ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
tt2518

ขอเดา(ราคาทอง)กับเขาบ้าง

โพสต์แนะนำ

รายงานยุโรป ไม่มี ยก/ปมองที่ช่วงเปิดตลาด ทองอาจร่วง ฝรั่งอาจขายทำกำไร

post-775-0-74214200-1431567431_thumb.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

รายงานสหรัฐฯ ตัวเลขคนว่างงานโพลว่าเพิ่มขึ้น แต่ฝรั่งน่าจะมองที่ PPI ดัชนีราคาผู้ผลิตที่บ่งบอกภาวะเงินเฟ้อหรือฝืด โพลว่า เงินฝืด ทองจะย่อ ถ้ามาตามโพล ส่งผลให้ไปมองที่ Fed จะปรับหรือไม่ปรับดอกเบี้ย ซึ่งก็คือ ไม่ปรับในเดือนหน้า พอไม่ปรับ ทองก็ย่อ

post-775-0-18401300-1431567592_thumb.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

14 พฤษภาคม 2558 05:11 น.

 

 

 

เอเอฟพี/รอยเตอร์ - ราคาน้ำมันเมื่อวันพุธ(13พ.ค.) ปรับลงเล็กน้อย หลังมีความกังวลต่อปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ส่วนวอลล์สตรีททรงตัวและทองคำพุ่งแรง ท่ามกลางข้อมูลทางเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังของอเมริกา

 

น้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 25 เซนต์ ปิดที่ 60.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 5 เซนต์ ปิดที่ 66.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ราคาน้ำมันที่ปิดบวกเมื่อวันอังคาร(12พ.ค.) ได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งปัจจัยนี้ช่วยผลักให้น้ำมันดีดขึ้นต่อเนื่องในช่วงเช้าของวันพุธ(13พ.ค.) จากข้อมูลค้าปลีกเดือนเมษายนที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ทว่ามันไม่เพียงพอที่จะยันราคาน้ำมันไว้ในแดนบวกได้ตลอด เนื่องจากถูกกดดันจากตัวเลขคลังปิโตรเลียมสำรองรายสัปดาห์ของอเมริกา

 

รายงานคลังน้ำมันดิบสำรองรายสัปดาห์ของกระทวงพลังงานสหรัฐฯที่เผยแพร่ในวันพุธ(13พ.ค.) พบว่าสต๊อกน้ำมันดิบในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 8 พฤษภาคม ลดลง 2.2 ล้านบาร์เรล เหลือ 484.8 ล้านบาร์เรล

 

ตัวเลขดังกล่าวนับเป็นการปรับลด 2 สัปดาห์ติดต่อกัน หลังจากก่อนหน้านี้สต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมา 4 เดือนติดและมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้ว่าจะลดลงแค่ 250,000 บาร์เรล อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งกลับพบว่าในสัปดาห์เดียวกันนี้ กำลังผลิตของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 5,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 9.374 ล้านบาร์เรลต่อวัน กระพือความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาดขึ้นมาอีกรอบ

 

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันพุธ(13พ.ค.) ทรงตัวในกรอบแคบๆ เหตุนักลงทุนบางส่วนเลือกอยู่วงนอก ชะลอดูข้อมูลเศรษฐกิจรอบใหม่ ในช่วงท้ายของฤดูกาลเผยแพร่ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ

 

ดาวโจนส์ ลดลง 7.74 จุด (0.40 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 18,060.49 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 0.64 จุด (0.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,098.48 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 5.50 จุด (0.11 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,981.69 จุด

 

ส่วนหนึ่งของข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เผยแพร่ออกมา พบว่ายอดค้าปลีกสหรัฐฯคงที่ในเดือนเมษายน เนื่องจากภาคครัวเรือนซื้อรถยนต์และสินค้าชิ้นใหญ่น้อยลง ขณะที่ราคานำเข้าก็ลดลงเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกัน และการลงทุนภาคธุรกิจในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นแค่เล็กน้อย

 

ข้อมูลค้าปลีกที่อ่อนแอเกินคาดหมายของอเมริกา ฉุดให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและเพิ่มความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) จะเลื่อนแผนขึ้นดอกเบี้ยออกไป ปัจจัยเหล่านี้ดันราคาทองคำเมื่อวันพุธ(13พ.ค.) พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 สัปดาห์ โดยทองคำตลาดโคเม็กซ์ เพิ่มขึ้น 25.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,218.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น่าสนใจจริงๆ viva3388

เฮียกัมพล !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เขามาโพสต์ชวนเล่นพนัน และมาบอกว่า น่าสนใจอีกด้วย : คนเล่นทองเขาลงทุนทองเพื่อหาตังค์ค่าขนม.

post-775-0-27501600-1431569293_thumb.jpg

ถูกแก้ไข โดย เด็กขายของ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักอื่นๆเมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังกับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

 

ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1356 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1220 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.5744 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5676 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับลงเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 119.13 เยน เทียบกับระดับ 119.89 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9168 ฟรังก์ จาก 0.9286 ฟรังก์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.8101 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7991 ดอลลาร์

 

ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความไม่แน่ใจเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

เมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทรงตัวในเดือนเม.ย. ที่ระดับ 4.368 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย.

 

ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคานำเข้าร่วงลง 0.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน โดยเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 10 เดือน และสวนทางกับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ว่าดัชนีราคานำเข้าในเดือนเม.ย.จะเพิ่มขึ้น 0.3%

 

นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังระบุว่า ดัชนีราคาส่งออกร่วงลง 0.7% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน

 

นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่าเฟดอาจเลื่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไป อันเนื่องมาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังในช่วงที่ผ่านมา

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2558)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 25 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (13 พ.ค.) เนื่องจากข้อมูลยอดค้าปลีกที่อ่อนแอเกินคาดของสหรัฐได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 25.8 ดอลลาร์ หรือ 2.16% ปิดที่ระดับ 1,218.20 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 69.5 เซนต์ ปิดที่ 17.221 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 17.8 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,150.80 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 4.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 789.40 ดอลลาร์/ออนซ์

 

นักลงทุนแห่เข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทรงตัวในเดือนเม.ย. โดยอยู่ที่ระดับ 4.368 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่าย ซึ่งยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ออกมาตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%

 

นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการที่นักวิเคราะห์คาดว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวได้ฉุดสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนสัญญาทองคำทะยานขึ้นด้วย

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2558)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป หรือยูโรสแตท รายงานว่า เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรขยายตัว 0.4% ในไตรมาส 1/2558 หลังจากที่ขยายตัว 0.3% ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจฝรั่งเศสและอิตาลีที่กลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในช่วงสามเดือนแรกปีนี้ ซึ่งช่วยชดเชยเศรษฐกิจเยอรมนีที่ขยายตัวช้าลง

 

เศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวเร็วที่สุดในรอบเกือบสองปี โดยได้ปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง สกุลเงินยูโรที่อ่อนค่า และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นของธนาคารกลางยุโรป

 

โดยวันนี้ ประเทศต่างๆในยูโรโซนได้เปิดเผยตัวเลขจีดีพีประจำไตรมาสแรก ซึ่งรวมถึงฝรั่งเศสที่ขยายตัว 0.6% อิตาลีขยายตัว 0.3% ซึ่งต่างก็ออกมาดีเกินคาด อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัวชะลอลงแตะ 0.3% จาก 0.7% ในไตรมาสก่อนหน้า

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 13 พฤษภาคม 2558)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธนาคารกลางจีนเปิดเผยว่า การปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนของจีนในเดือนเม.ย.แตะระดับ 7.079 แสนล้านหยวน (1.1418 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.855 แสนล้านหยวนจากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ M2 ซึ่งครอบคลุมเงินสดหมุนเวียนและเงินฝากทั้งหมด ปรับตัวขึ้น 10.17% เทียบรายปี แตะ 128.08 ล้านล้านหยวน ณ สิ้นเดือนเม.ย.

 

ส่วนปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ M1 ซึ่งครอบคลุมถึงกระแสเงินสดหมุนเวียนและเงินฝากเผื่อเรียก (demand deposits) ปรับเพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 33.64 ล้านล้านหยวน ณ สิ้นเดือนเม.ย. สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2558)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจอังกฤษในปีนี้และปีหน้า โดยระบุว่า เศรษฐกิจจะเติบโต 2.5% ในปีนี้ และ 2.6% ในปีหน้า จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือนก.พ.ที่ระดับ 2.9% สำหรับปีนี้และปีหน้า

 

การปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งได้แก่ การแข็งค่าของปอนด์, ภาวะซบเซาในตลาดที่อยู่อาศัย และประสิทธิภาพการผลิตที่ระดับต่ำ

 

นอกจากนี้ BoE ยังระบุว่า ความเสี่ยงจากวิกฤตการณ์หนี้กรีซ ได้ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของอังกฤษด้วย

 

ขณะเดียวกัน BoE คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะดีดตัวกลับสู่ระดับเป้าหมายของ BoE ที่ 2% ในช่วงต้นปี 2017 ขณะที่นักลงทุนคาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในกลางปี 2016

 

ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยในวันนี้ว่า จำนวนผู้ว่างงานในอังกฤษในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค.ลดลง 35,000 คน สู่ระดับ 1.83 ล้านคน ขณะที่อัตราว่างงานปรับตัวลงจากระดับ 5.6% มาอยู่ที่ 5.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่ปี 2008

 

ส่วนค่าจ้างรวมโบนัสขยายตัว 1.9% และค่าจ้างไม่รวมโบนัสขยายตัว 2.2% ซึ่งเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานของอังกฤษยังมีความแข็งแกร่ง

 

ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (วันที่ 13 พฤษภาคม 2558)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แบงก์ดอดหั่น ดบ.ฝากพิเศษ-ฝากประจำ 0.25-0.50% อีกระลอก สบช่องลดต้นทุนการเงิน หลัง กนง.ลดดอกเบี้ยซ้อน 2 ครั้ง แต่เมินลดดอกกู้ หวังรักษาส่วนต่างดอกเบี้ยเต็มที่

 

 

 

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ภายหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ต่อปี ครั้งล่าสุดเหลือ 1.50% ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษลงโดยเฉลี่ยที่ประมาณ 0.25-0.50% ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทยธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทิสโก้ ธนาคารยูโอบี และธนาคารซีไอเอ็มบีไทย

 

ส่วนดอกเบี้ยฝากประจำมีการปรับลดลงบางแห่ง ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารทิสโก้ และธนาคารเกียรตินาคิน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยังไม่มีการขยับลงแต่อย่างใด

 

ด้านนายกฤษณ์ จันทโนทก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจเงินฝาก การลงทุน ประกันภัย และธนบดี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำพิเศษลงตามผลประชุม กนง. เนื่องจากธนาคารต้องบริหารต้นทุนและรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) หรือสเปรด หลังจากช่วงที่ผ่านมาสินเชื่อไม่ได้เติบโตนัก และสภาพคล่องในระบบยังมีอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงมาก

 

ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก จะทำให้ลูกค้าหันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นเขากล่าวว่า ที่ผ่านมามีปริมาณเงินฝากไหลออกไปลงทุนในตราสารหนี้เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงจนมีนัยสำคัญ เพราะส่วนหนึ่งดัชนีราคาหุ้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ร้อนแรงมาก ขณะที่ยังมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยรายที่มั่นใจออมเงินผ่านเงินฝากมากกว่าลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่มีความเสี่ยงสูงแม้จะมีผลตอบแทนที่สูง

 

"การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้งซ้อน เชื่อว่า กนง.น่าจะต้องการกดค่าเงินบาทให้อ่อนลงเพื่อช่วยภาคส่งออก แต่เชื่อว่าคงไม่ได้ช่วยให้การปล่อยกู้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนัก เพราะสภาพเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวอย่างชัดเจนขนาดนั้น" นายกฤษณ์กล่าว

 

ขณะที่นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเกียรตินาคินกล่าวว่า ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลงทุกโปรดักต์ เพื่อบริหารจัดการต้นทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเติบโตของสินเชื่อที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก โดยปัจจุบันต้นทุนเงินฝากเฉลี่ยของธนาคารอยู่ที่ 3.1-3.2% ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงเทียบกับในระบบที่เฉลี่ยอยู่ที่กว่า 2% เนื่องจากที่ผ่านมาธนาคารต้องการเพิ่มสัดส่วนเงินฝาก Casa (บัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวัน) จึงเสนอดอกเบี้ยในอัตราที่ค่อนข้างสูง

 

"ปีที่แล้วดอกเบี้ยเงินฝากเราสูงถึง 4% แต่เมื่อสินเชื่อไม่เติบโต สภาพคล่องเลยดูล้น เราก็เลยต้องบริหารจัดการต้นทุนให้เหมาะสม ต้องปรับลดดอกเบี้ยลงบ้าง แต่ถ้าเทียบแล้วก็ถือว่ายังสูงกว่าตลาด และด้วยความที่เราเป็นแบงก์ขนาดเล็กต้นทุนเราก็ไม่น่าจะลงไปได้อีกเท่าไหร่ ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้นเรายังไม่ได้ปรับลดลง แต่ยืนยันว่าลูกค้ากว่า 80% ของเราจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ยคงที่จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากนัก"

 

อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาธนาคารมีปริมาณเงินฝากไหลออกไปลงทุนในตราสารอื่น ๆ ค่อนข้างมากประมาณ 1-2 พันล้านบาทต่อเดือน ซึ่งก็ไหลออกเหมือนกันทั้งตลาด

 

นางธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดกล่าวว่า สภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาส 1/2558 สินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวมอยู่ที่ระดับ 21% ใกล้เคียงกับช่วงสิ้นปี 2557 หรือขยับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ที่ระดับ 94.5%

 

"เศรษฐกิจไม่เติบโต สินเชื่อชะลอตัวทำให้แบงก์บริหารจัดการสภาพคล่องได้ยากขึ้น เพราะเมื่อดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงย่อมส่งผลกระทบต่อ NIM และผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ได้ ซึ่งในช่วงไตรมาส 1/58 ความสามารถในการทำกำไรของแบงก์ก็ปรับตัวลดลง และยังมีแนวโน้มลดลงอีกในไตรมาส 2 นี้" นางธัญญลักษณ์กล่าว

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2558)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (13 พ.ค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้นำเสนอรายงาน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ซึ่งเป็นการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา โดย กนง.พบว่า แรงส่งของเศรษฐกิจไทยจะกลับมาเร่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 ยังน้อยกว่าที่คาด ทำให้โอกาสที่การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ต่ำกว่า 3.8% ส่งผลให้ กนง.ได้ตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ติดต่อกันเป็นครั้งที่ 2 โดยปัจจัยเสี่ยง 3 ปัจจัยหลักต่อเศรษฐกิจไทย คือ 1.แรงส่งภาคการคลังอาจเร่งขึ้นเพียงชั่วคราว 2.ผลบวกต่อการบริโภคภาคเอกชนจากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอาจไม่เพียงพอ และ 3.การส่งออกของไทยอาจไม่ได้รับอานิสงส์เต็มที่จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

 

ผู้สื่อข่าวยังรายงานเพิ่มเติมว่า สายนโยบายการเงินได้รายงาน กนง.ด้วยว่า โอกาสที่การส่งออกของไทยจะขยายตัวเป็นบวกในครั้งนี้มีค่อนข้างน้อย เนื่องจากตัวเลขการติดลบของการส่งออกในไตรมาสแรกต่ำกว่าที่ ธปท.คาดไว้ค่อนข้างมาก โดยหากต้องการให้การขยายตัวของการส่งออกของไทยทั้งปีขยายตัวได้ที่ 0% การส่งออกในช่วง 8 เดือนที่เหลือ จำเป็นต้องมีมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 19,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน ซึ่งเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออก 4 เดือนแรกถือว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมาก

 

ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในปีนี้นั้น มีโอกาสมากขึ้นที่เงินเฟ้อทั้งปีนี้จะติดลบ แต่ในขณะนี้ กนง.ยังไม่ถือว่าเป็นภาวะเงินฝืด แต่ยอมรับว่ามีความเป็นห่วงมากขึ้น เห็นได้จากการที่ราคาสินค้าจำนวนมากขึ้นมีแนวโน้มชะลอตัว.

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2558)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติประจำเดือน พ.ค.ปรับตัวลดลง 10.26% ที่ระดับ 76.92 จุด หลังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทย 3 เดือนข้างหน้าส่อแววซบเซา เหตุเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้ากดดัน แห่หันไปลงทุนโซนเอเชียเหนือ-ยุโรป สวนภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นพุ่งขึ้นกว่า 30%

 

 

 

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือน พ.ค.เพิ่มขึ้นกว่า 30.19% อยู่ที่ 102.72 จุด ถือเป็นระดับทรงตัว (Neutral) และดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลสำรวจเดือนก่อนที่อยู่ระดับ 78.90 จุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ในช่วงอีก 3 เดือนข้างหน้าตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวได้เพิ่มมาก เนื่องจากเชื่อว่านโยบายเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยบวกที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้น ส่วนปัจจัยเชิงลบที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากที่สุด ได้แก่ เศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่หมวดอุตสาหกรรมที่น่าลงทุนมากที่สุด คือ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ส่วนหมวดอุตสาหกรรมที่ไม่น่าลงทุนมากสุด คือ หมวดธุรกิจการเกษตร

 

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนรายกลุ่มกลับพบว่า ความเชื่อมั่นของสถาบันต่างประเทศได้ปรับลดมากที่สุด ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนราว 10.26% มาอยู่ที่ระดับ 76.92 จุด และเป็นระดับที่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะมีแนวโน้มซบเซา (Bearish) โดยนักลงทุนต่างชาติมีมุมมองสัดส่วนกว่า 50% เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยถือเป็นปัจจัยเชิงลบต่อทิศทางตลาดหุ้น ส่วนรองลงมาคือปัจจัยการเมืองราว 28.57% ส่วนสถานการณ์ต่างประเทศ, นโยบายเศรษฐกิจ, ปัจจัยอื่น ๆ มีสัดส่วนเท่า ๆ กัน 7.14%

 

"ที่ผ่านมาได้สอบถามนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ อาทิ เวลลิงตัน, โนมูระ, โกลด์แมน แซกส์ แม้ยังเชื่อว่าปีนี้การลงทุนในหุ้นยังเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุด แต่ส่วนใหญ่ยังเน้นลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียตอนเหนือและยุโรป ซึ่งเป็นผลพวงความกังวลว่าเศรษฐกิจของประเทศเอเชียตอนใต้อาจจะได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ขณะที่ไทยนั้นเชื่อว่าเงินลงทุนต่างชาติจะยังติดลบอยู่เพราะความคาดหวังเดิมที่เยอะเกินไป จากการลงทุนของภาครัฐยังล่าช้ากว่าที่เขาคาด" นางวรวรรณกล่าว

 

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยปีนี้ดัชนีสูงสุดจะอยู่ที่ระดับ 1,653 จุด โดยอิงจากประมาณการกำไรปีนี้ที่มีการเติบโต 23.7% และคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้และเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดี ขณะที่มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยต่ำสุดจะอยู่ที่ระดับ 1,357 จุด ภายใต้เงื่อนไขที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็วทำให้นักลงทุนขายสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงและเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ซึ่งน่าจะไหลออกมากแล้ว

 

ที่มา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ (วันที่ 14 พฤษภาคม 2558)

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...