ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

ทุกข์ทำไม ทำไมจึงทุกข์

 

ทุกข์ตามเหตุ ตามปัจจัย

 

ทุกข์มีไว้ให้เห็น ให้รู้ ให้ดูกัน

 

ทุกข์ไม่ใช่ของแปลก รู้แล้วไม่ต้องรับ

 

แค่ให้รู้ ตถาตา "ตถาตา" แปลว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง"

 

มันเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนๆ และก็ยังจะเป็นไป....

 

เมื่อทุกข์เกิดให้แก้ที่เหตุ

 

บางอย่างก็แก้ไม่ได้ ....ด้วยสัจธรรมที่ต้องเป็น

 

จะทุกข์ทำไม "มันเป็นเช่นนั้นเอง"

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ใครแน่กว่ากัน

 

กระทาชายสองนายคุยกันว่า

กระทาชาย 1 : " เวลาตูทะเลาะกับเมียทีไร เมียตูชอบขู่ว่าจะหนีไปอยู่กับแม่

กระทาชาย 2 : " เมียนายยังดี แต่เมียฉันซิ ชอบขู่ว่าจะเรียกแม่มาอยุ่เป็นเพื่อน

ผู้กล้า

 

ในขณะที่นักกระโดดร่มดิ่งพสุธานานาชาติกำลังยืนอยุ่ด้านท้ายเครื่องบินซี 130 รอเวลากระโดดเกาะกลุ่มทำลายสถิติโลกอยู่นั้นนักดิ่งพสุธาชาวอเมริกันก็พูดขึ้นว่า

" นี่ถ้าร่มผมไม่กาง มีใครจะช่วยผมหรือป่าวครับ

" ผมจะช่วยคุณในระยะไม่เกินห้าพันฟิต ถ้าต่ำกว่านั้นผมคงไม่กล้า เพราะมันเสี่ยงเกินไป " นักดิ่งพสุธาชาวอังกฤษบอกตรงๆ

" ส่วนผมคงช่วยสุดๆได้แค่ไม่เกินสามพันห้าร้อยฟิต ยังไงคุณก็ต้องรีบส่งสัญญาณเร็วๆหน่อยนะครับ "

สุดท้ายนักดิ่งพสุธาชาวไทย แหวกคนอื่นๆเข้ามากลางวงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันอาจหาญชาญชัยว่า

" ไม่รู้กลัวอะไรกัน นี่ผมเองจะช่วยคุณตอนถึงพื้นพอดี เออ ว่าแต่คุณจะให้ผมส่งแบบเป็น!บหรือเอาแบบเถ้าอัฐิส่งกลับไปที่บ้านดีล่ะ

หุหุ ขำกันมั่งมั๊ยอ่ะ โทดทีนะครับ พิมพ์ช้าอ่ะ

 

สิ่งที่ได้มา

 

หลังจากที่ภรรยาเสี่ยเม้งคลอดลูกสาวออกมา แม่ยายของเขาก็ดูเหมือนจะหลงใหลหลานสาวคนล่าสุดยิ่งกส่าหลานที่เกิดจากลูกคนอื่นๆ อย่างชัดเจน จนคุณนายแดงเพื่อนเก่าต้องแอบกระซิบถามคุณนายชบาแม่ยายเสี่ยใหญ่ด้วยความแปลกใจ

" นี่ถามหน่อยได้มั๊ยว่าทำไมหลานสาวคนนี้ถึงได้เป็นที่รักใคร่ของเธอจนออกนอกหน้าแบบนี้ "

คุณนายชบารีบอุ้มหลานสาววัยเดือนเศษขึ้นมาพลางชี้ให้เพื่อนเก่าดูว่า

" เธอไม่เห็นหรอว่าหลานสาวฉันคนนี้น่ะ ได้ดวงตาของลูกสาวฉันมา ริมฝีปากน่ะได้มาจากคุณตาของแก

ส่วนคิ้วน่ะได้มาจากฉัน " คุณนายชบาพูดเสียงภูมิใจ " แต่ส่วนที่น่ารักที่สุดก็คือหลานสาวของฉันคนนี้น่ะต้องได้กระเป๋าสตางค์มาจากพ่อของเขาแน่นอนเลยน่ะสิ "

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กระชากหน้ากากน้าสายขี้โกง post-2581-042455700 1313900196.jpg

ธีระวัฒน์ อนันตวรสกุล

ความโกรธเกลียดได้ครุกรุ่นขึ้นในใจของส่งอีกครั้ง เนื่องจากเขาพบน้าสายที่งานนิทรรศการแสดงสินค้าด้านสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงานแห่งหนึ่ง น้าสายเป็นบุคคลที่น่าชิงชังที่สุดคนหนึ่งในความคิดของส่ง

 

เรื่องมันนานมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2547 ตอนที่เกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ถล่มชายฝั่งทะเลภาคใต้ ตอนนั้นส่งไปช่วยขนน้ำดื่มบรรจุขวดขึ้นรถและได้รู้จักน้าสายซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทรักษาความปลอดภัย บริษัทที่น้าสายทำงานอนุเคราะห์รถของบริษัทมาช่วยขนสิ่งของบรรเทาทุกข์ลงภาคใต้ น้าสายมาช่วยขับรถขนสิ่งของลงไปช่วยผู้ประสบภัย แต่สิ่งที่ส่งรับรู้คือ เมื่อรถกระบะที่น้าสายขับซึ่งบรรทุกน้ำดื่มบรรจุขวดเพียงอย่างเดียวเต็มคันรถออกไปถึงชานเมือง น้าสายก็นำรถไปจอดที่ร้านอาหารชานเมืองแห่งหนึ่ง แล้วตกลงขายน้ำดื่มบรรจุขวดให้ร้านอาหารแห่งนั้น

 

ส่งอยู่บนหลังรถอีกคันที่กำลังมุ่งหน้าเดินทางไปช่วยผู้ประสบภัย เห็นชัดกับตาถึงพฤติกรรมการขนน้ำลงไปขายให้ร้านอาหาร และเห็นชัดว่าคนในร้านอาหารส่งเงินให้น้าสายปึกหนึ่ง ส่งจึงเกิดความเกลียดชังน้าสาย และนึกผูกพยาบาทอาฆาตน้าสายตลอดมา เคยพยายามติดต่อไปทางบริษัทรักษาความปลอดภัยเพื่อรายงานถึงพฤติกรรมซ้ำเติมเพื่อนมนุษย์ผู้กำลังตกยาก แต่มีแต่คนหัวเราะและไม่เชื่อส่ง บอกเพียงว่า “น้าสาย เขาไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก”

 

ที่งานนิทรรศการแห่งนั้น น้าสายทำหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดพนักงานรักษาความปลอดภัยกะเช้า ส่วนส่งมาเป็นพนักงานประจำร้านขายของ ทำให้ต้องเจอหน้าหน้าสายทุกวัน

 

เวลาหลังงานเลิกของวันแรก ส่งได้พบน้าสายบริเวณพื้นที่ร้านขายอาหาร พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ดูแลเวลากลางคืนเปลี่ยนกะมาแทนกะเช้าแล้ว ทำให้น้าสายซึ่งดูแลช่วงกลางวันได้หยุดพัก น้าสายยังไม่กลับที่พัก แต่ใช้เวลาเก็บเศษอาหารพวกกระดูกไก่และเศษข้าวลงในถังพลาสติกใบใหญ่ นอกจากเศษข้าวแล้ว น้าสายยังเก็บกล่องเครื่องดื่มจำพวกกล่องนมและกล่องน้ำผลไม้ลงใส่ในถุงอีกใบหนึ่ง ส่งแปลกใจที่น้าสายไม่แตะต้องพวกขวดน้ำพลาสติกที่ส่งรู้ว่าขายได้ราคาดีเลย คงวางไว้ตามโต๊ะแบบนั้น ให้แม่บ้านทำความสะอาดเป็นคนเก็บ น้าสายเลือกเก็บเพียงกล่องนมกล่องเครื่องดื่มเท่านั้น

 

ประสบการณ์ฝังใจ เคยเห็นน้าสายเอาของบริจาคลงไปขาย ทำให้ส่งไม่เชื่อว่าคนแบบน้าสายจะทำเรื่องดีๆได้ กล่องเครื่องดื่มคงขายได้แล้วกระมัง ส่งทำงานด้านสิ่งแวดล้อม รู้ดีว่าในกล่องแต่ละใบมีเยื่อกระดาษพลาสติกและ อลูมิเนียมฟอยล์

 

วันที่ห้าของการจัดงานได้เกิดเหตุการณ์ที่ส่งไม่อยากจะเชื่อ น้าสายเป็นข่าวโด่งดังอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากผู้เข้าชมงานคนหนึ่ง ลืมกระเป๋าเงินไว้ที่แถวโต๊ะรับประทานอาหาร ในนั้นมีเงินสดอยู่ประมาณ 200,000 บาท น้าสายเก็บกระเป๋าเงินนั้นได้ ในขณะที่เก็บเศษอาหารอย่างที่แกทำมาทุกวัน ส่งคิดว่าน้าสายคงไม่ได้ตั้งใจทำความดีหรอก

 

สงสัยสถานการณ์บีบบังคับ เพราะมีคนอื่นเห็น หรืออยู่ในวิถีที่กล้องวงจรปิดอาจจะตรวจสอบได้ น้าสายจึงจำใจต้องทำความดี คนแบบนี้นะเหรอ แค่น้ำบริจาคพันกว่าขวดขวดละลิตร ที่คนเขาตั้งใจบริจาคไปช่วยผู้ประสบภัย ยังเอาไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋าได้ลงคอ

 

น้าสายยังสร้างภาพต่อไม่หยุด เงินรางวัลที่เจ้าของกระเป๋าตกลงจะให้จำนวน 10,000 บาทถ้วน น้าสายก็ไม่ยอมรับบอกว่าเป็นหน้าที่ของพนักงานรักษาความปลอดภัยจึงไม่อาจรับไว้ได้

 

น้าสายเหมือนเป็นวีรบุรุษในสายตาหลายๆคน ข่าวความซื่อสัตย์ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์หัวสีหลายฉบับ เนื้อข่าวรายงานว่าน้าสายอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดใกล้วัดแห่งหนึ่ง ทำงานเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย มีกิจกรรมยามว่างคือ เลี้ยงบรรดาหมาแมวจรจัด นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอีกอย่างคือปลูกต้นไม้ โดยเก็บเมล็ดพันธุ์ไม้ใหญ่ๆมาเพาะใส่ถุงเพาะ เรียกได้ว่าเนื้อข่าวยกยอสรรเสริญว่าน้าสายเป็นแบบอย่างของคนดีที่สังคมต้องการอย่างแท้จริง

 

ส่งหมั่นไส้เพิ่มความโกรธแค้นเป็นทวีคูณ อยากกระชากหน้ากากของน้าสายจอมขี้โกง ที่โกงได้แม้กระทั่งของบริจาค ภาพการนำน้ำดื่มบรรจุขวดไปขายให้ร้านอาหาร ยังผุดขึ้นมาหลอกหลอนในใจ

 

น้าสายยังคงปฏิบัติงานอย่างเป็นปกติ จนกระทั่งวันสุดท้ายของการจัดกิจกรรม น้าสายก็เป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้ง ทางชมรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นผู้สนับสนุนใหญ่รายหนึ่งของการจัดงานในครั้งนี้ ได้มอบรางวัลวีรบุรุษอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แก่น้าสาย-หัวหน้า รปภ ซึ่งเป็นการพิจารณามานานแล้ว เนื่องจากน้าสายหรือลุงสายที่เด็กๆเรียกกันนั้น สมัครเป็นอาสาสมัครรวบรวมกล่องเครื่องดื่ม เพื่อส่งไปบริจาค ร่วมทำหลังคาให้ผู้ยากไร้ โดยทางโรงงานจะนำกล่องนมไปแช่น้ำแยกเยื่อกระดาษออกให้เหลือแต่พลาสติกและอลูมิเนียมฟอยล์ จากนั้นนำพลาสติกและอลูมิเนียมไปตัดย่อย แล้วอัดขึ้นรูปเป็นแผ่นหลังคาด้วยความร้อน พลาสติกจะละลายประสานกับอลูมิเนียมเป็นหลังคาที่ใช้งานได้จริง

 

น้าสายในชุด รปภ ได้ขึ้นเวที กล่าวสุนทรพจน์ ข้อความตอนหนึ่งว่า

 

“ฐานะผมไม่ดีเท่าไร การศึกษาก็น้อย ผมเคยคิดว่าตนเองขาดโอกาสในการทำบุญ จนกระทั่งผมเห็นว่าโอกาสในการทำบุญที่ไม่ต้องใช้เงินมีอยู่มากมาย กล่องนมนั้นก็เป็นอย่างหนึ่ง ผมรู้ว่ามันสามารถนำไปผลิตแผ่นกระเบื้องหลังคา เพื่อบริจาคให้กับคนที่ขาดโอกาสกว่าผมได้ ผมจึงเริ่มเก็บเรื่อยมา ผมมีโอกาสเก็บกล่องนมได้มากเพราะทำงานเป็นหัวหน้ายาม และรู้จักเด็กๆในชุมชนมาก พอจะถ่ายทอด หาเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เห็นคุณค่า นอกจากช่วยคนยากไร้ให้มีหลังคาแล้ว ผมยังถือว่าได้ช่วยลดขยะได้อีกด้วย ส่วนน้ำที่ใช้ล้างผมก็ตักเอาจากบ่อน้ำซึม ไม่ต้องใช้น้ำประปาในการล้าง”

 

..................

 

พูดดีไปก่อนเถอะ ส่งนึกในใจอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

 

โอกาสที่จะเปิดโปงความชั่วช้าของน้าสายจอมสร้างภาพอยู่ในมือส่งแล้ว มันเป็นโอกาสของส่ง เจ้าของร้านอาหารที่น้าสายไปขายน้ำขวดบริจาค ดันมาเป็นลูกค้าของส่ง ทางร้านต้องการจะปรับปรุงระบบฉนวนกันความร้อนของหลังคา และมาเลือกใช้บริการของบริษัทที่ส่งทำงานอยู่

 

ส่งได้ไปควบคุมการติดตั้งปรับปรุงหลังคาดังกล่าว และได้ถามว่ามีใครรู้จักน้าสายที่เพิ่งเป็นข่าวเก็บกระเป๋าเงินแล้วคืนเจ้าของไหม โชคดีที่พนักงานคนหนึ่งรู้จัก และยิ่งไปกว่านั้น เขาเป็นแรงงานคนหนึ่งที่ขนน้ำลงจากรถ เขายอมรับว่าน้าสายเอาน้ำมาเสนอขายจริง แต่เหตุผลมีอยู่ว่า

 

“น้าสายรู้จักเจ้าของร้าน น้าสายเลยขอให้ทางร้านซื้อน้ำไว้” พนักงานบอก

“แต่เป็นของบริจาคนะ พี่ไม่กลัวบาปเหรอหรือพี่ไม่รู้” ส่งถามต่อ

“รู้ แต่เหตุผลน้าสายแกดี” พนักงานตอบ

“ดียังไง เอาของบริจาคมาขาย” ส่งสงสัย

 

พนักงานเล่าว่า “น้าสายบอกว่าน้ำพันกว่าขวดขวดละลิตร น้ำหนักรวมก็เป็นตัน ขนของหนักหนึ่งตัน วิ่งรถหลายร้อยกิโล คิดค่าน้ำมันแล้วแพงเอาการอยู่ น้าสายจึงมาเสนอขายให้เจ้าของร้าน และเจ้าของร้านเห็นดีเห็นงามด้วย เจ้าของร้านซื้อน้ำไว้ แถมยังให้เงินเพิ่มไปอีกนะ”

 

ส่งนิ่งไปครู่หนึ่ง พนักงานเลยกล่าวด้วยความชื่นชมว่า

“เท่าที่รู้ตอนหลังนะ น้าส่งเอาเงินค่าน้ำไปซื้อน้ำขวดที่ใต้ได้มากกว่าเดิมอีก เพราะค่าน้ำมันที่ประหยัดได้จากการขนส่ง และเงินส่วนที่เจ้าของร้านสบทบให้ ก็เอาไปซื้ออาหารอย่างอื่นให้ผู้ประสบภัยได้อีกได้อีก”

 

สรุปว่าน้าสายมองลึกอย่างมีเหตุผล ขนน้ำดื่มเต็มคันรถลงไปภาคใต้ เป็นการสิ้นเปลือง สู้เอารถวิ่งรับของที่จำเป็น แล้วไปซื้อน้ำเอาก่อนเข้าพื้นที่ก็ยังพอได้ เพราะตอนนั้นภาคใต้ฝั่งตะวันออกไม่ถูกสึนามิเล่นงาน นับว่าน้าสายแกฉลาดมองการณ์ไกลจริงๆ

 

...................

 

ส่งได้เรียนรู้บทเรียนที่ว่า สิ่งที่เห็นบางครั้งก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และด้วยความคิดนั้นเองที่ทำให้เจ้าของความคิดนั้นเป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่ได้เป็นจริง ทุกข์เพราะความคิดที่เฝ้าจับผิดคนอื่น

 

วันหยุดประจำสัปดาห์ ส่งรวบรวมกล่องนมที่พับจนแบนจำนวนมากพอประมาณ นำไปให้น้าสายที่บ้าน เพื่อให้น้าสายตัดล้างด้วยน้ำบ่อซึม เมื่อไปถึงก็พบน้าสายกำลังสอนเด็กๆในชุมชนแออัดเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากร เด็กๆช่วยกันเก็บถุงขนมขบเคี้ยว หลากสีสันมาล้างทำความสะอาดด้วยน้ำที่น้าสายตักให้จากบ่อซึม ไม่ต้องเปลืองค่าน้ำประปา เพื่อนำถุงขนมล้างแล้วเหล่านั้น มากรอกดินปลูกต้นไม้ บางส่วนแยกต้นกล้าจากถาดโฟมที่ใช้เพาะเมล็ด มาใส่ถุงดินแล้วรดน้ำ

 

เด็กกลุ่มหนึ่ง ช่วยกันแกะเมล็ดจากฝักก้ามปู ฝักคูณ ฝักจามจุรี ฝักชมพูพันธุ์ทิพย์ ฝักหางนกยูง ออกมาแยกเป็นประเภท

 

เด็กๆอีกส่วน โกยใบก้ามปู ใบมะขาม ใบนนทรีจากต้นไม้ในวัด ใส่ถุงปุ๋ยเพื่อมาผสมกับดิน เพื่อทำเป็นดินปลูกต้นไม้ ใช่แล้ว ส่งนึกขึ้นได้ว่า ใบก้ามปูมีไนโตรเจนสูง เหมาะมาใส่ต้นไม้ทำปุ๋ย ส่วนใบมะขามก็ใช้เป็นปุ๋ยบำรุงไม้ดอกได้ดี

 

น้าสายพูดอย่างอารมณ์ดีกับพวกเด็กๆว่า “หนูๆรู้ไหม โอกาสทำความดีมีอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด เพียงแต่เราใช้ความคิดพิจารณาของรอบตัวว่า จะนำไปทำอะไรได้ก็เท่านั้น เรียกว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ไม่มีเงินสักบาทยังทำบุญสร้างความดีได้เลย”

 

ขอบคุณ ผู้เขียน และ dharma at hand

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานสอนใจ : เพื่อนยากพาย่ำแย่

 

 

post-2581-021835500 1313911013.txt

 

 

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ปรากฏมิตรไมตรีอันเด่นชัดระหว่างสัตว์สองตัวคือ ลิง และปลา ซึ่งให้ความนับถือเป็นเพื่อนรักเพื่อนยาก และคอยช่วยเหลือจุนเจือกันมาเป็นเวลานาน

 

เมื่อมีเวลาว่าง บางครั้งลิงก็จะมาหาปลาที่ริมตลิ่ง และบางครั้งปลาก็ไปเรียกหาลิงที่ต้นมะม่วงใกล้ธารน้ำ ทั้งสองมักจะไปมาหาสู่กันเช่นนี้เพื่อใช้เวลาพูดคุยปรึกษาปัญหาต่าง ๆ รวมไปถึงการปรับทุกข์กันอยู่เสมอ

 

ว่ากันตามจริงแล้ว การที่สัตว์สองตัวนี้มาจับคู่เป็นเพื่อนยากกันก็นับว่าสมควรอยู่ เพราะต่างก็สามารถใช้คุณสมบัติเฉพาะตัวของตนเกื้อหนุนอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ดังเช่นลิงนั้น ว่ากันตามจริงแล้วก็ถือว่าเป็นสัตว์ที่ได้เปรียบในการใช้ชีวิตมากกว่าปลา เพราะจะไปไหนมาไหนก็สะดวก มีอิสระเสรีที่จะท่องเที่ยวหาอาหารตามที่ต่าง ๆ ในป่าได้ดั่งที่ใจต้องการ

 

ลิงจึงนับได้ว่าเป็นผู้กว้างขวางผู้หนึ่งในป่า แต่ลิงก็ไม่ได้ทะนงตนในเรื่องนี้มากมายนัก มันคบปลาเป็นเพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ และยังคงเห็นคุณค่าในตัวปลาอยู่เสมอ ด้วยมีความคิดว่า แม้ปลาจะเป็นเพียงสัตว์น้ำตัวเล็ก ๆ แต่หากวันใดวันหนึ่งที่อาหารในป่าหมดไป ตนเองอาจจะต้องเป็นฝ่ายไปขอพึ่งพาอาศัยปลา หรืออีกทางหนึ่งปลาก็ทำให้ลิงกว้างขวางในสังคมสัตว์มากขึ้น เผื่อมีศัตรูใด ๆ มารุกราน ลิงก็อาจขอความช่วยเหลือจากปลา และเหล่าสัตว์น้ำได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด

 

ส่วนปลา เป็นสัตว์ที่ต้องอาศัยอยู่ในน้ำ ปลาคิดว่าเป็นบุญของตนโดยแท้ที่ได้ลิงมาเป็นเพื่อนยาก เพราะลิงมีน้ำใจช่วยเหลือปลาในเรื่องต่าง ๆ ที่ลิงทำได้มาโดยตลอด นอกจากนั้น หากมีคราวใดที่ปลาเกิดอุบัติเหตุติดค้างอยู่บนบก ลิงก็สามารถช่วยปลามาปล่อยลงน้ำได้อย่างทันท่วงที

 

ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ ลิงไม่กินปลาเป็นอาหาร ดังนั้นการคบลิงจึงมีความปลอดภัยสำหรับปลา ยิ่งไปกว่านั้นบนบกก็มีอาหารกินที่อุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะผลไม้สุก ๆ ซึ่งลิงต้องกินเป็นอาหารอยู่แล้ว ลิงก็มักจะกัดแบ่งผลไม้สุกเหล่านั้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ที่เพียงพอกับความต้องการของปลา แล้วส่งให้ปลากินอยู่บ่อย ๆ ลิงและปลาจึงรักและประทับใจในกันและกันไม่เสื่อมคลายด้วยประการฉะนี้

อยู่มาวันหนึ่ง เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ขึ้นในป่า น้ำป่าไหลหลากจนท่วมล้นตลิ่ง และเพิ่มระดับสูงขึ้นจนเกือบจะท่วมถึงกิ่งไม้ ลิงและปลาต่างเป็นห่วงในกันและกันมาก ลิงนั้นเที่ยวกระโดดไปตามกิ่งไม้ที่น้ำยังท่วมไม่ถึงแล้วร้องตะโกนเรียกหาปลา

 

"ปลาเพื่อนยาก เจ้าอยู่ที่ไหน...อยู่แถวนี้หรือไม่ ช่วยส่งเสียงให้ข้ารับรู้ด้วย ปลาเพื่อนยากของข้า"

 

ลิงตามหาปลาด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก มันกลัวว่าปลาจะถูกน้ำพัดพาไปติดค้างตามกิ่งไม้ต่างๆ แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไรก็ยังไร้ซึ่งวี่แววของปลาเพื่อนรัก มันตามหาปลาไปทั่วป่าจนอ่อนเพลียสิ้นเรี่ยวแรงและผล็อยหลับไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

 

ฝ่ายปลาก็เป็นห่วงลิงมากไม่แพ้กัน มันกลัวว่าลิงจะพลัดตกน้ำและจมน้ำตาย ปลาจึงเที่ยวว่ายน้ำหาลิงไปทั่วทุกหนแห่งที่มันจะสามารถว่ายฝ่าไปได้ด้วยกำลังทั้งหมดจากครีบเล็ก ๆ ทั้งสองของมัน

 

"เราต้องตามหาลิงให้พบและช่วยลิงให้ได้ ลิงช่วยเรามามากแล้ว ถึงคราวที่เราจะได้ตอบแทนบุญคุณเพื่อนรักของเราบ้าง" ปลาคิดในใจและว่ายน้ำหาลิงต่อไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะต้องช่วยลิงให้ได้

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนานแล้ว ปลาก็ยังหาลิงไม่พบ ครีบน้อย ๆ ของมันที่ใช้แหวกว่ายทวนกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากมาตลอดทางเริ่มอ่อนล้าจนแทบขยับไม่ได้

 

 

 

"ตอนนี้เราไร้เรี่ยวแรงจะว่ายน้ำต่อไป หากยังฝืนตัวเอง เราคงได้หมดกำลังและตายเสียก่อนที่จะได้ช่วยลิงเป็นแน่ เพราะฉะนั้นเราจะพักตัวเองสักครู่ เมื่อมีแรงแล้วจึงค่อยว่ายน้ำหาลิงต่อไปจะดีกว่า" ปลาบอกกับตัวเอง แล้วว่ายเข้าไปหลบพักอยู่ในโพรงรากไม้ที่ถูกน้ำท่วมถึงต้นหนึ่งเพื่อออมแรงไว้ก่อน

 

แต่แล้วธรรมชาติก็เมตตาช่วยให้เพื่อนรักทั้งสองมาพบกันจนได้ เพราะน้ำที่ท่วมป่าได้พัดพาเอาร่างน้อย ๆ ของปลาที่กำลังพักผ่อนเอาแรงอยู่ในโพรงไม้ เคลื่อนขึ้นไปกระทบกับกิ่งไม้ที่ลิงพักหลับอยู่

 

เมื่อลิงถูกน้ำป่ากระเด็นมากระทบตัวก็ตกใจตื่น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปลาซึ่งถูกกระแสน้ำพัดพามาทางที่ตนอยู่พอดี ลิงดีใจมากรีบยื่นมือออกไปคว้าร่างของปลาไว้ แล้วนำปลาไปวางไว้บนยอดไม้ เพื่อไม่ให้ปลาถูกกระแสน้ำพัดพาต่อไปอีก

 

"ตื่นเถิดเพื่อนเอ๋ย" ลิงปลุกปลาจนต้องตื่นตามเสียงเรียกของเพื่อนรัก

 

"โอ...ลิงเพื่อนยาก" ปลาร้องด้วยความดีใจเมื่อเห็นหน้าลิง "ข้าตามหาเพื่อนอยู่นานมากแล้วรู้ไหม แต่หาเท่าไร ๆ ก็ไม่พบ เพื่อนไปอยู่ไหนมาเล่า"

 

"ข้าก็เที่ยวตามหาเพื่อนจนสิ้นแรงเช่นกัน แต่โชคดีที่โชคชะตาชักนำให้เรามาพบกันอีก ข้าเห็นเพื่อนถูกน้ำพัดมาเลยรีบคว้าร่างเพื่อนไว้ แล้วนำมาวางไว้บนยอดไม้นี่ ด้วยเกรงว่าเพื่อนอาจจะถูกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวพัดพาไปพบกับอันตรายได้" ลิงกล่าวแก่ปลา

 

"โอ...ลิงเพื่อนยาก ท่านมีบุญคุณกับข้าอีกแล้วหรือนี่ ข้าหวังว่าจะได้ช่วยเพื่อนบ้าง แต่กลายเป็นว่าเป็นว่าเพื่อนต้องมาช่วยข้าอีก" ปลาตัดพ้อตัวเอง

 

"อย่าพูดอย่างนั้นเลยปลาเพื่อนรัก เพื่อนเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ข้าไม่ยอมให้เพื่อนเป็นอะไรหรอก...ว่าแต่เพื่อนอยู่บนยอดไม้นี่สบายดีหรือไม่" ลิงถามปลาด้วยความเป็นห่วง

 

"ขอบใจลิงมากที่นำข้ามาอยู่บนยอดไม้นี้ ข้าสบายดี และเห็นด้วยกับเพื่อนว่าหากอยู่ในน้ำที่พัดแรงอย่างนั้นต่อไป ตัวข้าอาจจะไปกระแทกกับโขดหินตายเสียก่อนก็เป็นได้" ปลาเห็นด้วยกับลิงโดยลืมไปเสียสนิทว่าตนเองเป็นสัตว์น้ำ ก็ต้องอยู่ในน้ำ

 

"ถ้าเพื่อนว่าอย่างนี้ข้ากับเบาใจ เอาอย่างนี้นะ เพื่อนพักอยู่บนนี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปหาอาหารดี ๆ มาให้เพื่อนกินเอง" ลิงบอกแก่ปลาแล้วรีบปีนป่ายต้นไม้ออกไปหาอาหารให้ปลาทันที

 

ในไม่ช้าเมื่อลองกลับมายังยอดไม้ที่ปลานอนอยู่ ลิงก็แทบเป็นลมทั้งยืน เมื่อเห็นปลาเพื่อนยาก นอนแน่นิ่งสิ้นใจอยู่บนยอดไม้ที่ลิงพามาหลบกระแสน้ำอยู่นั่นเอง

 

ดังนั้น เธอทั้งหลาย...จงยืนยันในเจตนารมณ์อันดีงามของเธอ ที่มุ่งมั่นในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่เดือดร้อนต่อไปเถิด ความหวังดีของคนเราซึ่งมีต่อผู้อื่นนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ดีและช่วยให้สังคมของเราน่าอยู่ขึ้นเป็นแน่ แต่บางครั้ง บางกรณีบางบุคคล เราก็ต้องศึกษา ทำความเข้าใจในรากเหง้าของปัญหาและธรรมชาติของคนผู้ซึ่งต้องการรับความช่วยเหลือให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงค่อยหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่เขาไปอย่างเต็มที่ หากเป็นดังนี้ ความช่วยเหลือของเธอ จึงจะสร้างคุณประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้เดือดร้อนได้ดีเป็นที่สุด

 

และในแง่ของผู้ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้น ขอจงอย่าขาดสติในตนเอง และมัวหลงดีใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาหยิบยื่นให้ แต่ต้องคิดให้รอบคอบด้วยว่า ความช่วยเหลือที่เขาให้แก่เรานั้น ถูกต้องเหมาะสมตามที่เรากำลังเดือดร้อนจริงหรือไม่ และตรงกับสภาพตามธรรมชาติของเราด้วยหรือเปล่า

 

มิเช่นนั้น ความช่วยเหลือที่ตั้งใจมอบให้ ก็อาจจะนำพาซึ่งผลร้ายและความเสียหายอย่างใหญ่หลวงมาสู่ผู้เดือดร้อน มากกว่าผลดีที่เขาผู้นั้นสมควรจะได้รับจริง ๆ

////////////////////////

 

ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

;) B) :wub: ^_^

 

วิธีเติมโชคดีให้ชีวิต….พอใจ พุกกะคุปต์

 

 

สิงหาคม 8, 2011หมูอวบใส่ความเห็นGo to comments

ท่านผู้อ่านเชื่อเรื่องโชคชะตาราศรีไหมคะ หลายท่านอาจตอบว่าเชื่อ หรือแม้ไม่เชื่อ ก็ไม่ลบหลู่

ดู ได้จากคอลัมภ์ดวงชะตาของหนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งมักจะมีผู้อ่านมากที่สุด เมื่อเทียบกับข่าวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม การเมือง ตลอดจนเรื่องปากท้องของสำคัญในชีวิต

 

วันนี้ขอมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการเสริมโชคให้ตนเองในมุมมองของคุณ Jim Collins คนดังผู้เขียนหนังสือเรื่อง Good to Great และคุณ Anthony Tjan ซึ่งกำลังจะตีพิมพ์หนังสือเรื่องเกี่ยวกับคนโชคดีของนักธุรกิจทั่วโลก ว่าเขามีพฤติกรรม “กวัก” โชคอย่างไร ซึ่งจะพิมพ์เผยแพร่โดย Harvard Business Review Press ปลายปีนี้

 

ทั้งสองทำการศึกษาวิจัยองค์กรและผู้นำที่ประสบความสำเร็จโดดเด่นเป็นที่ ริษยาตาร้อนจี๋ของคู่แข่งคู่คี่ที่ตัดพ้อต่อว่าชะตากรรมว่า ทำไมบางคนถึง “โชคดี” ไม่มีที่สิ้นสุด

 

มีข่าวดีค่ะ

 

นักวิจัยทั้งสองของเราเขายืนยันว่า ”โชค”ดูเหมือนเลื่อนลอย ลิขิตไม่ได้ จะมาก็มา จะไปก็ไป สำหรับคนส่วนใหญ่ กระนั้นก็ดี ผู้บริหารที่โชคดี เพราะเขาต่างมีพฤติกรรมนำโชคมาสู่ตนอย่างที่คนอื่นก็ทำได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์

พฤติกรรมดังกล่าวมี 3 ประเด็นที่เห็นเด่นชัด คือ

 

1. Humility ความนอบน้อมถ่อมตน คนที่ถ่อมตน คือคนที่รู้จุดอ่อนของตนเอง รู้ว่าฉันไม่ได้เก่งกล้าหาตัวจับยากในทุกเรื่อง จึงพร้อมเปิดใจเรียนรู้ ดูว่าคนอื่นเขาทำและคิดอย่างไร ซึ่งถือเป็นการสร้างโอกาสที่จะได้มุมมองใหม่ ได้เพื่อน ได้เครือข่าย ได้พัฒนา และนำมาซึ่ง ”โชคดี” ในที่สุด

 

ดังนั้น หากอยากไล่โชคดีให้หนีหาย ต้องหมั่นทำตนกร่างทุกย่างก้าวเข้าไว้ ต้องมั่นใจเกินจำเป็น เห็นว่าฉันแน่ ฉันเด่น คนอื่นไม่เป็นสับปะรด ทำได้เช่นนี้ ฟันธงได้ว่า จะแพ้ภัยตัวเองในอนาคตที่กำหนดเอง

 

2. Intellectual Curiosity กระหายใคร่รู้ คนที่โชคดีต่างมีความอยากได้ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากความถ่อมตน เมื่อเขารู้ว่าเขายังพร่อง เขาย่อมพร้อมที่จะค้นหาและเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด

 

ในยุคที่วิชาความรู้พัฒนาก้าวหน้าอย่างหาขอบเขตมิได้ ใครอยากรู้อะไร สามารถคว้าได้คว้าเอา ไม่มีขีดจำกัด ถือว่าเป็นการเรียนลัดสู่โชคดี โดยไม่สะดุดอัตตาว่าข้าเก่งแล้ว

 

หากอยากมีแต่โชคร้าย คล้ายๆซวยทั้งปี ขอแสดงความยินดีว่าทำง่ายมากค่ะ

 

แค่เพียรทำตนเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง รู้แล้วทุกเรื่อง ใครพูดอะไรอย่าฟังเป็นอันขาด เขาบอกว่ามีอะไรใหม่อะไรดี อย่าเชื่อ เบื่อพวกพวกปัญญาคุด

 

3. Optimism มองโลกในแง่ดี คนที่มองโลกว่าสดใส มีโอกาสให้เสมอ หากยังไม่เจอ ก็พร้อมเสาะแสวงหาต่อ ไม่ท้อ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

 

สิ่งดีๆมีมากมายรอบกาย มองหา ก็จะมองเห็น

 

คนมองโลกในแง่ร้าย เหมือนใส่แว่นสีช้ำเลือดช้ำหนอง มองอะไรก็ย่อมเป็นสี..ช้ำเลือดช้ำหนอง จะมองให้เป็นชมพูแจ๋ว ฟ้าจ๋า ท่าจะยาก

 

สิ่งร้ายๆมีมากมายรอบกาย เฟ้นมองหา ก็จะมองเห็นเช่นเดียวกัน

 

สรุปว่าเรื่องโชคดี เสริมได้ ไม่ต้องรอให้ใครยื่นให้

 

แค่ลุกขึ้นมาไขว่คว้า หาเพิ่มเองได้ทุกขณะ เหลือเพียงว่า จะเริ่มเมื่อไหร่เท่านั้นค่ะ

 

ขอบคุณผู้เขียน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทาน

กำเนิดภูเขาไฟ และแม่น้ำ

 

post-2581-017700400 1314012394.jpg

 

 

นานมาแล้วในเมืองสวรรค์มีพระราชาองค์หนึ่ง และพระราชธิดาผู้มีรูปโฉมงดงามอาศัยอยู่

วันหนี่งเจ้าหญิงผู้ทรงโฉมโสภาได้ทำพระธำมรงค์ของพระองค์หายไป พระธำมรงค์วงนั้นสวยงามมากและเป็นสมบัติที่เจ้าหญิงทรงรักมากที่สุด

พระราชบิดาของเจ้าหญิงได้ตรัสสั่งให้ชาวเมืองเที่ยวค้นหาพระธำมรงค์วงนั้นจนทั่วเมือง แต่ก็ไม่มีใครหาพบ

ในระหว่างนั้นเจ้าหญิงก้ได้แต่กันแสงคร่ำครวญถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสูญเสียไป

พระราชาไม่สามารถ จะทรงทนดู พระราชธิดาโศกเศร้าต่อไปได้จึงปลอบโยนเจ้าหญิงว่า

"พ่อได้ให้คนเขาค้นหาดูจนทั่วเมืองสวรรค์ของเราแล้ว แต่ก็ยังไม่พบแหวนวงนั้นเลย มันคงจะตกลงไปยังพื้นโลก

พ่อจะส่งคนไปหาแหวนยังโลกมนุษย์ และจะให้เขานำแหวนกลับมาให้ลูกโดยเร็วที่สุด"

แล้วพระราชาจึงตรัสสั่งมหาเล็กคนหนึ่งให้ไปยังมนุษย์โลกเพื่อไปค้นหาพระธำรงค์ของเจ้าหญิงที่หายไป

ท่านต้องไม่ลืมว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยที่โลกยังเกิดขึ้นใหม่ ๆ ครั้งโลกยังเป็นเพียงกลุ่มโคลนก้อนใหญ่มหึมาเท่านั้น

มหาดเล็กผู้นั้นไม่ทราบว่าจะเริ่มหาแหวนตรงที่ใดดี แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ใช้มือขุดลงไปในโคลนนั้นไปเรื่อย ๆ

ตรงที่นั่นบ้าง ที่โน่นบ้าง พลางกอบโคลนที่ขุดขึ้นมาโกยไปกองรวมไว้ข้างหนึ่ง

เขาเอานิ้วมือลูบคลำไปตามพื้น ทำให้เกิดเป็นร่องลึกอยู่ตามพื้นผิวโลก

การที่จะหาแหวนวงเล็ก ๆ ในก้อนโคลนที่ใหญ่มหึมานี้ ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ แต่ในที่สุดมหาดเล็กก็หาพระธำมรงค์จนพบ

เจ้าหญิงดีพระทัยมากที่ได้พระธำมรงค์กลับคืนมา และทรงมีความสุขดังเดิม

โพรงเล็กที่มหาดเล็กขุดนั้นก็กลายเป็นมหาสุมทรไป

 

ส่วนโคลนที่เขาโกยไปกองไว้ก็กลายเป็นภูเขา และที่ ๆ มหาดเล็กไว้เอานิ้วมือลูบคลำจนกลายเป็นร่องลึกนั้น ก็กลายเป็นแม่น้ำ

 

ด้วยเหตุนี้เอง จึง เกิดมีภูเขา แม่น้ำ และมหาสมุทรขึ้นในโลก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรื่องเล่าของหลวงพ่อชา

 

ครู

 

กิตติศัพท์ของพระธุดงค์กรรมฐานในดงป่าพงเริ่มถูกกล่าวขวัญในหมู่ชนทั่วไป ทำให้มีผู้มาฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อมากขึ้นตามลำดับ หลวงพ่อได้ถือหลักการ

 

"สอนคนด้วยการทำให้ดู... ทำเหมือนพูด... พูดเหมือนทำ"

 

ท่านจะเป็นผู้นำในการประพฤติข้อวัตรต่างๆ เพื่อให้ศิษย์ได้เห็นเป็นแบบอย่าง ข้อวัตรปฏิบัติของวัดหนองป่าพงยุคนั้น เริ่มต้นวันใหม่เวลาสามนาฬิกา ระฆังจะถูกตีดังก้องกังวาน ปลุกพระและสามเณรให้รีบลุก แล้วนำบริขารมาไว้ที่ศาลา พร้อมกับไปรับเอาบาตรและกาน้ำของครูบาอาจารย์มาจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย

 

เมื่อทุกคนเข้าสู่ศาลา มักพบหลวงพ่อนั่งสมาธิอยู่ก่อนเสมอ ช่วงเช้ามืดพระเณรส่วนใหญ่จะถูกความง่วงครอบงำ แต่หลวงพ่อจะนั่งตัวตรงสงบนิ่ง ไม่เคยโยกเยกให้ศิษย์ได้เห็น เมื่อรู้ว่าใครนั่งสัปหงกท่านจะเตือนด้วยเสียงอันดังๆ แล้วบอกอุบายแก้ไขให้

 

กิจวัตรต่างๆ เช่น ตีสามทำวัตรเช้า บ่ายสามโมงทำความสะอาดสถานที่ หกโมงเย็นทำวัตรเย็น ฟังหลวงพ่ออ่านหนังสือบุพสิกขาฯ อบรมเรื่องพระวินัย และการประพฤติปฏิบัติ วันพระงดนอน นั่งสมาธิเดินจงกรมตลอดทั้งคืน กิจวัตรเหล่านี้หากใครขาดถึงสามครั้ง จะถูกลงโทษด้วยวิธีต่างๆ เช่น ให้กราบสงฆ์ในที่ประชุมทุกรูปเพื่อสารภาพผิด...

 

หลวงพ่อเข้มงวดต่อตนเองและศิษย์มาก ท่านนำพระเณรปฏิบัติอย่างจริงจัง ให้หลีกเลี่ยงการคลุกคลี มีธุระจำเป็นจริงๆ จึงพูดกัน ขณะพูดต้องมีสติใช้เสียงเบาที่สุด เมื่อเข้าใจกันแล้วหยุดเงียบ การทำกิจวัตรร่วมกันจึงมีแต่เสียงที่เกิดจากการทำงานเท่านั้น การทำกิจวัตรทุกอย่าง พอระฆังดังขึ้น หลวงพ่อไปถึงที่ทำกิจก่อนเสมอ ท่านทำงานทุกอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกศิษย์ เริ่มจากตักน้ำในบ่อขึ้นมาใช้ กวาดลานวัด ทำความสะอาด ศาลาโรงฉัน เสร็จจากกิจส่วนรวมก็กลับไปเดินจงกรมที่กุฏิ ท่านเดินทั้งกลางวันกลางคืน จนทางจงกรมลึกลงไปคล้ายร่องน้ำ

เมื่อถึงวันพระ หลวงพ่อจะนั่งสมาธิตลอดคืน หากมีใครแอบหลบไปนอน รุ่งขึ้นต้องถูกอบรมไม่ยอมให้กลับกุฏิ ถึงเวลาทำกิจอย่างอื่นให้ทำต่อไปโดยไม่ต้องพักผ่อน หากวันไหนมีเสียงตักน้ำหรือสับแก่นขนุนต้มน้ำซักผ้าผิดเวลา ตกเย็นมาหลวงพ่อจะเทศน์อบรมจนดึกดื่น บางทีถึงตีสามฟังเทศน์จบทำวัตรเช้าต่อเลย

 

พระเณรจึงต้องคอยสกิดเตือนกันตลอดเวลา เพราะต่างขยาดเทศน์กัณฑ์ใหญ่ ใครจะทำอะไร มีกิจจำเป็นขนาดไหน ก่อนลงมือทำต้องกราบเรียนหลวงพ่อก่อน จะทำไปโดยพละการไม่ได้ หากรู้ว่าใครทำอะไรผิด ท่านไม่ยอมปล่อยให้ข้ามวันข้ามคืน ต้องเรียกตัวมาตักเตือน หรือไม่ก็อบรมเป็นส่วนรวม ดังนั้น ทุกคนจึงต้องสำรวมระวังเพราะกลัวว่าจะต้องทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย

 

แม้แต่การเดินเข้ามาในที่ประชุม การวางย่ามวางบริขารต้องทำให้เบาที่สุด ใครเผลอสติทำเสียงดัง เป็นถูกดุ เพราะเสียงจะไปรบกวนคนอื่น เสียมารยาทนักปฏิบัติ หลวงพ่อจะย้ำเตือนพระเณรอยู่เสมอว่า "อย่าให้ผู้อื่นต้องคอยมาบังคับในการทำความดี"

 

การประพฤติปฏิบัติในสมัยนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่น และอยู่ร่วมกันด้วยความเห็นอกเห็นใจ เมื่อมีสิ่งใดจะมากหรือน้อยก็แบ่งปันกันอย่างทั่วถึง หลวงพ่อให้คติเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

 

"ภิกษุสามเณรเรา ถ้าใครมีความเห็นแก่ตัว คิดจะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นละก้อ ผมว่า... เรานี่มันโง่ มันเลวกว่าชาวบ้านเขานัก พวกโยมเขาหาเงินทองมาด้วยความยากลำบาก ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเขาเอง แต่เขายังเสียสละทรัพย์ซื้ออาหารและเครื่องใช้ไม้สอยมาถวายพระได้ พระเรานี่ได้มาโดยไม่ต้องออกแรงอะไร เมื่อได้มาแล้วไม่อยากจะแบ่งปันพื่อน เก็บไว้ใช้ไว้กินคนเดียว ผมว่ามันน่าอายโยมเขานะ"

 

ดังนั้น สิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่าง เมื่อได้มาจะถูกรวมไว้ในเรือนคลังสงฆ์ โดยหลวงพ่อเป็นผู้แจกเอง และของทุกชิ้นที่รับไปจะต้องถูกใช้จนหมดสภาพจริงๆ จึงจะมาขอใหม่ได้

 

ส่วนเรื่องอาหาร เมื่อบิณฑบาตกลับมาให้นำอาหารทุกอย่างมารวมกัน แล้วปั้นข้าวเนียวเป็นก้อนขนาดพออิ่มเก็บไว้ในบาตร ที่เหลือนอกนั้นส่งไปโรงครัว เพื่อให้แม่ชีพิจารณาก่อนว่าควรแก่พระหรือไม่ แล้วจึงจัดใส่สำรับส่งคืนถวายพระ

 

การแจกอาหาร เริ่มแจกจากพระเถระลงไปตามลำดับ จนถึงสามเณรและปะขาว เหลือนอกนั้นจึงเป็นของแม่ชี ดังนั้นอาหารบางอย่างจึงแบ่งได้ไม่ทั่วถึง มีพระพรรษาน้อยรูปหนึ่งเวลาฉันจะนั่งอยู่ท้ายแถว ไม่ค่อยได้อาหารมากนัก วันหนึ่งกลับจากบิณฑบาตจึงใช้ข้าวเหนียวหุ้มไข่ต้มจนมิดแล้วซ่อนไว้ในบาตร

วันนั้น ก่อนแจกอาหารพระเณรทุกรูปแปลกใจ ที่เห็นหลวงพ่อลงจากอาสนะ แล้วเดินตรวจบาตรทุกใบไปเรื่อยๆ พอมาถึงบาตรของพระรูปนั้น ท่านหยุดเพราะเห็นก้อนข้าวปริออก มีไข่ขาวๆ ซ่อนอยู่ข้างใน หลวงพ่อจึงถามขึ้น... "ก้อนข้าว ใครฟักไข่ ! ?"

 

พระเณรในโรงฉันหันไปมองยังจุดเดียวกัน พระรูปนั้นนั่งตัวสั่น หน้าซีดด้วยความกลัวและละอาย นับแต่นั้นมาก็เข็ดขยาดหลาบจำไม่ทำอีก

หลวงพ่อมีอุบายแยบคายสอนศิษย์ บางคนพูดเรียบๆ ให้ฟังธรรมะเข้าไม่ถึงใจ ต้องทำให้กลัวหรือละอายเสียก่อนจึงได้ผล บางทีท่านก็เร่งเร้าให้กล้า คือกล้าแกร่งในการทำดี เพียรประพฤติปฏิบัติ เพื่อถอดถอนกิเลสออกจากใจ บางครั้งสอนให้กลัว... คือกลัวการกระทำความชั่วที่ผิดศีลผิดธรรม และที่เน้นมากซึ่งท่านกล่าวอยู่เสมอคือ "การปล่อยวาง"

 

พระรูปหนึ่งซาบซึ้งคำสอนเรื่องปล่อยวางมาก จึงพยายามวางเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง แม้ลมพัดหลังคากุฏิตกไปข้างหนึ่ง ท่านก็เฉย ฝนรั่วแดดส่องท่านก็ขยับหนีไปทางนั้นที ทางนี้ที ท่านคิดในใจว่า หลังคารั่วเป็นเรื่องภายนอก จะรั่วก็รั่วไป... ปล่อยวางไม่ใส่ใจ เรื่องของเราคือการทำจิตใจ ให้สงบและว่างเท่านั้น

 

ตามปกติหลวงพ่อจะเดินตรวจกุฏิทุกหลังเป็นประจำ เพื่อสอดส่องการกระทำของศิษย์ พระเณรมักทิ้งร่องรอยความประพฤติไว้ที่กุฏิเสมอ เช่น ดูได้จากทางจงกรม ความสะอาดของกุฏิ ทางเข้าออก การตากผ้า การรักษาบริขาร การปิดเปิดประตูหน้าต่าง และจำนวนสิ่งของเครื่องใช้ ฯลฯ

 

บ่ายวันหนึ่ง หลวงพ่อเดินไปพบหลังคากุฏิตกลงมา จึงถามว่า "เอ... นี่กุฏิใคร ?"

 

"กุฏิผมเองครับ" พระรูปที่กำลังฝึกปล่อยวาง กราบเรียน

 

"หลังคาตกลงมากองอยู่นี่ ทำไมไม่ซ่อมแซมมันล่ะ ?"

 

"ก็หลวงพ่อสอนให้ปล่อยวางไม่ใช่หรือครับ ผมก็เลยไม่สนใจมัน"

 

พระรูปนั้นตอบ แล้วนึกสงสัยจึงเรียนถามท่านอีกว่า

 

"ผมไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางถึงขนาดนี้ ยังไม่ถูกหรือครับ ?"

 

"การปล่อยวางไม่ใช่เป็นอย่างนี้ ที่ท่านทำอย่างนี้เรียกว่าปล่อยทิ้ง เป็นลักษณะของคนไม่รู้เรื่อง ฝนตกหลังคารั่ว ต้องขยับไปทางโน้น แดดออกขยับมาทางนี้ ทำไมต้องขยับหนีล่ะ ทำไมไม่ปล่อย ไม่วางอยู่ตรงนั้น"

 

ในการสอนศิษย์นั้นหลวงพ่อทุ่มเทอย่างจริงใจ ด้วยหวังให้ศิษย์เข้าถึงความเป็นสมณะที่แท้จริง ท่านจึงพยายามฝึกฝนพระเณรในหลายรูปแบบทั้งดุด่า ปลอบประโลม และบางครั้งก็เคี่ยวเข็นแบบเอาเป็นเอาตาย ดังคำพูดของท่านที่ว่า

 

"ไม่ดีก็ให้มันตาย ไม่ตายก็ให้มันดี"

 

แต่ท่านไม่เพียงแต่สอนด้วยวาจาเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่แนะนำพร่ำสอนออกไป หลวงพ่อจะปฏิบัติให้ปรากฏเป็นแบบอย่างทุกคราวไป

 

สำหรับการรับกุลบุตรเข้าร่วมสำนัก หลวงพ่อได้วางระเบียบไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อทดสอบศรัทธาก่อน เบื้องแรกต้องบวชปะขาวถือศีลแปด เรียนรู้และฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติก่อนหนึ่งปี จากนั้นก็บวชเป็นสามเณรอีกหนึ่งปีแล้วจึงได้บวชพระ ทั้งนี้เพื่อกลั่นกรองเอาเฉพาะผู้ตั้งใจมาปฏิบัติจริงๆ สานุศิษย์ที่ผ่านการฝึกสอนจากหลวงพ่อ จึงล้วนแต่มีความมั่นคงในข้อวัตรปฏิบัติ และได้กลายเป็นขุมกำลังที่สืบสานเจตนารมณ์ของหลวงพ่อในปัจจุบัน

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!thk สวัสดีค่ะคุณ ginger และเพื่อนๆ ทุกคน

 

116534.jpg

 

จงทำกับเพื่อนมนุษย์

 

เขา...เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของเรา..

 

เขา...เป็นเพื่อน เวียนว่าย อยู่ในวัฏฏสงสาร ด้วยกันกับเรา..

 

เขา...ก็ตกอยู่ใต้ อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมจะพลั้งเผลอไปบ้าง..

 

เขา...ก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา..

 

เขา...ย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา..

 

เขา...ก็ไม่รู้ว่า เกิดมาทำไม ไม่รู้จักนิพพาน เหมือนเรา..

 

เขา...ก็ตามใจตนเอง ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ..

 

เขา...โง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่..

 

เขา...ก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี เด่น ดัง..

 

เขา...ก็มักจะกอบโกย และ เอาเปรียบ เมื่อมีโอกาส เหมือนเรา..

 

เขา...มีสิทธิที่จะ บ้าดี เมาดี หลงดี จมดี เหมือนเรา..

 

เขา...เป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่าง ๆ เหมือนเรา

 

เขา...ไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือ ตายแทนเรา..

 

เขา...เป็นเพื่อนร่วมชาติ ร่วมศาสนา กับเรา..

 

เขา...ก็ทำอะไร ด้วยความคิดชั่วแล่น และ ผลุนผลัน เหมือนเรา..

 

เขา...มีหน้าที่รับผิดชอบ ต่อ ครอบครัวของเขา ไม่ใช่ของเรา..

 

เขา...มีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามความพอใจของเขา..

 

เขา...มีสิทธิ ที่จะเลือก (แม้ศาสนา) ตามความพอใจของเขา

 

เขา...มีสิทธิ ที่จะเป็น โรคประสาท หรือ เป็นบ้า เท่ากับเรา

 

เขา...มีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา..

 

เขา...มีสิทธิ ที่จะได้รับอภัยจากเรา ตามสมควรแก่กรณีย์..

 

เขา...มีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา..

 

เขา...มีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น..

 

เขา...มีสิทธิ แห่งมนุษยชน เท่ากันกับเรา สำหรับอยู่ในโลกนี้..

 

ถ้า...เราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการขัดแย้งใด ๆ เกิดขึ้น..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเซน : อารมณ์ร้ายโดยสันดาน

 

ครั้งหนึ่ง มีอุบาสกเอ่ยถามอาจารย์เซนผานกุยว่า "ข้าเป็นคนอารมณ์ร้ายโดยสันดาน ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะชี้ทางแก้ไขได้หรือไม่?

อาจารย์เซนผานกุยถามว่า "เป็น "สันดาน" อย่างไร? ตอนนี้เจ้าจงแสดงออกมา เพื่อที่ข้าจะได้ช่วยแก้ไข"

อุบาสกผู้นั้นจึงกล่าวว่า "มิสามารถทำได้ เพราะตอนนี้ไม่มี ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ใดมากระทบ สันดานอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้ายนั้น จึงจะแสดงออกมา"

ได้ฟังดังนั้น อาจารย์เซนผานกุยจึงกล่าวว่า "หากในตอนนี้ไม่มี ก็ไม่นับเป็นสันดาน โทสะเป็นนิสัยที่เจ้าเพาะสร้างขึ้น

 

แต่สันดานคือสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หากเจ้าเรียกโทสะว่าเป็นสันดานยิ่งทำให้ยากที่จะแก้ไข ทั้งยังไม่เป็นธรรมต่อบุพการีของเจ้าสักเท่าใด"

ยามนั้นอุบาสกจึงสำนึกได้ พยายามปรับปรุงนิสัย ไม่อารมณ์เสียง่ายๆอีก

ปัญญาเซน: ธรรมชาติของจิตล้วนผ่องใส เมื่อวางได้จึงหลุดพ้น

 

ที่มา : หนังสือ 《禅的故事精华版》, 慕云居 เรียบเรียง, สำนักพิมพ์ 地震出版社, 2006.12, ISBN 7-5028-2995-4

 

ขอบคุณผู้เขียน ผู้แปล สำนักพิมพ์ manager online

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-076430900 1314447732.jpg

 

 

เติมใจให้เต็ม ให้ใจมีกำลัง พลังใสๆพลังใจ.....อยู่ที่เรา ...ใจมีไว้ใส่เรื่องดี ดี

 

 

[Good Story] ขยะ… ที่อยู่ในใจ

Posted by admin in Good Story on พ.ย. 26th, 2010 | 2 response

 

ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ?

 

คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ

 

เวลามีอะไรมากระทบ หรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปนความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่

 

ทำไมเราจึงปล่อยให้ ใจเป็น “ถังขยะ” ล่ะ

 

คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้…….

.

อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ?

.

1. ความไม่พอใจ

.

มีหลายเรื่องเลยนะในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง

.

ไม่พอใจคนอื่น เกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง

.

ขณะเดียวกัน เราต่างก็รู้ว่า โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง

.

ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์…กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ

.

2. ความผิดหวัง

.

2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือ หวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีต จะย้อนกลับมา กับหวังว่า อนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม

.

ดีที่สุด คือ ใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น

.

ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับ บงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร

.

กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจและปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์

.

3. ความอิจฉาริษยา

.

ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือ ความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉา หรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดี หรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน

.

จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่า การที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขาและปรับเปลี่ยน โน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามี…จนเราอิจฉา

.

4. ความยึดมั่นถือมั่น

.

ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวางสิ่งนอกตัวเหล่านั้นลงได้

.

ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเองว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิต เพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม

.

ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหมว่า อะไรๆในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมาใช้ ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพ ดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง

.

5. ความกลัว

.

ใจหลายคนรุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ

.

กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย

.

จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม

.

6. ความอยาก

.

จง “อยาก” ให้พอดีกับ กำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง เพราะจะทำให้สิ้นกำลังได้ง่าย แล้วกลายเป็นคนพ่ายแพ้ อ่อนแอ หมดสิ้นความทะเยอทะยานอยากในชีวิต

.

ความทะเยอทะยานอยากเหมือนรถ แต่ใจเราคือคนขับ รถแล่นด้วยความเร็วกำลังดี เราก็ได้ประโยชน์ จอดอยู่เฉยๆก็นิ่งอยู่กับที่ แต่หากแล่นฉิวจนเกินควบคุม ก็อันตรายกับชีวิต ฉะนั้น ใจต้องเป็นนายของความทะเยอทะยานอยาก ขับเคลื่อนความทะเยอทะยานอยากโดยควบคุมได้

.

ทำอย่างไรให้ใจสะอาด?

.

ริ่มจากปล่อยวางสิ่งต่างๆลง อย่ายึดติดยึดถือให้มากนัก แล้วอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่อยู่กับเราเป็นของเรา ย่อมอยู่กับปัจจุบันของเราด้วย นั่นคือสิ่งจริงแท้แน่นอน การปล่อยวางสิ่งต่างๆลง เท่ากับการเทขยะทิ้ง การอยู่กับปัจจุบันเท่ากับการปิดฝาถังขยะ

.

ไม่เปิดรับขยะใหม่ๆให้ใจต้องสกปรกรกรุงรังอีก เพื่อมีเวลาทำความสะอาดหัวใจให้ผ่องใส เบิกบาน

.

ใจ…….แท้จริงผ่องใสด้วยตัวของมันเอง แต่คนที่เป็นเจ้าของหัวใจต่างหาก ที่ชักนำสิ่งต่างๆมาปะพอกจนใจนั้นหมดสภาพ ฟื้นหัวใจให้กลับไปผ่องใสดังเดิมกันเถิด ปัดฝุ่นและคราบเขม่าทั้งหลาย แล้วเปิดทางให้หัวใจได้หายใจเต้น และรู้สึกด้วยตัวของมันเอง

.

อย่าไปบงการหัวใจมาก เพราะแทนที่จะเป็นหัวใจ มันจะกลายเป็นถังขยะแทน

.

ที่มา : ลานธรรมจักร

.

Credit : FW Mail by S.Peerapong

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-006045400 1314617508.jpg

 

ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

 

ไม่มีแม่คนไหนที่ไม่รักลูก

แต่..ก็ไม่สามารถวัดได้ว่าแม่คนไหนรักลูกมากน้อยกว่ากัน เพราะความรักไม่สามารถใช้มาตรวัดใด ๆ ได้ว่ารักแค่ไหนมาก แค่ไหนน้อย แล้วแค่ไหนจะพอดี

 

จะมีก็เพียงรักลูกถูกวิธีหรือไม่ถูกวิธีเท่านั้น ที่พอจะมองเห็นผลลัพธ์จากตัวลูก เพราะถ้าใช้ความรักไม่ถูกวิธี สุดท้ายก็อาจนำไปสู่การเลี้ยงดูที่ผิดพลาดได้

 

ฉะนั้น เรื่องความรัก นอกจากต้องใช้สัญชาตญาณของความเป็นแม่ในการเลี้ยงดู ที่สำคัญต้องมีความรู้ควบคู่ด้วย เพราะต้องเป็นความรักที่ถูกวิธี มิเช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นว่าแม่ทำร้ายลูก

 

แม่แบบไหนบ้างที่ทำร้ายลูก

 

แม่ประเภทแรก ทำทุกอย่างให้ลูก แม่ประเภทนี้กลัวว่าลูกจะลำบาก กลัวลูกอด กลัวลูกเจ็บ กลัวไปซะทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นก็จะไม่ค่อยปล่อยให้ลูกไปเผชิญสิ่งต่างๆ โดยลำพัง ถ้าเป็นลูกเล็กแม่ก็จะคอยอุ้มอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยยอมปล่อยให้ไปคลุกดินคลุกทราย หรือเดินโดยลำพัง จะมีคนคอยเดินตาม และเมื่อเด็กพลาดล้มก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปทันที ถ้าเป็นเด็กโตก็จะคอยห้ามโน่นนี่นั่นไปซะทุกอย่าง เพราะกลัวลูกไม่ปลอดภัย

 

แม่ประเภทที่สอง ต้องการให้ลูกทดแทนบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปของพ่อแม่เมื่อวัยเด็ก อะไรที่ไม่เคยมี ก็อยากให้ลูกได้มี อะไรที่ไม่เคยทำ ก็อยากให้ลูกได้ทำ หรือเมื่อวัยเด็กแม่อาจมีฐานะไม่ดี มีปมด้อย หรือลำบากมาก่อน ฉะนั้นเมื่อตัวเองประสบความสำเร็จก็พยายามชดเชยอะไรบางอย่างให้กับลูกตลอดเวลา

 

แม่ประเภทที่สาม ขีดเส้นทางขีวิตให้ลูกเดิน เพราะเชื่อว่าเส้นทางที่เลือกไว้ให้ลูกคือเส้นทางที่ดีที่สุด เช่น อยากให้ลูกเป็นหมอ ก็วางเส้นทางเพื่อให้ลูกเป็นหมอ โดยไม่ได้ดูความถนัดหรือความชอบของลูก แต่เชื่อว่าตัวเองได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก โดยที่จะพูดย้ำกับลูกอยู่เสมอว่าเพราะแม่รักลูกถึงเลือกเส้นทางชีวิตเช่นนี้ให้ลูก โดยไม่ฟังเสียงของลูก

 

แม่ประเภทที่สี่ แม่ประเภทนี้จะไม่ค่อยทันลูก พร้อมจะเชื่อลูกทุกอย่าง ลูกบอกอะไรก็เชื่อ โดยไม่ได้สนใจหรือตรวจสอบเลยว่าลูกทำอะไร หรือเหมาะสมหรือเปล่า แม่ประเภทนี้มักขาดความรู้ เช่น ลูกขอซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาใช้หาความรู้ แต่ในความเป็นจริงลูกอาจนำมาเล่นเกมหรือใช้อย่างไม่เหมาะสม โดยที่แม่ไม่รู้หรือไม่ตรวจสอบ หรือไม่ได้สนใจด้วยซ้ำไป

 

 

 

แม่ประเภทที่ห้า ลูกไม่เคยผิด เป็นแม่ที่ปกป้องลูกตลอด ไม่ว่าลูกจะมีปัญหาอะไรกับใคร หรือกับพ่อแม่เอง ลูกฉันก็ไม่เคยผิด แม้ลูกจะทำผิดก็โทษผู้อื่นเสมอ เวลาลูกมีปัญหากับใครแม่ก็มักออกโรงปกป้องเต็มที่ ซึ่งหารู้ไม่ว่าลูกประเภทนี้มักจะมีปัญหาเมื่อเขาเติบโตขึ้นเสมอ

แม่ทั้งห้าประเภทนี้ ล้วนแล้วต่างก็รักลูกทั้งสิ้น และก็ไม่ใช่เพราะรักลูกมากเกินไปด้วย แต่เป็นเพราะรักลูกไม่ถูกวิธี

 

ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากความรักที่ต้องคู่กับความรู้แล้ว การเลี้ยงดู การสร้างสภาพแวดล้อม สภาพสังคม ล้วนแล้วมีผลต่อลูกของเราทั้งสิ้น

 

ในอดีตรุ่นปู่ย่าตายายต่างก็มีสภาพสังคมโดยรวม ที่ทำให้เมื่อสมัยวัยเด็กต้องช่วยเหลือตัวเองซะส่วนใหญ่ เมื่อเผชิญปัญหาแต่ละครั้ง ก็ย่อมทำให้ต้องเผชิญปัญหาโดยปริยาย และจากการประสบพบปัญหาบ่อยครั้ง ก็ทำให้สามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ดี

 

และนั่นจึงเป็นที่มาและทำให้เด็กในยุคก่อนมีวัคซีนใจ หรือภูมิต้านทานชีวิตสูงกว่าเด็กยุคนี้

 

ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ มักได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี โดยเฉพาะครอบครัวที่มีฐานะดี ที่ไม่อยากให้ลูกลำบากตรากตรำ ก็คอยพัดวีให้ทุกอย่าง เมื่อมีปัญหาใด ๆ ก็มักจะยื่นมือไปช่วยเหลือในทันที แทบจะไม่ปล่อยให้ลูกเผชิญกับปัญหาหรือความลำบากเลย หรือมีปัญหาถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวแบบทั้งห้าประเภทที่กล่าวมา ก็ย่อมทำให้ลูกขาดภูมิต้านทานชีวิต หรือมีภูมิต้านทานชีวิตต่ำไปโดยปริยายเช่นกัน

ฉะนั้น ถ้าไม่อยากให้ความรักของแม่ทำร้ายลูก ต้องเริ่มจากการปรับทัศนคติของตัวเองกันก่อนว่า ชีวิตของลูกเป็นของเขาเอง วันหนึ่งเมื่อเขาหรือเธอเติบโตขึ้นไปก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง พ่อแม่ไม่สามารถอยู่กับลูกไปได้ตลอดชีวิต แล้วเราควรจะทำอย่างไรเพื่อให้เขาสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้ แม้ไม่มีพ่อแม่

 

คำตอบก็คือการสร้างภูมิต้านทานชีวิตที่ดีให้กับลูก

 

ความรักของแม่แบบผิดๆ ที่ทำร้ายลูกก็มีให้เห็นมากมาย แล้วไยเราจะเดินซ้ำรอยอุทาหรณ์เหล่านั้นทำไมล่ะ

 

สิ่งที่ต้องเริ่มต้นคือการใช้ความรักของแม่ที่ถูกวิธี

 

เพราะเราคงไม่อยากเป็นแม่ที่ใช้ความรักทำร้ายลูกมิใช่หรือ…!!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไปดูกันว่ามีเพลงอะไรกันบ้าง....ใครทันได้ร้องเล่นเพลงเหล่านี้บ้าง ???? :rolleyes: เราล่ะคนนึง :D

 

 

* นางเงือกน้อย ตบบน ตบล่าง ตบหน้า ตบหลัง ตอบพร้อมๆ กัน...ONE TWO THREE FOUR FIVE SIX SEVEN EIGHT NINE TEN TEN TEN เยายิงเยาปั๊กกะเป้ายิ้งงงงงงงง....ฉุบ!!!!

 

 

* แม่จ๋า ช่วยหนูด้วย หนูกินกล้วย อยู่บนหลังคา ตกลงมา ทายาหม่อง ยี่สิบกล่องก็ไม่หาย ไปหาหมอ หมอไม่อยู่ ไปหาปู่ ปู่กินเหล้า ไปหายาย ยายตำหมาก กระเด็นใส่ปาก ร้องไห้แงแง

 

 

* 123 ปลาฉลามขึ้นบก 456 จิ้งจกควักไส้ I am Sherry จั๊กจี้หัวใจ I am ตกบันได หัวใจจิ้มขี้

 

* แมงมุมขยุ้มหลังคา แมวกินปลา หมากัดกระพุ่งก้น

 

* กรรไกร ไข่ ผ้าไหม ไข่หนึ่งใบสองบาทห้าสิบ ห้าสิบสองบาทหนึ่งใบ ไข่ ผ้าไหม ไข่ กรรไกร

 

* จ้ำจี้มะเขือ เปาะแปะ กะเทาะหน้าแว่น พายเรืออกแอ่น กระแท่นต้นกุ่ม สาวสาว หนุ่มหนุ่ม อาบน้ำท่าไหน อาบน้ำท่าวัด เอาแป้งที่ไหนผัด เอากระจกที่ไหนส่อง เยี่ยมเยี่ยมมองมอง นกขุนทองร้องวู้...

 

* แมงมุมลายตัว นั้น ฉันเห็นมันมันอยู่บนหลังคา วันหนึ่งมันถูกฝน ไหลลงจากบนหลังคา พระอาทิตย์ส่องแสง ฝนแห้งเหือดไปลับตา มันรีบไต่ขึ้นฝา หันหลังมาทำตาลุกวาว

 

* จันทร์เอ๋ย จันทร์เจ้า ขอข้าวขอแกง ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง ขอเตียงตั้งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง

 

* มดตะนอย มาต่อยต้นพริก คนไหนหยุกหยิก คนนั้นต้องตด!

 

* รีรีข้าวสาร สองทะนานข้าวเปลือก เลือกท้องใบลาน เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน คดข้าวใส่จาน คอยระวังคนข้างหลังเอาไว้ให้ดี

 

* อีมอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไปนู่นไปนี่ ฉันจะตีก้นเธอ

 

* พ.ศ. 2504 ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา ทางการเขาสั่งมาว่า ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่าสุกรนั้นคืออะไร ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา...หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา หมาน้อย หมาน้อยธรรมดา

 

* ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ไปกินเกลือบ้านตาแป๊ะ ไปนอนเปาะแปะ ให้ตาแป๊ะเล่นนม

 

* ยา...หย่า...ย่า...ยี...หยี่...ยี่...คุณแม่ซักผ้า คุณยายสระผม ลูกอมโบตัน ยาสีฟันคอลเกต สบู่วิเศษ...ปั๊กกะเป้ายิ้งฉุบ

 

* น้ำปลาตราหัวสิงห์ จับผู้หญิงมาทรมาน จับผู้ชายมาทรยศ จับแม่มดมาดึงสะดือ จับกิ้งกือมาทำก๋วยเตี๋ยว จับแมวเหมียวมาเต้นระบำ จับแมวดำ มาเป่ายิ้งฉุบ

 

* โกสะ โกโก้สะ ปีนี้มีอายุกี่ปี โป๊ะ...หรือ โอเผี่ยว โจโจ้เผี่ยว ปีนี้มีอายุกี่ปี โป๊ะ...หรือในบางที่จะร้องว่า โอเผี่ยว ซันโต๊เตี่ยว ชีวิโน วิโกโห้

 

* ลา มะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา

 

* รถไฟจะไปโคราช ตดดังป๊่าด ถึงราชบุรี ตดอีกทีถึงบริษัท บริษัทป้ำๆ เป๋อๆ ขอเสนอนิยายเรื่องสั้น ป้ากะปู่ กู้อีจู้ ป้าไม่อยู่ ปู่ไปเที่ยว...

 

* จีจ่อเจี๊ยบ ละมะเลี๊ยบ แช่วับ ตุ๊กแกไล่งับ รถทับคนตาย น้ำมันแช่เย็น น้ำแข็งเย็นเจี๊ยบ...หรือ...จีจ่อเจี๊ยบ มะลำมะเลี้ยบแช่วับ ตุ๊กแกไล่งับปิดประตูปึ้งปั้ง

 

* โดเรม่อน ม่อน ม่อน โดเรมี่ มี่ มี่ โนบิตะ ชิซูกะ ซูเนโอะ ใครชนะได้เป็นไจแอนท์

 

* เซ เซ มี มี ปิงป่อง แช๊ ปิงป่อง แช๊ๆ ปิงป่องแช๊

 

* แม่มดชักรถออกมา เห็นใครเดินมาเรียกว่าแมงตุ๊ด

 

* สมบัติจับปลา ภรรยาจับกุ้ง สมบัติจอมยุ่ง เข้ามุ้งภรรยา พอดีไฟปิด ฉึกฉัก ฉึกฉัก พอดีไฟเปิด ภรรยาท้องโต สมบัติดีใจ ตกบันไดคอหัก ภรรยาเสียใจ ตกบันไดผ้าถุงเปิด

 

 

เพลงเหล่านี้ ส่วนใหญ่ใช้ในการละเล่นตบแผะ วิ่งไล่จับ กระโดดหนังยาง ขณะที่บางอันก็เป็นเพลงหรือบทกลอนขำๆ ที่ท่องหรือเล่นสืบต่อกันมารุ่นต่อรุ่น...ซึ่งในปัจจ ุบันมีการดัดแปลงเพลงไป ใช้ในการละเล่นให้ทันสมัยขึ้นค่ะ...แล้วเพื่อนๆ ล่ะคะ...มีเพลงไหนฮิตๆ ในวัยเด็กบ้าง???

__________________

ถูกแก้ไข โดย Eang

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-062924400 1314856849.jpg

 

 

9 บทเรียนทองของ สตีฟ จอบส์

Posted by admin in Good Story, Recommend Article on ม.ค. 25th, 2011 | 4 responses

 

 

 

9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน

1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้ตาม”

 

นวัตกรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้

2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ”

 

.

ไม่มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต

.

3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก”

.

จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค

.

4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”

.

จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่งขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย

.

ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ

.

5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า

.

มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือ การนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ

.

6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน”

.

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่ามันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า

.

7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น”

.

อย่ามองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้นไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

.

8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม”

.

คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง

.

9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้วคุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง”

.

คุณเบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกดดัน จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง

.

Credit : ผู้จัดการออนไลน์

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...