ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

ภาพยนตร์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

บท/กำกับการแสดง โดย พิง ลำพระเพลิง

โดย คณะกรรมการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เนื่องในวโรกาสวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 5 ธันวาคม พ.ศ.2553

 

อาม่า ตอน2

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-068335100 1312711988.jpegวิธีทำงานให้สบายใจ

 

 

 

 

คนเราที่ยังทำงานในหน้าที่ บางคนก็ทำงานหนักเกินไป บางคนก็ทำงานน้อยเกินไป อันนี้ก็เรียกว่า ฝ่ายหนึ่งตึง อีกฝ่ายหนึ่งหย่อนยานเต็มที ไม่เดินทางสายกลาง ไม่พอเหมาะพอดี

การทำที่พอเหมาะพอดีนั้นอยู่ตรงไหน อยู่ที่ไม่ต้องมีความหนักใจเพราะงาน ทำงานอย่าให้มันหนักอกหนักใจ ทำให้รู้สึกว่าเป็นงานเบาๆ งานง่ายๆ เสร็จงานแล้วก็ไม่ต้องมานั่งหนักอกหนักใจ อย่างนี้ทำงานแล้วใจสบาย

แต่ถ้าเราทำงานอย่างชนิดที่เรียกว่าทุ่มตัวมากเกินไป เคร่งเครียดมากเกินไปในงานจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน แม้ถึงเวลาพักผ่อนแล้วก็ไม่ได้พักผ่อน จิตมันไปครุ่นคิดอยู่แต่ในเรื่องนั้นตลอดเวลา นั่งก็เป็นงาน ยืนก็เป็นงาน เดินก็เป็นงาน หายใจเข้าหายใจออกเป็นงานทั้งนั้น อย่างนี้เรียกว่า ตึงไปหน่อย มันดีได้ทำงาน แต่ว่ามันตึงไปหน่อย

 

ทีนี้เมื่อตึงอย่างนั้นมันเกิดความเคร่งเครียดทางสมอง เกิดความเคร่งเครียดทางประสาทร่างกาย เป็นเหตุให้เป็นทุกข์ได้เหมือนกัน และอาจจะเป็นเหตุให้เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะว่าไม่มีการหยุดพักเสียเลย อย่างนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน มันต้องมีเวลาพักผ่อน เปลื้องตนออกจากงาน เรียกว่ารู้ปลดเปลื้องภาระ รู้จักพักใจ ทำใจให้ว่างจากภาระกังวลเสียบ้าง

 

อันนี้จะช่วยให้ร่างกายเป็นปกติขึ้น ทำให้จิตใจของเรามีสภาพเป็นปกติขึ้นด้วย ไม่ต้องทานยาอะไรมากเกินไป ยานั้นช่วยได้เพียงเล็กน้อย แต่การทำใจของเราให้สงบในบางครั้งบางคราว เป็นเรื่องที่ช่วยได้มากกว่า ในเรื่องอย่างนี้ก็ต้องหัดปล่อยวาง คือหัดปล่อยหัดวางเสียบ้าง อย่าแบกอยู่ตลอดเวลา

คนเราถ้าถืออะไรแล้วถืออยู่ตลอดเวลามันหนัก แม้ของนั้นจะเบา เช่นว่าเขาให้เราถือนุ่นไว้สักห่อหนึ่ง แต่ถ้าถืออยู่ตลอดเวลามันก็หนัก นุ่นมันหนักขึ้นเรื่อยๆ เพราะ ถือไม่รู้จักวาง แต่ถ้าเราวางเสียได้มันก็เบาใจ อันนี้เป็นเคล็ดลับสำคัญ ในการดำเนินชีวิตเกี่ยวกับการงาน คือให้รู้จักหยุดงาน แล้วก็ให้รู้จักทำงาน เวลาทำงานก็ทำไปตามหน้าที่ของเรา จะคิดนึกตรึกตรองจะแก้ปัญหาอะไร ก็คิดไปในเวลานั้น เวลานั้นเป็นเวลาของงาน เป็นเวลาที่จะคิดจะค้นจะวางแผนที่จะต้องทำงานต่อไป

 

ครั้นเมื่อหมดเวลาชั่วโมงของงานแล้ว เราลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน กลับบ้านอย่าเอางานมาด้วย เพราะว่ามันพ้นเวลางานแล้ว เราต้องเลิกงาน เวลาออกจากสำนักงาน ก็ต้องบอกตัวเองว่า เลิกกันทีสำหรับวันนี้ หมดงานแล้วพรุ่งนี้ค่อยมาต่อกันใหม่ต่อไป แล้วเราก็กลับบ้าน

 

กลับบ้านด้วยจิตใจที่เบาไม่หนัก ไม่ใช่กลับบ้านจากสำนักงานนั่งในรถยนต์ก็คิดอยู่ตลอดเวลา ถ้าขับรถด้วยตนเองแล้วอันตรายที่สุด คนใดที่ไม่รู้จักปล่อยวางขับรถด้วยตนเอง อันตราย... อันตรายตรงไหน เพื่อนจะชนเราบ้างเราจะชนเพื่อนบ้าง เพราะใจมันไปคิดเรื่องอื่น แต่ว่ามือนี่อยูที่พวงมาลัย ใจกับมือมันคนละเรื่อง

เรากระซิบกับตัวเองว่าพอแล้ว เท่านี้พอแล้ว หยุดคิดเสียบ้าง ไปทำเรื่องอื่นบ้างเถอะ อย่างนี้แหละพูดบ่อยๆ ถ้าเราพูดกับตัวเราบ่อยๆ อย่างนี้เขาเรียกว่า แนะนำตนเองหรืออีกอย่างหนึ่งเขาเรียกว่า ปลุกเสกตนเอง ปลุกเสก ตัวเองให้เป็นอะไรก็ได้ พูดบ่อยๆ คิดบ่อยๆ ในเรื่องใดเราก็เป็นไปตามเรื่องนั้น

 

เราอย่าคิดในทางเสื่อม อย่าคิดในทางสร้างโรคภัยไข้เจ็บแก่ตนเอง แต่ต้องคิดไปในทางที่ว่าเราสบาย เรามีความสดชื่น เรามีความร่าเริงมีความแจ่มใส มองโลกในแง่สดชื่นรื่นเริง อย่ามองไปในแง่วุ่นวายใจ หรืออย่ามองไปในแง่ที่ว่าอะไรๆ ก็เป็นปัญหาไปเสียทั้งนั้น มันจะเกิดความเคร่งเครียดเกินไป

 

กลับไปบ้านก็พักผ่อนเสียมั่ง ทำเรื่องส่วนตัวไปเสียบ้าง หาความเพลิดเพลิน เช่น เราเป็นคนมีครอบครัวมีลูกมีเต้าก็เรียกลูกมานั่งคุยกัน ชวนลูกให้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ปลูกต้นไม้บ้าง รดน้ำต้นไม้บ้าง ทำงานให้เพลิดเพลิน นั่งเล่นกันในสนาม จิตใจมันว่างร่าเริงแจ่มใส ไม่ต้องไปหมกมุ่นเรื่องงานเรื่องการอะไรมากเกินไป คือว่ามันต้องรู้จักปิด

จิตใจของเรานี่ต้องปิดเสียบ้าง เปิดมากไปก็ไม่ได้ เหมือนประตูบ้าน เวลานอนก็ต้องปิด ปิดกันขโมยเข้ามา หน้าต่างต้องปิด ถ้าไม่ปิดต้องใส่โครงเหล็กให้แข็งแรง จิตใจเรานี่ก็เหมือนกันต้องปิดเสียบ้าง อะไรที่มันหนักก็ต้องปิดไว้ก่อนไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดเวลานี้ เวลาใดจะคิดก็เอาไปคิด เวลาใดหยุดคิดก็ทำเรื่องอื่นต่อ ถ้าอย่างนี้แล้วไม่มีอาการเครียด จิตใจจะเป็นปกติ รู้จักทำงานเป็นเวลา

 

เวลาจะนอนนี้อย่างหนึ่ง บางคนนอนยาก นอนไม่หลับ นอนแล้วจะคิด ทางที่ดีเราจะนอนนี้ต้องสวดมนต์ไหว้พระ อย่าถือเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องไหว้พระสวดมนต์ เป็นเรื่องฝึกจิต เป็นเรื่องที่ให้เกิดความสงบใจ แล้วจะได้ นอนหลับเป็นปกติ ปลดเปลื้องอารมณ์ได้ สวดมนต์เสร็จ แล้วก็ทำจิตใจให้สงบ ปล่อยว่างจากอารมณ์ต่างๆ เสีย

 

ครั้นเมื่อจิตสงบแล้วเราก็ไปนอน เวลานอนนี่ก็อย่าคิดอะไร ถ้ามีความคิดอะไรขึ้นมาในใจ ต้องขับไล่มันออกไป บอกตัวเองว่า ฉันจะนอน ไม่ใช่เวลาคิด อย่าคิดมากนะ นอนให้หลับนะ แล้วก็นอนให้ร่างกายปกติ นอนหงายก็ได้ นอนหงายทอดมือไปตามปกติ หายใจแรงๆ หน่อย หายใจเข้าให้เต็มท้อง ท้องมันก็พองขึ้น หายใจออกท้องมันก็ยุบลงไป แล้วก็กำหนดว่าหายใจเข้า-หายใจออก ประเดี๋ยวเดียวมันก็หลับไปเลย

แต่ถ้ารู้ว่าก่อนนอนมันหลับยาก ก็ทานอะไรเสียนิดหน่อยให้กระเพาะมันได้ทำงาน แต่อย่าทานของหนักเกินไป ให้ทานกล้วยน้ำละว้าสักสองผลน้ำสักหนึ่งแก้วก็พอ กล้วยน้ำละว้าน่ะโปรตีนวิตามินมันเยอะ

 

รุ่งเช้าเวลาไปถึงที่ทำงานก็บอกตัวเองว่า เอาละทีนี้ทำงานแล้วนะ คิดนึกวางแผนในเรื่องงานเรื่องการไว้ให้เต็มที่ทำงานไปเป็นปกติ

 

งานมีอุปสรรคอย่าเป็นทุกข์ อย่าร้อนอกร้อนใจ ทุกอย่างต้องมีการขัดข้อง ต้องมีอุปสรรค เราก็ต้องคิดว่ามัน เรื่องธรรมดา อุปสรรคเป็นเครื่องทดลองสติปัญญาของเรา เราไม่กลัว เรายิ้มรับกับมัน แล้วเราก็คิดค้นหาวิธีแก้ไขต่อไป ด้วยจิตใจที่ร่าเริงเบิกบาน

มองอะไรด้วยความจริงอยู่ตลอดเวลา รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งทั้งหลายที่เข้ามากระทบอารมณ์ อันนี้แหละที่จะทำให้จิตใจเราสบายเรื่อยขึ้นเป็นปกติ

(เรียบเรียงจากส่วนหนึ่งของปาฐกถาธรรม

วันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐)

 

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 129 สิงหาคม 2554 โดย พระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จ.นนทบุรี)

 

ขอบคูณ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานก่อนนอน zzzZZ

นิทานก่อนนอน zzzZZ

post-2581-062538100 1312980619.jpg

 

 

 

คนดีหลับตาไว้แล้วจะเล่า

กาลครั้งหนึ่งยามรัตติกาลยังวัยเยาว์

 

มีเพียงเจ้าหญิงพระจันทร์บนฟ้าไกล

เจ้าหญิงน้อยลอยล่องถามดาวน้อย

 

ดาวจ๋าช่วยบอกหน่อยจะได้ไหม

อีกฟากหนึ่งของเวิ้งฟ้ามีสิ่งใด

หรือเพียงเราเดียวดายกลางสายลม

ทูลเจ้าหญิงอีกฟากหนึ่งของเวิ้งฟ้า

 

คือเจ้าชายตะวันกล้าผู้งามสม

เจ้าชายผู้เอื้อเฟื้อน่าชื่นชม

 

หากไม่เชื่อตรัสถามลมให้ได้ความ

เจ้าหญิงน้อยรับรู้เรื่องเจ้าชาย

 

ที่มาจากสายลมตอบคำถาม

จึงหลงรักตะวันกล้าผู้รูปงาม

 

เฝ้าติดตามรักตะวันอยู่ร่ำไป

รักที่มีคงได้แต่ความเศร้า

ต้องเงียบเหงาเพราะไม่อาจพบกันได้

เจ้าหญิงพระจันทร์คงได้แต่ฝันอยู่ร่ำไป

จึงฝากลมไปกระซิบรักตะวัน

 

เพียงครวญคร่ำฝากลมไปไกลโพ้น

ให้ลมโยนลอยรักในห้วงฝัน

 

ไปถึงอีกเวิ้งฟ้าแห่งตะวัน

ให้รับรู้ว่ารักกันมากเพียงใด

หากเพียงเสี้ยวเวลาที่มาพบ

ยามใกล้พลบและใกล้รุ่งที่เห็นได้

 

ยามตะวันใกล้ลาลับจับฟ้าไกล

และยามใกล้รุ่งอรุณแห่งทิวา

เวลาอันแสนมีค่าที่พบกัน

ให้เจ้าชายตะวันที่ฝันหา

 

มีโอกาสเห็นเจ้าหญิงแห่งจันทรา

เพียงไกลไกลก็มากค่าเกินสิ่งใด

ในยามนี้เจ้าชายตะวันกล้า

จึงทอแสงอบอุ่นมาแทนอยู่ใกล้

 

ให้จันทร์น้อยอบอุ่นจากฟ้าไกล

แทนรักไว้แทนใจให้ใกล้กัน

 

 

ขอบคุณผู้เขียน

 

อ่านแล้วคงหลับ z....z..z.zzzz

 

เจ้าหญิง เจ้าชาย น่าจะอยู่คู่เคียง มีเพียงใจรัก...กัน....เฮ้อ..

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!thk สวัสดีค่ะคุณ ginger คุณมดแดง และเพื่อนๆ ทุกคนค่ะ :lol:

 

115537.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

m115583.jpg

 

พระธรรมเทศนาโดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

 

ใน ปัจจุบันนี้ ต้องถือว่า ธุรกิจธนาคาร เป็นกิจการที่ยากจะล้มละลาย เพราะทุกนาที ที่ผ่านไป จะพยายามคำนวณให้ได้ว่า บัญชีรายรับใดบ้าง ที่จะทำให้ได้กำไรยิ่ง ๆ ขึ้นไป ชีวิตคนเราก็เช่นกัน ถ้าจะไม่ให้เกิดความผิดพลาด ต้องหมั่นตรวจสอบบัญชีบุญ บัญชีบาป ให้ได้ทุกวัน เพราะบาป เมื่อทำมากเข้า ๆ จะสะสม อาจทำให้บุคคลนั้น พบกับความวิบัติได้ในพริบตา ส่วนบัญชีบุญ ต้องหมั่นตรวจสอบว่า ทำอย่างไรถึงจะได้บุญมากกว่าเดิม เพราะบุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสุข ความสำเร็จ

 

วิธีตรวจสอบบัญชีบุญบัญชีบาปนั้น

 

สามารถทำได้ง่าย ๆ คือ ตรวจสอบดูว่า ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เราเผลอไปทำบาปอะไรมาบ้าง ศีล ๕ ข้อ รักษาได้ครบไหม บุญทานที่ทำเป็นอย่างไร วันนี้เราอารมณ์เสียไปกี่ครั้ง เมื่อพบแล้วก็ปรับปรุงแก้ไข ตื่นเช้าขึ้นมา ก็หาโอกาสทำบุญทำทาน ก่อนออกจากบ้าน ตั้งใจรักษาศีลให้ดี สร้างบุญกันไปอย่างนี้ทุกวัน ถึงกับสรุปเอาไว้ว่า

 

เช้าใดยังไม่ได้ทำทาน เช้านั้นอย่าเพิ่งทานข้าว

วันใดยังไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล วันนั้นอย่าเพิ่งออกจากบ้าน

คืนใดยังไม่ได้สวดมนต์ ยังไม่ได้นั่งสมาธิ คืนนั้นอย่าเพิ่งนอน

 

เมื่อทำครบทั้ง ๓ ประการนี้ พอถึงวันสิ้นปี เวลาปิดงบดุลบัญชีบุญ บัญชีบาปแต่ละครั้ง ก็จะพบว่ามีกำไรอย่างมากมาย คือได้บุญมหาศาลนั่นเอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

115264.jpg

 

(หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

ละชั่ว ไม่ได้ละเพื่อคนอื่น ละเพื่อตัวของเราคนเดียว

 

 

ความชั่วมีหลายด้านหลายทาง แต่มันก็อยู่ในตัวของเรานี่แหละ เกิดจากตัวของเรา มีที่ตัวของเรา ปรากฏขึ้นที่ตัวของเรานี่เอง

 

เช่น เราทำชั่วโดยการลักขโมย ฉ้อโกงหรือคิดอิจฉาริษยา ประหัตประหารคนโน้น อยากฆ่าอยากตีคนนี้ นี่เป็นความชั่ว

 

คน ที่ไม่รู้จักความชั่ว เมื่อได้ประหัตประหารคนอื่น สำคัญว่าเป็นของดี ถือว่าตนมีอำนาจอิทธิพลเหนือคนหรือเหนือสัตว์อื่นๆ อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักของดีของชั่ว ผู้นั้นยากที่จะละความชั่วได้ เพราะเห็นของชั่วกลับเป็นของดี

 

การละทิฏฐิมานะก็เข้าใจว่าเป็นของเลว ไม่อยากยอมให้ใคร

 

มานะ คือ ความแข็งกระด้าง

ทิฏฐิ คือ ความดื้อรั้น ไม่ยอมคนอื่น

 

ถ้า ยอมก็กลัวจะเสียรัด เสียเปรียบ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดเพราะ มีโมหะอวิชชาอยู่ ผู้ที่ละมานะทิฏฐิ โดยไม่เห็นว่าการละเช่นนั้น เป็นการน้อยหน้าต่ำตาหรือโง่เง่าเต่าตุ่นอะไร ผู้นั้นมีความเห็นถูกต้องไม่หลง

 

เพราะ การละทิฏฐิมานะเราไม่ต้องอาศัยคนอื่น ไม่มุ่งถึงคนอื่น เรามุ่งในตัวของเราเอง มานะ อาสวะและกิเลสทั้งหลาย เกิดขึ้นที่ตัวของเรา มันทำให้เดือดร้อนวุ่นวาย เราไม่ได้ละเพื่อคนอื่น เราละเพื่อตัวของเราคนเดียว

 

เพราะความเดือดร้อน เกิดขึ้นที่ตัวของเราต่างหาก เราเห็นโทษแล้วจึงละ คนอื่นจะชมว่าดีหรือชั่วก็เรื่องของเขาต่างหาก เขาจะว่าเราโง่เง่าเต่าตุ่นไม่มีปัญญาสามารถนั่นก็เรื่องของเขาต่างหาก ส่วนเราเห็นโทษแล้วว่ามันไหม้เผาผลาญอยู่ในใจของเรา เราจึงละของเราเอง ผู้เห็นอย่างนี้จึงจะละได้และไม่ต้องรอให้คนอื่นละหม ดแล้วเราจึงค่อยละ

 

เรื่อง กิเลสคือความชั่วทั้งปวงท่านผู้ดีทั้งหลายท่านทิ้งแล้วจึงค่อยหนีจาก โลกอันนี้ คล้ายๆกับว่าของชั่วเลวทรามต่างๆ ท่านผู้ดีวิเศษ ผู้เป็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเห็นโทษเห็นเป็นของสกปรกน่าเกลียด เห็นเป็นของเลวทรามจึงสละปล่อยทิ้งทั้งหมด แล้วจึงค่อยหนีจากโลกนี้

 

แต่ เราปุถุชนคนหนานี่ซิ กิเลสหุ้มห่อปัญญา กลับเห็นเป็นของดิบของดี พากันแย่งชิงกันทุกหนทุกแห่งเพื่อเอาของเหล่านี้ การแย่งชิงของชั่วจึงเป็นเหตุให้เดือดร้อนวุ่นวายคนทั้งหลายในโลกจึงเป็น ทุกข์

 

ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านเห็นเป็นของไม่ ดี ละทิ้งหมดปล่อยวางหมด ท่านอยู่ที่ไหนก็สุขสบาย จะเป็นหมู่คณะหรืออยู่คนเดียวก็เป็นสุขสบาย ไม่มีการกระทบกระเทือน

 

 

: เพียรละความชั่ว วัดหินหมากเป้ง พ.ศ. ๒๕๑๕

: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!thk ขอบคุณสำหรับเรื่องสั้น เรื่องอาม่าค่ะ ดูแล้วซึ้งจังเลย ทำให้คิดถึงอาม่าจังเลยค่ะ ราตรีสวัสดิ์ทุกคนนะค่ะ

ลุ้นทองก็พักผ่อนกันบ้างนะค่ะ ลุ้นพอแก้กษัย !ee

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

...ก้อนหินแห่งกาลเวลา...

 

 

 

เรื่องที่จะเล่าแบ่งปันต่อไปนี้ ไม่แน่ใจว่าได้ฟังครั้งแรกจากครูอาจารย์ท่านใด บางทีอาจจะฟังจาก อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แต่จำได้ว่า ฟังจบปุ๊ป โดนใจปั๊ป และพยายามทรงจำเอาไว้เพื่อเล่าต่อไป สำนวนการเล่าที่จะนำเสนอนั้น เป็นสำนวนของชนสุรินทร์เอง อาจมีการแต่งเติมเสริมสำนวนเข้าไปบ้าง แต่เนื้อหาคงเดิม จะว่าไปแล้ว ชนสุรินทร์จะคิดถึงนิทานเรื่องนี้ทุกครั้งที่นั่งรถโดยสารผ่านร้านขายหินแกะสลักที่อำเภอปากช่องหรือสี่คิ้ว แถวๆนั้น มันมีเหตุปัจจัยที่ทำให้คิดถึง

 

ตั้งใจอ่านนะ...

 

...

 

..

เล่าต่อๆกันมาว่า มีนายช่างแกะสลักหินคนหนึ่ง ได้หินอย่างดีมาสองก้อน ไม่ทราบเหมือนกันว่า หินอะไร รู้แต่ว่าเป็นหินที่ใหญ่พอสมควร ก้อนใหญ่และสูง ประมาณท่วมศีรษะคนได้ ผู้เล่าขอสมมติเรียกชื่อก้อนหินทั้งสองก้อนนั้นว่า "หิน ก." และ "หิน ข." ก็แล้วกัน

 

เมื่อได้ก้อนหินมา นายช่างแกะสลักหิน ก็วางแผนแกะสลักหินทั้งสองก้อนนั้น โดยเริ่มลงมือแกะสลักจากหิน ก. ก่อน การแกะสลักหินนั้น ต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง เช่น สิ่วขนาดใหญ่ ตอกลงไปในเนื้อหิน อาจใช้เครื่องมือแกะสลักไฟฟ้าช่วยด้วย

 

หลังจากที่ลงมือแกะสลักไปได้สี่ห้าวัน วันที่หก ขณะที่นายช่างกำลังแกะสลักอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังมาจากก้อนหิน (ไม่ต้องสงสัยหรอกว่า ก้อนหินทำไมพูดได้.. ก็เพราะว่า มันเป็นนิทานนะสิท่าน นิทานนั้น เราจะให้อะไรพูดก็ได้ทั้งนั้น) นายช่างหยุดแกะสลัก และถามก้อนหินว่า

 

"เป็นอะไรไป ร้องโอดโอยทำไม?"

 

"นายท่าน ข้าพเจ้าเจ็บปวดเนื้อตัวเหลือเกิน" ก้อนหิน ก.ตอบนายช่าง

 

"แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรกับเจ้าดีล่ะ?" นายช่างถาม

 

"สุดแท้แต่เจ้านายเถอะ แต่ว่า ไม่ต้องเอาข้าพเจ้ามาแกะสลักได้ไหม ?"

 

หิน ก. วิงวอนเจ้านาย

 

"ก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าร้องขอ"

 

นายช่างพูดจบแล้วก็หยุดทำการแกะสลักเจ้าหิน ก.ทันที

 

 

 

จากนั้น เขาก็สั่งให้ลูกน้องเคลื่อนย้ายเจ้าหิน ก. ไปที่โรงบดหิน จัดการบดหิน ก. จนแหลกละเอียด และให้เอามาโรยที่ถนนทางเดินหน้าร้าน ไว้สำหรับลูกค้าเหยียบเวลามาซื้อของจะได้ไม่เปรอะเปื้อนน้ำโคลนตมที่เกิดจากการฝนตกบ่อยๆ เมื่อโรยหินเสร็จแล้ว นายช่างก็พูดกับเจ้าหิน ก.ว่า

 

"เจ้าทำหน้าที่เป็นพรมหินรองเท้าให้กับผู้คนก็แล้วกันนะ"

 

"ด้วยความยินดีครับเจ้านาย" หิน ก. รับคำ

 

เมื่อแกะสลักหิน ก.ไม่สำเร็จ นายช่างก็ลงมือแกะสลักหิน ข. แทน ตามแผนเดิมที่วางเอาไว้

 

...

 

เวลาผ่านไปนานพอสมควร ผลงานการแกะสลักหิน ข. ก็เสร็จสมบูรณ์ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

 

ผู้อ่านอยากทราบไหมว่า...หิน ข. ถูกแกะสลักเป็นรูปอะไร ?

 

อ่านต่อไปแล้วจะได้คำตอบเอง โดยไม่ต้องถามใคร

 

..

 

เมื่อแกะสลักหิน ข. เสร็จ นายช่างก็สั่งลูกน้องเคลื่อนย้ายไปตั้งไว้ที่หน้าร้าน เพื่อโชว์ลูกค้า และประกาศขายไปในตัว เหมือนผลงานชิ้นอื่นๆ ที่เคยทำมา

 

หลังจากนั้นประมาณเจ็ดวันเห็นจะได้ ตกกลางคืนของวันหนึ่ง เมื่อผู้คนหลับหมดแล้ว ขณะที่หิน ข. ในรูปที่แกะสลักแล้ว กำลังอยู่กับสงบเงียบและความพอดีของอากาศยามค่ำคืนนั่นเอง จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียง หิน ก. เพื่อนของเขาร้องถามขึ้นมาว่า

 

"เฮ้ย...เจ้า ข. หลับหรือยัง ?"

 

"ยังไม่หลับ มีอะไรหรือเจ้า ก." หิน ข.ตอบเพื่อน

 

"ข้ามีเรื่องจะถามเจ้าสักหน่อย"

 

"จะถามอะไร?"

 

"ข้าอยากจะรู้ว่า ทั้งๆ ที่เจ้ากับข้าเป็นก้อนหินเหมือนกัน แต่ทำไมมนุษย์ชาวบ้าน ลูกค้าของเจ้านาย เขามาที่นี่ เขายกมือไหว้แกเป็นทิวแถวเลย แต่กลับเหยียบย่ำข้าเข้าไม่เข้าใจว่า ทำไม...เจ้าก็เป็นหิน ข้าก็เป็นหิน แต่การกระทำที่มนุษย์แสดงออกต่อเจ้าและข้าไม่เหมือนกันเอาเสียเลย เจ้าช่วยตอบข้าหน่อย"

 

หิน ก.ถามด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจอย่างที่สุด

 

เมื่อได้ฟังเพื่อนถามอย่างนั้น หิน ข. ก็ถอนหายใจ และพูดว่า

 

" ก. เอ๋ย...ที่ชาวบ้านเขาไหวข้า แต่เหยียบแกนั้น มาจากเหตุผลข้อเดียวเท่านั้นแหละ"

 

"เหตุผลอะไร ?" หิน ก. ถามแทรกขึ้นมา

 

"เพื่อนรัก...ถ้าวันนั้น แกไม่ร้องโอดโอย ไม่ร้องโอดโอยขอให้เจ้านายนำแกไปทำอย่างอื่น แต่อดทนให้เจ้านายแกะสลักจนเสร็จนะ บางทีแกกับข้าอาจเป็น "พระพุทธรูป" นั่งคู่กันอยู่ตรงนี้ก็ได้ และชาวบ้านก็คงจะไหว้แก เหมือนกับที่พวกขาไหว้ข้าอยู่ในทุกวันนี้"

 

"หมายความว่า ที่ข้าถูกชาวบ้านเหยียบย่ำ แต่แกถูกไหว้และยกย่อง เพราะว่า แกอดทนได้ แต่ข้าอดทนไม่ได้ ใช่ไหม ?"

 

"ถูกต้อง ความจริงไม่ใช่ว่าแกไม่อดทนนะ แต่ความอดทนในใจของแก มีน้อยไปหน่อยเท่านั้นเอง แกก็เลยต้องอยู่ในสภาพเหมือนทุกวันนี้ แกเคยได้ยินสำนวนไทยไหมที่ว่า "ความอดทนนั้น เป็นสิ่งที่น่าขื่นขม แต่ผลของมันหวานชื่นเสมอ" และอีกสำนวนหนึ่งบอกว่า "อดทนถึงที่ ได้ดีทุกคน อดทนไม่ถึงที่ ไม่ได้ดีสักคน"

 

..

 

หิน ก. พอได้ฟังเพื่อนจาระไนให้ฟังอย่างนั้น ก็ได้นิ่งอึ้งไป และก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ได้แต่ต้องยอมรับสภาพตามที่เป็นอยู่นั้นต่อไป อย่างไรก็ตาม หิน ข. เพื่อนของเขาก็ได้ให้กำลังใจเขาว่า

 

"ก. เอ๋ย...ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้เป็นแค่หินรองบาทคนอื่น แต่เจ้าก็ได้ทำความดีอย่างมาก คือ ช่วยให้ชาวบ้าน ไม่ต้องเปรอะเปื้อนด้วยโคลนตม เวลาที่น้ำมันเฉอะแฉะบริเวณนี้ เจ้าก็มีคุณค่าในตัวเหมือนกันนะ"

 

......

 

คงไม่ต้องบอกมวลมิตรทั้งหลายว่า นิทานเรื่องนี้สอนว่าอย่างไรบ้าง คำตอบอยู่ในใจของท่านแล้ว

 

นิทานเรื่องนี้ ทุกครั้งที่ชนสุรินทร์เล่าให้เด็กฟัง เด็กๆ มักจะฟังอย่างสนอกสนใจอย่างดี

 

แต่ว่า...ไม่รู้จะมีสักกี่คนที่เกิดแรงบันดาลใจ ที่จะอดทนเรียนหนังสือให้จบปริญญาตรี ไม่ใช่ ปริญญาใจ

 

จะมีสักกี่คนที่จะอดทนทำความดีที่เคยทำมานั้นตลอดไป และเพิ่มพูนความดีแก่ตนเรื่อยๆ

 

จะมีสักกี่คนที่จะอดทนเดิน อดทนวิ่ง จนกว่าจะถึงเป้าหมายชีวิตที่พวกเขาได้วาดฝันเอาไว้

 

..

 

..

 

ความจริงนิทานเรื่องนี้ ทุกครั้งที่เล่า จุดประสงค์ประการหนึ่งก็คือ

 

ชนสุรินทร์ต้องการสอนใจตนเองไปในตัวด้วยว่า

 

"จงอดทนต่อการดำเนินชีวิต" เหมือนพ่อกับแม่ที่สู้เลี้ยงลูกมาปีแล้วปีเล่าอย่างมีน้ำอดน้ำทน

 

คนเราต้องอดได้ ทนได้ รอได้ นิ่งได้

 

เพราะเรื่องบางเรื่อง ต้องใช้เวลา จะใจเร็วด่วนได้นั้น เป็นไปได้ยาก

 

มะม่วงไม่ได้ออกผลภายในสิบนาทีที่ปลูก มะพร้าวไม่ได้ออกลูกภายในหนึ่งวันที่ปลูก

 

ทุกอย่างมันมีเวลาที่เหมาะสมของมัน ขอให้เราอดทนเป็น รอได้เท่านั้นแหละ

 

สักวันฝันจะเป็นจริง....

 

..

 

..

 

..

 

...ชนสุรินทร์...

 

๗ สิงหาคม ๒๕๕๔

 

 

 

 

...

untitled.bmp

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!thk ขอบคุณสำหรับเรื่องสั้น เรื่องอาม่าค่ะ ดูแล้วซึ้งจังเลย ทำให้คิดถึงอาม่าจังเลยค่ะ ราตรีสวัสดิ์ทุกคนนะค่ะ

ลุ้นทองก็พักผ่อนกันบ้างนะค่ะ ลุ้นพอแก้กษัย !ee

ขอบคุณจ้ะ รักษาสุขภาพด้วย :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ฝากไว้ให้คุณแม่ทุกคน

 

แบ่ คือ ซูปเปอร์วูแมน ตัวจริงที่ไม่มีหน้ากาก ไม่ต้องปิดบังตัวตน

 

เพราะ แม่คือ ตัวจริง...รักจริง...เหนื่อยเพื่อทุกคน รักทุกคนได้เสมอ..

 

:wub: :D :wub:

 

 

 

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-036205100 1313285462.jpg

 

 

เรื่องราวคนขายเต้าหู้ คือพ่อฉันผู้เป็นใบ้

เรื่องจริงที่เปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์ เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่

ตอน เหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลาง ชื่อว่า เทือกเหล็ก เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว

 

“เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ เต้าหู้อร่อยจ้า – เสียงนี่เป็นของฉัน คนขายคือพ่อฉัน พ่อฉันเป็นใบ้”

 

ตราบ ถึงวันนี้อายุกว่ายี่สิบแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเองไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้น่าอัปยศเพียงใด ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน พ่อโก่งคอยาวแต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้

ถึง แม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้และเจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด ฉันก็แข็งใจไม่ยอมให้พ่อถักผมเปีย ตอนที่แม่เสียไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้ มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกระจกเงากลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง เพ่งจนนานพอแล้ว ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา

 

น่าโมโหที่สุดคือเด็กคนอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม (ฉันเป็นลูกคนเล็กอยู่อันดับสาม) ฉันจะวิ่งกลับบ้านเมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้ ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่าฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อต้องหยุดงานในมือ มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ร้องไห้ตลอดทั้งคืน เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ในที่สุด ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก ทว่าพ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่ หรือจานโม่ ดูน่าเกลียดยิ่งในสายตาฉัน ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นใบ้ นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในขณะนั้น

 

ฉัน ไม่รู้ว่าพี่ชายสองคนมีเหย้าเรือนได้อย่างไร ไม่รู้ว่าโรงเต้าหู้นั้นพ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาลกี่ตำบลหมู่บ้าน รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อตนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

เสื้อม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัด เย็บให้ตั้งแต่ปี 1979 พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรกในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1992 ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าตาชื่นบานขณะยัดธนบัตรกำใหญ่ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหู้ไว้ที่ฝ่ามือ ฉันอย่างพิถีพิถัน ปากก็เอะอะเออออไม่หยุดยั้ง ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งให้ญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพอใจ เมื่อฉันเห็นพ่อพาคุณอาและพี่ๆ มาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมา 2 ปีจนอ้วนพี ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้ หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่รู้ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ

 

บน โต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆคน ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจความหมายของฉัน นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับกินชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้ พ่อคงเมาแล้ว หน้าแดงก่ำ หลังยืดตรง ส่งภาษามืออย่างองอาจ เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็มๆ พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉันขณะเรียกพ่อเป็นครั้งแรก พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก เอาธนบัตรที่คลุกด้วยกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย

ปี 1996 ฉันเรียนจบได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็กห่างจากบ้านเกิด 40 กม. เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียวมาอยู่ในเมือง เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้แม้จะช้านานก็ตาม

ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น

เรื่อง ราวต่างๆ หลังจากอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้ เล่าให้ฟัง……… มีคนเดินทางจำได้ว่าผู้ประสบเหตุคือลูกสาวคนเล็กของเฒ่าถู ดังนั้น พี่ใหญ่พี่รอง สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ทุกคนได้แต่ร้องไห้เมื่อเห็นฉันสลบคาที่ ทำอะไรไม่ถูก พ่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้าย รีบช้อนร่างฉันขึ้นมาและโบกรถใหญ่ข้างทางให้หยุด ผู้คนในเหตุการณ์ต่างเห็นว่าฉันไม่รอดแน่ พ่อใช้ขายันร่างฉันไว้ แล้วใช้มือล้วงธนบัตรปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อ ยัดใส่มือคนขับรถ พร้อมกับขีดเขียนรูปกากบาทถี่ๆ ขอร้องให้พาส่งโรงพยาบาล พี่สะใภ้เล่าว่า พ่อแต่ไหนแต่ไรร่างกายอ่อนแอ แต่ขณะนั้นสำแดงพลังความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ

หลัง จากพยาบาลเบื้องต้นแล้ว หมอให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น และเปรยกับพี่ๆ ว่า รักษาต่อไปก็ป่วยการเปล่า เพราะขณะนั้น ความดันโลหิตฉันเกือบวัดไม่ได้ หัวกระบาลถูกชนน่วมเป็นลูกน้ำเต้า ชุดสวมศพที่พี่ใหญ่ซื้อมาโดยเห็นว่าหมดหวังแล้วถูกพ่อฉีกทิ้ง พ่อชี้ที่ตาตัวเอง ชูหัวแม่มือ จ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นชูสองนิ้วชี้ที่ตัวฉัน แล้วชูหัวแม่มืออีก โบกมือแล้วหลับตา นั่นหมายความว่า พวกคุณอย่าร้องไห้ พ่อยังไม่ร้องเลย น้องสาวคุณไม่ตายหรอก เธออายุเพียง 20 กว่า ยังไหวแน่ เราช่วยชีวิตเธอได้แน่ หมอยังคงยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ใหญ่บอกกับพ่อว่า แม่หนูไม่รอดแน่ ถึงจะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ว่าจะรักษาได้

ทัน ใดนั้นพ่อคุกเข่าลง แล้วลุกขึ้นทันที ชี้มายังฉันพร้อมกับชูแขนสูง จากนั้นก็ทำท่าเพาะปลูก เลี้ยงหมู ถางหญ้า โม่เต้าหู้ แล้วปลิ้นกระเป๋าเสื้อซึ่งภายในว่างเปล่า พร้อมกับชูมือสองข้างกลับฝ่ามือไปมาสองรอบ นั่นหมายความว่า ขอร้องคุณหมอเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง คุณหมอต้องช่วยเธอ ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมเลี้ยงหมู ทำนา ทำเต้าหู้ได้ ผมมีเงิน ตอนนี้ก็มีอยู่4 พันหยวน

 

หมอจับมือพ่อพร้อมกับสั่นหัว นัยว่า แค่ 4 พันหยวนยังขาดอีกเยอะ พ่อไม่รีรอ ชี้ไปยังพี่ๆและพี่สะใภ้ กำมือแน่น หมายความว่า ผมยังมีคนเหล่านี้ช่วยกันพยายาม เราทำได้แน่ เห็นหมอยังทำเฉย พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา หมายความว่า ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้ แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด พ่อชี้ไปยังหน้าอกคุณหมอ แล้ววางมือลง หมายความว่า ขอให้คุณหมอไว้ใจ เราไม่เบี้ยวค่ารักษาหรอก เรื่องเงินเราจะหาทางออก พี่ใหญ่แปลภาษามือของพ่อให้หมอฟังพลางร้องไห้ไป ไม่ทันแปลจบ หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน

พ่อใช้ท่ามือที่รวดเร็ว สื่อความแม่นยำ ใครๆเห็นแล้วต้องร้องไห้ หมอบอกอีกว่า ทำศัลยกรรมก็ไม่รับรองว่าจะช่วยชีวิตได้ เกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร พ่อตบกระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วลูบที่หน้าอก หมายความว่า ขอให้หมอช่วยเต็มที่ แม้จะไม่ไหว ก็จะจ่ายเงินให้ครบ โดยไม่บ่นโทษแม้แต่คำเดียว ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ไม่เพียงแต่ค้ำจุนชีวิตฉัน ยังค้ำจุนกำลังใจและความแน่วแน่ให้หมอในการช่วยชีวิตฉัน ฉันถูกนำเข้าห้องผ่าตัด พ่อรออยู่นอกห้องเดินไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนตามระเบียงจนรองเท้าสึกเป็นรู

พ่อ ไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว แต่กลับเป็นแผลพุพองเต็มปากหลังจากเฝ้ารออยู่นอกห้องสิบกว่าชั่วโมง พ่อทำท่าอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ จนฟ้าดินปรานี ให้ฉันรอดมาได้

 

ฉันสลบเหมือดตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่ตอบสนองต่อความรักจากพ่อ ทุกคนหมดกำลังใจในตัวฉันซึ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา มีเพียงพ่อคนเดียวที่ยืนหยัดเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้รอฉันฟื้นขึ้นมา พ่อใช้มืออันหยาบกร้านบรรจงนวดให้ฉันกล่องเสียงพิการของพ่อได้แต่เปล่งลมเออ ออเรียกฉัน เหมือนกับพูดว่า “ลูกหยูน ตื่นเถิด ลูกหยูน พ่อทำน้ำเต้าหู้สดๆรอลูกอยู่”

เพื่อเอาใจหมอและพยาบาล พ่อจะอาศัยเวลาที่พี่มาเฝ้าไข้แทน ทำเต้าหู้ร้อนๆถาดใหญ่ มาแจกแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลเกือบทุกคนในแผนกศัลยกรรม แม้โรงพยาบาลตั้งระเบียบไม่ให้รับของจากคนไข้ แต่ด้วยคำขอร้องที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้ พวกเขาก็รับไว้อย่างเงียบๆ แค่นี้พ่อก็พอใจและมีความมั่นใจยิ่งขึ้น

 

พ่อใช้ภาษามือสื่อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใจบุญ เชื่อว่าต้องรักษาลูกสาวผมได้แน่

 

ระหว่าง นั้น เพื่อระดมค่ารักษา พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้ ความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา ได้รับความสนับสนุนเพียงพอที่จะช่วยลูกสาวรอดพ้นจากเส้นตาย ชาวบ้านต่างออกเงินช่วยเหลือ พ่อก็ไม่ปล่อยปละละเลย ใช้ดินสอจดบัญชีเต้าหู้บันทึกรายละเอียดด้วยลายมือหงิกงอ ทว่าชัดเจนดังนี้ คุณจัง 20 หยวน คุณลี่100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน……

ใน ที่สุดฉันฟื้นขึ้นมาจนได้ตอนเช้าตรู่วันหนึ่งหลังจากครึ่งเดือนผ่านไป ฉันเห็นผู้เฒ่าผอมเซียวจนเสียรูป อ้าปากกว้าง เปล่งเสียงเออออดังลั่นด้วย ความดีใจที่ได้เห็นฉันตื่นขึ้นมา ผมขาวโพลนของเขาเปียกชุ่มด้วยเหงื่อในฉับพลันเนื่องจากความตื่นเต้น ครึ่งเดือนก่อนพ่อยังมีผมดำเต็มศีรษะ ครึ่งเดือนผ่านไป พ่อแก่ไปตั้ง 20 ปี หัวโกนจนเกลี้ยงของฉันเริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นแล้ว พ่อลูบไล้หัวฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมตตา การลูบไล้เช่นนี้ ในอดีตถือเป็นความสุขเกินตัวสำหรับพ่อ

เวลาผ่านไปครึ่งปี ผมฉันยาวพอที่จะถักเปียได้ ฉันจูงมือพ่อขอร้องช่วยหวีผมให้ พ่อกลับออกอาการเปิ่นเก้อ พ่อหวีทีละกระจุก หมดไปค่อนวันก็ยังไม่อาจหาทรงที่ถูกใจพ่อ มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อหันมาอยู่หน้าฉัน ทำท่าอุ้มฉันโยนออกไป แล้วงอนิ้วมือเหมือนท่านับเงิน อ้อ พ่อคิดจะเอาตัวฉันไปขายเหมือนขายเต้าหู้ละสิ ฉันแสร้งปิดหน้าร้องไห้ จนพ่อดีใจหัวเราะ ฉันแอบดูพ่อผ่านช่องนิ้วมือ เห็นพ่อหัวเราะจนขดตัวยองๆกับพื้น เกมนี้เราเล่นจนกระทั่งฉันลุกขึ้นยืนและเดินได้

 

ทุกวันนี้ มีเพียงอาการปวดหัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น สุขภาพโดยทั่วไปฉันดูแข็งแรงดี พ่อจึงพึงพอใจยิ่ง เราช่วยกันชำระหนี้สินจนหมด แล้วพ่อก็ย้ายเข้าเมืองอยู่กับฉัน โดยที่พ่อขยันทำงานมาตลอด ทนไม่ได้กับชีวิตอยู่เฉยๆ ฉันจึงเช่าเพิงเล็กๆ ใกล้บ้านให้พ่อทำเป็นโรงเต้าหู้ เต้าหู้ที่พ่อทำ รสชาตินุ่มหอมก้อนใหญ่ดี เป็นที่นิยมของชาวบ้าน ฉันติดตั้งชุดลำโพงกับแบตเตอรี่บนรถเข็นเต้าหู้ให้พ่อ แม้ว่าพ่อไม่ได้ยินเสียงกังวานของฉัน แต่ท่านย่อมทราบดี ทุกครั้งที่พ่อกดปุ่มเสียง ท่านจะอกผายไหล่ผึ่ง รู้สึกถึงความสุขและพอเพียง เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำจองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย จนตัวฉันเองก็ใจไม่ถึงพอที่จะสารภาพผิดต่อท่าน

ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเราเปี่ยมล้นด้วยสังคีตแห่งความรัก เราสดับฟัง สาธยาย สัมผัส และสะเทือนใจ แต่แล้ว พ่อผู้ใบ้ของฉันกลับสอนให้ฉันเข้าใจว่า อันที่จริงแล้ว สังคีตอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือปลอดเสียง อันเป็นพลังที่ไม่พึงสงสัย ทำให้ฉันตีความความรักให้สูงขึ้นไปอีก

 

ขอให้เราปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เพราะชีวิตเราได้มาไม่ง่าย มีโอกาสพบกันถือเป็นบุญวาสนา

 

ขอให้เราทุ่มเทและให้อย่างเต็มที่ ขอบคุณและอุทิศโดยไม่เห็นแก่ตัว ต่อการพบปะในบุญวาสนาทุกโอกาส

.........................................

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Forward Mail

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ความรัก :wub:

 

ความหวังดี ความห่วงใย

 

ทำให้มีกำลังใจ ทุ่มเท ทำได้

แม้จะยากหนักหนาก็ดูเบาบาง

 

ดูเหมือนมีกำลังมหาศาล คอยผลักดัน

 

หนุนนำ ให้สามารถ ความรู้สึกที่เรียกว่า ความรัก

 

เป็นความรักใสๆ จากใจที่ไม่เห็นแก่ตัว

 

ใจของคนที่รักเราตลอด....ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร

ไม่มีเหตุผลว่าทำไม...

 

เราจึงควรรู้ค่า...อย่าให้มีอคติมาบังตา

 

ทำให้หัวใจเราบอด หูเราไม่ได้ยิน สัมผัสไม่ถึง

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-070763200 1313400808.jpg

 

 

อุปสรรคมีไว้ก้าวข้าม

 

นิทาน. .. .. เรื่อง .. .. ลาโง่ .. (โง่จริงหรือ)

 

ณ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชาวนาคนหนึ่งเลี้ยงลาไว้ตัวหนึ่งซึ่งแก่มากแล้ว

 

.

วันหนึ่งชาวนาได้พาเจ้าลาแก่ออกไปข้างนอก

ด้วยความโง่เขลาของมันดันเดินซุ่มซ่ามไปตกบ่อแห่งหนึ่ง

มันร้องครวญครางเป็นเวลาหลายเพลา

ชาวนาเองก็พยายามใคร่ครวญหาวิธีที่จะช่วยมันขึ้นมา

.

ในที่สุดชาวนาหวนคิดขึ้นมาได้ว่า

เจ้าลาก็แก่เกินไปแล้วอีกอย่างบ่อนี้ก็ต้องกลบ ไม่คุ้มที่จะช่วยเจ้าลา

ชาวนาจึงไปขอแรงชาวบ้านเพื่อมาช่วยกลบบ่อ

ทุกคนใช้พลั่วตักดินสาดลงไปในบ่อ

.

ครั้งแรกเมื่อดินไปถูกหลังลามันตกใจและรู้ชะตากรรมของตนทันที

มันร้องโหยหวนทันที

สักพักหนึ่งทุกคนก็แปลกใจที่เจ้าลาเงียบไป

 

.

หลังจากที่ชาวนาตักดินใส่ไปในบ่อได้สักสองสามพลั่วก็เหลือบมองลงไปในบ่อ

.

ก็พบกับความประหลาดใจที่ว่า

ทุกครั้งที่ทุกคนสาดดินไปถูกหลังลามันจะสะบัดดินออกจากหลัง

แล้วก้าวขึ้นไปเหยียบบนดินเหล่านั้น

.

ยิ่งทุกคนพยายามเร่งระดมสาดดินลงไปมากเท่าไร

มันก็ก้าวขึ้นมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น

ในไม่ช้าทุกคนต่างประหลาดใจที่เจ้าลา

ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากปากบ่อดังกล่าวได้

 

.

 

.. ปัญหามีไว้แก้ .. คนฉลาดกว่าลา ..

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-000621300 1313495320.jpg

 

 

เส้นบางๆ ของคำว่า “รัก” และ “หลง”

 

posted on 06 Jul 2011 17:05 by naddatefanclub

คำสองคำนี้ คือ คำว่า “รัก” และ “หลง” เป็นสองคำที่คนเรามักแยกกันไม่ออกว่าพฤติกรรมหรือการกระทำแบบไหนถึงเข้าข่ายคำสองคำนี้ ลองมาสำรวจหรือเปิดใจกันดูว่าระหว่างคำสองคำนี้ คุณอยู่ในอาการไหนกันแน่

รู้จักฟังเสียงคนรอบข้าง

 

ผู้คนรอบข้างมักจะมีความคิดเห็นมากมายเสมอ โดยที่บางครั้งคุณก็ไม่ได้ร้องขอ ดังนั้น คุณควรรู้จักกลั่นกรองโดยแยกประเภทเป็นผู้หวังดีและผู้หวังร้าย หวังร้ายก็คือเพียงแค่อยากเห็นคุณเลิกหรือมีปัญหากันเท่านั้น ถ้าคุณได้รับข่าวสารจากคนกลุ่มนี้คุณควรจะหนักแน่นในความรักของคุณมากกว่าจะหวั่นไหวไปตามลมปากของคนเหล่านี้ ส่วนคนที่รักและหวังดี จุดประสงค์ของเรื่องที่นำมาเล่าหรือบอกคุณนั้นเพราะไม่อยากให้คุณโดนหลอกนั่นเอง อย่างไรก็ตามทุกความคิดเห็นสิ่งที่คุณควรทำคือ ฟังหูไว้หูไว้ จะดีกว่า

รู้จักเปรียบเทียบความสุขและความทุกข์

 

เวลาคนเรามีปัญหากับคนรักมักจะหาข้ออ้างสารพัดมาเป็นข้อแม้ในการที่จะยืดเวลาต่อไป ทั้งๆ ที่ถ้าวัดกันด้วยเรื่องความสุขและความทุกข์แล้วยังคงดูห่างไกลกันมาก บางคนบอกว่าที่ทนอยู่ก็เพราะ “รัก” อีกฝ่าย ถ้าคนรักของคุณเป็นคนดี เขาก็คงไม่ปล่อยให้คุณต้องมานั่งเป็นทุกข์หรอกครับ หรืออย่างน้อยคุณก็ควรจะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ เช่น เขาเป็นคนจนไม่มีฐานะ คุณอยู่กับเขาแล้วไม่สบายมากนัก แต่เขาซื่อสัตย์ รักและดูแลคุณอย่างดี กับ เขาที่รวย คุณได้อยู่ดีกินดี แต่เขาเจ้าชู้ไม่เคยให้เกียรติคุณ ชอบทำร้ายร่างกาย มีแต่เรื่องให้คุณต้องเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ทุกวี่วัน

รักแล้วพากันไปในทางที่ดีรึเปล่า

คนรักกันควรจะนำพากันไปสู่ทางที่ดี กว่าคุณจะโตมาจนป่านนี้เรื่องธรรมดาพื้นฐานของความผิดชอบชั่วดีคงไม่ต้องบรรยายให้ฟังกันว่าสิ่งไหนคือสิ่งดี สิ่งไหนคือสิ่งไม่ดี ถ้าคนรักของคุณชวนให้คุณลองใช้ยาเสพติด เล่นการพนัน ทำงานผิดกฎหมาย โดยบุคคลประเภทนี้มักอ้างถึงความรักว่าถ้าคุณไม่ทำตามที่เขาบอกถือว่าคุณไม่รักเขา โดยในความเป็นจริงแล้วถ้าคุณยอมทำตามก็หมายความว่าคุณกำลัง “หลง” เขามากกว่า “รัก” เพราะถ้าคุณรักเขาจริงๆ แล้วคุณควรจะห้ามหรือจะหยุดและดึงเขามาสู่ทางที่ดีมากกว่าจะยอมทำตามแล้วสุดท้ายชีวิตคุณก็พังกันทั้งคู่

ฟังความรู้สึกตัวเองด้วยเหตุและผล

 

เวลาคนเรามีความรักมักจะลืมเรื่องของเหตุผลกันเป็นปรกติ จากหัวข้อที่กล่าวมาทั้งหมด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการฟังความรู้สึกตัวเอง เมื่อใดที่คุณเริ่มใช้คำว่า “ทน” กับความรักของคุณแล้ว แปลว่าคนที่คุณเรียกว่า “คนรัก” เขาอาจไม่ได้รักคุณเท่ากับที่คุณรักเขาแล้วก็เป็นได้ ต่อให้คุณรู้อยู่เต็มอกแล้วก็ตามว่าคุณ “หลง” เขามากกว่า “รัก” แต่คุณไม่สามารถแยกแยะยับยั้งความรู้สึกหรือความคิดของตนได้ ไม่ต้องห่วงครับ เพราะคำว่า “หลง” เป็นเพียงอารมณ์ที่ครอบงำคุณอยู่ ณ ตอนนั้น เมื่อวันนึงที่คุณเริ่มรู้สึก “รัก” ตัวเองขึ้นมาเมื่อไร เมื่อนั้นคุณจะมีเหตุผลมากขึ้น แล้วคุณก็จะได้คำตอบเองล่ะ

 

เพื่อทนกับคนที่เราเรียกเขาว่า “คนรัก” ทำให้คนบางคนอ้างคำว่า “รัก” ในการที่จะทน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว อาจจะเป็นแค่การ “หลง” ในบางสิ่งบางอย่างที่เขามี ซึ่งสิ่งๆ นั้นพอดี มาเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปของชีวิตคุณ คนรักกันเวลาอยู่ด้วยกันแล้วต้องส่งเสริมให้กันและกันมีความสุข ถึงเวลาที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ก็จะพยายามช่วยเหลือหรืออย่างน้อยก็อยู่เคียงข้างเพื่อเป็นกำลังใจให้ ถ้าคนรักของคุณไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ให้คุณเลย แต่คุณยังคงเทิดทูนเขาอยู่เสมอแปลว่าคุณ “หลง” เขามากกว่า “รัก”

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...