ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

news bas deb Alan Magagold เพื่อนๆ พี่น้อง ทุกท่าน

โชคดีทั่วกันนะคะ

 

แนวโน้มการลงทุนหุ้น-ทองคำสัปดาห์หน้า

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อุตสาหกรรมรถยนต์อังกฤษเร่งหนีคู่แข่งยุโรป อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์อังกฤษเร่งเครื่องหนีคู่แข่งจากยุโรป โดยนิสสันและจากัวร์ แลนด์ โรเวอร์เพิ่มเงินลงทุนขยายโรงงาน ดีมานด์จีน-สหรัฐดันยอดขาย 'คาเนโบ'เร่งกู้ภาพลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านประชาสัมพันธ์เผย บริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น "คาเนโบ" ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการกอบกู้ภาพลักษณ์ ญี่ปุ่นปิดใช้งานเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ญี่ปุ่นจะเริ่มกระบวนการเพื่อปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เตาสุดท้ายของประเทศที่ยังคงทำงานอยู่ เพื่อการตรวจสอบตามตาราง 'เต็ง เส่ง'พบนักกิจกรรมการเมืองครั้งแรก ซีเรียยินดีข้อตกลงสหรัฐ-รัสเซีย 'วันดากรุ๊ป'รุกซื้อกิจการต่างชาติ 'ธวัช'ไม่เจรจาม็อบยาง ขู่ดำเนินคดีอาญา

ดูข่าว ทั้งหมด icon-arrow-gray.gif

 

 

ข่าวยอดนิยม

 

การเงิน - การลงทุน

วันที่ 13 กันยายน 2556 10:03

 

เตือนทุนนอกป่วนรอบใหม่เก็งหุ้น-ตราสารหนี้

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

news_img_529575_1.jpg

นักวิเคราะห์เตือนรับภาวะผันผวนตลาดเงิน หลังทุนนอกเริ่มไหลกลับเข้าเอเชีย-ไทย หนังม้วนเก่า"ไล่ซื้อหุ้น-พันธบัตรระยะสั้น" ดันค่าบาทแข็ง ทุบทอง

เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ ขณะที่นักลงทุนขายดอลลาร์ออกมาจากความมั่นใจมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี 3) อย่างมีนัยสำคัญในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. นี้ หรือไม่

ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ร่วงลงมาที่ 2.88% จากระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 3.007% ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีร่วงลงสู่ 0.44% จากระดับสูงสุดที่ 0.52% ขณะที่ส่วนต่างกับพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนีอายุ 2 ปีปรับตัวแคบลง

นักวิเคราะห์กล่าวว่า เนื่องจากความเสี่ยงจากการโจมตีของสหรัฐต่อซีเรียลดลงแล้ว ตลาดจึงหันไปจับตาการประชุมของเฟดในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เมื่อพิจารณาจากตลาดจ้างงานที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้น เฟดก็อาจจะปรับลดลงเพียงเล็กน้อย

"ดูเหมือนว่าเฟดจะปรับลดลงเพียง 1.0 หมื่นล้านดอลลาร์ในสัปดาห์หน้า ขณะที่นักลงทุนกำลังปรับสถานะการลงทุน เฟดจะรอบคอบมากในการปรับลดมาตรการ และอาจจะลดเพียงเล็กน้อย" นักวิเคราะห์กล่าว

เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบหลายสกุลในเอเชีย ตามทิศทางเงินไหลเข้าภูมิภาค โดยค่าเงินบาทแข็งค่ามากสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ที่ 31.64 ในระหว่างการซื้อขาย ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 31.72 ซึ่งถือว่าแข็งค่ามากในช่วงสัปดาห์นี้ เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้วที่ยืนเหนือระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ ช่วงท้ายตลาดอยู่ที่ 31.74/79 จาก 31.72/77 ในช่วงเช้า ขณะที่ในตลาดต่างประเทศ (offshore) อยู่ที่ 31.72/76 จาก 31.67/71 ช่วงเช้า

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ค่าเงินบาทขึ้นกับกระแสเงินทุนไหลเข้า ซึ่งคาดว่ายังมีแนวโน้มแข็งค่า

นักบริหารเงินจาก ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ เม็ดเงินต่างชาติจะยังไหลเข้ามาในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ต่อเนื่องอีกหรือไม่ ดังนั้นจึงประเมินกรอบการเคลื่อนไหวในวันนี้ จะอยู่ที่ 31.80-32.00 บาทต่อดอลลาร์

ต่างชาติซื้อตราสารหนี้ระยะสั้น

สำหรับตราสารหนี้ เป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย สรุปภาวะการซื้อรวม 55,459 ล้านบาท โดย Yield Curve ปรับลดลงเล็กน้อยเกือบทุกช่วงอายุตราสาร ประมาณ 1-2 bps. ในทิศทางเดียวกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยนักลงทุนจับตาผลการประชุมของเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย. นี้ ซึ่งตลาดคาดว่าน่าจะมีการลดขนาดคิวอีลง

นักลงทุนต่างชาติ มีแรงซื้อในทุกช่วงอายุตราสาร โดยเฉพาะในตราสารระยะสั้น ยอดซื้อสุทธิ เท่ากับ 8,077 ล้านบาท

สำหรับหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาปิดที่ระดับ 1,397.90 จุด ลดลง 13.28 จุด คิดเป็น 0.94% จากช่วงเช้าที่ยังยืนอยู่ในแดนบวก และปรับตัวเพิ่มขึ้นจากวันก่อน 10 จุด จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุน แต่นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิอีก 74 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศทั่วไปซื้อ 773.45 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 477.42 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 370.03 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย คาดว่าดัชนียังคงแกว่งตัวผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งต้องติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของต่างประเทศ และความคืบหน้าของคิวอี ซึ่งเฟดจะมีการประชุมในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนหากดัชนี ยืนอยู่ระดับ 1,400 จุด แนะนำให้เน้นถือ และติดตามปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะปัจจัยทางต่างประเทศ ทั้งนี้ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,390 จุด และประเมินแนวต้านไว้ที่ 1,410 จุด

คาดสิ้นปีบาทอยู่ในกรอบ 31-33

ด้าน นายอิทธิพันธ์ เจียกเจิม ผู้จัดการขายผลิตภัณฑ์ตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทวานนี้ เป็นเรื่องของบรรยากาศการลงทุน ที่เริ่มมีเงินทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาไม่ได้ดีอย่างที่คาดไว้ และการใช้มาตรการคิวอียังคงดำเนินต่อไป

การแข็งค่าของเงินบาทวานนี้ จึงคาดว่าจะเป็นระยะสั้น เพราะตัวเลขเศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีมากนัก ทำให้ยังมีโอกาสที่จะเห็นความผันผวนไปได้อีกระยะหนึ่ง ธนาคารมองว่าทิศทางค่าเงินบาทไปจนถึงสิ้นปีนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.00-33.00 บาทต่อดอลลาร์

"ธนาคารยังคงแนะให้ผู้ส่งออกทยอยซื้อดอลลาร์สหรัฐเอาไว้ ขณะที่ผู้นำเข้าส่วนใหญ่มีการป้องกันความเสี่ยงไปมากแล้วตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เพราะรายได้จะอิงค่าเงิน เมื่อเงินบาทแข็งค่าก็ไม่กระทบมากนัก"

นักลงทุนหวนซื้อสินทรัพย์เสี่ยง

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การกลับมาแข็งค่าของเงินสกุลภูมิภาคเอเชีย รวมถึงเงินบาทของไทย มีสาเหตุหลักเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มคลายกังวลกับสถานการณ์ตึงเครียดต่างๆ โดยเฉพาะกรณีการใช้กำลังทหารกับซีเรีย ทำให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเริ่มอ่อนตัว และนักลงทุนเริ่มกล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น จึงมีเงินไหลเข้าในตลาดเกิดใหม่แถบเอเชียมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ นักลงทุนมองว่าการประชุมเอฟโอเอ็มซี ในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ คงไม่ตัดสินใจลดขนาดของคิวอี ในระดับที่มากเกินไป ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าลดประมาณ 1-1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

ตัวเลขเศรษฐกิจของจีนและญี่ปุ่นที่ดูดีขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการแข็งค่าของเงินบาทโดยรวม จึงเป็นเรื่องของบรรยากาศ และความรู้สึกของนักลงทุนล้วนๆ

"เหตุการณ์จากนี้ไปคงบอกได้ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างเร็ว ดังนั้น ในระยะต่อไปเชื่อว่าทิศทางของตลาดจะยังคงผันผวนอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าดูโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ไม่ได้มีปัจจัยใดที่เปลี่ยนไป"

ราคาสินทรัพย์ถูกหันกลับมาซื้อคืน

นายกำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า การกลับเข้ามาของเงินทุนต่างชาติรอบนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมาราคาสินทรัพย์ต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้งประเทศไทยเองได้ปรับลดลงไปค่อนข้างมาก เมื่อนักลงทุนมองว่าราคาที่ลดลงเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับอยู่ในระดับที่จูงใจ ประกอบการสถานการณ์ความกังวลต่างๆ เริ่มคลี่คลายลง จึงกลับเข้ามาลงทุนอีกรอบ เพียงแต่การเข้ามาลงทุนในรอบนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นเลือกลงทุนรายประเทศ ไม่ได้เหมาลงทุนทั้งภูมิภาคเหมือนแต่ก่อนแล้ว

"รอบนี้ที่เขาเข้ามา เขาก็คงเลือกดูกันรายประเทศ กลุ่มประเทศ BIITS (บราซิล อินเดีย อินโดนีเซีย ตุรกี และ แอฟริกาใต้) ดูจะหนักอยู่ ส่วนของไทย นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจแม้จะโตไม่มาก แต่ก็โตได้แบบสม่ำเสมอ พื้นฐานทางเศรษฐกิจก็ยังใช้ได้อยู่ ปีนี้แม้จะมีขาดดุลบัญชีเดินสะพัดบ้าง แต่ก็ไม่ได้มาก โดยไม่น่าเกิน 1-2% ของจีดีพี" นายกำพล กล่าว

คาดบาทเคลื่อนไหว 31-32

แนวโน้มระยะต่อไปเชื่อว่า ค่าเงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ราวๆ 31-32 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ บล.ทิสโก้ ก็มองว่า เงินบาทไทยน่าจะจบปีนี้ที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ สาเหตุที่มองเช่นนั้น เพราะเชื่อว่านักลงทุนเริ่มรับข่าวเรื่องที่เฟดจะลดขนาดของคิวอีลงไปมากแล้ว และก่อนหน้านี้ได้เทขายสินทรัพย์รวมทั้งนำเงินออกไปค่อนข้างมาก เมื่อถึงจุดหนึ่ง น่าจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่ ซึ่งทำให้เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นได้

"เรามองว่าอะไรที่ออกไปมากๆ จนทำให้ Valuation ลดต่ำลงไปมาก เมื่อถึงจุดหนึ่งที่นักลงทุนมองว่ามันลงมากเกินไป เขาก็จะเริ่มกลับเข้ามาใหม่ เพราะเป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะกลับไปลงทุนแต่ในสหรัฐอย่างเดียว อีกทั้งข่าวเรื่องเฟดที่จะ Tapering คนก็รับรู้ไปหมดแล้ว" นายกำพล กล่าว

คาดแห่ขายทองหวั่นหลุด1,300ดอลล์

ราคาทองคำในตลาดโลกร่วงลง หลังจากนักลงทุนหันมาซื้อสินทรัพย์เสี่ยง โดยนางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล (YLG) กล่าวว่า การที่ราคาทองคำปรับตัวลงแรง 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแนวโน้มราคาทองคำ ยังเป็นขาลงต่อเนื่อง จนกว่าความชัดเจนเรื่องมาตรการลดวงเงินคิวอี ล่าสุดนักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ จะประกาศลดวงเงินมาตรการคิวอีต่ำกว่าที่คาดการณ์กันไว้

ขณะที่เรื่องความขัดแย้งซีเรียกับสหรัฐเริ่มผ่อนคลายลง ทำให้นักลงทุนออกมาเทขาย และราคาจึงปรับลดลงแรงต่อเนื่อง โดยคาดราคาทองคำมีโอกาสจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 1,280 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในช่วงประกาศลดวงเงินคิวอี

ส่วน นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวว่า ประเด็นความขัดแย้งระหว่างซีเรียและชาติตะวันตก น่าจะผ่อนคลายไปในทางที่ดีขึ้น หลังจากสหรัฐเริ่มปรับใช้มาตรการทางการทูตเจรจาแทนมาตรการทางทหาร และซีเรียก็รับข้อเสนอของรัสเซีย เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจัยนี้ได้ผ่อนคลายความกังวลของตลาดการลงทุน ทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวสูงขึ้นสวนทิศทางราคาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ

รายงานข่าวจากสมาคมค้าทองคำระบุว่า มีการปรับเปลี่ยนทั้งหมด 9 ครั้ง ลดลง 500 บาท โดยราคาทองคำในประเทศ รับซื้ออยู่ที่ 20,350 บาท และ ขายออก 20,450 บาท

คาดราคาทองร่วงลงถึงปีหน้า

บริษัทที่ปรึกษาคาดว่าราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับตัวลงอีกปีหน้า หลังจากปีนี้ราคาทรุดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี เนื่องจากความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจโลกกลับคืนมา

ธอมสัน รอยเตอร์ จีเอฟเอ็มเอส เผยผลการสำรวจทองคำประจำปี 2556 ที่ระบุว่าราคาทองคำอาจลดลงต่ำกว่าระดับ 1,300 ดอลลาร์ช่วงปลายปีหน้า ผลจากการค่อยๆ ยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ซึ่งทำให้มีการพูดถึงการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

มีการคาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยทองคำจะอยู่ที่ 1,350 ดอลลาร์ในปีหน้า ลดลง 7% จากระดับเฉลี่ยที่ 1,446 ดอลลาร์ในปีนี้ และมีแรงหนุนอยู่ที่ระดับ 1,200-1,250 ดอลลาร์ ท่ามกลางการคาดหมายอย่างกว้างขวางในตลาดว่าเดือนนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มลดการเข้าซื้อพันธบัตรจากปัจจุบันที่เดือนละ 85,000 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นปีหน้าราคาทองคำอาจสูงขึ้น สืบเนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองและการเจรจาเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐที่อาจล้มเหลว ซึ่งอาจดันให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,500 ดอลลาร์ เป็นช่วงสั้นๆ ในต้นปีหน้า

ปีนี้ราคาทองคำลดลงประมาณ 1 ใน 5 และแตะระดับต่ำที่สุดในรอบ 3 ปีที่ 1,180.71 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในเดือนมิ.ย. หลังจากเฟดส่งสัญญาณว่าอาจเริ่มลดการเข้าซื้อพันธบัตรภายในปลายปีนี้

ปัจจุบัน ราคาทองคำเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 1,360 ดอลลาร์ หรือ 540 ดอลลาร์ ต่ำกว่าช่วงสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนก.ย. 2554 ซึ่งราคาพุ่งไปถึง 1,920.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์

Tags : ทุนนอกไหลเข้าเงินทุนไหลเข้าเก็งกำไรตลาดหุ้นตราสารหนี้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

วันที่ 16 กันยายน 2556 00:09

 

5ปี'เลแมน'ล้มละลาย กับการล้อมคอก

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

news_img_529948_1.jpg

 

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

วันที่ 16 กันยายน 2556 00:09

5ปี'เลแมน'ล้มละลาย กับการล้อมคอก

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

news_img_529948_1.jpg

5 ปีแล้วหลังจากเลแมนบราเดอร์ส ล้มละลาย ซึ่งปรากฎว่างานใหญ่ในการป้องกันภาคการเงินฉุดลากศก.สหรัฐทั้งระบบพังครืน ยังเป็นภารกิจที่ไม่เสร็จสิ้น

การปฏิรูป "ดอดด์-แฟรงก์" อันประกอบด้วยกฎระเบียบใหม่ 2,300 ข้อ ผ่านความเห็นชอบจากสภาเมื่อเดือนก.ค. 2553 หลังจากเพิ่งตระหนักกันอย่างดีว่าภาคการเงินที่ไร้การควบคุมนั้นสร้างหายนะต่อเศรษฐกิจมากมายแค่ไหน แต่การนำไปบังคับใช้ยังต้องอาศัยการตีความ ทั้งยังเผชิญกระแสต้านจากบรรดาธนาคารซึ่งยังไม่ค่อยยอมรับความผิด

บริษัทกฎหมายเดวิสพอล์กระบุในรายงานว่าช่วงปลายเดือนก.ย. มีกฎระเบียบของดอดด์-แฟรงก์เพียง 40% ที่ได้ข้อสรุปและรวมเข้าอยู่ในกฎหมาย

ในบรรดากฎระเบียบที่มีความคืบหน้านั้น รวมถึงข้อที่กำหนดให้ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่ต้องอาศัยเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลในช่วงวิกฤติการเงินเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ต้องทำ "พินัยกรรม" ว่าจะเปลี่ยนสินทรัพย์ให้เป็นสภาพคล่องได้อย่างไร โดยให้มีความเสียหายน้อยที่สุด ในกรณีที่ธนาคารต่างๆ มีปัญหา

นอกจากนั้น ธนาคารต่างๆ ยังต้องดำเนินการตรวจสอบสถานภาพทางการเงินเป็นประจำทุกปี เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถรับมือวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ แม้วิกฤติครั้งใหม่อาจร้ายแรงกว่าที่ทำให้เลแมนล้มละลายไปเมื่อปี 2551 ก็ตาม

นอกจากนั้น ข้อกำหนดดังกล่าวยังบังคับใช้กับสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร อย่างบริษัทประกัน อเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (เอไอจี) ซึ่งต้องขอรับความช่วยเหลือจากภาครัฐเช่นกัน

ข้อกำหนดดังกล่าวเริ่มส่งผลกระทบแล้ว โดยในการทดสอบสถานะเมื่อต้นปีนี้ มีธนาคารรายใหญ่แห่งเดียวจากทั้งหมด 18 แห่งที่ไม่ผ่านเกณฑ์ นั่นคือ อัลลาย ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นสถาบันแห่งหนึ่งที่ได้รับความช่วยเหลือ

ดอด-แฟรงก์ ยังกำหนดให้จัดตั้งสภาดูแลเสถียรภาพการเงิน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐมนตรีคลัง และมีหน้าที่แยกแยะความเสี่ยงสำหรับระบบการเงินของประเทศ จากนั้นก็หาทางรับมือ

กระนั้น กฎระเบียบสำคัญข้อหนึ่งที่ยังไม่ลุล่วง และถูกต้านทานจากภาคธนาคาร คือ "กฎระเบียบโวลเกอร์" ที่บังคับให้ธนาคารต่างๆ ยุติกิจกรรมทางการเงินและกิจการการซื้อขายอื่นๆ ที่มุ่งทำกำไรเป็นการภายใน เพราะกิจกรรมเหล่านี้คือต้นเหตุของวิกฤติการเงินครั้งที่ผ่านมา

นายพอล โวลเกอร์ อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งถูกนำชื่อไปตั้งเป็นกฎระเบียบ กล่าวว่าการไม่สามารถผลักดันกฎระเบียบให้เสร็จสิ้นภายใน 3 ปี ถือเป็นเรื่องน่าขัน

ขณะที่รายงานข่าวระบุว่าแม้มีการจัดวางกฎระเบียบ แต่บรรดาธนาคารยักษ์ใหญ่ ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มได้เพราะจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ กลับมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยซ้ำ โดยธนาคารรายใหญ่ที่สุด 10 แห่งมีสินทรัพย์ 10.97 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อเดือนมิ.ย. 2555 เทียบกับ 7.81 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปลายปี 2549

ความวิตกเกี่ยวกับธนาคารเหล่านี้ ได้รับการตอกย้ำ หลังจากเจพีมอร์แกน ซึ่งภาคภูมิใจมากที่ผ่านวิกฤติปี 2551 มาได้อย่างบอบช้ำน้อยที่สุด เปิดเผยว่าขาดทุนมหาศาลจากการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สาขาในกรุงลอนดอนเมื่อปีที่แล้ว

Tags : เลแมนสหรัฐวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1237867_568689426517647_1347069440_n.jpg

จ๊ะเอ๋ เพื่อนๆ

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 16 กันยายน 2556 06:35:35 น.

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 13 ก.ย.

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 15,376.06 จุด เพิ่มขึ้น 75.42 จุด +0.49%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 3,722.18 จุด เพิ่มขึ้น 6.21 จุด +0.17%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 1,687.99 จุด เพิ่มขึ้น 4.57 จุด +0.27%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,114.50 จุด เพิ่มขึ้น 7.87 จุด +0.19%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 8,509.42 จุด เพิ่มขึ้น 15.42 จุด +0.18%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,583.80 จุด ลดลง 5.18 จุด -0.08%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 4,375.54 จุด เพิ่มขึ้น 18.93 จุด +0.43%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 8,168.20 จุด ลดลง 57.16 จุด -0.70%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 14,404.67 จุด เพิ่มขึ้น 17.40 จุด +0.12%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 1,994.32 จุด ลดลง 9.74 จุด -0.49%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,219.60 จุด ลดลง 22.90 จุด -0.44%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 2,236.22 จุด ลดลง 19.39 จุด -0.86%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 6,133.24 จุด ลดลง 62.37 จุด -1.01%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 22,915.28 จุด ลดลง 38.44 จุด -0.17%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 19,732.76 จุด ลดลง 49.12 จุด -0.25%

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจไม่เร่งปรับลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าคาดหมายเมื่อคืนนี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 75.42 จุด 0.49% ปิดที่ 15,376.06 จุด ดัชนี S&P500 บวก 4.57 จุด หรือ 0.27% ปิดที่ 1,687.99 จุด และดัชนี Nasdaq ปรับตัวสูงขึ้น 6.21 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 3,722.18 จุด

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) เนื่องจากสถานการณ์ซีเรียคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังการเจรจาระหว่างสหรัฐกับรัสเซียในเรื่องของซีเรียดำเนินไปด้วยดี

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 39 เซนต์ ปิดที่ 108.21 ดอลลาร์/บาร์เรล

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 15 เซนต์ ปิดที่ 112.78 ดอลลาร์/บาร์เรล

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) หลังจากสถานการณ์ซีเรียผ่อนคลายความตึงเครียดลง ขณะที่นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 22 ดอลลาร์ หรือ 1.65% ปิดที่ 1,308.6 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 42.9 เซนต์ หรือ 1.94% ปิดที่ 21.72 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.ขยับขึ้น 1.8 ดอลลาร์ หรือ 0.12% ปิดที่ 1,444.5 ดอลลาร์/ออนซ์

-- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า

เงินยูโรแข็งค่า 0.02% ที่ระดับ 1.3300 ดอลลาร์/ยูโร จาก 1.3297 ดอลลาร์/ยูโรเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ขณะที่เงินปอนด์ก็แข็งค่า 0.46% แตะ 1.5876 ดอลลาร์/ปอนด์ จาก 1.5804 ดอลลาร์/ปอนด์

เงินดอลลาร์อ่อนตัวลง 0.24% สู่ระดับ 99.300 เยน/ดอลลาร์ จาก 99.540 เยน/ดอลลาร์ และอ่อนค่า 0.13% แตะ 0.9291 ฟรังก์สวิส/ดอลลาร์ จากระดับ 0.9303 ฟรังก์สวิส/ดอลลาร์

เงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลง 0.24% สู่ระดับ 0.9244 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จาก 0.9266 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย ขณะที่เงินดอลลาร์นิวซีแลนด์เพิ่มขึ้น 0.07% แตะที่ 0.8141 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์ จากระดับ 0.8135 ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์นิวซีแลนด์

-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) หลังสหรัฐเผยยอดค้าปลีกขยายตัวน้อยเกินคาดในเดือนส.ค. ขณะที่นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์ซีเรียอย่างใกล้ชิดต่อไป

ดัชนี FTSE 100 ลดลง 5.18 จุด หรือ 0.08% ปิดที่ 6,583.8 จุด

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อวันศุกร์ (13 ก.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวการควบรวมกิจการและซื้อกิจการ (M&A) ของบริษัทเอกชน ซึ่งรวมถึงบริษัท Fresenius และ Rhoen-Klinikum (RHK)

ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 311.46 จุด

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 8,509.42 จุด เพิ่มขึ้น 15.42 จุด หรือ +0.18% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,114.50 จุด เพิ่มขึ้น 7.87 จุด หรือ+0.19% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,583.80 จุด ลดลง 5.18 จุด หรือ -0.08%

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

ฝรั่งเศสชื่นชมสหรัฐและรัสเซียบรรลุข้อตกลงเรื่องอาวุธเคมีซีเรีย

infoquest.gif

 

TFEX สรุปปริมาณซื้อขายรายกลุ่ม Stock Futures สิ้นวันที่ 13 ก.ย. 56

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 16 กันยายน 2556 07:00:39 น.

ตลาดอนุพันธ์ (TFEX) รายงานสรุปปริมาณการซื้อขาย Single Stock Futures

โดยแบ่งตามประเภทนักลงทุน ประจำวันที่ 13 กันยายน 2556 ดังนี้

(หน่วย: จำนวนสัญญา)

นักลงทุน ซื้อ ขาย สุทธิ

สถาบัน 6,589 8,920 -2,331

ต่างชาติ 237 95 142

ในประเทศ 14,188 11,999 2,189

อินโฟเควสท์ โดย ดาณี ทรัพย์คงมั่น โทร.02-2535000 ต่อ 328 อีเมล์: danee@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

<p>HSH</p>

<h3 style="font-size: 16px; color: rgb(136, 0, 0); margin-top: 5px; margin-bottom: 5px;">

http://youtu.be/_myAgeOMUI8</h3>

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินบาทเปิด 31.72/74 แนวโน้มแข็งค่า มองกรอบ 31.60-31.80

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 16 กันยายน 2556 09:30:59 น.

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดเตลาดเช้านี้ที่ระดับ 31.72/74 บาท/ดอลลาร์ จากเย็นวันศุกร์ที่ปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.89/91 บาท/ดอลลาร์

"เงินบาทเช้านี้ เป็นการแช่ Low จากเมื่อคืนวันศุกร์ หลักๆ น่าจะมาจากประเด็นที่นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ ต่อจากนายเบน เบอร์นันเก้ ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในช่วงต้นปีหน้า เพราะกลัวผลจากมาตรการ QE ตลาดเลยพากันตอบรับ" นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน คาดว่า เงินบาทมีทิศทางแข็งค่าอีก ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ 31.60-31.80 บาท/ดอลลาร์

"เมื่อเช้าเงินบาทลงไปทดสอบ 31.65 แล้วก็มีแรงซื้อทำให้ดีดกลับขึ้นมา ดังนั้นมองว่าถ้าวันนี้หลุด 31.65 อาจจะไปทดสอบ 31.50 เลย มองว่ายังอยู่ในแนวขาลง การที่มีแรงซื้ออาจจะเป็นการทดสอบตลาดว่ายังมีใครไล่ต่อหรือเปล่า พอซื้อขึ้นมาแรงไล่ซื้อก็เริ่มนิ่งตอนนี้เงินบาทอยู่แถวๆ 31.68/70 Bid-Offer ก็ยังห่าง น่าจะรอ flow จากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง"นักบริหารเงิน กล่าว

* ปัจจัยสำคัญ

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 98.88 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวันศุกร์ที่อยู่ที่ระดับ 99.64/65 เยน/ดอลลาร์

- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3365 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวันศุกร์ที่ปิดตลาดที่ระดับ 1.3289/3291 ดอลลาร์/ยูโร

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.อยู่ที่ 31.8420 บาท/ดอลลาร์

- "นิวัฒน์ธำรง" เชื่อค่าเงินไม่แข็งมากกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์ ลุ้นส่งออกโค้งสุดท้ายปลายปีกลับมาแรงได้ ถกทูตพา ณิชย์ 23 ก.ย.นี้ อาจปรับเป้าใหม่

- นักวิเคราะห์ฯประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้มีแนวโน้มขยับขึ้นจาก sentiment เชิงบวกยังมีอยู่ในตลาดช่วงนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียช่วงเช้าส่วนใหญ่เปิดตลาดเคลื่อนไหวในแดนบวก นอกจากนี้ยังต้องติดตามการพิจารณาลดขนาดมาตรการ QE ในการประชุม FOMC และการพิจารณาร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทในสัปดาห์นี้ แนะนักลงทุนลงทุนแบบ Trading เนื่องจากค่า P/E ในปัจจุบันอยู่ในระกดับที่สูง พร้อมให้แนวต้าน 1,420 จุด แนวรับ 1,380 จุด

- ตลาดหุ้นเอเชียปรับเพิ่มขึ้นเช้านี้ หลังจากที่นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปิดทางให้กับนางเจเน็ต เยลเลน รองประธานเฟด ซึ่งนักลงทุนชื่นชอบมากกว่า เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่าซัมเมอร์สจะคุมเข้มนโยบายการเงินมากกว่าเยลเลน

- China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า เงินหยวนแข็งค่าขึ้น 0.24% แตะที่ 6.1554 หยวนต่อดอลลาร์

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศของจีนนั้น เงินหยวนได้รับอนุญาตให้ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 1% จากอัตราค่ากลางของการซื้อขายแต่ละวัน

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อิงกับราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการซื้อขายในแต่ละวัน

- นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ ต่อจากนายเบน เบอร์นันเก้ ซึ่งจะครบวาระการดำรงตำแหน่งในช่วงต้นปีหน้า

- นายมาร์ติน เนเซอร์กี้ โฆษกสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า นายบัน คี-มูน เลขาธิการยูเอ็นได้รับรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการใช้อาวุธเคมีในซีเรียของคณะผู้ตรวจสอบยูเอ็นแล้ว โดยนายบัน คี-มูน จะชี้แจงต่อสภาความมั่นคงของยูเอ็นเกี่ยวกับผลการตรวจสอบในวันนี้

- เกาหลีใต้และสหรัฐตัดสินใจจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลเข้าร่วมการประชุม 6 ฝ่ายที่จะจัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งในเดือนนี้

อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าลุ้นขึ้นตามตลาดภูมิภาค มอง Sentiment ตลาดยังดี

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 16 กันยายน 2556 09:35:27 น.

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าดัชนีมีแนวโน้มขยับตัวขึ้นในกรอบจำกัด จาก sentiment เชิงบวกที่ยังมีอยู่ในตลาดในช่วงนี้ โดยในช่วงเปิดตลาดภาคเช้าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนบวก

อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC)เกี่ยวกับการพิจารณาการลดขนาดมาตรการ QE ในวันที่ 17-18 ก.ย. และติดตามการพิจารณาร่างพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ในวันที่ 19-20 ก.ย.นี้

"ช่วงนี้แนะนำให้นักลงทุนลงทุนแบบ Trading เนื่องจากค่า P/E ปัจจุบันอยู่ในระดับที่สูง 14.9 เท่า"นายเทิดศักดิ์ กล่าว

พร้อมให้แนวต้าน 1,420 จุด แนวรับ 1,380 จุด

ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :

- ตลาดหุ้นนิวยอร์คล่าสุด(13 ก.ย.)ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 15,376.06 จุด เพิ่มขึ้น 75.42 จุด(+0.49%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,687.99 จุด เพิ่มขึ้น 4.57 จุด(+0.27%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 3,722.18 จุด เพิ่มขึ้น 6.22 จุด(+0.17%)

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 295.08 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 8.24 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 47.13 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 17.37 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 31.10 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 9.20 จุด

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเคารพผู้สูงอายุ และตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเฉลิมฉลองการจัดตั้งสหพันธรัฐมาเลเซีย

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด(13 ก.ย.)ที่ 1,401.08 จุด เพิ่มขึ้น 3.18 จุด (+0.23%)

- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,033.66 ล้านบาท เมื่อ 13 ก.ย.56

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด(13 ก.ย.)ที่ 108.21 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 0.39 ดอลลาร์ฯ

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด(13 ก.ย.)ที่ 2.92 เหรียญฯ/บาร์เรล

- เงินบาทเปิด 31.72/74 บาท/ดอลลาร์ฯ แนวโน้มแข็งค่า

- "นิวัฒน์ธำรง"มั่นใจค่าเงินไม่หลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ ดันส่งออกโค้งสุดท้ายปลายปีถกทูตพาณิชย์ 23 ก.ย.นี้กำหนดเป้าส่งออกใหม่ ขู่ปรับเคพีไอ ประเมินผลงานด้านทูตพาณิชย์จ่อขอลดเป้าส่งออกรายตลาด หลังสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว ขณะที่"ผู้ส่งออก"ประเมินขยายตัวได้ 3% กรณีเลวร้ายสุดโตได้แค่ 1.5% กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ยังติดลบ ขณะที่อัญมณีทรงตัว อุตสาหกรรมอาหารโต 1-2%

- แวดวงตลาดเงินจับตาผลประชุมเฟด 17-18 ก.ย.นี้ กระทบเงินทุนเคลื่อนย้าย นักวิเคราะห์ระบุประเมินยาก เชื่อมีโอกาสเงินไหลเข้าในระยะสั้น ขณะสถาบันการเงินต่างชาติชี้นักลงทุนตื่นเฟดลดคิวอีมากเกินไป ไหลออกเอเชียช่วงที่ผ่านมาเล็กน้อย

- นายโอฬาร ไชยประวัติ ประธานผู้แทนการค้าไทย ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาความตกลงเปิดเขตการค้าเสรี ระหว่างไทยสหภาพยุโรป(เอฟทีเอ ไทย-อียู)เปิดเผยว่า การเจรจาเอฟทีเอ ไทย-อียู รอบ 2 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 ก.ย.นี้ ที่ จ.เชียงใหม่ จะเปิดโอกาสให้กลุ่มองค์กรภาคประชาชนเข้าพบและยื่นหนังสือต่อหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายอียูโดยตรงในวันที่ 18 ก.ย.นี้ เนื่องจากยังมีข้อกังวลกับการเจรจาเอฟทีเอครั้งนี้

- ผวาถกกู้ 2 ล้านล้านล่ม พท.กำชับ ส.ส.ห้ามโดดร่ม นัดประชุม 17 ก.ย.วางกรอบอภิปราย ลั่นจบใน 2 วัน ปัดตั้งองครักษ์พิทักษ์'ปู'

- โบรกเกอร์แนะรอความชัดเจนคิวอีก่อนปรับพอร์ตลงทุนเตรียมรับอานิสงส์ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ชี้กลุ่มรับเหมา ธนาคาร รับประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะหุ้นแบงก์กรุงไทยและช.การช่าง ครองแชมป์หุ้นเนื้อหอม เหตุหุ้นเติบโตดีสำหรับตลาดหุ้นขึ้นรอบใหม่

- สมาคม บล. ชี้ เศรษฐกิจโลกฟื้น หนุนธุรกิจหลักทรัพย์ครึ่งปีหลัง แต่ภาพรวมยังต่ำกว่าครึ่งปีแรก ด้านโบรกเกอร์หั่นเป้ากำไรปีนี้ลง 4% เหลือ 5.1 พันล้านบาท แม้ว่ากำไรจากพอร์ตลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ หรืออยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท แต่รายได้ค่าคอมมิชชั่นลดลงตามวอลุ่มตลาดที่แผ่วในครึ่งปีหลัง

- "พฤณท์" มั่นใจเปิดประมูลเอ็นจีวี 3,183 คัน ภายในปีนี้ ฟุ้งทีโออาร์ครอบคลุม ด้าน ขสมก.โต้ไม่มีการล็อกสเปก

*หุ้นเด่นวันนี้

- SYMC(เคเคเทรด)"ซื้อ"เป้า 19 บาท มองบวกต่อปัจจัยพื้นฐาน ประเมินต้นทุนส่วนเพิ่มจากการลงทุนและการเช่าโครงข่ายจะเป็นเพียงเป็นปัจจัยลบระยะสั้น ครึ่งปีหลังการใช้งานโครงข่ายเพิ่มจะช่วยรักษาอัตรากำไร และแนวโน้มการให้บริการ Private Network และ IPLC จะยังมีโมเมนต้มบวกต่อเนื่องได้ โดยมีปัจจัยหนุนการใช้งาน Bandwidth โครงข่ายและเชื่อมต่อ Internet ระหว่างประเทศมากขึ้นของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ คาด 5 ปีข้างหน้ากำไรสุทธิโตต่อปี 14% (CAGR ปี 56-60)

- SEAFCO(เคเคเทรด)"ซื้อ"เป้า 6 บาท ราคาหุ้นยังขึ้นมาตอบสนองต่อ พ.ร.บ.เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาทจะเข้าสภาฯ 19-20 ก.ย.น้อยกว่าหุ้นรับเหมาใหญ่อย่าง STEC, ITD และ CK ขณะที่ประเมินว่า SEAFCO เป็นหนึ่งในบริษัทจะได้ประโยชน์จากพ.ร.บ.เงินกู้ฯ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาได้รับงานฐานรากและงานเสาเข็มเจาะจากทั้ง CK และ STEC มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเขียว และสีเหลือง

- PREB(ฟินันเซีย ไซรัส)"ซื้อ"เป้า 9.5 บาท เป็นหุ้นรับเหมาขนาดเล็กที่มี Backlog ทำสถิติใหม่สูงถึง 1 หมื่นล้านบาท ส่วนธุรกิจคอนโดเป็นการต่อยอดความชำนาญในการก่อสร้างแต่คอนโดถูกโอนไปมากในช่วง 1H13 ทำให้คาดกำไร 2H13 ลด 60% จากครึ่งปีแรก คิดเป็นเพียง 30% ของกำไรทั้งปีที่ 256 ล้านบาท (+36%Y-Y) และยังไม่มีคอนโดใหม่สร้างเสร็จพร้อมโอนในปีหน้า ทำให้คาดกำไรปีหน้าลด 7%Y-Y แต่จุดน่าสนใจอยู่ที่รายได้การก่อสร้างที่คาดเพิ่มถึง 47%Y-Y ในปีหน้า ส่วนการเพิ่มทุน General mandate เลื่อนไปไม่มีกำหนดเพราะมีเงินในมือสูง

- TRUE(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 10.10 บาท คาดราคาหุ้นมีแนวโน้มตอบรับเชิงบวก หลังวันศุกร์ช่วงเย็นประกาศวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 7 ต.ค.และคาดจะส่งผลให้ตลาดมีความมั่นใจมากขึ้นว่าแผนการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวจะเสร็จสิ้นได้ในปี 56 ประเมินเบื้องต้นคาดว่ากองทุนจะมีกระแสเงินสดรับหลังหักค่าใช้จ่ายราว 5,568 ล้านบาทต่อปี หากอิงขนาดกองทุนที่ 60,000-80,000 ล้านบาท และเชื่อว่าหากตั้งกองทุนตามแผนของบริษัท และนำเงิน 60% ไปชำระหนี้ จะส่งผลให้ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ลดดอกเบี้ยจ่ายสูงถึงปีละ 2.3-3 พันล้านบาท

- TASCO(เมย์แบงก์ กิมเอ็ง)"ซื้อเก็งกำไร"เป้า 90 บาท คาดว่าราคาหุ้นมี Momentum เชิงบวกในสัปดาห์นี้ จากแรงเก็งกำไรพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากเป็น 1 ในหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯ โดยเฉพาะถนน และแนวโน้ม 3Q56 คาดโต yoy และ qoq จากการจำหน่ายยางมะตอยในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่องจากการซ่อมแซมถนนช่วงฤดูฝน และทิศทางเงินบาทผันผวนลดลงส่งผลให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น คาดกำไรสุทธิปี 56 จะเติบโตสูงถึง +61% yoy เป็น 1,037 ล้านบาท และราคาปัจจุบันมี Valuation ที่ค่อนข้างต่ำ

อินโฟเควสท์ โดย จีรายุทธ จันทรงสกุล/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตลาดหุ้นเอเชียทะยานขึ้นเช้านี้ หลัง ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ถอนชิงปธ.เฟด

ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 16 กันยายน 2556 08:59:14 น.

ตลาดหุ้นเอเชียปรับเพิ่มขึ้นเช้านี้ หลังจากที่นายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส อดีตรัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ประกาศถอนตัวจากการชิงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปิดทางให้กับนางเจเน็ต เยลเลน รองประธานเฟด ซึ่งนักลงทุนชื่นชอบมากกว่า เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่าซัมเมอร์สจะคุมเข้มนโยบายการเงินมากกว่าเยลเลน

ดัชนี MSCI Asia Pacific ไม่รวมญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 0.6% แตะ 459.83 จุด เมื่อเวลา 10.58 น.ตามเวลาซิดนีย์

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,210.36 จุด เพิ่มขึ้น 295.08 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,244.46 จุด เพิ่มขึ้น 8.24 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 8,189.61 จุด เพิ่มขึ้น 47.13 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,011.69 จุด เพิ่มขึ้น 17.37 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,151.40 จุด เพิ่มขึ้น 31.10 จุด และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียเปิดวันนี้ที่ 5,228.80 จุด เพิ่มขึ้น 9.20 จุด

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเคารพผู้สูงอายุ และตลาดหุ้นมาเลเซียปิดทำการวันนี้ เนื่องในวันเฉลิมฉลองการจัดตั้งสหพันธรัฐมาเลเซีย

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...