1,297.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ลดลง 7.48 ดอลลาร์ ราคาทำจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดที่ 1,295 และ 1,304 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามลำดับ ส่วนราคาซื้อขายทองคำแท่งในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ขายออกที่บาทละ 19,650 บาท และรับซื้อคืนที่บาทละ 19,550 บาท กองทุน SPDR รายงานว่าได้เพิ่มปริมาณการถือครองทองคำขึ้นราว 2.09 ตัน โดยปัจจุบันกองทุนถือครองทองคำรวม 797.69 ตัน

 

สมาคมผู้ สร้างบ้านแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านสหรัฐฯในเดือนสิงหาคมปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และปรับตัวขึ้นจาก 53 จุดในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าผลสำรวจที่ประเมินไว้ที่ 53 จุด กดดันให้มีแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยกลับออกมา นักลงทุนยังคงให้ความสนใจไปยังการประชุมประจำปีของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลาง ทั่วโลกที่เมืองแจ็คสัน โฮล รัฐไวโอมิงในช่วงปลายสัปดาห์ รวมทั้งการรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกรกฎาคมของสหรัฐฯในคืนวันนี้ โดยผลสำรวจประเมินว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบรายปี

 

ส่วนในการประชุมของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางทั่วโลกนั้น นักลงทุนต่างรอประเมินท่าทีด้านนโยบายการเงินของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยการประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ ส่วนในช่วงค่ำวันนี้จะมีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจของสหรัฐฯทั้ง รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกรกฎาคม และการรายงานภาวะอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ หากรายงานที่ออกมามีสัญญาณฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็จะกดดันราคาทองให้อ่อนตัวลงต่อเนื่องจากเมื่อวาน

 

ส่วนภาพการเคลื่อนไหวทางเทคนิคของราคาทองซึ่งวานนี้ราคาทองอ่อนตัวลงมา เคลื่อนไหวที่แนวรับบริเวณ 1,290 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อ หากในระหว่างวันราคาทองดีดตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณ 1,305-1,310 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ยังคงเป็นระดับแนวต้านที่ควรระวังแรงขายที่คาดว่าจะมีกลับออกมา และกรณีที่ไม่สามารถยืนเหนือ 1,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็จะเป็นสัญญาณขายกดดันราคาทองให้กลับมาเคลื่อนไหวในทิศทางขาลงต่อไป.

 

 

 

 

 

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ (19/08/2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"ก้อง เกียรติ" มองตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นเร็ว เหตุสภาพคล่องในประเทศสูง ด้านต่างชาติทยอยขายตราสารหนี้

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นปัจจุบัน อยู่ในช่วงฮันนีมูน พีเรียด หลังจากปัญหาการเมืองมีการคลี่คลายช่วงเดือน พ.ค. ทำให้นักลงทุนมีมุมมองดี และเข้าซื้อหุ้นต่อเนื่อง โดยมองว่าภาวะนี้จะอยู่กับตลาดหุ้นไทยไปอีก 3-6 เดือน

 

"ราคาหุ้นขึ้นมาตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้นักลงทุนเริ่มคาดหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้น และด้วยสภาพคล่องในประเทศค่อนข้างสูง ทำให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้น ซึ่งการปรับเพิ่มขึ้นของหุ้นรอบนี้ ไม่ได้เกิดจากเงินทุนต่างชาติ แต่เกิดจากคนไทยเล่นกันเอง ส่วนนักลงทุนต่างชาติ เขาไม่ห่วงเรื่องปัญหาการเมืองในไทย แต่มองว่าหุ้นราคาแพงเกินไป ซึ่งปัจจุบันราคาปิดกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 14-15 เท่า จากค่าเฉลี่ย 10-11 เท่า"

 

ตลาดหุ้นไทย ต้องยอมรับว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมากว่า 20%จากต้นปี หลายกลุ่มอุตสาหกรรมราคาหุ้นได้วิ่งสะท้อนความคาดหวังไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า อย่างในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง แม้ภาพของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะฟื้นตัว แต่ยังมีความเสี่ยงเรื่องการดำเนินนโยบายลงทุนต่างๆ หลังจากนี้ความเคลื่อนไหวของดัชนีจะขึ้นอยู่กับรัฐบาลใหม่ว่าจะขับเคลื่อน เศรษฐกิจอย่างไร ส่วนการลงทุนแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้น ที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมากเกินไป และลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูง อย่างกลุ่ม ส่งออก กลุ่มอาหาร กลุ่มสื่อสาร

 

เขากล่าวว่า ความเคลื่อนไหวเงินทุนต่างชาติ จะเห็นว่า มีทิศทางทยอยไหลออก แม้เดือนที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติจะเข้าตลาดตราสารหนี้กว่าแสนล้านบาท แต่เริ่มเห็นภาพเงินทุนต่างชาติจะไหลออกวันละ 1-2 พันล้านบาท เกิดจากนักลงทุนมองว่า ความเสี่ยงที่ธนาคารสหรัฐจะขึ้นดอกเบี้ยเริ่มมีมากขึ้นและมีแรงบวกจาก

 

ประเทศอังกฤษก็จะปรับเพิ่มขึ้นดอกเบี้ย เพื่อสกัดความร้อนแรงของราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ทั้งปีปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 20 % ทั้งนี้การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีความน่าสนใจ อย่างตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมา 6 ปี เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น และตลาดหุ้นสหรัฐที่ยังคงรักษาการทำนิวไฮได้อย่างต่อเนื่อง

 

สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทเอเซียพลัส มองว่า รายได้และกำไรจะดีกว่าปี 2555 แต่จะน้อยกว่า 2556 ที่ปริมาณการซื้อขาย(วอลุ่ม)ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ โดยมองว่าแนวโน้มธุรกิจน่าจะเติบโตต่อเนื่อง จากมูลค่าการซื้อขายในครึ่งปีหลังจะอยู่ที่ 4 หมื่นล้านบาท จากครึ่งปีแรก ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบัน

 

บริษัทมีจำนวนบัญชีลูกค้า 6 หมื่นบัญชี มีเคลื่อนไหวเป็นประจำ 1 ใน 4 ของทั้งหมด และมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น) บริษัทจะไม่มีนโยบายแข่งขันค่าคอมมิชชั่น โดยไม่ใช่ผู้นำเรื่องนี้ ค่าคอมมิชชั่นของบริษัทอยู่ที่ 0.1861% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 0.1618% เพราะเชื่อว่าบริษัทมีจุดแข็งด้านบทวิเคราะห์นักลงทุนจึงยังใช้บริการต่อ เนื่อง โดยมีลูกค้ารายย่อย 83.93 % กลุ่มสถาบัน 8.92 % และ ต่างประเทศ 7.15% ส่วนการให้บริการออกหุ้นกู้และตั๋วเงินกู้ระยะสั้น (ตั๋วบีอี) ปีนี้คาดว่า จะไม่ต่ำกว่าปีก่อน ที่มีการออก 6 หมื่นล้านบาท เพราะเน้นทำธุรกิจกับลูกค้าต่อเนื่อง หลังจากที่นำลูกค้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ก็จะมีการช่วยในการออกหุ้นกู้ ทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ครอบคลุม

 

ด้านธุรกิจวานิชธนกิจ ปัจจุบันมีรายการอยู่ที่ 22 รายการ เป็นไอพีโอ 10 รายการ และ ปรับโครงสร้าง และการควบรวมกิจการ 12 รายการ ซึ่งค่าธรรมเนียมที่ได้จากครึ่งปีแรกนั้น 221 ล้านบาท ซึ่งเราเป็นบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญให้กับนักลงทุนสูงสุด ในอุตสาหกรรม ซึ่งเรามองว่าธุรกิจวณิชธนกิจไตรมาสที่ 2 น่าจะเป็นจุดสูงสุดในปีนี้ ส่วนผลฃการดำเนินงานในปีนี้ทะลุเป้าหมายกำไรที่ 670 ล้านบาทแน่นอน โดยครึ่งปีแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท

 

สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปีนี้ มีรายได้รวม 556.97 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 33% จากการลดลงของรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ลดลง 47% และกำไรจากซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ที่ลดลง 32% โดยมีกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่มา :กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ (19/08/2557)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดเงินปริวรรตประจำวันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม 2557 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.85/87 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อเย็นวันศุกร์ (15/8) ที่ระดับ 31.86/88 บาท/ดอลลาร์ ค่าเงินบาทในวันนี้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศและได้รับผลจากสกุลเงินดอลลาร์ที่ปรับตัวอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมามีทิศทางในเชิงลบ ธนาคารกลางสหรัฐสาขานิวยอร์กเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวมชะลอตัวลงสู่ระดับ 14.69 และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนลดลงสู่ระดับ 79.2 ซึ่งทั้งสองตัวน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ระดับ 20.00 และ 82.5 ตามลำดับ ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 0.4% และการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 0.4% ตามความคาดหมาย นอกจากนี้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ล่าสุดเมื่อค่ำวันศุกร์ (15/8) มีข่าวว่าทางกองทัพยูเครนได้ทำลายยานยนต์หุ้มเกราะจำนวนหนึ่งซึ่งข้ามชายแดนมาจากทางฝั่งของรัสเซีย โดยหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงทางรัสเซียได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวโดยบอกว่าข่าวนี้เป็นข่าวลวง กระทรวงต่างประเทศรัสเซียได้กล่าวว่าหากจะมีการนำรถเข้าไปก็จะเป็นการลำเลียงปัจจัยช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเท่านั้น แต่จากข่าวดังกล่าวทำให้สหภาพยุโรปออกโรงเตือนว่าห้ามใช้ปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมมาบังหน้าเพื่อจะส่งกองกำลังไปยังยูเครน จากการเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้นักลงทุนมองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงในการลงทุน ทำให้นักลงทุนขายเงินสกุลต่าง ๆ และเข้าซื้อสกุลเงินปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...