ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

สวัสดีตอนเย็นค่ะ คุณขิง(ginger) และเพื่อนๆทุกคน เลิกงานแล้วก็เข้ามาอ่านประจำค่ะ

แต่วันนี้ไม่เห็นคุณมดแดงเลยค่ะ หายไปไหนน้าาาาาา

 

-ขอบคุณที่คิดถึงนะคะ

 

:D พอดีไปต่างจังหวัดค่ะ เพิ่งกลับมาเมื่อบ่ายเศษๆ แล้วออกไปธุระต่ออีก สองรอบ เพิ่งจะมีเวลานั่งดูกราฟแป็ปนึงคะ กำลังจะประเมินอาการอยู่ แต่มันยังไม่ค่อยชัดนักค่ะ

 

 

กะลังลุ้นว่าจะลงไป แนวรับ 1598 1593 อีกใหม

 

แนวต้านตอนนี้ อยู่แถวๆ 1624 1633 1647 >>.

 

และถ้าผ่านได้คงได้เห็น.... 1651...1676...1690

ถูกแก้ไข โดย moddang..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โนเกียเตรียมปลดพนักงานอีก 3,500 คน-ปิดโรงงานในโรมาเนีย

 

 

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 29 กันยายน 2554 18:27:00 น.

โนเกีย ผู้ผลิตมือถือรายใหญ่จากฟินแลนด์ เตรียมปลดพนักงาน 3,500 คน และปิดโรงงานผลิตในประเทศโรมาเนีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ

 

การประกาศปลดพนักงานครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากที่บริษัทได้ประกาศปรับลดจำนวนพนักงานไปก่อนหน้านี้แล้วหลายพันตำแหน่ง สืบเนื่องจากแผนการลดต้นทุนมูลค่า 1 พันล้านยูโรที่โนเกียเปิดเผยเมื่อเดือนเม.ย.

 

 

 

โนเกียเผยว่า บริษัทจะปิดโรงงานผลิตในเมือง Cluj ประเทศโรมาเนีย และปลดพนักงานในฝ่ายหาพิกัดพื้นที่ ซึ่งรับผิดชอบจัดทำแผนที่ให้กับโทรศัพท์มือถือ

 

นอกจากนี้ บริษัทกำลังพิจารณาทบทวนถึงอนาคตของโรงงานในประเทศฟินแลนด์ ฮังการี และเม็กซิโกด้วย

 

ทั้งนี้ หุ้นโนเกียลดลงกว่าครึ่งในปีนี้ และเปิดตลาดวันนี้ร่วงลง 1.7%

แถลงการณ์ของบริษัทระบุว่า โนเกียวางแผนจะปิดโรงงานผลิตในเมือง Cluj ประเทศโรมาเนียภายในปลายปีนี้ และปิดสำนักงานฝ่ายพัฒนาการพาณิชย์และฝ่ายหาพิกัดพื้นที่ ในเมืองบอนน์ ประเทศเยอรมนี และเมืองมัลเวิร์น ประเทศสหรัฐ ในช่วงปลายปีหน้า

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ยุทธนา กวยเมี้ยน/ปนัยดา โทร.02-2535000 ต่อ 323

 

จากยักษ์ใหญ่ที่เคยยิ่งใหญ่ ตอนนี้อาการไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แถมฝากชีวิตไว้กับ Windows Phone 7 ที่ดูแล้วก็ยังลูกผีลูกคน ^^'

 

ดูแล้วก็น่าจะคงจะมีการปลดพนักงานต่อไปอีก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จากยักษ์ใหญ่ที่เคยยิ่งใหญ่ ตอนนี้อาการไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แถมฝากชีวิตไว้กับ Windows Phone 7 ที่ดูแล้วก็ยังลูกผีลูกคน ^^'

 

ดูแล้วก็น่าจะคงจะมีการปลดพนักงานต่อไปอีก

 

สถานการณ์ที่เกิดรอบโลก ทำให้ยักษ์ก็ต้องรัดเข็มขัดเพื่อรักษาองค์กร

 

เริ่มกระทบไปทั่ว คนทำงาน ต้องตกงาน น่าเห็นใจ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขำขัน ..เยอรมนี

 

นักการเมืองสองคนยืนอยู่หน้าร้านขายของ

 

คนแรกกล่าวว่า "ประชาชนชอบบ่นว่าข้าวของราคาแพงขึ้นทุกวัน

พวกนี้ก็สักแต่พูด ดูนี่สิ สูทตัวหนึ่งแค่ 15 ยูโร กางเกงตัวละ 10 ยูโร

เสื้อเชิ้ตก็ตัวละ 5 ยูโร ถ้าเป็นชุดกระโปรงก็แค่ 8 ยูโร"(1ยูโร=40.91บาท)

 

เพื่อนนักการเมืองหันมาตวาดว่า "เบิ่งตาดูดีๆ นี่มันร้านซักแห้ง!!"

 

อ่านเล่นๆให้เส้นตื้นๆ ไม่หัวเราะแค่ยิ้มก็ยังดี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขำขัน ..เยอรมนี

 

นักการเมืองสองคนยืนอยู่หน้าร้านขายของ

 

คนแรกกล่าวว่า "ประชาชนชอบบ่นว่าข้าวของราคาแพงขึ้นทุกวัน

พวกนี้ก็สักแต่พูด ดูนี่สิ สูทตัวหนึ่งแค่ 15 ยูโร กางเกงตัวละ 10 ยูโร

เสื้อเชิ้ตก็ตัวละ 5 ยูโร ถ้าเป็นชุดกระโปรงก็แค่ 8 ยูโร"(1ยูโร=40.91บาท)

 

เพื่อนนักการเมืองหันมาตวาดว่า "เบิ่งตาดูดีๆ นี่มันร้านซักแห้ง!!"

 

อ่านเล่นๆให้เส้นตื้นๆ ไม่หัวเราะแค่ยิ้มก็ยังดี

/color]

 

:rolleyes:

ยิ้มจริงๆด้วย....ขอบคุณ.ป้าขิง......สำหรับอารมณ์ขันที่มีมาเสริฟให้พวกเราทูกกกกกก..วันเลย

ถูกแก้ไข โดย chez

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

securedownload.jpg

"สามเหลี่ยมชีวิต" วิธีรอดตายจากแผ่นดินไหว

จากบทความของดัก คอบบ์ เรื่อง "สามเหลี่ยมชีวิต" เรียบเรียงสำหรับการสรุปให้คณะกรรมการด้านความปลอดภัย MAA

 

ผมชื่อ ดัก คอบบ์ ผมเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยและผู้จัดการด้านพิบัติภัยของทีมกู้ภัยนานาชาติแห่งสหรัฐฯ ซึ่ง

เป็นทีมกู้ภัยที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก ข้อมูลในบทความนี้จะช่วยชีวิตคนในกรณีแผ่นดินไหว

 

ผมเคยคลานเข้าไปในตึกที่ถล่มมา 875 ตึก เคยทำงานกับหน่วยกู้ภัยจาก 60 ประเทศ ก่อตั้งหน่วยกู้ภัย ในหลายประเทศ และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการอพยพผู้คนกรณีเกิดพิบัติภัยขององค์การ สหประชาชาติมา 2 ปี ผมได้ทำงานกับพิบัติภัยใหญ่ๆ ในโลกมาตั้งแต่ปี 1985

 

เมื่อปี 1996 เราได้ทำภาพยนต์ขึ้นมาเรื่องหนึ่งซึ่งได้พิสูจน์ว่าวิธีการรักษาชีวิตของผมถูกต้อง เราได้

ถล่มโรงเรียนและบ้านที่มีหุ่นมนุษย์ 20 ตัวอยู่ภายใน หุ่น 10 ตัว "มุดและหาที่กำบัง" และอีกสิบตัวใช้วิธีการรักษาชีวิตแบบ "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม หลังจากแผ่นดินไหวทดลอง เราคลานผ่านซากปรักหักพังและเข้าไปในตึกเพื่อถ่ายภาพและเก็บข้อมูลของผลที่ เกิด ในภาพยนต์แสดงให้เห็นว่าอัตราการอยู่รอด ของพวกที่มุดและหาที่กำบังคือศูนย์ และโอกาสรอด 100% สำหรับพวกที่ใช้วิธี "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม

 

ภาพยนต์ชุดนี้ได้ผ่านสายตาของผู้ชมโทรทัศน์เป็น ล้านๆ คนในตุรกี และส่วนที่เหลือของยุโรป เคยออกอากาศทางโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา แคนาดา

และลาตินอเมริกา

 

ตึกแห่งแรกที่ผมได้คลานเข้าไปคือโรงเรียนแห่ง หนึ่งในเมืองเม็กซิโกซิตี้ในแผ่นดินไหวปี 1985 เด็กทุก คนอยู่ใต้โต๊ะเรียน เด็กทุกคนถูกอัดแบนจนกระดูกแหลก พวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดด้วยการนอนราบกับพื้น

ตรงบริเวณทางเดินข้างๆ โต๊ะเรียนของตัวเอง

 

ในเวลานั้น เด็กๆ ได้รับคำแนะนำให้หลบใต้อะไรบางอย่าง อธิบายอย่างง่ายๆ เมื่อตึกถล่ม น้ำหนัก

ของเพดานที่ตกลงมาบนสิ่งของหรือเครื่องเรือนที่อยู่ภายในจะทับทำลายสิ่งของเหล่านั้น เหลือที่ว่างหรือ

ช่องว่างข้างๆ มัน ที่ว่างเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "สามเหลี่ยมชีวิต" สิ่งของชิ้นยิ่งใหญ่ ยิ่งแข็งแรง

โอกาสถูกทับอัดยิ่งน้อย โอกาสที่สิ่งของถูกทับอัดยิ่งน้อย ช่องว่างก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น

โอกาสที่คนที่อาศัยช่องว่างเหล่านั้นหลบภัยจะไม่เป็นอันตรายก็ยิ่งมาก

 

ครั้งต่อไปที่คุณดูอาคารที่ถล่มในโทรทัศน์ ลองนับ "สามเหลี่ยม" ที่เกิดขึ้นที่คุณเห็นดู มันทีอยู่เต็มไปหมดทุกที่ เป็นรูปทรงที่เห็นได้มากที่สุดอยู่ทั่วไป

 

สิบวิธีเพื่อความปลอดภัยยามแผ่นดินไหว

 

1) เกือบทุกคนที่ "มุดและหาที่กำบัง" เมื่ออาคารถล่มถูกทับอัดจนตาย คนที่เข้าไปอยู่ใต้สิ่งของ อาทิ

โต๊ะหรือรถยนต์ถูกอัดทับ

 

2) แมว หมา และเด็กทารก โดยธรรมชาติมักจะขดตัวในท่าเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา คุณควรทำเช่น

กันในกรณีแผ่นดินไหว มันเป็นสัญชาติญาณเพื่อความปลอดภัย/รักษาชีวิต คุณสามารถมีชีวิตรอดในช่อง

ว่างที่เล็กกว่า ไปอยู่ข้างๆ สิ่งของ ข้างเก้าอี้โซฟา ข้างของหนักๆ ชิ้นใหญ่ๆ ที่จะบี้แบนไปบ้างแต่ยัง

เหลือที่ว่างข้างๆ มันไว้

 

3) อาคารไม้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ปลอดภัยที่สุดที่จะอยู่ภายในขณะแผ่นดินไหว ไม้มีความยืดหยุ่นและเคลื่อน ตัวตามแรงของแผ่นดินไหว ถ้าอาคารไม้จะถล่มจะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่เพื่อช่วยชีวิต และอาคารไม้

ยังมีน้ำหนักทับทำลายที่เป็นอันตรายน้อยกว่า อาคารอิฐจะแตกพังเป็นก้อนอิฐมากมาย ก้อนอิฐเหล่านี้

เป็นสาเหตุของการบาดเจ็บ แต่จะทับอัดร่างกายน้อยกว่าแผ่นคอนกรีต

 

4) หากคุณกำลังนอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืนและเกิดแผ่นดินไหว เพียงกลิ้งลงจากเตียง ช่องว่างที่

ปลอดภัยจะเกิดรอบๆ เตียง โรงแรมจะสามารถเพิ่มอัตราผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวได้ โดยเพียงติด

ป้ายหลังประตูในทุกห้องพักบอกให้ผู้เข้าพักนอนราบกับพื้นข้างๆ ขาเตียงระหว่างแผ่นดินไหว

 

5) หากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นและคุณไม่สามารถหนีออกมาง่ายๆ ทางประตูหรือหน้าต่าง ก็ให้นอนราบและ ขดตัวในท่าทารกในครรภ์ข้างๆ เก้าอี้โซฟาหรือเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ

 

6) เกือบทุกคนที่อยู่ตรงช่องประตูตอนตึกถล่มไม่รอด เพราะอะไร? หากคุณยืนอยู่ตรงช่องประตูและวง กบประตูล้มไปข้างหน้าหรือข้างหลัง คุณจะโดนเพดานด้านบนตกลงมาทับ หากวงกบประตูล้มออกด้านข้าง

คุณจะถูกตัดเป็นสองท่อนโดยช่องประตู ไม่ว่ากรณีไหน คุณไม่รอดทั้งนั้น!

 

7) อย่าใช้บันไดเด็ดขาด บันไดมี "ช่วงการเคลื่อนตัว" ที่แตกต่างไป

(บันไดจะมีการแกว่งแยกจากตัวอาคาร) บันไดและส่วนที่เหลือของตัวอาคารจะชนกระแทกกันอย่างต่อเนื่อง

จนเกิดปัญหากับโครงสร้างของบันได

คนที่อยู่บนบันไดก่อนที่บันไดจะถล่มถูกตัดเป็นชิ้นโดยชั้น

บันได--ถูกแยกส่วนอย่างน่าสยดสยอง ถึงอาคารจะไม่ถล่มก็ควรอยู่ห่างบันไดไว้ บันไดเป็นส่วนของ

อาคารที่มีโอกาสถูกทำให้เสียหาย ถึงแม้แผ่นดินไหวจะไม่ได้ทำให้บันไดถล่ม มันอาจถล่มในเวลาต่อมา เมื่อรับน้ำหนักมากเกินไปจากคนที่กำลังหนี มันควรได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยเสมอ ถึงแม้ส่วนที่

เหลือของอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายก็ตาม

 

8) ไปอยู่ใกล้กำแพงด้านนอกของอาคารหรือออกจากอาคารถ้าเป็นไปได้ จะเป็นการดีกว่ามากที่จะอยู่

ใกล้ส่วนนอกของอาคารมากกว่าจะอยู่ที่ส่วนในของอาคาร คุณยิ่งอยู่ลึกเข้าไปหรือไกลจากบริเวณภาย

นอกของอาคารมากเท่าไหร่ โอกาสที่ทางหนี้ของคุณจะถูกปิดกั้นยิ่งมีมาก

 

9) คนที่อยู่ภายในรถยนต์ถูกทับอัดเมื่อถนนด้านบนตกลงมาเพราะแผ่นดินไหวและทับรถ ของพวกเขา นี้เป็น สิ่งที่เกิดขึ้นกับแผ่นคอนกรีตระหว่างชั้นของถนนหลวงนิมิทซ์ ผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดจากแผ่นดินไหวที่ซาน

 

ฟรานซิสโกอยู่ในรถของตัวเอง พวกเขาตายทั้งหมด พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ง่ายๆ ด้วยการออกจากรถและนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างๆ รถตัวเอง คนที่ตายทุกคนอาจรอดได้ถ้าพวกเขาสามารถออกจากรถ

และนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างรถตัวเอง รถที่ถูกทับอัดทุกคันมีช่องว่างสูง 3 ฟุตอยู่ข้างๆ ยกเว้นรถที่ถูกเสาคานตกทับกลางคันรถ

 

10) ผมค้นพบ--ขณะที่คลานเข้าไปในซากสำนักงานหนังสือพิมพ์และสำนักงานอื่นที่มีกระดาษจำนวน

มาก--ว่ากระดาษไม่อัดตัว จะพบช่องว่างขนาดใหญ่รอบๆ กองกระดาษที่เรียงทับซ้อนกัน

ถูกแก้ไข โดย chez

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณค่าแห่งการรู้คุณค่า

 

หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการ

ในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้ว ผู้อำนวยการ

ได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ผู้อำนวยการเห็นข้อมูลในประวัติ

ของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมา นับตั้งแต่อุดมศึกษาจน

จบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลย

 

 

 

ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า“เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มตอบว่า “ไม่เคยครับ”

ผู้อำนวยการถามต่อว่า“คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม”

เด็กหนุ่มตอบว่า “คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม”

ผู้อำนวยการถามต่อว่า“คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน”

เด็กหนุ่มตอบว่า “คุณแม่ทำงานซักรีด”

ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา

เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู

ผู้อำนวยการถามต่อว่า“เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า”

เขาตอบว่า “ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ”

ผู้อำนวยการบอกว่า“ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้เธอกลับไปที่บ้านช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า”

 

 

 

ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา

ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก

หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา

เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นแ ละเต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน

ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มา

ส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน

รอยแผลเหล่านี้คือราคาที่แม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา

เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขา

และอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย

คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นาน

 

เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ

ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงถามขึ้นว่า

“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร”

เด็กหนุ่มตอบว่า “ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ”

ผู้อำนวยการบอกว่า“ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง”

 

 

 

เด็กหนุ่มตอบ

“ข้อที่หนึ่งผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย

ข้อที่สองจากการช่วยแม่ทำงานว่า ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง

ข้อที่สามผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความผูกพันในครอบครัว”

ผู้อำนวยการจึงบอกว่า

“ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอยากได้คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ

อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง

และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียวมาเป็นผู้จัดการให้ฉัน

เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน ”

 

ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา

ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี

 

 

เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้ รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก

เขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่

เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใครๆ จะต้องเชื่อฟังเขา

เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไร

และมักจะโทษคนอื่น

คนลักษณะนี้เขาอาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง

แต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ

หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ

 

 

 

ถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้

จงถามตัวเราว่า

เรากำลังให้ความรักกับลูก

หรือ

กำลังทำลายเขากันแน่?

เราให้ลูกๆ มีบ้านใหญ่ๆ อยู่

กินอาหารดีๆ

เรียนเปียโน

ดูทีวีจอใหญ่

แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย

หลังอาหาร ให้เขาล้าง ถ้วยชามของตัวเองพร้อมๆ กับพี่ๆ น้องๆ

ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้

แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี

เราอยากให้เขาเข้าใจว่า

ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย วันหนึ่งก็จะต้องผมขาวแก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ

รู้คุณค่าของความพยายาม

ได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไง

และได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บาป ๑๔ ประการของมารดาบิดา

ว.วชิรเมธี

๒๙ มกราคม ๒๕๕๒

กาฐมัณฑุ, เนปาล

 

พ่อแม่บางคน (๑)

ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา

 

พ่อแม่บางคน (๒)

ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่

 

พ่อแม่บางคน (๓)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว

 

พ่อแม่บางคน (๔)

ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ

 

พ่อแม่บางคน (๕)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว

 

พ่อแม่บางคน (๖)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก

 

พ่อแม่บางคน (๗)

ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูกผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร

 

พ่อแม่บางคน (๘)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น

 

พ่อแม่บางคน (๙)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร

 

พ่อแม่บางคน (๑๐)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า”

 

พ่อแม่บางคน (๑๑)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี

 

พ่อแม่บางคน (๑๒)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์

 

พ่อแม่บางคน (๑๓)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต

 

พ่อแม่บางคน (๑๔)

ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับคุณ Ginger Moddang Chez NOT4545 เด็กสยาม Goldofcourse พวงชมพู และทุกท่านครับ

กราฟรายวันเป็นแดงแท่งสิบห้าครับ !87

แบลคคิงวิ่งแนวราบและกำลังพุ่งขึ้นหากทะลุเส้นแดงได้เขียวแท่งแรกก็ใกล้จะปรากฎแล้วครับ

วันนี้ถ้าราคายืนเหนือ 1630 กราฟรายวันจะเป็นแท่งเขียวแล้วครับเป้าหมาย 1700

ใครรับความเสี่ยงได้มากจะเสี่ยงเข้าก็พิจารณาดูครับ หรืออาจเล่นสั้นเพื่อความปลอดภัยก่อนครับเมื่อมีกำไรให้รีบออกก่อน

แต่หากรอเขียวแท่งสองหรือสามมาก่อนจะดีกว่าครับ กำไรน้อยแต่ชัวร์กว่านะครับ

แนวต้าน 1624 1653 1675

แนวรับ 1601 1586 1574 1538

เมื่อวานราคาลงไปทดสอบ MA150 สองครั้งแล้วรีบาว ได้ถึง 1635

วันนี้ อาจจะลงทดสอบแนวรับถึง MA150 ที่ 1586 รอบสามครับ ให้ติดตามว่ารับอยู่หรือไม่

ถ้ารับอยู่คงจะได้เห็นแท่งเขียวล่ะ ได้เวลาขึ้นซะที :lol:

ขอให้โชคดีครับ !17

post-1891-087420800 1317339170.gif

ถูกแก้ไข โดย news

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีค่ะ chinchilla โอ๋..หยุดร้องไห้เถอะนะคนดี ร้องไห้มากๆเดี๋ยวไม่สวยแล้วก็น้ำท่วมประเทศไทยนะ เช้านี้ที่สมุทรปราการแดดแรงแต่เช้าเลยแหละ แดดส่องฟ้าเป็นสัญญานวันใหม่.....โชคดีและสมหวังทุกคนนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลองใช้โปรแกรมนี้วิเคราะห์กราฟดูครับ ผมว่าดีนะครับ ใช้ account demo

 

http://www.xtick.com/download.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...