ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

http://pantip.com/topic/30703160

 

เอากระทู้ของ Mr.Messenger มาฝากครับ (^^) เกี่ยวกับจีน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

  • เลขาธิการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ประกาศลาออก ก.ย. นี้ เพื่อไปเป็นอธิการของมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย

สละเรือก่อนเรือล่ม?!

  • เป็นที่รู้กันว่าโป๊งเหน่งจะพ้นตำแหน่งปีหน้า
  • ตอนนี้ อลิซเบท ดูค หนึ่งในบอร์ดของธนาคารกลาง ได้ยื่นจดหมายลาออกกับปธน.โดยไม่ได้ระบุเหตุผล โดยจะมีผลในปลายเดือน ส.ค. นี้

http://www.zerohedge...th-duke-resigns

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แกรแฮม ทัคเวลล์ ผู้บุกเบิกอีทีเอฟ ให้ความเห็นเกี่ยวกับทองคำไว้ดังนี้

  • ตลาดกระทิงของทองคำนั้นยังไม่จบ เพราะปัจจัยต่างๆยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
  • ถ้าคุณจะหยุดพิมพ์เงินเพื่อซื้อพันธบัตรมันก็เรื่องนึง แต่ใครจะมาจ่ายเงินคืนค่าพันธบัตรล่ะ? แล้วจะดูดเงินที่พิมพ์ออกมากลับอย่างไร? สิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้น และประวัติศาสตร์ก็เป็นเครื่องยืนยันก็คือ การลดค่าเงินของตัวเอง
  • ทองคำเปรียบเสมือนครูใหญ่ของ วินัยทางการเงิน, คุณค่าของเงิน, และการขาดดุลของประเทศ ... มันสามารถวิ่งขึ้นไปถึง ๓๐๐๐ เหรียญได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

ส่วนทอม ไพรซ์ นักวิแคะจากยูบีเอส ให้ความเห็นเรื่องราคาทองคำ ๓๐๐๐ เหรียญไว้ว่า

  • คนที่คาดการราคาทองคำไว้ต่ำๆนั้นไม่ได้ผ่านวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน มากกว่าที่เป็นเพราะว่า "คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัว"

http://www.financialstandard.com.au/news/view/33331023

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทความจากThanong Fanclub

Thanong Fanclub 11/07/2556

 

ตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐฯที่แท้จริงอยู่ที่ 23.4%

 

 

ถ้าเป็นตัวเลขของทางการ อัตราการว่างงานอยู่ที่7.6% เดือนพฤษภาคม 2013 กราฟสีแดง

 

The headline unemployment rate (U.3) was unchanged in June 2013 versus May, at 7.6%.

 

แต่ถ้ารวมพวกทีอยู่ในตลาดแรงงานรอบนอก เช่นทำงานจิปรถะเล็กๆน้อยๆ หรือทำงานไม่เต็มเวลา ตัวเลขว่างงานอยู่ที่ 14.3% เดือนมิถุนายน กราฟสีเทา

 

The broader U.6 unemployment rate, which includes those marginally attached to the labor force, including short-term (less than one year) discouraged workers, and those working part-time for economic reasons, jumped to a headline 14.3% in June, up from 13.8% in May (unadjusted, it rose to 14.6% from 13.4%).

 

แต่ตัวเลขว่างงานที่แท้จริง รวบรวมโดย John Williams แห่งShadowstats.com อยู่ที่ 23.4% เดือนมิถุนายน กราฟสีน้ำเงิน

 

อ่วม

 

Incorporating the seasonally-adjusted U.6 and the ShadowStats estimate of long-term (more than one year) discouraged workers, the ShadowStats-Alternate Unemployment Measure rose to a series high 23.4% in June, up from 23.0% in May, as shown in the preceding graph (above).

http://kingworldnews.com/kingworldnews/KWN_DailyWeb/Entries/2013/7/9_Monetary_Base_Skyrocketing_As_Unemployment_Hits_23.4.html

มิน่า นายเบน เบอร์นันเก้ถึงได้ชักเข้าชักออก เพราะนอกจากบอนด์ยิลด์ที่เพิ่ม ข่าวร้ายตัวเลขว่างงานก็เพิ่มนี้เอง

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯายงานว่าอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคม คนอเมริกันมาสมัครรับผลประโยชน์จากการตกงานเพิม 16,000 เป็น 360,000ราย สูงสุดในรอบสองเดือน

 

แล้วนายเบนยังมาส่งซิกว่าจะแตะเบรคการทำQEก่อนหน้านี่ เพิ่งจะมาเปลี่ยนซิกเมื่อวันพุทธที่ผ่านมานี่เอง

 

แสดงว่ารู้ว่าตัวเลขคนว่างงานที่กระทรวงแรงงานจะประกาศในวันพฤหัสจะเป็นข่าวร้าย

 

เห็นชัดเลยว่านายเบนสร้างความสับสนให้ตลาด

 

U.S. jobless claims jump to 2-month high

 

Initial jobless claims rose by 16,000 to a seasonally adjusted 360,000 in the week ended July 6, the Labor Department said Thursday.

US budget surplus highest in five years in June.

http://www.bbc.co.uk/news/business-23280737

พอข่าวมีข่าวร้ายว่าตัวเลขว่างงานสหรัฐฯแย่ลง คือตกงานเพิ่ม 16,000 เป็น 360,000คนในอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคม ก็ต้องมีการปั่นข่าวดีตัวเลขดีคืองบประมาณที่เกินดุล$116,500ล้านเดือนมิถุนายนออกมาคาน

 

แต่ที่ฝังอยู่ในข่าวคือ ตัวเลขขาดดุลงบประมาณปีนี้ที่ $670,000ล้าน

 

ขาดดุลแบบยี้ คลังต้องออกบอนด์มากู้ ตอนนี้หาคนซื้อไม่ค่อยจะมี เฟดเลยต้องซื้อพันธบัตรคลังเกือบหมด ผ่านQE

 

แต่ตัวเลขขาดดุลคลังสหรัฐฯน่าเชื่อถือแค่ใหน

 

เพราะว่าปีที่แล้ว สหรัฐฯขาดดุลคลังอย่างเป็นทางการประมาณ$1ล้านล้านกว่าๆ แต่ของจริงอยู่ที่ $6.9ล้านล้าน!!!!!!!

http://www.silverdoctors.com/eric-sprott-real-2012-us-defecit-6-9-trillion-not-reported-anywhere-by-the-public-press/

 

QEจบไม่ลง เพราะหนี้ที่ท่วมท้นต้องพิมพ์เงินออกมาจ่ายเรื่อยๆ เฟดจะพิมพ์เงินจนดอลล่าร์เป็นกระดาษ

หนี้สหรัฐฯของจริงอยู่ที่ $60ล้านล้าน มากกว่าจีดีพี 3เท่า เพราะฉะนั้นที่เฟดออกมาพูดว่าจะเลิกQEแค่ลมปาก

 

เพราะว่าถ้าเลิกQE ก็จะไม่มีใครเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ต้องออกมาเรื่อยๆเพื่อจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้นจริงและคอยจ่ายหนี้ที่เป็นพันธะ

 

QEช่วยกดดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10ปี ตอนนี้อยู่ที่ 2.6%

 

ถ้าดอกกลับไปสภาพปกติ 4-6% ตอนนั้นเฟดจะพิมพ์เงินอุตลุต จนดอลล่าร์หมดค่าอย่างรวดเร็ว

http://www.mybudget360.com/debt-reckoning-total-us-debt-market-fed-debt-balance-qe-debt/

เศรษฐกิจอเมริกาเป็น"เศรษฐกิจเทียม"

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นเศรษฐกิจเทียม คล้ายๆกับเศรษฐกิจของกรีซ

 

เศรษฐกิจเทียม คือเศรษฐกิจที่รัฐบาลกู้เงินมาอุ้มชูให้ทุกอย่างเดินต่อไปพลางๆก่อน เพื่อซื้อเวลา เพราะว่าภาคเอกชนหรือภาคประชาชนเปลี้ยล้มละลายกันหมด และเงินที่รัฐบาลกู้มาอุ้มระบบนี้ ไม่มีวันจะใช้คืนได้ เพราะมันท่วมหัวเยอะเกินไป

 

ตอนนี้สัดส่วน เศรษฐกิจสหรัฐฯพึ่งพาการใช้จ่ายการการกู้ยืมเงินอนาคตของรัฐบาลถึง 43% ส่วนแบ่งของเอกชนอยู่แค่ 57%

 

สัดส่วนนี้เพิ่มจาก รัฐบาล 35/เอกชน 65 เมื่อปี 2007 แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้แข็งแกร่งจริงตามภาพลวงตา โดยมีเงินของรัฐบาลออกมาอุ้มตลอดให้มีการใช้จ่ายเกินตัวดำเนินต่อไปได้

 

(การที่บริษัทสหรัฐฯย้ายฐานการผลิตไปจีน น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การลงทุนหาย รายได้หาย รัฐเลยต้องเข้ามาอุ้มส่วนต่างเพื่อให้ดนตรีเล่นต่อไปได้)

 

ตั้งแต่วิกฤติ2008 ลูกโป่งแตก เงินจากภาคเอกชนหายไปจากระบบ$1.3ล้านล้าน ต่อปีเพราะทั้งแบงค์และบริษัทล้มละลายกันเป็นโดมิโน

 

เพื่อที่จะทดแทนเม็ดเงินจากภาคเอกชนที่หายไปนี้ รัฐบาลสหรัฐฯโดยนายบุชและนายโอบามาต้องใส่เงินเข้าไปในปริมาณพอๆกัน เพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีการปฏิรูปเลหลังขายของถูก และไม่ต้องเจ็บตัวกันมาก

 

ผลก็คือรัฐบาลต้องขาดดุลงบ $1ล้านล้านกว่าทุกๆปี เพื่อชดเชย outputของเอกชนที่หายไป

 

ช่วงที่โอบามารับตำแหน่งปี 2009 หนี้สาธารณะสหรัฐฯอยู่ที่ $10ล้านล้าน โอบามาอยู่มา 4ปีหนี้พุ่งไป $16ล้านล้าน หรือ 100% ต่อจีดีพี--- หนี้ภาครัฐภายใต้โอบามาเพิ่ม $6ล้านล้านใน 4ปี มหึมามาก จีดีพีไทยแลนด์มีขนาดแค่แค่ $400,000ล้าน

 

เข้าทำนองเศรษฐีจนไม่ลง

 

ตอนนี้หนี้สหรัฐฯชนเพดานทะลุ $16ล้านล้านกว่าแล้ว

 

เพราะฉะนั้นเวลารายงานจีดีพี สหรัฐ เขารวมทั้งoutputภาครัฐที่มาจากการกู้หนี้สินในอนาคต กับoutputของเอกชนรวมกัน

 

จีดีพีที่โต รวมทั้งตลาดหุ้นที่พุ่งทะยานเป็นฟองสบู่รอบสองจึงเป็นเพียงภาพลวงตา

 

ถ้าตัดการใช้จ่ายจากภาครัฐออก -- นี่ยังไม่พูดถึงบทบาทการเงินของ US Federal Reserve ผ่านQE ดอกเบี้ย 0% -- เศรษฐกิจสหรัฐฯจะติดลบ

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯมีขนาด $16ล้านล้าน ถ้าเอาส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐออก $1ล้านล้านกว่าออก เศรษฐกิจสหรัฐจะติดลบ 6%

 

นี่คือเศรษฐกิจเทียมของแท้

http://news.goldseek.com/GoldSeek/1373560088.php

US Total debt owed now approaches $60 trillion

 

หนี้สหรัฐฯของจริงอยู่ที่ $60ล้านล้าน มากกว่าจีดีพี 3เท่า เพราะฉะนั้นที่เฟดออกมาพูดว่าจะเลิกQEแค่ลมปาก

 

เพราะว่าถ้าเลิกQE ก็จะไม่มีใครเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ต้องออกมาเรื่อยๆเพื่อจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้นจริงและคอยจ่ายหนี้ที่เป็นพันธะ

 

QEช่วยกดดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10ปี ตอนนี้อยู่ที่ 2.6%

 

ถ้าดอกกลับไปสภาพปกติ 4-6% ตอนนั้นเฟดจะพิมพ์เงินอุตลุต จนดอลล่าร์หมดค่าอย่างรวดเร็ว

http://www.mybudget360.com/debt-reckoning-total-us-debt-market-fed-debt-balance-qe-debt/

เศรษฐกิจอเมริกาเป็น"เศรษฐกิจเทียม"

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นเศรษฐกิจเทียม คล้ายๆกับเศรษฐกิจของกรีซ

 

เศรษฐกิจเทียม คือเศรษฐกิจที่รัฐบาลกู้เงินมาอุ้มชูให้ทุกอย่างเดินต่อไปพลางๆก่อน เพื่อซื้อเวลา เพราะว่าภาคเอกชนหรือภาคประชาชนเปลี้ยล้มละลายกันหมด และเงินที่รัฐบาลกู้มาอุ้มระบบนี้ ไม่มีวันจะใช้คืนได้ เพราะมันท่วมหัวเยอะเกินไป

 

ตอนนี้สัดส่วน เศรษฐกิจสหรัฐฯพึ่งพาการใช้จ่ายการการกู้ยืมเงินอนาคตของรัฐบาลถึง 43% ส่วนแบ่งของเอกชนอยู่แค่ 57%

 

สัดส่วนนี้เพิ่มจาก รัฐบาล 35/เอกชน 65 เมื่อปี 2007 แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้แข็งแกร่งจริงตามภาพลวงตา โดยมีเงินของรัฐบาลออกมาอุ้มตลอดให้มีการใช้จ่ายเกินตัวดำเนินต่อไปได้

 

(การที่บริษัทสหรัฐฯย้ายฐานการผลิตไปจีน น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การลงทุนหาย รายได้หาย รัฐเลยต้องเข้ามาอุ้มส่วนต่างเพื่อให้ดนตรีเล่นต่อไปได้)

 

ตั้งแต่วิกฤติ2008 ลูกโป่งแตก เงินจากภาคเอกชนหายไปจากระบบ$1.3ล้านล้าน ต่อปีเพราะทั้งแบงค์และบริษัทล้มละลายกันเป็นโดมิโน

 

เพื่อที่จะทดแทนเม็ดเงินจากภาคเอกชนที่หายไปนี้ รัฐบาลสหรัฐฯโดยนายบุชและนายโอบามาต้องใส่เงินเข้าไปในปริมาณพอๆกัน เพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีการปฏิรูปเลหลังขายของถูก และไม่ต้องเจ็บตัวกันมาก

 

ผลก็คือรัฐบาลต้องขาดดุลงบ $1ล้านล้านกว่าทุกๆปี เพื่อชดเชย outputของเอกชนที่หายไป

 

ช่วงที่โอบามารับตำแหน่งปี 2009 หนี้สาธารณะสหรัฐฯอยู่ที่ $10ล้านล้าน โอบามาอยู่มา 4ปีหนี้พุ่งไป $16ล้านล้าน หรือ 100% ต่อจีดีพี--- หนี้ภาครัฐภายใต้โอบามาเพิ่ม $6ล้านล้านใน 4ปี มหึมามาก จีดีพีไทยแลนด์มีขนาดแค่แค่ $400,000ล้าน

 

เข้าทำนองเศรษฐีจนไม่ลง

 

ตอนนี้หนี้สหรัฐฯชนเพดานทะลุ $16ล้านล้านกว่าแล้ว

 

เพราะฉะนั้นเวลารายงานจีดีพี สหรัฐ เขารวมทั้งoutputภาครัฐที่มาจากการกู้หนี้สินในอนาคต กับoutputของเอกชนรวมกัน

 

จีดีพีที่โต รวมทั้งตลาดหุ้นที่พุ่งทะยานเป็นฟองสบู่รอบสองจึงเป็นเพียงภาพลวงตา

 

ถ้าตัดการใช้จ่ายจากภาครัฐออก -- นี่ยังไม่พูดถึงบทบาทการเงินของ US Federal Reserve ผ่านQE ดอกเบี้ย 0% -- เศรษฐกิจสหรัฐฯจะติดลบ

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯมีขนาด $16ล้านล้าน ถ้าเอาส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐออก $1ล้านล้านกว่าออก เศรษฐกิจสหรัฐจะติดลบ 6%

 

นี่คือเศรษฐกิจเทียมของแท้

http://news.goldseek.com/GoldSeek/1373560088.php

หนี้รัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มจากระดับต่ำกว่า 70%ต่อจีดีพีก่อนวิกฤติ 2008 เป็น 100%ต่อจีดีพี

 

โอบามาทั้งนั้น

นอกจากการอัดการคลังเพื่อไม่ใช้เศรษฐกิจล้ม แล้ว US Federal Reserveเข้ามาช่วยอีกแรงผ่าน QE

 

ก่อนหน้าวิกฤติ 2008 ตัวเลขงบดุลเฟดอยู่ที่ $800,000ล้าน

 

เฟดพิมพ์เงินเข้าไปทำ QEอุ้มแบงค์ ทำให้งบดุลยเฟดเพิ่มเป็น $3.5ล้านล้าน ตอนนี้

 

การคลังจะมีงบขาดดุลอย่างน้อย $1ล้านล้านต่อปีเพื่อชดเชยoutput$1.3ล้านล้านที่หายไปจากภาคเอกชนในระบบ เศรษฐกิจ อันสืบเนื่องมาจากฟองสบู่แตก

 

การเงินพิมพ์เงิน $1ล้านล้านต่อปีผ่าน QEเพื่ออุ้มแบงค์

 

คำถามก็คือว่า จะเล่นดนตรีผิดสเกล ผิดโนัตแบบนี้ไปได้นานอีกแค่ไหน

คนอเมริกันกว่า100ล้านคน ต้องพึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาล

 

หนึ่งในสามคนอเมริกันหรือ101ล้านคน จากประชากรทั้งหมด316.2ล้านคน ไม่สามารถทำมาหากินเองได้ ต้องพึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาล

 

สหรัฐฯมีโครงการอุดหนุนอาหารให้คนจนอยู่ 15โครงการ ใช้เงินปีละ$114,000ล้าน

 

จำนวนคนที่พึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาลมากกว่าจำนวนคนที่ทำงานในภาคเอกชนที่มีอยู่ประมาณ 97.18ล้านคน

 

เฟดทำQEช่วยแบงค์ แต่เงินไม่ถึงคนจน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลังวิกฤติ2008

 

ที่บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นคงจะเป็นเรื่องโกหก

 

ระเบิดเวลาทางสังคมกำลังครุกรุ่นอยู่

 

 

(CNSNews.com) – The number of Americans receiving subsidized food assistance from the federal government has risen to 101 million, representing roughly a third of the U.S. population.

 

The U.S. Department of Agriculture estimates that a total of 101,000,000 people currently participate in at least one of the 15 food programs offered by the agency, at a cost of $114 billion in fiscal year 2012.

 

That means the number of Americans receiving food assistance has surpassed the number of full-time private sector workers in the U.S.

 

According to the Bureau of Labor Statistics (BLS), there were 97,180,000 full-time private sector workers in 2012.

 

The population of the U.S. is 316.2 million people, meaning nearly a third of Americans receive food aid from the government.

 

- See more at: http://cnsnews.com/news/article/101m-get-food-aid-federal-gov-t-outnumber-full-time-private-sector-workers#sthash.n7sERN8O.dpuf

https://www.facebook.com/groups/135029796643588/291591274320772/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อาทิตย์ที่ผ่านมาทองขึ้นมาได้พอสมควรเพราะลุงเหน่งบอกว่ายังไม่น่าจะเลิกพิมพ์(ปั่นหุ้น?)

แต่อย่าเพิ่งดีใจไปเพราะอาทิตย์หน้าวันพุธและพฤหัส ลุงเหน่งต้องรายงานครึ่งปีต่อสภา

ลุงแกอาจบอกว่าจะ ลด ละ แล้วก็จะเลิกพิมพ์(ทุบหุ้น?) ก็ได้ :17

ลุงแอนด์เฟรนด์ รวยเละ :uu

 

ดังนั้นอาทิตย์หน้าระวังหน่อยนะครับ อาจโดนทุบก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม CoT ของอาทิตย์นี้ L ของเจ้ามือเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

จะเห็นว่าน้อยกว่า S แค่ไม่กี่สัญญาแล้ว (19041)

post-23-0-24619800-1373679433_thumb.jpg

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

A Historic Inversion: Gold GOFO Rates Turn Negative For The First Time Since Lehman

 

http://www.zerohedge...rst-time-lehman

 

:Announce Even the LBMA website now shows that gold is in backwardation. The gold forward rate out to three months is negative.

 

http://kingworldnews...old_Market.html

 

ติดลบมา 5 วันซ้อนแล้วครับ ดูรายละเอียดได้ที่นี่ http://www.lbma.org....id=55&show=2013

 

 

Backwardation is a symptom of an apparent “shortage” of gold, an abnormality. Gold is not physically “scarce” in the market because its inventories have accumulated for thousands of years. So, this shortage can only be possible if “strong hands”, the ones who keep hoarding it, are every day less willing to sell it at bargain prices in a moment of financial distress, like today.

In other words, this backwardation tends to become permanent and is a sign of distrust in the fiat monetary system. Sooner or later, the collapse of the futures market is unavoidable: the delivery of gold will become impossible.

 

http://www.silverdoctors.com/warning-ignore-goldat-your-own-risk/#more-29124

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Samsung จ่าย Apple 1พันล้านเหรียญด้วยการส่งรถบรรทุกขนเหรียญ 5เซน 30 คัน 555555555+

 

This entry was posted by FX9 Thursday, 11 July, 2013

Read the rest of this entry »

Samsung จ่าย Apple 1พันล้านเหรียญ

 

รายงานว่า Samsung ส่งรถบบรทุก 30คัน บรรทุกเหรียญ 5เซนต์ เต็มทุกคัน ไปเทลงหน้าสำนักงานใหญ่แอปเปิ้ลในคูเปอร์ติโน, แคลิฟอร์เนีย ในขั้นต้นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัท Apple บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งเทคโนโลยี ได้บอกรถบรรทุก ที่เข้ามาว่า คุณมาส่งผิดที่แล้ว แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมาทิมคุกซีอีโอของแอปเปิ้ลได้รับโทรศัพท์จาก CEO ของ ซัมซุง ได้บอกว่า 1พันล้านเหรียญ นั้นจะถูกจ่ายให้คุณในรูปแบบของเหรียญ.

samsung-pays-apple-1-billion-sending-30-trucks-full-of-5-cents-coins.jpg

ในส่วนของที่มาของการเล่นสนุกครั้งนี้มาจากการที่ ในการลงนามในสัญญา ไม่ได้ระบุ วิธีการชำระเงิน นั้นเอง ดังนั้น Samsung จึงได้ใช้การชำระเงินให้กับ ผู้เป็นเจ้าของ iPhone ด้วยเหรียญทั้งหมด ซึ่งซัมซุงมีสิทธิ์ ที่จะทำได้ เพราะว่าในสัญญาระบุไว้แต่เพียงว่า ชำระในช่องทางที่เห็นดีที่สุด.

การเล่นไม่สะอาด ในครั้งนี้ เป็นการสร้างความ เวียนหัว ครั้งใหญ่ให้กับ ผู้บริหารทางฝั่ง Apple เป็นแน่แท้ เพราะพวกเขาจะต้องใช้เวลานาน และต้องหาวิธี นับเงิน เหรียญ 5เซนต์ นี้ ทั้งหมดให้ถูกต้องและจะต้องนำเข้าธนาคารและ ภวนาให้ธนาคารยอมรับเงิน มากมายนี้ด้วย

Lee Kun-hee ประธานบริษัท ซัมซุงอิเล็กทรอนิคส์ ได้บอกกับสื่อว่า บริษัทของเขาจะไม่ถูกข่มขู่ จากกลุ่ม “geeks with style” ถ้าพวกเขาจะเล่นสกปรก ทางซัมซุงก็มีวิธีว่าจะทำยังไงต่อไป

คุณสามารถใช้เหรียญของคุณเพื่อซื้อเครื่องดื่ม เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับชีวิตหรือใช้เหรียญสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาของผม ผมได้จ่ายเงินคุณไปแล้วและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

จำนวนของเหรียญทั้งหมด ราว 20 พันล้านเหรียญ คาดว่าจะส่งมอบเสร็จสิ้นในสัปดาห์นี้

 

ลองดูว่าแอปเปิ้ลจะมีกลยุท ใดต่อกรกลับในครั้งนี้ 5555555555+

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Samsung จ่าย Apple 1พันล้านเหรียญด้วยการส่งรถบรรทุกขนเหรียญ 5เซน 30 คัน 555555555+

 

This entry was posted by FX9 Thursday, 11 July, 2013

Read the rest of this entry »

Samsung จ่าย Apple 1พันล้านเหรียญ

 

รายงานว่า Samsung ส่งรถบบรทุก 30คัน บรรทุกเหรียญ 5เซนต์ เต็มทุกคัน ไปเทลงหน้าสำนักงานใหญ่แอปเปิ้ลในคูเปอร์ติโน, แคลิฟอร์เนีย ในขั้นต้นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัท Apple บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งเทคโนโลยี ได้บอกรถบรรทุก ที่เข้ามาว่า คุณมาส่งผิดที่แล้ว แต่เพียงไม่กี่นาทีต่อมาทิมคุกซีอีโอของแอปเปิ้ลได้รับโทรศัพท์จาก CEO ของ ซัมซุง ได้บอกว่า 1พันล้านเหรียญ นั้นจะถูกจ่ายให้คุณในรูปแบบของเหรียญ.

samsung-pays-apple-1-billion-sending-30-trucks-full-of-5-cents-coins.jpg

ในส่วนของที่มาของการเล่นสนุกครั้งนี้มาจากการที่ ในการลงนามในสัญญา ไม่ได้ระบุ วิธีการชำระเงิน นั้นเอง ดังนั้น Samsung จึงได้ใช้การชำระเงินให้กับ ผู้เป็นเจ้าของ iPhone ด้วยเหรียญทั้งหมด ซึ่งซัมซุงมีสิทธิ์ ที่จะทำได้ เพราะว่าในสัญญาระบุไว้แต่เพียงว่า ชำระในช่องทางที่เห็นดีที่สุด.

การเล่นไม่สะอาด ในครั้งนี้ เป็นการสร้างความ เวียนหัว ครั้งใหญ่ให้กับ ผู้บริหารทางฝั่ง Apple เป็นแน่แท้ เพราะพวกเขาจะต้องใช้เวลานาน และต้องหาวิธี นับเงิน เหรียญ 5เซนต์ นี้ ทั้งหมดให้ถูกต้องและจะต้องนำเข้าธนาคารและ ภวนาให้ธนาคารยอมรับเงิน มากมายนี้ด้วย

Lee Kun-hee ประธานบริษัท ซัมซุงอิเล็กทรอนิคส์ ได้บอกกับสื่อว่า บริษัทของเขาจะไม่ถูกข่มขู่ จากกลุ่ม “geeks with style” ถ้าพวกเขาจะเล่นสกปรก ทางซัมซุงก็มีวิธีว่าจะทำยังไงต่อไป

คุณสามารถใช้เหรียญของคุณเพื่อซื้อเครื่องดื่ม เล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับชีวิตหรือใช้เหรียญสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่นั้นไม่ใช่ปัญหาของผม ผมได้จ่ายเงินคุณไปแล้วและปฏิบัติตามกฎหมาย

 

จำนวนของเหรียญทั้งหมด ราว 20 พันล้านเหรียญ คาดว่าจะส่งมอบเสร็จสิ้นในสัปดาห์นี้

 

ลองดูว่าแอปเปิ้ลจะมีกลยุท ใดต่อกรกลับในครั้งนี้ 5555555555+

 

โดย FX9.NET blog ที่มา: http://www.nextventured.com

 

จากข่าวลวงเรื่องซัมซุงจ่ายค่าปรับ 1 พันล้านดอลลาร์ เป็นเหรียญ 5 เซนต์หลายคนอาจทราบแล้วว่าเป็นเพียงเรื่องแต่งขึ้น แต่หลายคนก็ยังคาใจอยู่ว่า หากซัมซุงจ่ายเงินให้แอปเปิลเป็นเหรียญล้วนๆ จริงจะเป็นอย่างไร แอปเปิลมีสิทธิ์ปฏิเสธหรือไม่

 

อ่านต่อในลิ้งค์เลยครับ

 

http://www.vcharkarn.../vblog/114084/4

 

http://www.blognone.com/node/35531

 

กฎหมายของสหรัฐอเมริกาว่าด้วยเหรียญ มิได้บังคับว่าภาคเอกชนจำต้องรับชำระหนี้ด้วยเหรียญ อีกทั้งเอกชนมีสิทธิปฏิเสธการรับชำระหนี้ด้วยธนบัตรมูลค่าสูง เช่น จ่ายค่ารถเมล์ด้วยแบงค์พัน รถเมล์มีสิทธิไม่รับชำระหนี้ โดยเอกชนมีเสรีภาพที่จะกำหนดนโยบายในการรับชำระหนี้ด้วยเหรียญตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย

 

http://wanratngamniyom.wordpress.com/2012/08/30/%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D-%E0%B8%81/

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

http://www.usdebtclock.org/

 

13 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 11:51 น.

  • U.S. National Debt Clock : Real Time
     
     
    โดย Norimaki Arale และ Jimmy Siri ใน The Gold War Phase II...by Jimmy Siri (ไฟล์) · แก้ไขเอกสาร
     
    405955_296479717069573_879728576_a.jpg
    Natthaphon Choochan
    มีน้องคนหนึ่งถามผมมาว่านี่คืออะไร อ่านข้อมูลเหล่านี้ยังงัย และใช้ทำประโยชน์ในการเพิ่มความรู้อะไรให้เราได้บ้าง ขอรบกวนเพื่อนๆที่พอทราบหรือรู้ละเอียดช่วยอธิบายให้ด้วยนะครับขอขอบคุณมาก ครับ
    U.S. National Debt Clock : Real Time
    www.usdebtclock.org
    US National Debt Clock : Real Time U.S. National Debt Clock


      • Norimaki Arale จริงๆมันก็ตามชื่อแหละครับ ก็คือนาฬิกา "หนี้" ของเมกา ในแต่ละช่องก็บอกข้อมูลต่างๆ ตั้งแต่ หนี้ รายได้ รายจ่าย assets
        9 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ
      • Jimmy Siri โพสต์ถามมาเลยได้มีโอกาสมานั่งดูเป็นรายตัว ครับ ดูเหมือนว่าจะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ เพิ่มข้อมูลหลายๆอย่างขึ้นมาอีกจากเวอร์ชั่นเก่าที่เน้นหนักในในเรื่องหนี้ เค้าถึงตั้งชื่อว่า Debt Clock โดยส่วนตัวก็นานๆดูทีครับ เพราะดูกี่ที "หนี้" มันก็พุ่งกระฉูดเหมือนเดิม แล้วก็ทำให้ตัวเลขต่างๆถล่มทลายตามไปติดๆ
        ส่วนสำคัญคงอยู่ที่มุมบนซ้ายสุดคือ US National Debt หรือแปลไทยว่าหนี้ประชาชาติ หรือหนี้สาธารณะ ตอนนี้ 15.24 Trillion ซึ่งถือได้ว่าเป็นลูกหนี้รายใหญ่สุดและมากที่สุดในโลก นับตั้งแต่มีการสร้างโลกมา...555+ ดังนั้น Debt per citizen หรือหนี้ต่อหัวของประชากรจึงอยู่ที่ $48,711 ก็คือถ้าวินาทีนี้มีทารกแรกเกิดในสหรัฐ ก็คือเป็นหนี้เลย $48,711 ต่ำลงมาเป็นรายจ่ายภาครัฐปีปัจจุบันคือ 3.62 Trillion ข้างๆคือตัวปัญหา คือ Budget Deficit หรือยอดขาดดุลย์งบประมาณ หรือรายจ่ายส่วนที่เกินรายรับแต่ยังไม่มีตังค์ ณ ตอนนี้ต้นปี 2012 อยู่ที่ 1.3 Trillion และตัวเลขตัวนี้ยังคงมุ่งหน้าทำลายสถิติ All Time High ทุกปีครับ แม้หนี้จะท่วมขนาดนี้ก็ตาม
        กรอบใหญ่ที่ติดกันด้านขวาคือรายได้ที่เข้ามาครับ ว่ามาจากไหนเท่าไหร่ แต่ทันทีที่ต่ำลงมาคือ State Revenue หรือรายรับเฉลี่ยในระดับรัฐ เมื่อหักล้างกับต้วข้างๆคือ หนี้เฉลี่ยในระดับ รัฐ ซึ่งสูงกว่ารายรับ หรือก็คือ ระดับรัฐก็ ถังแตกแล้วครับ รายรับไม่พอรายจ่าย ยิ่งมีตัวข้างขวายืนยัน คือ Local Revenue เจาะย่อยลงไปอีกในระดับท้องถิ่น ค่าเฉลี่ยนระดับท้องถิ่นก็ยังยืนยันเหมือนเดิมครับว่า...ถังแตก รายรับน้อยกว่ารายจ่าย แต่ปัญหาคือถ้ารัฐบาลระดับรัฐหรือท้องถิ่นถังแตกหรือเจ๊ง ก็คือต้อง declare bankrupcy ประกาศยอมแพ้ หรือล้มละลายครับ ไม่มีตัวช่วยเพราะปั๊มเงินเองไม่ได้ ต่างจากรัฐบาลกลาง ที่มีพริ๊นเตอร์เป็นของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ก็กำลังไล่ล้มมาเรื่อยในระด้บท้องถิ่น ล่าสุดคือ Jefferson Country ซึ่งถือว่าเป็นเคสการล้มลายของรัฐบาลท้องถิ่นที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่สหรัฐตั้ง ประเทศมา
        8 ชั่วโมงที่แล้ว · เฉยๆ · 8
      • Jimmy Siri กรอบใหญ่ที่ 2 ด้านซ้ายรองลงมาก็คือ Welfare หรือสวัสดิการที่ภาครัฐค้างจ่ายประชาชนอยู่ ซึ่งเป็นอะไรที่ต้องจ่ายแน่นอน ทั้งค่ารักษาพยาบาบาล เงินประกันสังคม เงินประกันรายได้ เงินบำนาญ สารพัดเงินชดเชยต่างๆ โดยเฉพาะการทหารที่สูงมากกกกก ****และโดยส่วนใหญ่ในนี้ไปเก็บเงินสมทบเค้ามาหมดแล้วววว
        จึงถือได้ว่าเป็นหนี้ตัวหนี่งครับ ชุดนี้น่าจะเป็นของรายปี เพราะบวกกันทั้งหมดแล้วประมาณ 3 Trillion ไม่เยอะครับ....555+ เพราะถ้ารวมกันขึ้นมาจริงๆแล้วโปะสะสมต่อเนื่องทุกรูปแบบมาอยู่ที่ 75-80 Trillion โดยประมาณก็บวกเข้าไปใน "หนี้" ซึ่งจะแยกหรือไปแปะไว้ตรงไหนมันก็คือหนี้อยู่ดีครับ นี่แหละครับ "ประชานิยม" Welfare State รัฐสวัสดิการตัวพ่อ กำลังจะถึงจุดจบ แล้วยุโรปก็ตามเค้าไป และดูเหมือนเราก็เลือกเส้นทางนี้อยู่ครับ.....ไชโย
        8 ชั่วโมงที่แล้ว · เฉยๆ · 7
      • Jimmy Siri ‎"ดูข้อมูลในหน้านี้แล้วน่ากลัวกว่าหนังสยองขวัญใดๆ"
        8 ชั่วโมงที่แล้ว · เฉยๆ · 6
      • Plugnaja Satthai โคตรโหด
        8 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ
      • Norimaki Arale อีกตัวที่น่าสนใจ คือ MB Monetary Base ตอนนี้ ประมาณ $2.7Trillion แต่ตอนปี 2008 มีแค่ $0.87Trillion เท่านั้นเอง เพิ่มขึ้น 3 เท่าในเวลา 3-4ปี ถ้าคิดในแง่ไม่ดี ก็พอจะมองได้ว่าพวกเค้าเองก็ควบคุมไม่ได้เหมือนกัน จนแพนิคอัดเงินเข้าระบบมหาศาลในช่วงสั้นๆ
        7 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ · 2
      • Jimmy Siri กรอบใหญ่ด้านขวาพื้นสีน้ำตาลก็คือ GDP หรือ US Gross Domestic Product หรือรายได้ประชาชาติ ที่เพิ่งจะมีปัญหาไปหมาดๆไปเมื่อปีใหม่คือ ยอดหนี้สาธารณะของสหรัฐ แตะและ "ท่วม" GDP
        โดยดูกรอบใต้ GDP ตรงคำว่า Gross Debt to GDP Ratio ปัจจุบันอยู่ที่ 100.78xxxx % ซึ่งมาตรฐานอยู่ที่ 60% เท่านั้น หรือสถานการณ์ตอนนี้ก็คือหาได้เท่าไหร่จ่ายหนี้หมดเลย...ไม่มีตังค์ทอน
        7 ชั่วโมงที่แล้ว · เฉยๆ · 6
      • Jimmy Siri จากการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลข "หยาบๆ" ด้านบน คงพอจะอธิบายได้แล้วครับว่า ทำไมสหรัฐถึงต้องพยายาม "ยัดเยียด" ให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ หรือว่าปฏิบัติการ "ล้มกระดาน" ได้เริ่มขึ้นแล้ว......
        7 ชั่วโมงที่แล้ว · เฉยๆ · 7
      • Tkyrp Pyc ใช่เลย .."ยัดเยียด" ..คำนี้ โดนมาก
        7 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ
      • Za Farii โดยทำให้กลุ่มประเทศอาหรับเป็นพวกก่อการร้ายย?
        7 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ
      • Norimaki Arale ก็เหมือนตอนอิรัคมีอาวุธร้ายแรงนั่นแหละ ชาวอิรัคตายไปกี่แสน สุดท้ายก็หาอะไรไม่เจอ
        7 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ · 2
      • Jimmy Siri ช่วงกลางจอที่เป็นกรอบยาว 2 กรอบ กรอบบนจะเป็นตัวเลขดอกเบี้ยค้างจ่าย หรือ US Total Interst +2012 ปาเข้าไป 3.74 T ก็คือคิดดอกจากยอดหนี้ทั้งหมด และหากหารเฉลี่ยต่อคนของประชากรออกมา แค่ดอกเบี้ยอย่างเดียวก็ตก $11,953 มาถึงแค่กลางจอตรงนี้ทำให้หนี้จากบรรทัดบนสุดรวมกับหนี้ที่ผ่านๆมาเช่น สวัสดิการค้างจ่าย พุ่งขึ้นมาเป็น $56.48T หรือเฉลี่ยนต่อคนอยู่ที่ $180,546 แต่ถ้าหากหารด้วยจำนวนครัวเรือนของสหรัฐทั้งหมดจะอยู่ที่ $683,493 ขณะที่เงินออมเฉลี่ยของแต่ละครัวเรือนอยู่ที่ $4,668
        เน้นครับ.......หนี้ $683,493 VS เงินออม $4,668
         
        แถบยาวต่อมาคือ "จุดตาย" อีกอันครับ
        Total Personal Debt หรือหนี้ส่วนบุคคล ทั้งระบบ 15.938T
        Mortgage Debt หรือหนี้ภาคอสังหา ทั้งระบบ 13.49T
        Consumer Debt หรือหนี้จากการบริโภค ทั้งระบบ 2.47TCreditcard Debt หนี้บัตรเครดิต ทั้งระบบ 787 Billion
        Money Creation คือปริมาณเงินในระบบทั้งหมด ตัวเลขที่น่ากลัวที่สุดคือตัวสุดท้าย หรือที่เรียกว่า Currency and Credit Derivatives หรือก็คือตราสารทางการเงินต่างๆที่อยู่ในระบบ สูงถึง 776.31 Trilliion ที่เป็น "กระดาษ" และระบบเครดิต ไม่ต้องพูดถึงหนี้สินทั้งหมด แค่ตรงจุดนี้มีปัญหาแล้วระเบิด ทุกอย่างก็จบแล้วครับ
        6 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ · 4
      • Naruemon Thongkam อย่างนี้อาจได้เห็นหลัก quadrillion ก่อน end games ละมั้งคะเนี่ย
        6 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ
      • Jimmy Siri ข้ามมาที่กรอบใหญ่ล่างสุด เป็นเรื่องของทรัพย์สินและหนี้สินโดยรวม ดูที่ตัวเลข Total National Assets คือมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดจากทุกภาคส่วนรวมกันคือ บริษัทขนาดย่อม บริษัทขนาดใหญ่ และภาคครัวเรือน รวมกันแล้วเท่ากับ 77.31T หารเฉลี่ยรายหัวเท่ากับ 247,131 ต่อคน ในขณะที่หนี้สินรวมทุกภาคส่วนรวมเท่ากับ 117.19T หารเฉลี่ยต่อหัวเท่ากับ $1,038,324
         
        หรือก็คือ.....ทรัพย์สินโดยรวม 77.31T VS หนี้สินโดย 117.19T
         
        หารเฉลี่ยรายหัวเท่ากับ ทรัพย์สิน $247,131 ต่อคน VS หนี้สิน $1,038,324 ต่อคน หรือหนี้สินสูงกว่าทรัพย์สิน 4 เท่าตัวโดยประมาณ
        6 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจ · 5
      • Jimmy Siri สุดท้าย กรอบยาวในแนวดิ่งด้านขวาสุดของจอ เป็นตัวเลขของประชากร การว่างงาน คนเกษียณอายุ Food Stamps เคสล้มละลาย และ การฟ้องยึดทรัพย์สิน หรือ Foreclosures ทั้งหมดอัพเดตจนถึงปี 2012 หรือปัจจุบัน
         
        ตกงาน 23.29 ล้านคน
        ขอรับคูปองอาหารจากรัฐ 46.96 ล้านคน
        ล้มละลาย 1.42 ล้านคน โดนยึดทรัพย์สินหรืออสังหา 8.78 แสนราย
        6 ชั่วโมงที่แล้ว · เฉยๆ · 3
      • Jimmy Siri โดยสรุป ขอลงความเห็นว่า.......จบแล้วครับ
        มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ชิ้นส่วนของสหรัฐยังไม่หลุดออกจากกันนั่นก็คือ "World Reserve Currency" หรือก็คือเงินดอลล่า โดยเฉพาะการพิมพ์เงินเพิ่มจากอากาศผ่านโปรแกรม QE หรือการเข้าซื้อพันธบัตรตัวเอง ยิ่งซื้อก็ยิ่งต้องซื้อเพราะจะไม่มีใครยอมซื้อหากยังซื้อเองอยู่อย่างนี้ อย่างไรแล้ว ซักวันก็ต้องถึงทางตัน ซึ่งเค้าก็รู้อยุ่แก่ใจ เพระเศรษฐศาสตร์เป็นทฤษฏีที่ตายตัวครับ เยอรมันเคยทำก็เจ๊ง ซิมบับเว้เคยทำก็เจ๊ง เพียงแต่วันนี้ดอลล่าสหรัฐเป็นเงินสกุลกลางทำให้มีคู่กรณีและผู้เสียหายเยอะ มาก คือทั่วโลกนั่นแหละครับ ทุกฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยง ไม่อยากเจอโดยเฉพาะเจ้าหนี้ที่รู้ดีว่าจุดสุดท้ายก็คือ "สงคราม" จนวันนี้ทั่วโลกแห่กักตุนทองคำ เทดอลล่า ทิ้งพันธบัตร ซื้อเหมืองทอง ซื้ออาวุธ ปล่อยกู้ Swapเงินกันเองระหว่างชาติคู่ค้า ทั้งหมดก็คืออาการของการนับถอยหลังของสหรัฐและเงินดอลล่า
        หวยก็เลยไปออกที่อิหร่านและซีเรียไงล่ะครับ กระสุนนัดนี้ ได้ทั้งก่อสงครามโลก ล้างหนี้ ลดประชากร และนำไปสู่การจัดระเบียบโลกใหม่ สรุปแล้วคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีก และหากใครที่ติดตามสิ่งที่ผมเขียนมานานพอ ก็คงจะมองเห็นแล้วว่าทุกอย่าง ทุกก้าวเดิน มียุทธศาสตร์ มีการวางแผน เดินเกมส์ ทั้งบนดินและใต้ดิน "ทั่วโลก" จนทำให้หลายๆคนอาจจะรู้สึกได้ว่า การ "End Game" อยู่แค่เอื้อมแล้วครับ
        5 ชั่วโมงที่แล้ว · เฉยๆ · 7
      • Witchy De Lalu แจ่มแจ้งเลยครับคุณ jimmy ขอบคุณนะครับ
        5 ชั่วโมงที่แล้วผ่านทางโทรศัพท์มือถือ · ถูกใจ

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทความจากThanong Fanclub

Thanong Fanclub11/07/2556

 

ตัวเลขอัตราการว่างงานของสหรัฐฯที่แท้จริงอยู่ที่ 23.4%

 

 

ถ้าเป็นตัวเลขของทางการ อัตราการว่างงานอยู่ที่7.6% เดือนพฤษภาคม 2013 กราฟสีแดง

 

The headline unemployment rate (U.3) was unchanged in June 2013 versus May, at 7.6%.

 

แต่ถ้ารวมพวกทีอยู่ในตลาดแรงงานรอบนอก เช่นทำงานจิปรถะเล็กๆน้อยๆ หรือทำงานไม่เต็มเวลา ตัวเลขว่างงานอยู่ที่ 14.3% เดือนมิถุนายน กราฟสีเทา

 

The broader U.6 unemployment rate, which includes those marginally attached to the labor force, including short-term (less than one year) discouraged workers, and those working part-time for economic reasons, jumped to a headline 14.3% in June, up from 13.8% in May (unadjusted, it rose to 14.6% from 13.4%).

 

แต่ตัวเลขว่างงานที่แท้จริง รวบรวมโดย John Williams แห่งShadowstats.com อยู่ที่ 23.4% เดือนมิถุนายน กราฟสีน้ำเงิน

 

อ่วม

 

Incorporating the seasonally-adjusted U.6 and the ShadowStats estimate of long-term (more than one year) discouraged workers, the ShadowStats-Alternate Unemployment Measure rose to a series high 23.4% in June, up from 23.0% in May, as shown in the preceding graph (above).

http://kingworldnews.com/kingworldnews/KWN_DailyWeb/Entries/2013/7/9_Monetary_Base_Skyrocketing_As_Unemployment_Hits_23.4.html

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image002.jpg

มิน่า นายเบน เบอร์นันเก้ถึงได้ชักเข้าชักออก เพราะนอกจากบอนด์ยิลด์ที่เพิ่ม ข่าวร้ายตัวเลขว่างงานก็เพิ่มนี้เอง

 

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯายงานว่าอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคมคนอเมริกันมาสมัครรับผลประโยชน์จากการตกงานเพิม 16,000 เป็น 360,000รายสูงสุดในรอบสองเดือน

 

แล้วนายเบนยังมาส่งซิกว่าจะแตะเบรคการทำQEก่อนหน้านี่ เพิ่งจะมาเปลี่ยนซิกเมื่อวันพุทธที่ผ่านมานี่เอง

 

แสดงว่ารู้ว่าตัวเลขคนว่างงานที่กระทรวงแรงงานจะประกาศในวันพฤหัสจะเป็นข่าวร้าย

 

เห็นชัดเลยว่านายเบนสร้างความสับสนให้ตลาด

 

U.S. jobless claims jump to 2-month high

 

Initial jobless claims rose by 16,000 to a seasonally adjusted 360,000 in the week ended July 6, the Labor Department said Thursday.

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image003.jpg

 

US budget surplus highest in five years in June.

http://www.bbc.co.uk/news/business-23280737

พอข่าวมีข่าวร้ายว่าตัวเลขว่างงานสหรัฐฯแย่ลงคือตกงานเพิ่ม 16,000 เป็น 360,000คนในอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคมก็ต้องมีการปั่นข่าวดีตัวเลขดีคืองบประมาณที่เกินดุล$116,500ล้านเดือนมิถุนายนออกมาคาน

 

แต่ที่ฝังอยู่ในข่าวคือ ตัวเลขขาดดุลงบประมาณปีนี้ที่ $670,000ล้าน

 

ขาดดุลแบบยี้ คลังต้องออกบอนด์มากู้ ตอนนี้หาคนซื้อไม่ค่อยจะมี เฟดเลยต้องซื้อพันธบัตรคลังเกือบหมด ผ่านQE

 

แต่ตัวเลขขาดดุลคลังสหรัฐฯน่าเชื่อถือแค่ใหน

 

เพราะว่าปีที่แล้ว สหรัฐฯขาดดุลคลังอย่างเป็นทางการประมาณ$1ล้านล้านกว่าๆ แต่ของจริงอยู่ที่ $6.9ล้านล้าน!!!!!!!

http://www.silverdoctors.com/eric-sprott-real-2012-us-defecit-6-9-trillion-not-reported-anywhere-by-the-public-press/

 

QEจบไม่ลง เพราะหนี้ที่ท่วมท้นต้องพิมพ์เงินออกมาจ่ายเรื่อยๆ เฟดจะพิมพ์เงินจนดอลล่าร์เป็นกระดาษ

หนี้สหรัฐฯของจริงอยู่ที่ $60ล้านล้าน มากกว่าจีดีพี 3เท่า เพราะฉะนั้นที่เฟดออกมาพูดว่าจะเลิกQEแค่ลมปาก

 

เพราะว่าถ้าเลิกQE ก็จะไม่มีใครเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ต้องออกมาเรื่อยๆเพื่อจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้นจริงและคอยจ่ายหนี้ที่เป็นพันธะ

 

QEช่วยกดดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10ปี ตอนนี้อยู่ที่ 2.6%

 

ถ้าดอกกลับไปสภาพปกติ 4-6% ตอนนั้นเฟดจะพิมพ์เงินอุตลุต จนดอลล่าร์หมดค่าอย่างรวดเร็ว

http://www.mybudget360.com/debt-reckoning-total-us-debt-market-fed-debt-balance-qe-debt/

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image005.jpg

 

เศรษฐกิจอเมริกาเป็น"เศรษฐกิจเทียม"

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นเศรษฐกิจเทียม คล้ายๆกับเศรษฐกิจของกรีซ

 

เศรษฐกิจเทียมคือเศรษฐกิจที่รัฐบาลกู้เงินมาอุ้มชูให้ทุกอย่างเดินต่อไปพลางๆก่อนเพื่อซื้อเวลา เพราะว่าภาคเอกชนหรือภาคประชาชนเปลี้ยล้มละลายกันหมด และเงินที่รัฐบาลกู้มาอุ้มระบบนี้ ไม่มีวันจะใช้คืนได้ เพราะมันท่วมหัวเยอะเกินไป

 

ตอนนี้สัดส่วน เศรษฐกิจสหรัฐฯพึ่งพาการใช้จ่ายการการกู้ยืมเงินอนาคตของรัฐบาลถึง 43% ส่วนแบ่งของเอกชนอยู่แค่ 57%

 

สัดส่วนนี้เพิ่มจาก รัฐบาล 35/เอกชน 65 เมื่อปี 2007 แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้แข็งแกร่งจริงตามภาพลวงตาโดยมีเงินของรัฐบาลออกมาอุ้มตลอดให้มีการใช้จ่ายเกินตัวดำเนินต่อไปได้

 

(การที่บริษัทสหรัฐฯย้ายฐานการผลิตไปจีนน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การลงทุนหาย รายได้หายรัฐเลยต้องเข้ามาอุ้มส่วนต่างเพื่อให้ดนตรีเล่นต่อไปได้)

 

ตั้งแต่วิกฤติ2008 ลูกโป่งแตก เงินจากภาคเอกชนหายไปจากระบบ$1.3ล้านล้าน ต่อปีเพราะทั้งแบงค์และบริษัทล้มละลายกันเป็นโดมิโน

 

เพื่อที่จะทดแทนเม็ดเงินจากภาคเอกชนที่หายไปนี้รัฐบาลสหรัฐฯโดยนายบุชและนายโอบามาต้องใส่เงินเข้าไปในปริมาณพอๆกันเพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีการปฏิรูปเลหลังขายของถูกและไม่ต้องเจ็บตัวกันมาก

 

ผลก็คือรัฐบาลต้องขาดดุลงบ $1ล้านล้านกว่าทุกๆปี เพื่อชดเชย outputของเอกชนที่หายไป

 

ช่วงที่โอบามารับตำแหน่งปี 2009 หนี้สาธารณะสหรัฐฯอยู่ที่ $10ล้านล้านโอบามาอยู่มา 4ปีหนี้พุ่งไป $16ล้านล้าน หรือ 100% ต่อจีดีพี---หนี้ภาครัฐภายใต้โอบามาเพิ่ม $6ล้านล้านใน 4ปี มหึมามากจีดีพีไทยแลนด์มีขนาดแค่แค่ $400,000ล้าน

 

เข้าทำนองเศรษฐีจนไม่ลง

 

ตอนนี้หนี้สหรัฐฯชนเพดานทะลุ $16ล้านล้านกว่าแล้ว

 

เพราะฉะนั้นเวลารายงานจีดีพี สหรัฐ เขารวมทั้งoutputภาครัฐที่มาจากการกู้หนี้สินในอนาคต กับoutputของเอกชนรวมกัน

 

จีดีพีที่โต รวมทั้งตลาดหุ้นที่พุ่งทะยานเป็นฟองสบู่รอบสองจึงเป็นเพียงภาพลวงตา

 

ถ้าตัดการใช้จ่ายจากภาครัฐออก -- นี่ยังไม่พูดถึงบทบาทการเงินของ US Federal Reserve ผ่านQE ดอกเบี้ย 0% -- เศรษฐกิจสหรัฐฯจะติดลบ

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯมีขนาด $16ล้านล้าน ถ้าเอาส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐออก $1ล้านล้านกว่าออก เศรษฐกิจสหรัฐจะติดลบ 6%

 

นี่คือเศรษฐกิจเทียมของแท้

http://news.goldseek.com/GoldSeek/1373560088.php

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image006.jpg

 

US Total debt owed now approaches $60 trillion

 

หนี้สหรัฐฯของจริงอยู่ที่ $60ล้านล้าน มากกว่าจีดีพี 3เท่า เพราะฉะนั้นที่เฟดออกมาพูดว่าจะเลิกQEแค่ลมปาก

 

เพราะว่าถ้าเลิกQE ก็จะไม่มีใครเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ต้องออกมาเรื่อยๆเพื่อจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้นจริงและคอยจ่ายหนี้ที่เป็นพันธะ

 

QEช่วยกดดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลให้ต่ำกว่าความเป็นจริง ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10ปี ตอนนี้อยู่ที่ 2.6%

 

ถ้าดอกกลับไปสภาพปกติ 4-6% ตอนนั้นเฟดจะพิมพ์เงินอุตลุต จนดอลล่าร์หมดค่าอย่างรวดเร็ว

http://www.mybudget360.com/debt-reckoning-total-us-debt-market-fed-debt-balance-qe-debt/

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image005.jpg

 

เศรษฐกิจอเมริกาเป็น"เศรษฐกิจเทียม"

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นเศรษฐกิจเทียม คล้ายๆกับเศรษฐกิจของกรีซ

 

เศรษฐกิจเทียมคือเศรษฐกิจที่รัฐบาลกู้เงินมาอุ้มชูให้ทุกอย่างเดินต่อไปพลางๆก่อนเพื่อซื้อเวลา เพราะว่าภาคเอกชนหรือภาคประชาชนเปลี้ยล้มละลายกันหมด และเงินที่รัฐบาลกู้มาอุ้มระบบนี้ ไม่มีวันจะใช้คืนได้ เพราะมันท่วมหัวเยอะเกินไป

 

ตอนนี้สัดส่วน เศรษฐกิจสหรัฐฯพึ่งพาการใช้จ่ายการการกู้ยืมเงินอนาคตของรัฐบาลถึง 43% ส่วนแบ่งของเอกชนอยู่แค่ 57%

 

สัดส่วนนี้เพิ่มจาก รัฐบาล 35/เอกชน 65 เมื่อปี 2007 แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่ได้แข็งแกร่งจริงตามภาพลวงตาโดยมีเงินของรัฐบาลออกมาอุ้มตลอดให้มีการใช้จ่ายเกินตัวดำเนินต่อไปได้

 

(การที่บริษัทสหรัฐฯย้ายฐานการผลิตไปจีนน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การลงทุนหาย รายได้หายรัฐเลยต้องเข้ามาอุ้มส่วนต่างเพื่อให้ดนตรีเล่นต่อไปได้)

 

ตั้งแต่วิกฤติ2008 ลูกโป่งแตก เงินจากภาคเอกชนหายไปจากระบบ$1.3ล้านล้าน ต่อปีเพราะทั้งแบงค์และบริษัทล้มละลายกันเป็นโดมิโน

 

เพื่อที่จะทดแทนเม็ดเงินจากภาคเอกชนที่หายไปนี้รัฐบาลสหรัฐฯโดยนายบุชและนายโอบามาต้องใส่เงินเข้าไปในปริมาณพอๆกันเพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีการปฏิรูปเลหลังขายของถูกและไม่ต้องเจ็บตัวกันมาก

 

ผลก็คือรัฐบาลต้องขาดดุลงบ $1ล้านล้านกว่าทุกๆปี เพื่อชดเชย outputของเอกชนที่หายไป

 

ช่วงที่โอบามารับตำแหน่งปี 2009 หนี้สาธารณะสหรัฐฯอยู่ที่ $10ล้านล้านโอบามาอยู่มา 4ปีหนี้พุ่งไป $16ล้านล้าน หรือ 100% ต่อจีดีพี---หนี้ภาครัฐภายใต้โอบามาเพิ่ม $6ล้านล้านใน 4ปี มหึมามากจีดีพีไทยแลนด์มีขนาดแค่แค่ $400,000ล้าน

 

เข้าทำนองเศรษฐีจนไม่ลง

 

ตอนนี้หนี้สหรัฐฯชนเพดานทะลุ $16ล้านล้านกว่าแล้ว

 

เพราะฉะนั้นเวลารายงานจีดีพี สหรัฐ เขารวมทั้งoutputภาครัฐที่มาจากการกู้หนี้สินในอนาคต กับoutputของเอกชนรวมกัน

 

จีดีพีที่โต รวมทั้งตลาดหุ้นที่พุ่งทะยานเป็นฟองสบู่รอบสองจึงเป็นเพียงภาพลวงตา

 

ถ้าตัดการใช้จ่ายจากภาครัฐออก -- นี่ยังไม่พูดถึงบทบาทการเงินของ US Federal Reserve ผ่านQE ดอกเบี้ย 0% -- เศรษฐกิจสหรัฐฯจะติดลบ

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯมีขนาด $16ล้านล้าน ถ้าเอาส่วนของการใช้จ่ายภาครัฐออก $1ล้านล้านกว่าออก เศรษฐกิจสหรัฐจะติดลบ 6%

 

นี่คือเศรษฐกิจเทียมของแท้

http://news.goldseek.com/GoldSeek/1373560088.php

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image006.jpg

 

หนี้รัฐบาลสหรัฐฯเพิ่มจากระดับต่ำกว่า 70%ต่อจีดีพีก่อนวิกฤติ 2008 เป็น 100%ต่อจีดีพี

 

โอบามาทั้งนั้น

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image007.jpg

 

นอกจากการอัดการคลังเพื่อไม่ใช้เศรษฐกิจล้ม แล้ว US Federal Reserveเข้ามาช่วยอีกแรงผ่าน QE

 

ก่อนหน้าวิกฤติ 2008 ตัวเลขงบดุลเฟดอยู่ที่ $800,000ล้าน

 

เฟดพิมพ์เงินเข้าไปทำ QEอุ้มแบงค์ ทำให้งบดุลยเฟดเพิ่มเป็น $3.5ล้านล้าน ตอนนี้

 

การคลังจะมีงบขาดดุลอย่างน้อย $1ล้านล้านต่อปีเพื่อชดเชยoutput$1.3ล้านล้านที่หายไปจากภาคเอกชนในระบบเศรษฐกิจ อันสืบเนื่องมาจากฟองสบู่แตก

 

การเงินพิมพ์เงิน $1ล้านล้านต่อปีผ่าน QEเพื่ออุ้มแบงค์

 

คำถามก็คือว่า จะเล่นดนตรีผิดสเกล ผิดโนัตแบบนี้ไปได้นานอีกแค่ไหน

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image009.jpg

 

คนอเมริกันกว่า100ล้านคน ต้องพึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาล

 

หนึ่งในสามคนอเมริกันหรือ101ล้านคน จากประชากรทั้งหมด316.2ล้านคน ไม่สามารถทำมาหากินเองได้ ต้องพึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาล

 

สหรัฐฯมีโครงการอุดหนุนอาหารให้คนจนอยู่ 15โครงการ ใช้เงินปีละ$114,000ล้าน

 

จำนวนคนที่พึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาลมากกว่าจำนวนคนที่ทำงานในภาคเอกชนที่มีอยู่ประมาณ 97.18ล้านคน

 

เฟดทำQEช่วยแบงค์ แต่เงินไม่ถึงคนจน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลังวิกฤติ2008

 

ที่บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นคงจะเป็นเรื่องโกหก

 

ระเบิดเวลาทางสังคมกำลังครุกรุ่นอยู่

 

 

(CNSNews.com) – The number of Americans receiving subsidized food assistance from the federal government has risen to 101 million, representing roughly a third of the U.S. population.

 

The U.S. Department of Agriculture estimates that a total of 101,000,000 people currently participate in at least one of the 15 food programs offered by the agency, at a cost of $114 billion in fiscal year 2012.

 

That means the number of Americans receiving food assistance has surpassed the number of full-time private sector workers in the U.S.

 

According to the Bureau of Labor Statistics (BLS), there were 97,180,000 full-time private sector workers in 2012.

 

The population of the U.S. is 316.2 million people, meaning nearly a third of Americans receive food aid from the government.

 

- See more at: http://cnsnews.com/news/article/101m-get-food-aid-federal-gov-t-outnumber-full-time-private-sector-workers#sthash.n7sERN8O.dpuf

file:///C:\Users\VR\AppData\Local\Temp\msohtmlclip1\01\clip_image010.jpg

https://www.facebook...91591274320772/

 

 

นอกจากการอัดการคลังเพื่อไม่ใช้เศรษฐกิจล้ม แล้ว US Federal Reserveเข้ามาช่วยอีกแรงผ่าน QE

 

ก่อนหน้าวิกฤติ 2008 ตัวเลขงบดุลเฟดอยู่ที่ $800,000ล้าน

 

เฟดพิมพ์เงินเข้าไปทำ QEอุ้มแบงค์ ทำให้งบดุลยเฟดเพิ่มเป็น $3.5ล้านล้าน ตอนนี้

 

การคลังจะมีงบขาดดุลอย่างน้อย $1ล้านล้านต่อปีเพื่อชดเชยoutput$1.3ล้านล้านที่หายไปจากภาคเอกชนในระบบ เศรษฐกิจ อันสืบเนื่องมาจากฟองสบู่แตก

 

การเงินพิมพ์เงิน $1ล้านล้านต่อปีผ่าน QEเพื่ออุ้มแบงค์

 

คำถามก็คือว่า จะเล่นดนตรีผิดสเกล ผิดโนัตแบบนี้ไปได้นานอีกแค่ไหน

8340_144108042452245_483842102_n.png

 

คนอเมริกันกว่า100ล้านคน ต้องพึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาล

 

หนึ่งในสามคนอเมริกันหรือ101ล้านคน จากประชากรทั้งหมด316.2ล้านคน ไม่สามารถทำมาหากินเองได้ ต้องพึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาล

 

สหรัฐฯมีโครงการอุดหนุนอาหารให้คนจนอยู่ 15โครงการ ใช้เงินปีละ$114,000ล้าน

 

จำนวนคนที่พึ่งพาคูปองอาหารจากรัฐบาลมากกว่าจำนวนคนที่ทำงานในภาคเอกชนที่มีอยู่ประมาณ 97.18ล้านคน

 

เฟดทำQEช่วยแบงค์ แต่เงินไม่ถึงคนจน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นหลังวิกฤติ2008

 

ที่บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นคงจะเป็นเรื่องโกหก

 

ระเบิดเวลาทางสังคมกำลังครุกรุ่นอยู่

 

 

(CNSNews.com) – The number of Americans receiving subsidized food assistance from the federal government has risen to 101 million, representing roughly a third of the U.S. population.

 

The U.S. Department of Agriculture estimates that a total of 101,000,000 people currently participate in at least one of the 15 food programs offered by the agency, at a cost of $114 billion in fiscal year 2012.

 

That means the number of Americans receiving food assistance has surpassed the number of full-time private sector workers in the U.S.

 

According to the Bureau of Labor Statistics (BLS), there were 97,180,000 full-time private sector workers in 2012.

 

The population of the U.S. is 316.2 million people, meaning nearly a third of Americans receive food aid from the government.

 

- See more at: http://cnsnews.com/news/article/101m-get-food-aid-federal-gov-t-outnumber-full-time-private-sector-workers#sthash.n7sERN8O.dpuf

942389_144211275775255_1564450138_n.jpg

 

ธนาคารกลางของUS Federal Reserveกำลังจะพัง

 

นาย Paul Craig Roberts อดีตผู้ช่วยรมวคลังสมัยรัฐบาลรีแกน บอกว่าเฟดเดอรัล รีเชร์ฟกำลังจะพัง เพราะกำลังติดกับดักการพิมพ์เงินของตัวเอง

 

โรเบริ์ตส์เป็นคนแรกที่ออกมาพูดว่าเฟดเป็นไอ้โม่งที่ทุบทองช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ผ่านการทำ naked shorts หรือขายทองคำกระดาษล่วงหน้าจำนวนถึง500ตันทั้งๆที่ไม่มีทองในมือ ไม่มีกองทุนใด หรือนักลงทุนใดจะเสียสติในการทุบราคาทองในจำนวนมากขนาดนี้ เพราะตัวเองจะขาดทุนทันทีมหหาศาล คนที่ทุบทองแบบนี้ได้มีแต่เฟดเจ้าเดียวที่ขาดทุนก็ไม่เป็นไรเพราะพิมพ์ ดอลล่าร์กับมือ แต่ทำไปเพื่อรักษาค่าเงินดอลล่าร์ไม่ให้อ่อนและให้คนเชื่อมั่นในค่าเงิน ดอลล่าร์ต่ไป

 

โรเบริตส์กล่าวว่าเฟดเลิกพิมพ์เงินหรือการทำQEไม่ได้ เพราะว่าถ้าเลิกตลาดการเงินจะพังทันที และเมื่อราคาบอนด์ตก จากการพังของตลาดบอนด์ ค่าของหนี้ที่ผูกกับตราสารอนุพันท์ (derivatives)ในบัญชีของแบงค์จะตก แบงค์ก็จะเจ้ง

 

นี่เป็นสิ่งที่เฟดยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่าเฟดตั้งขึ้นมาเพื่ออุ้มแบงค์

 

เพราะฉะนั้นเฟดต้องพิมพ์เงินต่อไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด แล้วผลของมันคืออะไร มันเป็นบ้านที่สร้างด้วยสำรับไพ่ ในที่สุดมันต้องพังทะลาย จะพังผ่านอัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์ คือค่าเงินดอลล่าร์จะพัง

 

โรเบริตส์ตั้งข้อสังเกตุอีกอันที่น่าสนใจคือ ความพยายามของสหรัฐฯที่จะเจรจาการค้าเสรีผ่านTrans Pacific Partnership โดยกีดกันจีนออกไป เป็นเงื่อนงำที่จะให้ระบบการค้าหนุนการใช้ดอลล่าร์ต่อไป

 

ประธานาธิบดีโอบามา มาไทยเมื่อปีที่แล้วมีการเปิดวาระTrans Pacific Partnershipกับไทย และรัฐบาลปูก็รับลูก โดยให้กระทรวงพานิชย์รับผิดชอบในการเจรจา เพื่ออุ้มดอลล่าร์กระดาษต่อไปให้นานที่สุด

1044409_144337279095988_1325764590_n.jpg

 

 

มาดูขนาดตลาดบอนด์สหรัฐฯ ถ้ามันพังจะเหลืออะไร

 

ตลาดบอนด์สหรัฐฯโตจาก$20ล้านล้านปี1989 เป็น$39ล้านล้านช่วงปี 2010 ก่อนจะลดลงเป้น$38ล้านล้านในปีที่แล้ว

 

ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีขนาดเลก็กว่ามาก มีขนาด$10ล้านล้านในปี 1989 แต่ปีที่แล้วมีขนาด$18ล้านล้าน ใหญ่กว่าขนาดเศรษฐกิจที่$16ล้านล้าน

 

ถ้านายเบน เบอร์นันเก้หยุดQE ดอกเบี้ยจะขึ้น ราคาบอนด์จะตก แบงค์ที่ถือบอนด์และเล่นอิงอนุพันท์อื่นๆจะขาดทุนมหาศาลและล้มได้

 

เพราะฉะนั้นเฟดต้องเลี้ยงไข้ให้นานที่สุด

1069267_144338612429188_1202704112_n.png

 

ทีนี้มาดูขนาดของตลาดอนุพันท์ ที่เฟดจำต้องอุ้ม

 

ตลาดอนุพันท์ที่แบงค์เล่นกันสนั่นโลกมีขนาด$632ล้านล้านที่เป็นnotional value ณสิ้นปี2012ในจำนวนนี้มีคอนแทรคที่เกี่ยวพันกับดอกเบี้ย $489 ล้านล้าน

 

ถ้าเฟดหยุดQEตลาดนี้จะพัง แบงค์จะล้ม

 

เฟดเลยต้องเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดแรง พังกันไปหมด

972214_144340022429047_603846898_n.png

 

เงินกระดาษไม่มีค่า ที่มันมีค่าเพราะเราให้ค่ามัน

 

ถ้าเราไม่ให้ค่ามัน มันก็ไม่มีค่า

999355_144344212428628_404549905_n.jpg

 

Thanong Fanclub

 

เปิดรายชือธนาคารที่คุมUS Federal Reserve

 

ในทางทฤษฎี เฟดคุมแบงค์ บริหารนโยบายการเงินเพื่อเสถียรภาพของระบบการเงิน แต่ในทางปฏิบัติ เฟดเป็นโนมีนีของพวกธนาคารWall Streetที่ครอบงำสหรัฐฯอย่างเบ็ดเสร็จเวลานี้

 

เฟดทำQEทุกวันนี้ไม่ได้ ทำไปเพื่อช่วยเศรษฐกิจให้ฟื้น แต่พิมพ์เงินเพื่ออุ้มแบงค์ในเครือไม่ให้ล้ม

 

เพราะเจ้าของเฟดคือเอกชน ไม่ใช่รัฐฯ แต่เฟดทำตัวเป็นอีแอบ สร้างภาพว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐมาตลอด

 

อย่างที่ผมเคยเขียนมา ใครอยู่ใกล้เงินมากที่สุดตอนที่มันเริ่มออกมาจากระบบ ผู้นั้นจะมีอำนาจเหนือตลาดมากที่สุด

 

เครือข่ายที่คุมเฟดนี้ประกอบด้วย18แบงค์ที่เป็นprimary dealer networkหรือเครือข่ายดิลเลอร์ตลาดแรกกับเฟด พวกนี้จะประมูลพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน ผ่านเฟด จึงมีอำนาจเหนือราคา และปริมาณเงินในระบบ

 

รายชื่อดีอลเลอร์ตลาดแรกPrimary Dealers :

 

Bank of America

Barclays Capital Inc.

BNP Paribas Securities Corp.

Cantor Fitzgerald & Co.

Citigroup Global Markets Inc.

Credit Suisse Securities (USA) LLC

Daiwa Securities America Inc.

Deutsche Bank Securities Inc.

Goldman, Sachs & Co.

HSBC Securities (USA) Inc.

J. P. Morgan Securities Inc.

Jefferies & Company Inc.

Mizuho Securities USA Inc.

Morgan Stanley & Co. Incorporated

Nomura Securities International Inc.

RBC Capital Markets

RBS Securities Inc.

UBS Securities LLC.

Of this group four banks in particular receive unprecedented favoritism of the US Federal Reserve. They are:

 

แต่ที่คุมเฟดจริงๆคือ

 

JP Morgan

Bank of America

Citibank

Goldman Sachs

 

เฟดต้องพิมพ์เงินผ่านQE เพื่อช่วยกดดอกเบี้ยและให้สภาพคล่องกับ4แบงค์ที่เขาเรียกว่าtoo big too fail หรือใหญ่เกินไปที่จะล้ม เพราะแบงค์เหล่านี้เล่นอนุพันธ์มโหฬารมาก ตลาดอนุพันธ์ไปแบงค์ก็ล้ม

 

ตารางประกอบคือตัวเลขอนุพันธ์ปี 2008 มีมูลค่า$234ล้านล้าน หรือเทียบเท่า16เท่าของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือ 4เท่าของเศรษฐกิจโลก

 

JP Morgan, Bank of America, Citibank, Goldman Sachs มีส่วนแบ่งในตลาดอนุพันธ์95%

 

เรียกได้ว่าผูกขาดและล็อคระบบเอาไว้

http://www.silverbearcafe.com/private/04.11/guaranteed.html

1005745_144595045736878_2144932966_n.jpg

เฟดทำQEอุ้มแบงค์พรรคพวก ส่วนธนาคารที่ไม่อยู่ในเครือเฟดโดนปิดไปแล้ว465แห่ง

 

ระหว่าง2008-2012 ทางเจ้าหน้าที่ของสถาบันประกันเงินฝากได้ปิดธนาคารไปแล้ว465แห่งทั่วประเทศ สหรัฐฯ ทรัพย์สินโดนtake over หรือเลหลังขายเพื่อใช้หนี้ อันเกิดมาจากหนี้เสีย

 

ส่วนธนาคารอยู่ในเครือเฟดยังกินดีอยู่ดี แถมรวยขึ้น เพราะไม่มีคู่แข่ง และไล่ซื้อของถูกจากพวกที่ล้ม

 

ธนาคารในเครือเฟด Too Big Too Fail Banksจะล้มได้อย่างไร ในเมื่อ

 

1. เฟดพิมพ์เงินทำQEเข้าไปซื้อmortgage backed securitiesของพวกในเครือ ราคาตามบัญชี แทนที่จะเป็นราคาตลาดที่ตกฮวบฮาบ

 

2. ให้สภาพคล่องไม่อั้นที่ดอกเบี้ยเกือบ0% ส่วนแบงค์ Not Too Big To Fail Bankปล่อยล้มตามธรรมชาติ

 

3. ให้ตกแต่งบัญชี ซ่อนหนี้เน่า

 

 

The 2008 financial crisis led to the failure of a large number of banks in the United States. The Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) closed 465 failed banks from 2008 to 2012.[1] In contrast, in the five years prior to 2008, only 10 banks failed.

http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_bank_failures_in_the_United_States_%282008%E2%80%93present%29

พวกรัฐท้องถิ่นโดนWal Streetต้อมเรื่องอนุพันธ์จนเปื่อย เจ้งกันถ้วนหน้า

 

อนุพันธ์ derivativesแล้วแต่จะอิงกัน ส่วนมากจะอิงดอกเบี้ย เพื่อประกันความเสี่ยง แต่จริงๆเป็นการพนัน เช่นกู้เงินมาใช้เยอะๆ แล้วเล่นอนุพันธ์ประกันความเสี่ยงดอกเบี้ยขึ้นกับแบงค์ ถ้าดอกขึ้นได้เงิน ถ้าดอกลง เสียเงิน

 

ทีนี้พวกแบงค์ในเครือรู้ดีว่าเฟดจะกดดอกเบี้ย0% พูดง่ายๆรู้ล่วงหน้า มีอินไซด์ก็ไปทำอนุพันธ์ประกันความเสี่ยงดอกเบี้ยกับ counterparties เช่นบอกบริษัทใหญ่ๆ รัฐบาลท้องถิ่น รัฐต่างๆ

 

แล้วพวกWall Streetก็กินรวบ เพราะเฟดกดดอกลง

 

พวกcounterpartiesเจ้งหมด โดยเฉพาะพวกรัฐบาลท้องถิ่นที่ออก municipal bonds

 

ข่าวจากWall Street Journalบอกชัดว่า พวกรัฐท้องถิ่นเจ้งอย่างไร กับการไปเล่นอนุพันธ์กับWall Street

 

ดอกยิ่งลง ยิ่งเจ้ง จะเลิกก็เลิกไม่ได้

 

เวรกรรม

 

Interest-Rate Deals Sting Cities, States

 

Buyer's remorse has hit some cities and states that did deals with Wall Street in different times.

 

Hundreds of U.S. municipalities are losing money on interest-rate bets they made during the bull market in hopes of protecting themselves from higher rates. The deals backfired when rates fell, shriveling the sums paid to municipalities. Now some are criticizing Wall Street and trying to exit the contracts.

 

ปล้นเนียนๆ

http://online.wsj.com/article/SB10001424052748703775504575135930211329798.html

หลังวิกฤติ 2008 สี่แบงค์Wall Streetโตขึ้น30%

 

สว อลิซาเบธ วอร์เรนพยายามแยกธนาคารพานิชย์และวานิชธนกิจออกจากกัน เพื่อตัดตอนแบงค์Wall Street ด้วยการรื้อฟื้น Glass-Steagall Act วอร์เรนจองล้างจองผลาญWall Street แต่ยังทำอะไรมากไม่ได้ เพราะเป็นเสียงส่วนน้อย

 

เธอบอกว่าวอลล์สตรีทยิ่งวันยิ่งโตเอา และยิ่งทำธุรกรรมการเงินที่เสี่ยงต่อระบบมากขึ้น พวกตัวแทนวอลล์สตรีทก็ล็อบบี้เก่งเหลือเกินจนระบบการควบคุมแบงค์อ่อนเปลี้ย ไปหมด

 

 

Glass Steagall Act กำหนดให้แยกกิจการธนาคารพานิชย์ด้านสินเชื่อและด้านวานิชธนกิจที่มีความ เสี่ยงสูงออกจากกัน Wall Streetไม่ชอบ เพราะกินรวบไม่ได้ ประธานาธิบดีคลินตันดันให้ยกเลิก Glass Steagall Actได้สำเร็จ

 

รมวคลังที่อยู่เบื้องหลังคือRobert Rubin เจ้าเก่า อดีตประธานGoldman Sachs

 

มันก็เป็นเช่นนี้เอง

382543_144628082400241_1163770948_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณส้มโอมือ คุณหมอเล็ก คุณwcg และทุกท่านมากๆค่ะ :01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ24 นาทีที่แล้ว ·

 

 

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง ... มิตรแท้ตลอดเส้นทางลงทุน

 

15 กรกฎาคม 2556

 

General News

----------------

 

• S&P ปรับเพิ่มมุมมองอันดับความน่าเชื่อถือของไอร์แลนด์จาก มีเสถียรภาพ เป็น เชิงบวก และคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ BBB+ สะท้อนถึงการฟื้นตัวของฐานะการคลังและการลดขาดดุลงบประมาณที่อาจเร็วกว่าที่ คาด รวมถึงแนวโน้มหนี้สาธารณะที่อาจลดลงจาก 122% ของ GDP ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 112% ของ GDP ในปี 2016

 

• เจพี มอร์แกน (ธ.รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ) และ เวลส์ ฟาร์โก (ผู้ปล่อยสินเชื่อบ้านรายใหญ่อันดับ 1 ของประเทศ) รายงานผลกำไรไตรมาส 2 ที่เพิ่มขึ้นดีต่อเนื่อง โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการกันสำรองหนี้เสีย

 

ทั้งนี้ เจพี มอร์แกน รายงานผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 31% มาอยู่ที่ 6,500 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ และเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกันที่ธนาคารมีกำไรเพิ่มขึ้นด้วยตัวเลข 2 หลัก ขณะที่ผลกำไรของเวลส์ ฟาร์โก ก็เพิ่มขึ้น 20% มาอยู่ที่กว่า 5,250 ล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงเศรษฐกิจสหรัฐที่พัฒนาขึ้น

 

• เล่า จื่อเว่ย รมว.คลังจีน ระบุว่า หากเศรษฐกิจจีนขยายตัวในอัตรา 6.5% จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาที่ต้องกังวลแต่อย่างใด เป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐบาลอาจประสงค์ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ จีนตั้งเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ไว้ที่ 7.5% ขณะที่ขยายตัวต่ำกว่าระดับ 7.7% ในครึ่งปีแรก

 

• จีนวางแผนจำกัดจำนวนการซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้นในเมืองสำคัญๆอีก 8 เมืองเพื่อแก้ปัญหามลภาวะและการจราจร ทั้งนี้ ยอดขายรถยนต์ในจีนในปีที่ผ่านมาสูงกว่า 13 ล้านคัน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก และเกิดปัญหามลภาวะทางอากาศในเมืองใหญ่ๆ

 

• ธ.เพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ระบุว่า ประเทศเอเชียส่วนใหญ่ล้มเหลวในการใช้จ่ายเงินในโครงการช่วยเหลือคนจน โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลกลับไม่ได้ทุ่มเทการลงทุนมากพอในโครงการป้องกันทางสังคมเพื่อช่วย เหลือคนยากจนและผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งการประกันสุขภาพ การให้เงินช่วยเหลือและฝึกอบรมทักษะ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายมาตรการป้องกันทางสังคมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีเพียง 2.6% ของ GDP ขณะที่เอเชียตะวันออกใช้จ่ายด้านนี้ 6% ของ GDP

 

• กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนครีและ รมต.คลัง ระบุว่า มีแนวโน้มจะลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4.5-5.5% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว โดย IMF ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจเหลือร้อยละ 3.1 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 3.2

 

• รัฐบาลได้กำหนด 6 แนวทางในการดูแลการบริโภคของประชาชน ดังนี้

 

1. ดูแลต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะข้าวโพด ถั่วเหลือง ปุ๋ยเคมี เพื่อคุมต้นทุนการผลิตและทำให้ราคาปลายทางปรับลดลง

 

2. จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าตามแหล่งการผลิตและกระจายไปยังตลาดบริโภค เพื่อบริหารจัดการขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพ

 

3. จัดโซนนิ่งพื้นที่เพาะปลูกสินค้าเกษตรให้เหมาะสมกับแต่ละจังหวัด

 

4. ป้องกันการผูกขาดสินค้าสำหรับวัตถุดิบหลักและป้องกันปัญหากำหนดราคาสูง เนื่องจากมีผู้จำหน่ายน้อยราย

 

5. ลดผลกระทบจากการเพิ่มราคา LPG ด้วยการช่วยเหลือผู้ที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 90 หน่วย/เดือน และส่งเสริมให้ประชาชนใช้ก๊าซ NGV โดยขยายสถานีบริการน้ำมันให้มีจำนวนมากขึ้น

 

6. มอบหมายให้หน่วยงานรัฐติดตามเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ดูแลการบริโภคไม่ให้ชะลอตัว

 

• ธปท. ชี้ว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยและอินโดนีเซียต่างกัน จึงยังไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเหมือนอินโดนีเซียที่ขึ้นไป 0.50% เป็น 6.50% เพราะกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่อาจจะเพิ่มขึ้น จากแผนลดการอุดหนุนราคาพลังงานลง กับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมากที่ทำให้เงินทุนไหลออก

 

• ธปท. รายงานว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐมาอยู่ที่ 1,688 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจาก ธปท.ต้องเพิ่มสภาพคล่องเงินดอลลาร์ในตลาดเงินจากที่ก่อนหน้านี้ที่เงินทุน เคลื่อนย้ายไหลออกเร็วเพราะ FED ส่งสัญญาณเลิกทำ QE จึงทำให้เงินทุนต่างชาติไหลออก ตลาดการเงินไทยจึงมีสภาพคล่องเงินเหรียญสหรัฐลดลง

 

• สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย คาดว่า ตลาดรถยนต์ครึ่งปีหลังจะชะลอลงจากครึ่งปีแรกมาก เพราะแรงกระตุ้นจากการส่งมอบรถยนต์คันแรกเสร็จสิ้นแล้ว และเศรษฐกิจไทยโดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ประกอบกับภาระหนี้สินในภาคครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้นจนมีผลต่ออำนาจใช้จ่าย และทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ จนอาจส่งผลต่อความเสี่ยงเรื่องการชำระหนี้กับคุณภาพของลูกหนี้ในอนาคตเพิ่ม มากขึ้น

 

• สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า เมียนมาร์เป็นหนึ่งในประเทศที่น่าสนใจลงทุนหลังจากเปิดรับการลงทุนจากต่าง ชาติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นแหล่งทรัพยากร มีประชากรมากกว่า 60 ล้านคน มีแรงงานจำนวนไม่น้อยที่เคยมาทำงานในไทยซึ่งได้นำความรู้และประสบการณ์กลับ ไปประกอบกิจการเพื่อพัฒนาประเทศ และรัฐบาลยังมีมาตรการส่งเสริมกับดึงดูดนักลงทุนต่างชาติโดยกำหนดเขต เศรษฐกิจพิเศษและให้สิทธิประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ ทำให้นักลงทุนไทยและต่างชาติเข้าไปลงทุนในเมียนมาร์เพิ่มขึ้น

 

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อการลงทุนในเมียนมาร์ที่มีศักยภาพและมี การสร้างกลุ่มเครือข่ายเชื่อมโยงต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้แก่ เกษตร เกษตรแปรรูป สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม รองเท้าและเครื่องหนัง เป็นต้น

 

Equity Market

----------------

 

• SET Index ปิดที่ 1,453.71 จุด เพิ่มขึ้น 6.67 จุด หรือ +0.46% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 45,005 ล้านบาท

 

ดัชนีในวันศุกร์แกว่งตัวผันผวนสลับทั้งแดนบวกและลบหลัง FED ระบุว่าจะชะลอการผ่อนคลาย QE ออกไป ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลและมีเงินบางส่วนกลับเข้ามาในตลาดหุ้น

 

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยงวด ไตรมาส 2 โดยเฉพาะกลุ่มภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของจีน

 

สรุปยอดสุทธิการซื้อขายของแต่ละกลุ่ม (ล้านบาท)

-----------------------------------------------------

 

นักลงทุนสถาบัน +16.53

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ +374.25

นักลงทุนต่างชาติ +2,236.52

นักลงทุนทั่วไป -2,627.30

 

Fixed Income Market

------------------------

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงระหว่าง -0.01% ถึง 0.01% สำหรับวันนี้ไม่มีการประมูล

 

Guru Corner

--------------

 

• George Soros

------------------

 

“ผู้ลงทุนมีเงินทุนกับความชาญฉลาดที่จำกัด พวกเขาจึงไม่ต้องไปรู้มันทุกเรื่อง เพราะตราบใดที่เขารู้บางอย่างดีกว่าคนอื่นๆ เขาก็มีข้อได้เปรียบที่แหลมคมพอแล้ว”

 

Bualuang Fund Corner

-------------------------

 

• 4 R ที่ผู้ลงทุนจะต้องมี

 

- Right attitude (บางทีตลาดหุ้นสร้างความสับสนหรือแตกตื่นจนเรา panic buy / sell ได้ หากเราไม่เข้าใจจะทำให้เราไม่มั่นใจและล้มเหลวในการลงทุน)

 

- Right tool (ต้องมีเครื่องมือกับแนวทางที่เหมาะสมในการควบคุมความเสี่ยง -- risk control)

 

- Right stock (ดู quality, sustainable earnings growth + reasonable dividend yield)

 

- Right balance (well diversified port)

 

• ในการลงทุนให้ประสบผลสำเร็จ เราต้องรู้จักตัวเรา ประเมินความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ มีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน เข้าใจธรรมชาติของตลาด และมั่นใจกับการลงทุนระยะยาวในกิจการที่เราเลือก อย่าไปหวั่นไหวกับตลาด เพราะราคาหุ้นบนกระดานในระยะสั้นมันเป็นหนังคนละม้วนกับกำไรที่แท้จริงของ กิจการ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

งานนี้ไม่น่าจะจบง่ายๆ ความวุ่นวายที่จะตามมาในอเมริกาคงไม่เล็ก

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คดีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์สีผิวในสหรัฐฯ!! คณะลูกขุนฟลอริดาตัดสิน “ซิมเมอร์แมน” ไม่ผิด!! blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กรกฎาคม 2556 16:48 น.

 

 

blank.gif 556000009022301.JPEG จอร์จ ซิมเมอร์แมน วัย 29 ผู้ลงมือสังหาร(ซ้าย) และ เทรวอน เบนจามิน มาร์ติน วัย 16 ปี 21 เดือน ผู้เสียชีวิต (ขวา) blank.gif

เอเจนซีส์ - คณะลูกขุนในมลรัฐฟลอริดาที่เป็นผู้หญิงทั้งหมดจำนวน 6 คน โดยไม่มีแอฟริกันอเมริกันร่วมเลยในที่สุดตัดสินเมื่อวันเสาร์(13)ให้ปล่อย ตัว จอร์จ ซิมเมอร์แมน วัย 29 อาสาสมัครเฝ้าระวังภัยประจำชุมชน ผู้ใช้ปืนพกของเขาสังหาร เทรวอน เบนจามิน มาร์ติน วัยรุ่นผิวสีวัย 16 ที่ปราศจากอาวุธซึ่งออกจากบ้านไปซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านช่วงทีวี พักโฆษณา โดยเชื่อตามคำอ้างของจำเลยซึ่งพ่อเป็นคนผิวขาวและแม่เป็นฮิสแปนิกผู้นี้ที่ ว่า เขาป้องกันตัวตามกฎหมาย Stand-your-ground ของมลรัฐ ในขณะที่สื่อในสหรัฐฯประโคมข่าว กลัวการเกิดจลาจลหลังคำตัดสิน

 

คดีประวัติศาสตร์ของความสัมพันธ์สีผิวในสหรัฐฯทีมีระยะเวลากว่า 16 เดือนในที่สุดก็พิสูจน์ว่าความแตกต่างระหว่างสีผิวยังมีอยู่จริงใน สังคมอเมริกัน จอร์จ ซิมเมอร์แมน วัย 29 อาสาสมัครเฝ้าระวังภัยประจำชุมชน ที่ถูกอ้างว่าใช้ระบบ Racial Profile หรือการใช้สีผิวเป็นการแยกแยะบุคคลที่น่าสงสัยในชุมชนที่เขาอยู่ ได้ลงมือสังหาร เทรวอน มาร์ติน วัย 16 จาก ฟลอริดา ในขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้านหลังออกมาแวะซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน มาร์ตินสวมเสื้อแบบมีที่คลุมศรีษะ ผิวสี ซึ่งตรงกับโพรไฟว์ที่น่าสงสัยในสายตาของ ซิมเมอร์มอน ถึงแม้ว่าเขาจะได้รับการเตือนจากเจ้าหน้าสายตรวจไม่ให้ติดตามมาร์ตินไป แต่เขายังทำ และภายหลังจากที่เขาสังหารมาร์ตินด้วยอาวุธปืนพกของเขาเองแล้วซิมเมอร์มอน ได้ให้การกับตำรวจสายตรวจว่า เขากลัวถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตจึงต้องใช้ปืนตามกฏหมายฟลอริดา Stand-your-ground ที่อนุญาตให้ป้องกันตัวได้ตามเหตุจำเป็นหากเชื่อได้ว่าจะถูกทำร้ายถึงแก่ ชีวิต

 

และคดีนี้ทำท่าลุกลามจนกลายเป็นศึกระหว่างสีผิวเพราะ เจ้าหน้าที่ตำรวจฟลอริดาใช้เวลาถึง 45 วันก่อนที่จะจับ ซิมเมอร์แมน จนกระทั่งเมื่อถึงชั้นศาล หลักฐานชิ้นสำคัญในคดี (เสียงบันทึกแจ้งเหตุของผู้อาศัยใกล้บริเวณที่เกิดเหตุโทรแจ้ง 911 และมีเสียงตระโกนขอความช่วยเหลือเป็นเสียงแบ็คกราวน์)ไม่ได้รับอนุญาตให้ผู้ เชี่ยวชาญด้านการจำแนกเสียงขึ้นให้การ โดยอ้างว่าเสียงนั้นไม่มีคุณภาพมากพอที่จะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ยืนยันได้

 

ในวันเสาร์(13)ที่ผ่านมา คณะลูกขุนชาวฟลอริดาที่เป็นสตรีทั้งหมดจำนวน 9 คน โดยไม่มีลูกขุนคนใดที่มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันเลย ใช้เวลา 16 ชั่วโมง 20 นาที ภายใน 2 วัน ตัดสิน จอร์จ ซิมเมอร์แมน “ไม่ผิด” ในข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตุนา หรือข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยใตร่ตรอง เป็นเพราะพวกเธอเชื่อในคำให้การของซิมเมอร์มอนที่ว่า เขาจำเป็นต้องสังหารมาร์ติน เพราะต้องรักษาชิวิตของตัวเองไว้

 

หลังจากนั้น ผู้พิพากษาเดบรา เนลสัน ประกาศว่า ในวันเสาร์(13)เวลา 22.00น.ว่า จอร์จ ซิมเมอร์แมน สามารถออกจากศาลได้โดยอิสระ และเครื่องติดตามตัว GPS ที่สวมอยู่จะถูกถอดออกก่อนที่เขาจะเดินออกนอกอาคาร ท่ามกลางความดีใจของครอบครัวซิมเมอร์แมน และความเสียใจของครอบครัวมาร์ตินที่ไม่ได้มาฟังคำตัดสินด้วยตนเอง และความโกรธแค้นของผู้มาประท้วงรออยู่ด้านนอก ซึ่งก่อนหน้านี้ บิดามารดาของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย เทรวอน เบนจามิน มาร์ติน กล่าวว่า คดีซิมเมอร์แมนนี้เป็นฝันร้ายที่สุดของพ่อแม่แอฟริกันอเมริกันจะมีได้ การที่กลัวว่าลูกตัวเองต้องตายฟรีเพราะเขาโดนล็อกเป้าสังหารเพราะสีผิวของ เขา และต้องมานั่งฟังคำบรรยายถึงเหตุการณ์ในสิ่งที่ลูกตัวเองได้รับ และที่สำคัญที่สุดไม่มีลูกขุนคนใดที่จะเข้าใจความกลัวที่คนผิวสีอเมริกันมี เพราะพวกเธอเป็นอเมริกันเชื้อสายอื่น

 

และจากปฎิกริยาของสื่อในสหรัฐฯที่มักจะอ่อนไหวในประเด็นที่เกี่ยวกับ เชื้อชาติ ต่างกลัวว่าจะเกิดจลาจลขึ้นหลังคำตัดสิน เพราะคดีนี้ชาวแอฟริกันอเมริกันต่างหวังว่าอย่างน้อยซิมเมอร์มอนควรจะได้รับ การลงโทษหลังจากที่เฝ้ารอมากว่า 16 เดือน ซึ่งจากที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ การจลาจลร้ายแรงเพราะความไม่พอใจของการกีดกันทางสีผิวครั้งประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นที่เมืองแอลเอในยุค 90 ที่ทำให้ต้องปิดเมืองแอลเอไปทั้งเมือง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...