ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

อ่านกระทู้ของคุณกระทิงแว้ว มารออ่านของคุณเน๊กซ์ต่อๆๆคร้าบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มุกที่ซ่อนทอง ของแต่ละคนนี่ลึกล้ำจริงๆ :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

http://gizmodo.com/5696149/why-is-gold-the-perfect-element-for-money

 

เค้าบอกว่า ทอง เป็นธาตุเดียวในตารางจริงๆที่สามารถเอามาเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนได้ ถ้าพิจารณาจากธาตุทั้งหมดตามตารางธาตุ จะพบว่า

1 ธาตุ ที่อุณหูมิปกติเป็นก๊าซ ตัดทิ้ง เช่น ฮีเลียม ออกซิเจน ของเหลวก็ตัดทิ้ง เช่นปรอท

2 โลหะที่ไวต่อปฏิกิริยา ตัดทิ้ง เนื่องจากระเบิดได้ เช่น ลิเธียม และหมู่อัลคาไลน์

3 ธาตุที่เป็น radio active(กัมมันตรังสี) ตัดทิ้ง เช่นยูเรเนียม โพโลเนียม

4 โลหะหาง่าย ตัดทิ้ง เช่นสังกะสี ตะกั่ว คาร์บอน

5 โลหะที่หายากมากๆ ตัดทิ้ง เช่น ออสเมียม

 

เหลือผู้เข้าประกวดแค่ 5 ราย คือ

ทอง, เงิน, แพลตตินัม, โรเดียม พาลาเดียม

 

แต่เนื่องจาก สมัยก่อน ยังไม่มีการค้นพบ โรเดียม และพาลาเดียม ดังนั้น ตัดทิ้ง

แพลตตินัม ต้องหลอมที่ความร้อน 3000องศา F หลอมยาก เตาหลอมสมัยก่อนไม่สามารถหลอมได้ ตัดทิ้ง

เงิน จะหมองเมื่อโดนอากาศ จึงไม่นิยม

 

...เหลือทองแค่อย่างเดียว

 

 

ธรรมชาติสร้างสรรทุกอย่างให้มีความหมายอย่างน่าประหลาดครับ ไม่มีอะไรที่ไร้ประโยชน์ เพียงแต่ประโยชน์ของแต่ละอย่างนั้นต่างกัน

มีลักษณะเฉพาะตัว มีหน้าที่ที่เหมาะสมต่างกัน เหล็กและหินเหมาะกับการก่อสร้าง ไม้เหมาะกับทำฝืน หรือ เฟอร์นิเจอร์

 

ผมเชื่อครับว่า ธรรมชาติ กำหนดมาแล้วครับว่า หน้าที่ของทองคำและแร่เงิน (Gold and Silver) คือ เงิน (Money) ครับ!

 

จากบทความเรื่อง "เงินคืออะไร?" สิ่งที่คุณ bonshington เอามาเผยแพร่ยิ่งเป็นการยืนยัน

ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

 

ขอบคุณครับ :rolleyes: :rolleyes:

ถูกแก้ไข โดย Nexttonothing

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณnext ยอดเยี่ยมมากค่ะ :) :) :) มาโหวตคะแนนให้แล้วค่ะ

 

 

ขอบพระคุณ คุณ Next มากๆๆครับผม อ่านแล้วได้ความรู้มากมายครับ วันนี้กด +5 คะเเนนให้คุณ Nextเลยครับ

 

!01 !01 !01 !01 !01 !01 !01 !01

 

 

ขอบคุณมากๆครับ :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

pot-of-gold.jpg

 

:excl: ทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว "บ่ายโมงตรง" 13.00น.มีนัดกันนะครับ

สำหรับบทความตอนต่อไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

pot-of-gold.jpg

 

ว่ากันด้วยเหตุผล (The Reason)

 

ที่จริงผมเขียนเรื่อง ที่ผมอยากจะเขียนวันนี้ตั้งแต่วันแรก

ก็คงจะจบไม่มีอะไร ถือว่าเข้าเรื่องกันไปเลย แต่ที่ผมต้องอธิบายและปูพื้นฐานมาก่อน

ตั้งหลายๆ บทความก็เพื่อทำให้สิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้

 

มีน้ำหนัก

 

หากคุณติดตามอ่าน บทความ โอกาส “ทอง”จริงๆ มาตั้งแต่ต้น ผมคิดว่า

คุณคงจะเข้าใจว่าผมต้องการสื่อถึงอะไร แต่ถ้าคุณเพิ่งมาอ่านบทความวันนี้เป็นวันแรกมีโอกาสลองย้อนอ่านดูหน่อยนะครับ

 

.......................................................................

 

วันนี้ ผมจะพูดถึงเรื่องที่หลายๆคนสงสัยนั่นก็คือ

ทำไมต้องซื้อทอง ? ทำไมทองจะขึ้นอีก ?(ทั้งๆที่มันขึ้นมาเยอะแล้ว?)อะไรที่จะทำให้ทองขึ้น ?

แล้วทำไม ต้องเชื่อด้วย ?

เราลองมาพิจารณากันดูครับ

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 1 : ธนาคารกลางซื้อทอง (Central Banks are net buyers)

 

จริงๆ เหตุผลข้อนี้เพียงข้อเดียวก็ชัดเจนและเพียงพอที่คุณจะขับรถไปเยาวราชได้แล้ว

ถ้าคุณจำได้ในบทความก่อนหน้านี้ หน้าที่ของ ธนาคารกลาง ทั่วโลก คือกดราคาทองคำให้ต่ำที่สุด

เพื่อทำให้ ระบบ ธนบัตรนั้น “ดูดี” แต่เมื่อไม่นานมานี้ มันช่างตลกสิ้นดีที่ธนาคารกลางเข้า “ซื้อทอง”

มันผิดวิสัยของเค้าอย่างมาก !!

 

หน้าที่ของเค้าคือ “ขาย-ไม่ใช่ซื้อ” และตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเค้าก็ไม่เคยซื้อ

มีแต่ขายทอดตลาด ต่อเนื่องมาโดยตลอด

 

จนกระทั่งปี 2009

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นทองคำแตะระดับ 16,000 เป็นครั้งที่ 3

ก่อนหน้านั้น 2 ครั้งเมื่อทองคำแตะระดับ 16,000 ทองคำ โดนเทขายทำกำไร มาโดยตลอด

ทำให้ราคาที่ระดับ 16,000 ในขณะนั้น กลายเป็นราคาจิตวิทยาที่ ทุกๆคนมองว่า “แพง”

 

ดังนั้นเมื่อทองคำปรับฐานเสร็จแล้ว ดีดกลับขึ้นมาที่ระดับ 16000 อีกครั้งทุกคนจึงแห่กัน “ขายทอง”

 

-คนมีทองเส้นเล็กเส้นน้อย เก็บมาตั้งแต่บาทละไม่กี่พัน ก็ตัดสินใจ ขาย

-เข็มขัดนาค แหวน กำไล ต่างหู ทองมรดก เก่าๆ ก็ตัดสินใจ ขาย

-นักลงทุน GF ก็ตัดสินใจ เปิด สถานะ Short

 

แต่คราวนี้ เหตุการณ์ กลับไม่เป็นเหมือนอย่างทุกครั้ง

คนที่ใช้ “ประสบการณ์“ มาลงทุนในครั้งนี้กลับกลายเป็นได้ “บทเรียน” กลับไปแทน

 

ทองคำกระชากตัวเองไปถึงระดับ 19000 ภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากนั้น

สาเหตุหลักก็มาจาก “ธนาคารกลางอินเดียซื้อทอง จาก IMF 200 ตัน”

(หรือหากมองในมุมกลับคือ IMF ขายทอง)

 

ทุกครั้งที่มีข่าว IMF ขายทอง ราคาทองคำจะถูกกดดันให้ร่วงทุกครั้งไป

แต่ที่ครั้งนี้แตกต่างจากทุกๆครั้ง เพราะ “คนซื้อ” คือ ธนาคารกลาง

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศเริ่มตบเท้า ตามอินเดีย ไม่ว่าเป็น

 

-ธนาคารกลางศรีลังกา

-ธนาคารกลางรัสเซีย

-ธนาคารกลางฟิลลิปปินส์

-ธนาคารกลางจีน

-ธนาคารกลางบังคลาเทศ

-ธนาคารกลางคาซัคสถาน

-ไม่เว้น แม้แต่ ประเทศไทย !!

 

(ซึ่งเป็นข่าวเล็กๆในไทยแต่เป็นข่าวใหญ่ในต่างประเทศ ไทยเข้าซื้อ 15 ตัน ที่ระดับราคาตลาดในตอนนั้นคือ 1250$

ต้องขอชื่นชมผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ที่อาศัยจังหวะเงินบาทแข็งเข้าซื้อทองคำสะสมเพิ่ม)

 

นี่คือจุดเริ่มต้น “การเปลี่ยนเกมส์” (Game Changing)ของระบบการเงินโลก

เพราะเป็นครั้งแรกที่ ธนาคารกลาง ซื้อทองคำในรอบ 20 ปี

 

ธนาคารกลางเหล่านี้ ซื้อทองที่ระดับราคาสูงๆกันทำไม ? ไม่แพงไปเหรอ?

ทำไมไม่ซื้อทองที่ระดับราคาต่ำกว่า 1000$ หรือ รอให้ราคาทองคำลงเยอะๆก่อนแล้วค่อยซื้อไม่ดีกว่าหรือ?

คุณคิดว่าเค้าซื้อไป เพราะคิดว่าราคาทองคำในอนาคตมันจะขึ้นหรือมันจะลง ?

 

มันชัดเจนอยู่แล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกรู้อะไรดีๆบางอย่าง ที่ในตอนนี้คุณและผมก็รู้เหมือนกัน !

 

การเข้าซื้อทองคำที่ระดับ 1050$ ของอินเดียทำให้ราคาทองคำไม่ลงต่ำกว่าระดับนั้นอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

เช่นเดียวกับที่ระดับ ราคา 1250$ ที่ไทยและบังคลาเทศเข้าซื้อ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ก็ยังไม่เห็นลงไปเทสที่ระดับราคาดังกล่าวอีก จริงๆ ต้องบอกว่าตั้งแต่ระดับราคา

ทะลุ 1300$ ขึ้นมาเราก็ไม่ได้เห็นระดับราคา 12xx$ อีกเลยด้วยซ้ำ

(แต่ได้เห็น 1400$ กว่าๆ)

 

ผมมีความเชื่อว่า ที่ระดับราคา 1250$ คือ “พื้น” ของราคาทองคำ ณ. ขณะนี้

และประโยคนึงที่ผมมักจะพูดกับคนรอบข้างๆอยู่เสมอๆนั่นก็คือ

“ที่ราคาบาท 19,000 จะเป็นเหมือน บาทละ 16000 ที่ทุกคนเคยคิดว่ามันแพง

แต่เมื่อมันผ่านจุดนี้ไปแล้วเราก็จะไม่ได้เห็นมันอีกเลย”

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 2 : เหมืองทองแต่ละแห่ง เริ่มจะ “เหนื่อย” (Mine supply declining )

 

ในโลกเรามี เหมืองที่ผลิตทองคำหลักๆ อยู่ทั้งหมด 4 แห่ง

คือที่ แอฟริกาใต้ , อเมริกา, แคนาดา และ ออสเตรเลีย

ทั้ง 4 แห่ง เลยจุดอิ่มตัวและมีอายุมากกันแล้วทั้งนั้น

ขุดกันลึกจนหย่อนตึกใบหยกลงไปได้ทั้งตึก แต่ก็ยังหาทองได้ ยากขึ้นเรื่อยๆ

 

wgpro.jpg

 

จากกราฟจะเห็นว่า ปี 2001 เป็นปีที่ผลผลิตทองคำสูงที่สุดทำสถิติ

เราเรียกเหตุการณ์ในปีนี้ว่า “Peak Gold”

นั่นคือเลยจุดสูงสุดของการผลิตไปเรียบร้อยแล้ว จากนี้ไปทองคำจะผลิตได้ลดลงๆ เรื่อยๆ

(บริเวณสีเหลืองอ่อนลายตารางคือการคาดการณ์ กำลังการผลิต ที่จะลดต่ำลงในอนาคต)

 

สำหรับผู้ที่ลงทุนในน้ำมัน ตัวของน้ำมันก็เลย Peak Oil มาแล้วเหมือนกันนะครับ

ปัจจัยพื้นฐานยังแกร่งครับ ลงทุนได้เช่นกัน .

ในขณะที่เหมืองเกิดใหม่ ใน จีน หรือ รัสเซีย ต้องใช้เวลาพัฒนากันอีกหลายปี

ไม่สามารถมาชดเชยกำลังการผลิตที่ ลดลงอย่างรวดเร็วได้ ปริมาณที่มีจำกัดนี่เองที่จะทำให้ทองคำนั้นมีคุณค่า

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 3 : ปริมาณเงินในระบบ (Money Supply)

 

ในขณะที่

แหล่งผลิต “ทองคำ” (เงินที่แท้จริง) อ่อนกำลังลง เรื่อยๆ เหมืองใหม่ก็ต้องใช้เวลาพัฒนาไปอีก 5-10 ปีกว่าจะโตเต็มที่

แหล่งผลิต “ธนบัตร” (ตัวแทนเงิน) กลับเร่งเครื่อง “เต็มอัตรา”

 

ทั่วทั้งโลกเกิดเงินเฟ้อมาโดยตลอด สาเหตุหลักที่ทุกประเทศมีเงินเฟ้อก็เพราะทุกประเทศมี นักการเมือง

ลองนึกภาพดูว่า หากมีนักการเมือง สองคน

 

:rolleyes: คนที่ 1

นโยบาย คือ “รัดเข็มขัด” ลดการใช้จ่ายของรัฐบาลลง

สวัสดิการช่วยเหลือที่ รัฐเคยมีให้ หากผมได้รับเลือก : จะลดให้หมด

เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐ ประชาชนควรจะต้องทำงานให้หนักขึ้น

ขยันขึ้น เก็บออมกันให้มากขึ้นเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศเรา

 

:rolleyes: คนที่ 2

นโยบาย คือ “ประชานิยม” หากผมได้รับเลือก : จะเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชนทุกอย่าง

เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี รถไฟ รถเมล์ ขึ้นฟรี ค่าน้ำ ค่าไฟ ก็ฟรี ทุกอย่าง ฟรีๆๆ

เงินเดือนข้าราชการขึ้นให้หมด ลดภาษี แจกให้ฟรีอีก คนละ 2 พัน ????

 

คุณคิดว่าประชาชนจะเลือกใคร ???

ไม่ยากเลยใช่มั๊ยครับ ? ไอ้คนที่ 1 ไม่เคยชนะเลยครับ สอบตกทุกสมัย

 

เมื่อนักการเมืองคนที่ 2 เข้ารับตำแหน่งก็ต้องทำในสิ่งที่เค้าสัญญาไว้กับประชาชนเพื่อรักษาฐานเสียง

โครงการต่างๆทยอยถูกจัดสรรงบประมาณออกมา ปริมาณเงินในทุกประเทศจึงถูกผลิตเพื่อ

อัดฉีดเข้าไปในระบบความจริงข้อนึงที่ทุกคนควรเข้าใจคือ

 

นักการเมืองไม่มีพลังวิเศษ ที่จะเนรมิตหรือแจกอะไรให้ใครฟรีๆได้ สิ่งที่นักการเมืองทำได้คือ

“เอา” (Take) จากคนกลุ่มหนึ่ง ไป “มอบ” (Give) ให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง

เท่านั้นเอง(บางครั้งก็เข้ากระเป๋าตัวเอง)

 

การมอบ (Give) เงินส่วนที่จัดสรรใหม่ ให้คนกลุ่มนึง

เงินชุดใหม่จะเข้าไปเจือจางเงินในระบบที่อยู่ในกระเป๋า

ของคนอีกกลุ่มนึง (Take) (ที่ไม่ได้รับการจัดสรร) ให้มีค่าเท่าเทียมกัน

 

แบงค์ 1000 ที่พิมพ์ออกมาสดๆใหม่ๆ จึงมีมูลค่าเท่า แบงค์ 1000 เก่า

แต่มูลค่าของทั้งสองแบงค์ลดลงเมื่อต้องนำไปซื้อ “สินค้าและบริการ”

เป็นไปตามกระบวณการทำงานของเงินเฟ้อ

 

ยิ่งไปกว่านั้น สถาณะการณ์วิกฤต เศรษฐกิจ ในประเทศตะวันตก ยิ่งทำให้ ปริมาณเงิน

นั้นถูกผลิตออกมามากมาย ในระดับ Trillion (ล้านล้าน)

ตั้งแต่ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มยุโรป (PIGS) กรีซ เสปน โปรตุเกส ไอร์แลนด์

ที่เล่นงานทำเอาค่าเงินยูโร เกือบจะไปไม่รอด ก็เลือกทางแก้ปัญหาด้วยการ รับเงินช่วยเหลือ สนับสนุน

จากทั้ง IMF และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB)

 

ปัญหาเรื้อรังในสหรัฐ มาตั้งแต่สมัย จอช บุช ก็แก้ปัญหาด้วยการอัดฉีด กันมานาน เปลี่ยนคำศัพท์ไปเรื่อยๆ

ตั้งแต่ Stimulus package, Bailout plan, ล่าสุด Quantitative easing (QE)

แต่ก็ต้องพิมพ์อีก จนไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว เลยใช้ว่า Quatitative easing ภาค 2 (QE2)

ไม่ว่าคำพูดสวยหรูขนาดไหนมันก็คือ

 

“การพิมพ์เงิน”

 

(ผลที่ตามมาจากการพิมพ์เงินมากๆ จะเป็นอย่างไรดูย้อนหลังได้ในกรณี “ซิมบับเว”)

เมื่อเงินในระบบยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆทั่วทั้งโลก ในขณะที่อัตราการเพิ่มของทองคำลดลง

ย่อมส่งผลให้ราคาทองคำ ยังคงต้องปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เช่นกัน

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 4 : จีน! (China)

 

ความเจริญจากโลกตะวันตกกำลังจะโยกมาฝั่งตะวันออก ปัญหาและความวุ่นวายในยุโรปและสหรัฐ

เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเจริญเติบโตในหลายๆ ประเทศฝั่งเอเชีย

นำทีมมาโดย “พญามังกรจีน”

 

ถามว่าจีนรวยหรือไม่ ? บอกได้เลยว่ารวยมาก แต่เราต้องดูให้ลึกครับว่าเค้ารวยอะไร ?

หากเราลองมองเข้าไปในทุนสำรองของจีน จะพบความจริงที่น่าตกใจว่า มีแต่ดอลล่าห์เต็มไปหมด

 

เยอะขนาดที่ว่าหากประธานาธิบดีหูจินเทาของจีนจะไปหยิบเงินดอลล่าห์ในคลังมาใช้ ต้องหยิบปึกบนเท่านั้น

หากหยิบปึกล่าง อาจจะทำให้ปึกบนๆ ถล่มลงมาทับถึงตายได้ :lol:

 

สินทรัพย์ของจีนรายการอื่นๆ เทียบเป็นสัดส่วนกันแล้ว ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ ดอลล่าห์

ในขณะที่ดอลล่าห์เสื่อมค่าลงทุกวันๆ จึงเป็นการบีบให้จีน ต้องเร่งระบายดอลล่าห์ออกเพื่อไปถือครองสินทรัพย์ประเภทอื่น

สิ่งที่จีนเลือกก็คือ ทองคำ

 

china2.jpg

 

จากกราฟจะพบว่า จีนนั้น มีทองคำสำรอง อยู่ไม่ถึง 2% เมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วยังถือว่าน้อยเอามากๆ

ในขณะที่จีนนั้นกลับถือครอง ดอลล่าห์ มากที่สุดในโลก !!

(ตัวเลขล่าสุดถือครอง พันธบัตรสหรัฐถึง 8.835 แสนล้านเหรียญ)

 

อย่างไรก็ตามตัวเลขจากกราฟเป็นปี 2009 พอหลังจากนั้นจีนเห็นท่าไม่ดี

จึงทำการระบายดอลล่าห์อย่างรวดเร็วแล้ว เพิ่มสัดส่วนการถือครองทองคำทันที !!

 

china.jpg

 

จากกราฟจะเห็นว่าในช่วงปีหลังๆที่ผ่านมา ทุนสำรองทองคำของจีน เด้งขึ้นเหมือนติดสปริง

จนกลายมาเป็นผู้ถือครองทองคำอันดับ 5 ของโลก

 

แต่จีนนั้นนอกจากรวยแล้วยังฉลาด

 

ที่ผ่านมาเค้าไม่ได้ซื้อในปริมาณมากๆทีเดียวเพราะจะทำให้ราคาตลาดเสีย

แต่ใช้วิธีแอบซื้อทยอยสะสมไม่ให้เป็นข่าว ในบางครั้ง “อยากจะซื้อใจจะขาด”

แต่แกล้งออกมาให้ข่าวทำนองว่าไม่อยากซื้อ

“ทองคำนั้นไม่ดี มีน้อยไม่เหมาะจะเป็นทุนสำรอง จีนไม่สนใจ

ทองคำ ยังไงดอลล่าห์ก็ถือว่าดีที่สุด สารพัด”

 

........หัวการค้ามั๊ยล่ะครับ ?

 

อยากบอกว่าไม่ต้องไปฟังที่เค้าพูดครับ ให้ดูสิ่งที่เค้าทำ

ลับหลังเค้าลดการซื้อพันธบัตรสหรัฐลงอย่างฮวบฮาบ และ ในเมื่อหาซื้อทองได้ไม่ทันใจ

ก็ทำเหมืองทองคำเองซะเลย

อะแฮ่ม…หนำซ้ำทองคำและแร่เงิน ที่ผลิตได้ในจีนนั้น จะไม่มีการส่งออกเด็ดขาด

 

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังเชิญชวนและส่งเสริมให้ประชาชนในประเทศ ลงทุนในทองคำ และ แร่เงิน !!

(ลองนึกภาพ นายกอภิสิทธิ์ ออกมาเชิญชวนให้พวกเรา ซื้อทองคำ กันเถอะ คุณว่ามันดูแปลกๆ มั๊ยครับ ??)

 

จีนนั้นรู้อะไรดีๆ ที่ในตอนนี้คุณและผมก็รู้เหมือนกัน

 

:excl: เหตุผลข้อที่ 5 : การปิดสถานะช๊อต (Short Squeeze)

 

สำหรับผู้ที่เล่น GF คงเข้าใจดี แต่หากคุณไม่ได้เล่น ผมขออนุญาติอธิบายให้ฟังครับ

ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ ตลาดโลหะ สิ่งที่กำหนดราคาไม่ใช่ตัวของมันเองครับ

 

ผมจะยกตัวเลขง่ายๆ อย่างนี้นะครับเช่นในตลาดทองคำ

คนซื้อเครื่องประดับ ทองรูปพรรณนั้น น้อยกว่าคนที่ซื้อทองแท่ง หากวัดกันเป็นน้ำหนักทองแล้ว

คงน้อยกว่ากันเป็น 100 เท่าแต่คนซื้อทองกระดาษนั้นมากกว่า

คนซื้อทองแท่งจริงๆ อีก 100 เท่า !!

 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำหนดราคาทองคำ จริงๆ คือ ตลาดทองกระดาษ (Paper Gold) ครับ !!!

(ไม่ใช่ทองคำจริงๆ กำหนดราคากระดาษ แต่มันตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง)

นี่เป็นสาเหตุให้ ธนาคารกลางและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ สามารถกดราคาทองคำจริงๆ ไว้ได้ เป็นเวลานาน

 

วิธีการก็คือ........

 

ธนาคารกลางนั้น จะให้ ธนาคารพาณิชย์ (Bullion Bank) ยืมทองคำออกไปขายทอดตลาด

โดยทำสัญญากันว่า จะซื้อกลับมาใช้คืนในภายหลัง : การให้ยืมขายออกไปก่อนแล้วสัญญาว่าจะซื้อมาคืนในภายหลัง คือการเปิดสถานะ Short นั่นเอง

Bullion Bank จะได้ประโยชน์เมื่อราคาทองคำลง

เพราะเค้าจะได้ซื้อกลับมาคืนในราคาที่ถูกกว่าที่ ขายออกไป

แต่จะเจ็บตัวหากราคาทองคำขึ้น ไปเรื่อยๆ

 

ในขณะที่ สถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ร่วมมือกับ รัฐบาล เช่น Jp Morgan ในสหรัฐ

(โปรดจำชื่อนี้ไว้ให้ดีครับ ไว้มีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ) ก็ทำการเปิด

สถานะ Short ทองคำกระดาษในปริมาณมหาศาล อีกเช่นกัน

 

ถามว่า หาก ระดับบิ๊กๆ เค้ากดราคาทองคำอยู่ แล้วเราจะไปซื้อทำไม?

คำตอบคือ ยิ่งต้องซื้อครับ เพราะเค้า “กด” ทำให้เราซื้อได้ถูก

หากเค้า “ปั่น” ให้แพงผมจะแนะนำให้ขายครับ

 

เพราะสัญญา Short ทองคำกระดาษปริมาณมหาศาลนี้ ไม่ได้มีทองคำรองรับอยู่จริงๆ

วันนึง วงจรอุบาทว์นี้จะถึงกาลอวสาน วันนึงมันต้องจบ…..

 

เมื่อแรงกดที่มีต่อทองคำเริ่มผ่อนลง (อย่างที่เราๆเริ่มจะเห็น ในช่วงปีสองปีนี้ )

ราคาทองคำจึงเริ่มจะขยับสูงขึ้นๆ โดยตลอด ทำให้ พวกขาใหญ่ เริ่มจะขาดทุน

เมื่อถึงจุดนึงที่เค้าจำเป็น ต้อง “คัทลอส” (Cut loss)

เพื่อป้องกันไม่ให้ ขาดทุนมากไปกว่านี้ เค้าจะไล่ซื้อ ทองคำคืน เพื่อปิดสถานะทุกสถานะที่เค้าเปิดไว้

ไม่ว่า ณ ตอนนั้นมันจะราคาเท่าไหร่ก็ตามเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องล้มละลาย

 

สถานะการณ์แบบนี้เรียกว่า “บีบสถานะช๊อต” (Short Squeeze )

หากเกิดขึ้น ราคาทองคำจะพุ่งทะยานฟ้า ได้ถึง 100-200$ ภายในชั่วข้ามคืนอย่างง่ายดาย

 

..........................................................

 

หลายๆเหตุผลหลายๆปัจจัย ที่เป็นตัวผลักดันให้ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้น

บัดนี้มาเรียงหน้ากระดาน ต่อหน้าต่อตาพวกเราเรียบร้อยแล้ว

ปัจจัยพื้นฐานของทองคำ แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พร้อมๆกับ “ศัตรู” ที่คอยขัดขวางการขึ้นราคาของทองก็อ่อนกำลังลงเช่นกัน

 

เป็น โอกาสที่ดี เป็น โอกาส“ทอง”ครับ :excl:

 

หากคุณยังไม่ได้มีทองคำไว้ในพอร์ทของคุณ

อีกไม่กี่ปีจากนี้ไป คุณจะมองย้อนกลับมาในปี 2010 แล้วบอกกับตัวเองว่า

ทองที่ระดับราคา 19000 นี่มันช่างถูกแสนถูกจริงๆ เรามัวไปทำอะไรอยู่ตอนนั้น ? ทำไมเราถึงไม่ซื้อ ??

 

 

ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนทุกท่านครับ

 

ปล.ในตอนหน้าห้ามพลาด (Must Read)เลยนะครับเราจะมาเจาะลึกกันว่า โอกาส “ทอง”

จริงๆที่เราเล็งเอาไว้ หน้าตา มันเป็นยังไง?

ถูกแก้ไข โดย Nexttonothing

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ความรู้ใหม่เยอะจริงๆคร้า ขอบคุณคุณNextคร้า em0009.gif em0009.gif cd08785a.gif post-510-076228100 1290581232.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณข้อมูลคุณเน็กซ์....อะฮ้า...ได้เวลาต้อนหมูกลับเล้าแย้วววอ่ะ... :ph34r:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

+ 1,000,000 กำลังจะเข้าสู่จุด climax แล้วสินะ ถึงจะฟังมาเป็นสิบๆรอบแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเข้ามาอ่านอยู่ดี :lol: :lol: :lol: เนื้อหาตอนนี้เข้มข้นกว่าช่วงแรกๆมาก ลีลาการเขียนเร้าใจไม่ง่วง รอติดตามตอนต่อไปคร๊าบบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สนุกเร้าใจจริงๆค่ะ ขอบคุณค่ะคุณnext :wub: :wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...