ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

post-2581-019916500 1318334708.jpg

 

ทุกข์ของวันนี้ก็มากพอแล้ว

นาฬิกา ที่ศาลาวัดตีบอกเวลา ๒ ทุ่ม สีกาวัยกว่า ๕๐ ปี นั่งพับเพียบพนมมืออยู่หน้าหลวงพ่อ

เธอมีสีหน้าแววตาที่เศร้าหมองทุกข์ระทมนัก แล้วก็เอ่ยขึ้นว่า

"หลวงพ่อเจ้าขา อิฉันทุกข์เหลือเกินเจ้าค่ะ"

"ลูกแบกทุกข์อะไรไว้นักหนาเล่า?" หลวงพ่อถาม

"ก็ครอบครัวอิฉันซิเจ้าคะ อะไรๆก็ดูแย่ไปเสียหมด...”

เธอหยุดชั่วครู่ คล้ายว่ามีลูกอะไรมาตันอยู่ที่ลำคอ จนพูดไม่ออก

"ตั้งแต่ สามีอิฉันตายไป ก็เหมือนหมดสิ้นทุกๆอย่าง

ธุรกิจที่เขาทำไว้ก็ถูกเพื่อนๆของเขาโกงเอาไปหมดเลย

ทั้งบ้าน ทั้งรถของอิฉัน ก็โดนยึดไปหมดแล้วเจ้าค่ะ

ไม่รู้เวรกรรมอะไรหนักหนาที่มาเกิดกับอิฉันนะคะหลวงพ่อ" จากนั้นเธอก็เริ่มร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่

หลวงพ่อนิ่งฟัง และปล่อยให้สีกาคนนั้นร้องให้ไปพักใหญ่ จึงเอ่ยขึ้นว่า...

"ทุกข์ ของวันนี้ ก็มากพอแล้วนะลูก...

ทำไมเจ้าต้องเอา ทุกข์ของเมื่อวานนี้ มาทุกข์วันนี้อีกเล่า เมื่อวานนี้เจ้าก็ทุกข์ไปแล้วไม่ใช่หรือ?"

"ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ อิฉันไม่เข้าใจเจ้าค่ะ" สีกาถามด้วยความสงสัย

"อ้าว! ก็เมื่อตอนที่สามีเจ้าตายไปน่ะ เจ้าเสียใจทุกข์ใจไหมล่ะ?"

"ทุกข์ซิเจ้าคะ ทุกข์เหลือเกินเลย" เธอตอบ

"แล้วตอนที่ถูกเพื่อนๆเขาโกงเอาธุรกิจไปล่ะ เจ้าทุกข์หรือยัง"

"ทุกข์แล้วเจ้าค่ะ ก็เราเสียของๆเราไปนี่เจ้าคะ"

"งั้นตอนที่เขามายึดบ้าน ยึดรถไปล่ะ เจ้าทุกข์หรือเปล่า?"

 

"ทุกข์เจ้าค่ะ บ้านที่เคยอยู่ รถที่เคยใช้ จะไม่ทุกข์ได้อย่างไรคะ"

หลวงพ่อจึงเอ่ยต่อไปว่า

"สรุปว่า เจ้าได้ทุกข์ไปแล้วนะ ทุกข์มากเสียด้วย จริงไหม?"

"จริงเจ้าค่ะ ทุกข์มากเหลือเกินเจ้าค่ะ"

เมื่อสีกายอมรับ หลวงพ่อจึงพูดว่า

"ลูกเอ๋ย 'ทุกข์ของวันนี้' ก็มากพอแล้วนะลูก

อย่าเอา 'ทุกข์ของเมื่อวานนี้' มาทุกข์วันนี้ซ้ำอีก

เพราะเมื่อวานเจ้าก็ได้ทุกข์อย่างสาหัสไปแล้วนะลูก"

สีกาก้มกราบหลวงพ่อ แล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า

"แต่ท่านเจ้าขา... จะไม่ให้อิฉันทุกข์ได้อย่างไรเจ้าคะ

เพราะ 'วันพรุ่งนี้' อิฉันยังไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรเลย

จะเจออะไรที่เลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือเปล่า ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปเลยค่ะ"

หลวงพ่อจึงตอบอีกว่า...

"ลูก เอ๋ย...ทุกข์ของวันนี้ ก็มากพอแล้วนะลูก...

ทำไมเจ้าต้องเอา ทุกข์ของวันพรุ่งนี้ มาทุกข์วันนี้ก่อนเล่า

พรุ่งนี้ค่อยทุกข์ก็ยังทันอยู่ไม่ใช่หรือ?"

"ใช่ เจ้าค่ะ แต่เดี๋ยวพอฟ้าสว่างวันพรุ่งนี้ก็มาถึงแล้วนะเจ้าคะ

วันเวลามันเร็วเหลือเกินเจ้าค่ะ อิฉันกังวลใจจริงๆ เป็นห่วงก็แต่ลูกๆล่ะเจ้าค่ะ

เขายังเล็กนัก" สีกาเอ่ยขึ้นอย่างกังวล

หลวง พ่อจึงกล่าวว่า "ลูกเอ๋ย...

ชีวิตของเรา จะตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้เลย

ถ้าพรุ่งนี้ ไม่ได้ตื่นขึ้นมา ก็คงไม่ต้องทุกข์อะไรต่อไปอีก

แต่ถ้าพรุ่งนี้ได้ตื่นขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ

เพราะเจ้าจะได้มีโอกาสทำหน้าที่ของ 'แม่' อีกครั้งหนึ่ง จริงไหม?"

 

"เจ้าค่ะ" เธอตอบเบาๆ

หลวงพ่อจึงสอนว่า

"จำไว้นะลูก...ทุกข์ของวันนี้ ก็มากพอแล้ว...

เจ้าต้องไม่เอา ทุกข์ของเมื่อวานนี้ มาทุกข์วันนี้อีก

ทั้งนี้ก็เพราะ เจ้าได้ทุกข์ไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันวาน

และเจ้าต้องไม่เอา ทุกข์ของวันพรุ่งนี้ มาทุกข์เสียก่อนในวันนี้

เพราะพรุ่งนี้เจ้าค่อยทุกข์ก็ยังไม่ช้าเกินไป

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ.... วันพรุ่งนี้ จะดีหรือจะร้าย

ก็ไม่มีใครรู้ หรอกลูก อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เจ้าคิดก็ได้...จริงไหม?"

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

+1ให้เลยสำหรับบทความดี ๆ

 

ขอบคุณ 'win win' เก็บส่วนดีใส่ใจ หัว+ใจจะได้มีดึ :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คนที่โชคดี คือ คนที่รู้ว่าตัวเองโชคดี

 

โชคชะตาเล่นงาน สาว 26 กลายเป็นยายแก่วัย 70 ชั่วข้ามวัน

 

http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9540000129837

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทิฐิกับคนรัก...จัดการอย่างไร

 

post-2581-004667000 1318418052.jpg

 

ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ความมีทิฐิกับคนที่รัก เป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยมากที่สุดในคู่สมรส โดยเฉพาะในคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง

บ่อยครั้งที่มักจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ยอมทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องเล็กน้อย

และคุณสามารถที่จะให้อภัยคนได้ทั่วโลก มีคนเดียวที่หากทำแบบนี้แล้วคุณจะไม่ให้อภัย

หากคุณคิดว่าเพราะคุณรักกัน ความผิดเล็กน้อยนี้เป็นเรื่องเล็กเกินกว่าที่จะนำมาเป็นประเด็นขัดแย้งกัน

และให้อภัยกัน สิ่งที่คุณเคยคิดว่าเป็นเรื่องร้ายแรง อาจกลายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

การที่คุณมีทิฐิกับคนที่คุณรักมาก นั่นแสดงให้เห็นถึงการไม่มีวุฒิภาวะที่ดีพอ

และหากคุณยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ และอีกฝ่ายไม่เข้าใจ ก็อาจกลายเป็นปัญหาซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคุณทั้งสอง

การมีทิฐิอาจส่งผลดีอยู่บ้างในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้ประสบความสำเร็จ แต่หากเกิดขึ้นในชีวิตคู่แล้วล่ะก็

คุณจะมีความรู้สึกอยากเอาชนะ และความอยากเอาชนะนี้เอง ที่จะทำใหุ้ณแพ้

 

แพ้ในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในที่สุด...

การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ คุณต้องหัดเข้าใจว่าอีกฝ่ายมองอย่างไร

การเข้าใจในธรรมชาติและความแตกต่างซึ่งกันและกันจะช่วยให้คุณจัดการกับปัญหานี้ได้ดีขึ้น

ที่สำคัญคือ ควรมองกันและกันในแง่ดี และใส่ใจความรู้สึกกัน

หากคุณมองในแง่ลบ คุณก็จะเกิดความรู้สึกโกรธ ผิดหวัง เศร้า เสียใจ และสงสารตัวเอง

หากคุณมองในแง่บวก คุณก็จะเห็นความดีของคนรัก

รู้สึกมั่นคงในความรักที่มี และอยากทำสิ่งดี ๆ ให้แก่เขา

ผลก็คือ ตัวคุณเองจะมีความสุขขึ้น ชีวิตคู่ของคุณก็จะราบรื่นและมั่นคงขึ้น

 

หากคุณต้องการให้ชีวิตคู่ของคุณราบรื่น คุณควรหัดที่จะมองเชิงบวก

มองความเป็นจริงด้วยเหตุและผล มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

หัดที่จะให้กำลังใจกัน เพื่อที่คุณทั้งสองจะได้มีกำลังใจในการทำสิ่งดีต่อกันมากขึ้น แ

ละสิ่งสำคัญคือ ในโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยทำผิด และไม่มีใครสมบูรณ์แบบที่สุดนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจากคู่มือเสริมสร้างชีวิตคู่

สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรื่องสั้น

 

post-2581-096626000 1318654714.jpg

 

ขนำซำหม้อ · ธุลีดิน

 

รางวัลชมเชยโครงการจุดประกายอวอร์ด ๒๕๕๒ ประเภทเรื่องสั้นผ่านบล็อก

 

พายุฝนผ่านพ้นไปแล้วหลังซัดกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตาร่วมสองเดือน ตกเช้าตกค่ำจนมิรู้เวลา ฟุ้งฟ้าทะมึนเมฆไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน ทิ้งร่องรอยอำลาเอ่อคุ้งคลองขอบคูท่วมถนนลูกรังเลียบคันนาและซากขนำซำหม้อที่เห็นแต่หลังคานาบคันดิน

ยามนั้นพายุอึงอล ฟ้าครึ้มเมฆคลุม โพธิ์ทะเลเฒ่าเอนใบลู่แทบล้มถอนรากตามแรงลม ใบตาลฟาดลำอยู่ปึงปังในคร่ำกระหน่ำฝน ขนำน้อยโยกไหวราวคนสิ้นแรงเจียนล้ม หัวใจคนบนขนำสิสั่นไกวไหวโยกเสียกว่า ไม่รู้จะนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่เยี่ยงนี้ดีหรือหลบออกไปดี พลาดท่าพลาดทีเกิดขนำล้มจะทำอย่างไร ไม่ก็อย่างที่ซำหม้อเคยเห็นกับตา พายุหมุนลูกย่อมหอบขนำบ่อข้างๆ ลอยขึ้น แล้วตกลงกระแทกพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่อยากคิดภาพว่าตัวอยู่ภายใน

พายุมักมาตอนดึก หลายคืนซำหม้ออดหลับอดนอน ลืมตาใจเต้นตึงอยู่ในมุ้งด้วยแรงลมโยก จะละขนำไปเล่าก็สุดรักยากหักใจเพราะตอกรัดมัดขัดมากับมือ แต่พายุปีนี้รุนแรงนัก รุนแรงจนไม่แน่ว่าเสาไม้ฟากจากจะทานไหว ซำหม้อตัดใจย้ายข้าวของเครื่องใช้ อาศัยขนำร้างบ่อข้างสักชั่วคราวรอพายุผ่านพ้น

เพียงสองสามวันหลังซำหม้อย้ายออก ตื่นเช้าก็ให้หัวใจระรัว ภาพหลังคาขนำจากกองราบกับพื้นราวนักรบยอมพ่ายหลังต่อสู้แรงลมโหมซัดมาหลายฝน ซำหม้อหันกลับไม่อาจข่มตามอง ภาพหนหลังเรื่องราวครั้งเก่ามากมายฝังอยู่ในกองจากนั่น ใจพลันประหวัดถึงเหล่าสหายนกเพื่อนบ้าน ‘เรายังระกำลำบากเพียงนี้ พวกนกที่อาศัยคาคบไม้ปลายตาลเล่าจะอยู่กันเยี่ยงไร‘

พายุทิ้งสายลมยะเยือกไว้ต่างคำอำลา ฝนปีนี้มาติดต่อสองเดือนจนน้ำท่วมทุ่งท่วมทาง บ่อกุ้งในที่ต่ำต้องกั้นอวนกันกุ้งออก กระนั้นด้วยความที่น้ำมาก ทั้งเป็นน้ำจืดไม่เหมาะแก่กุ้งน้ำกร่อยซึ่งต้องการความเค็มใช้ลอกคราบ พากันทยอยตาย เสียงเครื่องสูบน้ำจับกุ้งดังลั่นแข่งเสียงฝน ที่กุ้งยังเล็กพากันขาดทุนย่อยยับ ที่กุ้งใหญ่หน่อยค่อยเบาใจ กลับถูกโรงงานกดราคาแทบไม่เหลือกำรี้กำไร ยังไม่ซาเสียงฝนยินแต่เสียงโอดครวญของคนเลี้ยงกุ้งรายย่อยทั่วโคกบัวบก ซำหม้อนั่งมองบ่อหลวงแคว้ต เจ้าของทิ้งร้างไร้คนดูแล กลัวก็แต่จะขายที่ใช้หนี้อีกราย พวกบ่อเคยเลี้ยงกุ้งอยู่ข้างพากันทยอยขายที่จนยามนี้มีแต่ขนำซำหม้อท่ามบ่อร้างขนำว่าง

พายุพ้นฝนผ่าน ฟ้าสูงเมฆใส แดดแรกทอทอดลำ ซำหม้อยืนมองกองจากที่เคยเป็นขนำคุ้มกาย..ได้เวลาสร้างขนำใหม่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขนำ รูปนี้ เหมือนชายทะเลแถวบ้านย่าหยาเมื่อก่อนนะ ตอนนี้เหลือแต่ไม้ไผ่ที่โผล่ให้เห็นปลาย(เมื่อเวลาน้ำทะเลลง)

 

ถ้าเลยไปทางชลบุรี ยังมีให้เห็นอยู่.

 

ชอบมาก ทั้งภาพและเนื้อเรื่อง คะแนนมีเท่าไรให้หมด (ต้องทำอย่างไรบ้าง กดปุ่มใช่หมั่ย)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขนำ รูปนี้ เหมือนชายทะเลแถวบ้านย่าหยาเมื่อก่อนนะ ตอนนี้เหลือแต่ไม้ไผ่ที่โผล่ให้เห็นปลาย(เมื่อเวลาน้ำทะเลลง)

 

ถ้าเลยไปทางชลบุรี ยังมีให้เห็นอยู่.

 

ชอบมาก ทั้งภาพและเนื้อเรื่อง คะแนนมีเท่าไรให้หมด (ต้องทำอย่างไรบ้าง กดปุ่มใช่หมั่ย)

 

สวัสดี ย่าหยา ถ้าชอบ ถูกใจ อยากให้กำลังใจใครกด post-2581-017530100 1318668785.png ที่มุมขวา

 

กดได้ 3 ครั้งต่อวัน แต่อย่ากดซ้ำ ที่กดเดิม

 

อ่านวิธีใช้เพิ่มได้ :) การบวกให้คะแนนและกำลังใจผู้ที่ชื่นชอบในกระทู้ และอื่นๆ

http://www.thaigold.info/Board/index.php?/forum/24-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94/

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-019342000 1318679279.jpg

 

มองโลกอย่างไร ได้ชีวิตอย่างนั้น

 

ในโลกนี้มีวิธีคิดอยู่หลายแบบ วิธีคิดแต่ละแบบก็มีจุดดี จุดด้อย แตกต่างกันไป

วิธีคิดที่คนส่วนใหญ่รู้จักก็มีอยู่ 3 แบบ ได้แก่

1. วิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี

2. วิธีคิดแบบมองโลกในแง่ร้าย

3. วิธีคิดแบบมองโลกตามความเป็นจริง

 

วิธีคิดแบบมองโลกในแง่ดี ก็คือ การรู้จักมองหาคุณค่า หรือแง่ดี แง่งาม ท่ามกลางสภาวะที่ไม่พึงประสงค์

เช่น เมื่อตกอยู่ท่ามกลางวิกฤติ ก็ให้รู้จักมองหาโอกาส

หรือเมื่อต้องทำงานหนัก ก็ให้มองว่า งานหนักจะมาพร้อมกับความเชี่ยวชาญ

หรือเมื่อต้องพบกับอุปสรรคมากมายในชีวิตก็ให้มองว่า นั่นคือการทดสอบจากพระเจ้า เมื่อสอบผ่านก็จะได้รับรางวัลก้อนใหญ่

หรือเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ก็ให้คิดเสียว่า นั่นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของคำแนะนำ

หรือเมื่อต้องพบกับความผิดหวัง ก็ให้คิดเสียว่า เป็นวิธีที่ธรรมชาติกำลังมอบภูมิต้านทานในการดำรงชีวิต

การมองโลกในแง่ดี มีข้อดีก็คือ ทำให้เรารู้จักหาประโยชน์จากสิ่งที่ไร้ประโยชน์ หาสุขจากทุกข์

หาข้อดีท่ามกลางข้อเสีย การมองเช่นนี้ จะส่งผลให้มีกำลังใจในการสู้ชีวิตเหมือนที่มหาตมะ คานธี

ถูกจับโยนลงจากรถไฟในแอฟริกาใต้ ในเวลาต่อมาท่านเล่าว่า เหตุการณ์เลวร้ายคราวนั้น

ทำให้ท่าน "รู้จักคิด" จนท่านกล่าวว่า "ประสบการณ์ที่สร้างสรรค์ที่สุด มักเกิดจากบทเรียนที่เจ็บปวดที่สุด"

การรู้จักมองโลกในแง่ดี จึงทำให้มีแรงบันดาลใจในการเผชิญหน้ากับความยุ่งยากของชีวิตได้เป็นอย่างดี

ท่านพุทธทาสภิกขุ เขียนกวีเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า

"เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่

 

เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย

 

จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย

 

เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง"

วิธีคิดแบบมองโลกในแง่ร้าย ก็คือ การมองเห็นแต่จุดด้อยของสิ่งต่าง ๆ

ซึ่งมักเกิดขึ้นจากความกังวลจนเกินเหตุ แต่วิธีคิดแบบนี้มีจุดแข็งก็คือ ทำให้เกิดการเฝ้าระวังในสิ่งที่กำลังคิดหรือทำอยู่

แต่จุดอ่อนก็คือ หากวิตกมากเกินไปก็ทำให้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่ในคน หรือสิ่งต่าง ๆ

ในแง่จิตใจก็ทำให้จิตใจหดหู่ ท้อแท้หรือจิตตก ไม่มีกำลังใจในการลุกขึ้นมาทำอะไร

หรือบางกรณีทำให้เป็นคนที่ยอมจำนนต่อปัญหา ยอมแพ้ต่ออุปสรรคทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ใช้ความเพียรพยายามอย่างถึงที่สุด

วิธีคิดแบบมองโลกตามความเป็นจริง ก็คือ การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา

ไม่สุดโต่งไปด้านดี หรือด้านร้ายตามความรู้สึกที่ตนคิดเอาเอง

แต่เป็นการมองลงไปตรง ๆ ยังตัวปัญหาที่อยู่ตรงหน้าด้วยปัญญาที่เป็นกลาง

แล้วใช้ปัญญาที่เป็นกลางนั้น แสวงหาวิธีแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล

ซึ่งวิธีคิดเช่นนี้มีอยู่ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ หรือปัญญาชนที่รักการใช้เหตุผลอย่างบริสุทธิ์ใจ

ผลของวิธีการ มองโลกตามความเป็นจริงก็คือ สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้จริงอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ไม่อยู่กับความหวังมากเกินไปเหมือนการมองโลกในแง่ดี

ไม่วิตกมากเกินไปจนไม่กล้าทำอะไรเหมือนการมองโลกในแง่ลบ

แต่เป็นการอยู่กับความจริงที่เป็นจริงด้วยปัญญาแท้ ๆ และแก้ปัญหาชีวิตไปบนพื้นฐานข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา

วิธีคิดแบบมองโลกตามความเป็นจริง เป็นวิธีคิดหลักอย่างหนึ่งของพุทธศาสนา

ซึ่งเรามักจะได้ยินผ่านวลีที่ว่า "จงมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น"

ในวิธีคิดสามแบบนี้ วิธีคิดแบบที่สามนับว่ามีประโยชน์มากที่สุด

เพราะเป็นวิธีคิดที่มุ่งแก้ปัญหาโดยไม่ก่อ ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

พูดอีกอย่างหนึ่งว่า เป็นวิธีดับทุกข์ ไม่ใช่แค่กลบทุกข์

ถ้าความทุกข์ที่เกิดกับชีวิตเป็นของจริง วิธีที่จะดับทุกข์ ก็ต้องเป็นวิธีคิดแบบมองโลกตามความเป็นจริง

ทุกข์จึงจะ ถูกดับหรือถูกกำจัดอย่างถอนรากถอนโคน เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เรากำลังใช้วิธีไหนในการดับทุกข์?.

พระมหาวุฒิชัย (ว.วชิรเมธี)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีจ้า เรื่องอ่านเล่น ที่เก็บมาหลากหลาย :wub:

 

อ่านเรื่องนี้แล้วคุณคิดอย่างไร มีหลายมุมให้คิดล่ะ

 

post-2581-071028900 1318730078.jpg

มีคู่รักอยู่คู่หนึ่งเดินทางไปท่องเที่ยวโดยรถโดยสาร(รถบัส) ขึ้นไปเที่ยวบนภูเขา

ระหว่างที่รถโดยสารกำลังแล่นขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ทิวทัศน์ข้าง ๆ ก็สวยงามมาก ๆ เลย

คู่รักก็เกิดอยากลงไปถ่ายรูประหว่างทาง นั่งอยู่บนรถถ่ายก็ไม่ถนัด

ก็เลยบอกคนขับรถให้จอดเพื่อที่ทั้งสองคนจะได้ลงไปถ่ายรูปตามทางไปเรื่อย ๆ แล้วไปเจอกันบนสุดทางตรงที่นัดกันไว้ รถก็จอด

แล้วเค้าก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ

ซักพักนึงทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงหินถล่ม แล้วก็ได้ยินเสียง โคล่ม... ดังมาก ๆ

เค้าก็ตกใจแล้วก็รีบวิ่งไปตามทางที่รถบัสวิ่งไป พอไปถึงจุดเกิดเหตุ

ภาพที่เค้าเห็นก็คือ หินก้อนใหญ่ตกลงมาจากภูเขาแล้วทับรถบัสคันที่เค้านั่งมา

คนในรถบัสทุกคนเสียชีวิตหมดเลย

(ถ้าเป็นคุณ คุณจะคิดยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น... หลาย ๆ คนก็คงคิดว่า คนสองคนนั้นโชคดีมาก ๆ เลยที่ลงมาจากรถบัสก่อน ไม่งั้นเค้าก็คงจะเสียชีวิตตามทุกคนไป)

แต่สองคนนั้นอุทานขึ้นมาพร้อมกันเลยว่า

"พวกเราไม่น่าลงจากรถเลย เพราะถ้าเกิดเราไม่ลงจากรถ รถก็ไม่ต้องจอด รถก็คงจะวิ่งผ่านจังหวะที่หินตกลงมาพอดี ก็คงจะไม่มีใครเสียชีวิต"

 

ขอบคุณเรื่องจาก FW และผู้ที่เก็บมาแบ่งปัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

 

โลกนี้ยังคงอยู่ หลากหลายเหตุการณ์ จากความหลากหลายของผู้คน

 

สิ่งใดคือ สิ่งทีค้ำจุนผู้คนและโลกใบเดียวของเรา :wub:

 

post-2581-036719900 1318730278.jpg

 

ขอบคุณเจ้าของภาพ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

teacher & Student

 

คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้นเสียแล้ว

ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย

คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลย

แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้...

เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนหนึ่ง ชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์

ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและ

สังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็ก คนอื่นเท่าไหร่

เสื้อผ้าของเขาสกปรกและตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลา

และบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วย

ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ ด้วยหมึกสีแดง

กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ

ที่โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน - - -

คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย

และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย

แต่เมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลย

เมื่อพบว่า ….

ครูชั้น ป. 1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า

"น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย

มารยาทดี เป็นเด็กที่ น่ารักมากทีเดียว"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 2 เขียนว่า

"เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน

แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนัก

และชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 3 เขียนว่า

"เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว

แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่

และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อเขาแน่ๆ

ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ"

 

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 4 เขียนว่า

"เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควร

ไม่ค่อยมีเพื่อน และหลับในห้องเรียน

ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว

และอับอายในการกระทำของตนเองมาก

ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีก

เมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาส

มา ให้ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี

ยกเว้นแต่ของเท็ดดี้

ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ

ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว

ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดู

กลางกองของขวัญอื่น ๆ

เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลที่มีลูกปัดไม่ครบเส้น

และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ

แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ

เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใดแล้วสวมมันไว้ที่ข้อมือ

และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย

เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ นิ่งอยู่นานพอที่จะพูดว่า

"ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ"

หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้อยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมง

post-2581-096457200 1318771306.jpg

... นับแต่วันนั้น

คุณครูทอมป์สันเริ่มให้ความเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ

เมื่อครูพยายามช่วยเขา

จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่

เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น

ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง

และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน

แต่เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น"ศิษย์โปรด" ของครู

 

หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู

จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้

บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี

 

 

 

... หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก

บอกว่าเขาเรียนจบ ม.ปลายแล้ว

ได้ที่สามในทั้งระดับ

และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก

บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง

เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ

และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้

ด้วยเกียรตินิยม อันดับหนึ่ง (เหรียญทอง)

และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า

คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดใน ชีวิตเขา

 

จากนั้นสี่ปีผ่านไปแต่จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา

ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว

เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด

จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี

แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า

นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์

... เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ...

ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก

เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนนึงและก็จะแต่งงานกัน

เขาอธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อน

และเขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน

จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อ-แม่เจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่

 

แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา

และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น

คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก

และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่า

แม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน

 

ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า

"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม

ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญ

และแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้"

ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า

"หมอเท็ด เธอเข้าใจผิดแล้วแหละเธอต่างหากที่สอนครูว่า

ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้

ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบ ได้รู้จักเธอนั่นแหละ"

เติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้........... post-2581-010524900 1318772334.gif

โปรดจำว่า ไม่ว่าคุณจะไปไหนหรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะ

สัมผัสและ/หรือเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นเสมอ

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้ post-2581-038200000 1319029806.gif

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต..

หลายคนคงผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมานับไม่ถ้วน..

ทั้งบทเรียนแห่งความผิดหวัง..

บทเรียนแห่งความท้อแท้..แพ้ชีวิต..

บทเรียนแห่งความสำเร็จ..

ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใด ๆ ก็ตาม..

เมื่อเราเกิดความผิดหวัง...ท้อแท้..ในชีวิต..

เราต้องพยายามปรับใจ..วางใจให้ถูก..

ด้วยวิธีการคิดที่จะปรับเปลี่ยน..ชีวิตของเรา..

ให้มีกำลังใจ..สู้ต่อไป..

๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ..

วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น

>>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข

>>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย...

>>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..

วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น

>>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง

>>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน..

>>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้..

>>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย...

>>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...

วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว..

>>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ..

>>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม..

>>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..

>>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..

วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก..

>>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น..

>>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง..

>>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ..

>>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ...

>>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...

ดังนั้น..

ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต..

จงพยายามคิดให้ใจสู้...

อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ..

อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม..

อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ..

อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง..

จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ....

การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”... post-2581-092910000 1319029977.gif

 

 

...........................................

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครบ ช่วยเป็นกำลังใจในยามที่ท้อแท้ และ หมดกำลังใจได้ดีเลยนะครับ ขอบคณครับcool.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...