ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

รื่องสั้นที่ผ่านการพิจารณารอการลงพิมพ์

๑. แขกประจำ ของ เข็มพลอย ฉบับที่ ๒๔๖๗

 

อ่านเรื่องสั้นย้อนหลัง

 

 

 

เรื่องสั้น ฉ.๒๔๖๖

 

ข้อเสนอ

 

แสงธรรม ชุนชฏาธาร ขอบคุณผู้เขียน

ชายหนุ่มมองไปยังกลีบเมฆที่อาสาตัวเข้าไปบดบังแสงแห่งดวงอาทิตย์ ที่เผยรูให้แสงแดดอันแรงกล้าเล็ดรอดส่งมายังโลกมนุษย์ได้เพียงละมุนละไม แสงแดดเหล่านั้นแผ่ซ่านมาลูบไล้ผิวกายชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ทำให้เขามีรอยยิ้ม และรู้สึกนึกรักแสงแดดขึ้นในทันที

 

คงมีคนในภูมิภาคนี้อีกหลายคนที่รู้สึกสรรเสริญก้อนเมฆที่เสียสละตนมาช่วยบดบังแสงแดดอันร้อนระอุ เช่นเดียวกับที่เขาคิด แต่ในขณะเดียวกัน คงมีมนุษย์จากอีกซีกโลกหนึ่งเฝ้าสาปแช่งก้อนเมฆที่บังอาจมาบังแสงอันสดใสจากดวงสุริยัน และคนเหล่านั้นก็กระเสือกกระสนที่จะมารับอนุภาพอันแรงกล้าจากแสงแห่งดวงตะวัน ในขณะที่คบแถบนี้มุ่งหวังที่จะไปให้พ้นจากความระอุของพระเพลิง

 

บางครั้งธรรมชาติก็เล่นตลก วางสิ่งของให้อยู่ผิดที่ผิดทาง แต่ธรรมชาติยังคงความสมดุลในตัวของมันเอง หากไม่เป็นเช่นนั้นจะมีใครเล่าที่เห็นความน่ารักจองแสงแดดที่ทอดความอบอุ่นมาเพียงหนึ่งในสิ่งของแต่ละปี หากมีเป็นเช่นนั้นใครกันเล่าที่จะมองเห็นความโหดร้ายของแสงแดดที่มีกำหนดให้ทอมาได้เพียงเศษหนึ่งเศษหนึ่งส่วนสามของแต่ละปี แต่กลับทอมาอย่างบ้าระห่ำทุกวี่ทุกวัน ส่งผลให้ประเทศไทยมีเพียงฤดูเดียวคือ...ฤดูร้อน...สรรพสิ่งหมุนเวียนไม่หยุดยั้งแต่ธรรมชาติก็ยังคงความสมดุลในตัวมันเองตลอดเวลา

 

การระลึกถึงคุณและโทษของธรรมชาตินั้นทำให้ชายหนุ่มต้องหวนคิดถึงความผันผวนในชีวิตตัวเองบ้าง เขาเพิ่งประสบความล้มเหลวทางด้านความรัก (ภาษาปากเรียกอกหัก) มาเป็นครั้งที่ ๔ ในชีวิต

 

สมัยประถมเขาตกหลุมรัก ด.ญ.นวลลออ ตั้งแต่อยู่ชั้นป.สอง ก. แต่ต้องมาพบกับความผิดหวังเมื่อเปิดเทอมชั้นป.ห้า ข. เด็กหญิงนวลลออซ้อนจักรยานของเด็กชายชีวันมาโรงเรียน ในขณะที่เขากำลังเดินกรำฝุ่นเนื้อตัวมอมแมม ไปโรงเรียนเช่นกัน

 

เมื่อขึ้นมัธยมก็โดนภัยแห่งรักอีก เมื่อโดนรถมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว ธรรมดาโดนรถเฉี่ยวดงอกหักไม่ได้ แต่มอเตอร์ไซค์คันนี้กลับมีนางสาวต้องจิต แฟนสาวที่เขาผูกสมัครรักใคร่นั่งซ้อนท้ายโอบเอวได้เคน จั๊กโก่ปากซอยอยู่ เขาถึงกับตะลึงงัน ความเจ็บทางร่างกายนั้นไม่เท่าไหร่ แต่เจ็บที่ใจสิทธิวีคูณ และวันนั้นเองก็เป็นวันที่นางสาวต้องจิตโบกมือลาเขาไปจับมือไอ้เคนที่ชำนาญในการบิดแฮนด์มอเตอร์ไซค์ สลัดมือของเขาที่ชำนาญแต่การห้อยโหนตามราวรถเมล์สายต่างๆ

 

พอเข้ามหาวิทยาลัยกามเทพก็เล่นงานเขาอีกรอบ เมื่อเผลงศรปักอกให้เขาตกหลุมรักนาตยา นิสิตสาวร่วมสถาบันอย่างหัวปักหัวปำ ถึงกับลงทุนเก็บเงินซื้อแมงกะไซด์ มือสองจากอาเจ๊กที่ใช้ส่งแก๊ส ได้มาในราคาเป็นกันเอง แต่สภาพการใช้งานประดุจไม้ใกล้ฝั่ง กะว่าจะชวนนาตยาไปซึ่งกินลมชมวิว แต่ก่อนที่จะได้หลุดปากเอ่ยคำชวน ความฝันของเขากลับต้องทำหมันถาวรเมื่อธราเทพ...บุตรชายนักการเมืองท่านหนึ่ง อาสาขับรถเก๋ง BMW รุ่นใหม่ มาเทียวรับเทียวส่งนาตยาทุกเช้าเย็น ไม่เกรงใจสายตาของเขาที่ร้อนผ่าวขึ้น ทุกวันๆ

 

ครั้นเรียนจบ เทพแห่งกาเมตนเดิมก็บันดาลให้เขาได้มาพบจงรัก และสร้างความสัมพันธ์ที่ ‘ดูเหมือน’ จะราบรื่น ซึ่งตอนนั้นเขาได้รับเจ้ารถ ‘กระป๋อง’ สภาพ ๒๕% จากพินัยกรรมของพ่อ ใช้ไปส่ง...แต่ไม่ได้รับเธอเสมอ เพราะเลิกงานต้องเอารถเข้าอู่ไปซ่อมทุกวัน จึงทำให้เขาได้พบความจริงที่ว่า มีคนคอย ‘ช่วย’ ไปรับเธอแทนเสมอ และเธอได้เอ่ย

 

คำลาแก่ผมเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อที่จะจากไปกับเขา...คนที่ไม่ได้ขับรถอะไรเลย เพราะมีคนคอยขันให้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Bmw Lexas Benz Ferrri Poche และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยแนวคิดที่ว่า ‘เป็นน้อยก็ยอมถ้ามีพร้อมทุกสิ่ง’ วิมานรักอันแสนหวานจึงกลายเป็นตำนานร้าน (ร้าง) ไม่รู้จบ ทั้งภาคของเขา

 

ด้วยความที่เขา ‘มี’ ช้ากว่าคนอื่น หรือไม่ ‘มั่งมี’ เช่นคนอื่น ทำให้เขาต้องพ่ายในสนามรักษาตั้งหลายครั้งหลายครา สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาเคยอยากคิดจะร่ำรวยเป็นเศรษฐีอย่างใครเขาบ้าง อยากที่จะมีเสื้อผ้าที่ห้องแพงๆ ขับรถสปอร์ตอันหรู ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ โดนมีเงินสดเป็นฟ่อนซุกซ่อนอยู่ที่ท้ายรถ ใช้ชีวิตอันหรูหราฟูฟ่องอยู่ภายในสังคมไฮโซ ท่องเที่ยวไปกับสาวคนนั้นทีสาวคนนี้ที เป็นเหมือนเจ้าชายที่สาวๆ หมายปอง ซึ่งสิ่งเหล่านั้นคงสามารถเป็นความจริงได้ถ้าเพียงเขาตอบรับ... ‘ข้อเสนอ’

 

 

ด็อกเต้อร์ วิชิต นวัตกรรม บิดาของเขา เป็นศาสตราจารย์สติเฟื่องที่ทุ่มเทชีวิตอุทิศแก่การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ ให้โลกมนุษย์ แต่กลับไม่ปรากฏผลงานเป็นที่เด่นชัดขณะที่ฐานะทางครอบครัวตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ดร.วิชิต กลับประกาศข่าวที่เป็นที่แตกตื่นแก่สาธารณชนว่า สามารถคิดค้นสูตรแห่งยาอายุวัฒนะที่ทำให้มนุษย์ไม่แก่เฒ่าได้สำเร็จ โดยขอเรียกยาน้ำว่า ‘ยายอมตะ’ ข่าวนั้นกลายเป็นข่าวโด่งดังอยู่พักใหญ่ ก่อนที่ดร.วิชิตจะเสียชีวิตลง ทำให้ข่าวที่ประกาศไปในตอนแรกเป็นเพียงข่าวลือที่หลอกลวงประชาชีไปในทันใด เพราะว่าหากมียาอมตะจริง ไยผู้ที่คิดค้นจึงสิ้นชะตาชีวิตด้วยโรคชรา เหตุการณ์นี้จึงเป็นเพียงหมอกควันไม่อยู่ในความสนใจของผู้คน จางไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งเพียงสมญานามที่ชาวบ้านตั้งให้ ดร.วิชิต เมื่อตายไปแล้วว่า ‘ด็อกเต้อร์เพี้ยน’

 

มีเพียงแต่เขา...ลูกชายคนเดียวของด็อกเต้อร์เพี้ยนเท่านั้น ที่ทราบว่าสิ่งที่บิดาของเขาประกาศแก่ชาวโลกนั้นเป็นความจริง โดยเป็นยาที่ฉีดไปแล้วเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย และสามารถผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ให้มีอายุอ่อยเยาว์ลงเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายไม่ทรุดโทรมไปตามอายุ

 

แต่เหตุที่บิดาของเขาสิ้นชีวิตลงพระโรคชรา เนื่องเพราะปฏิเสธ ยาที่ตัวเองผลิต โดยคิดได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตว่า ไม่ควรที่จะฝืนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ หากไม่มีการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ห่วงโซ่ของวัฐจักรชีวิตจะเปลี่ยนไป โลกมนุษย์ก็จะเปลี่ยนไป โลกมนุษย์ก็จะเปลี่ยนไปในรูปแบบไหนก็ยากที่จะคาดได้ หากไม่มีการตาย อันกฎของเศรษฐศาสตร์ที่ว่า ‘ความต้องการของมนุษย์ไม่มีขีดจำกัด แต่ทรัพยากรมีจำกัด’ ยิ่งจะปรากฏความจริงให้เห็น เมื่อจะปรากฎความจริงให้เห็น เมื่อมนุษย์มีมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่มีกายตาย จะต้องแย่งชิงทรัพยากรอันมีจำกัดกัน ผู้เข้มแข็งก็จะอยู่รอดเป็นอมตะไป ใครที่มีความเด็ดขาด และโหดร้าย ก็จะสามารถลอยนวลอยู่ในโลกแห่งการแย่งชิง ศิลธรรมก็จะยิ่งเสื่อมทรามคำสอนของศาสนาต่างๆ ที่ให้ทำความดีก็จะหมดความสำคัญลง เมื่อนั้นสังคมมนุษย์ก็ไม่เหลือความน่าภาคภูมิใจใดๆ ทั้งสิ้น โลกมนุษย์ก็ไม่คู่ควรที่จะเรียกอย่างเดิมอีกต่อไปเมื่อมนุษย์ล้วนถูกจิตมารเข้าครอบงำ

เขาจึงเคารพในการตัดสินใจของบิดา และไม่รบเร้าให้ท่านใช้ยาอมตะอีกต่อไป ปล่อยให้ดร.วิชิต สิ้นลมหายใจอย่างสงบภายในห้องทดลอง โดยมีเขา...ทายาทคนเดียวของท่าน เป็นคนเดียวที่มีสูตรยาอมตะอยู่ในครอบครอง

 

 

 

และก็มีเพียงนายธีระเทพ...นักการเมืองชื่อดังที่อยู่เบื้องหลังธุรกิจนอกกฎหมายทั้งหลายเท่านั้น ที่เชื่อในความมีอยู่จริงของยาอมตะนี้ และก็ได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ที่ต้องการจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของยาอมตะแต่เพียงผู้เดียว หลายครั้งหลายบคราที่เขามายื่นข้อเสนอขอซื้อสูตรยาอมตะจากบิดาของเขาเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ แต่ได้รับการปฏิเสธไป

 

เมื่อมาถึงบัดนี้ที่บิดาของเขาสิ้นชีวิตไป เขาจึงกลายเป็นเป้าหมายในการยื่นของเสนออย่างงามของนายธีรเทพ...บิดาของอดีตศัตรูความรักครั้งมหาวิทยาลัย (นายธราเทพ) และกลายมาเป็นศัตรูหัวใจคนล่าสุดของเขาเมื่อมารับเอาจงรักแฟนเก่าเขาไปเป็นอนุภรรยา

 

ข้อเสนอนั้นต้องการเป็นผู้ผูกขาดการขายยาอมตะนี้ แต่เพียงผู้เดียวในโลกซึ่งนั่นจะสร้างรายได้อันมหาศาลแก่นายธีรเทพ ซึ่งในข้อเสนอดังกล่าวก็ให้ผลประโยชน์แก่ ‘เขา’ เป็นตัวเลขที่สวยงามไม่น้อยหากยินยอมขายสูตรยาอมตะให้แก่นายธีรเทพ ความคิดที่อยากร่ำอยากรวยของเขาคงเป็นจริง ถ้าเขาตัดสินใจรับ ‘ข้อเสนอ’

แต่สิ่งที่เขาตัดสินใจทำก็คือฉีกข้อเสนอนั้นทิ้ง และเผาไปพร้อมกับสูตรยาอมตะ เหลือเพียงเถ้าถ่าน การที่เขาปฏิเสธนายธีรเทพนั้น ไม่ใช่เพราะว่าการเป็นศัตรูความรักกันแต่อย่างใด แต่เหตุผลหลักคือสิ่งที่บิดาของเขาพูดไว้ก่อนตาย...ความสมดุลของธรรมชาติ...

 

เขาเห็นว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของโลก เป็นสิ่งที่สมดุลดี แล้วเหมือนกับหลายๆ สิ่งที่ธรรมชาติสร้างสมดุลในตัวมันเอง การที่ดวงอาทิตย์ดูเจ้าอารมณ์ โหดร้าย และร้อนระอุในบางเวลา หรือการที่ก้อนเมฆมาลดทอนความโหดร้าย แสงแดดกลับดูนุ่มนวลอ่อนโยนเสียปานนั้น นี่แหละคือความสมดุลของธรรมชาติ การที่เขาไม่ร่ำรวย ล้มเหลวในความรักมาหลายครั้งซ้อนๆ ก็สมดุลดีแล้ว มีคนผิดหวังก็มีคนที่สมหวังทุกสิ่งเป็นไปตามครรลอง ตามความสมดุลของธรรมชาติ มิควรที่มนุษย์อันโฉดเขลาจะมาทำลายกฎเกณฑ์แห่งความสมดุล

แสงอาทิตย์ยงคงแผ่รังสีมาสาดส่องผิวกายเขาอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้สรรพสิ่งจะหมุนเวียนไม่หยุดยั้ง แต่ธรรมชาติก็ยังคงความสมดุลของมันอีก...สืบไป...สืบไป

อุทิศแต่ความสมดุลอันลงตัวของธรรมชาติที่สร้างความมีสีสันและจืดจางให้แก่โลกมนุษย์

 

 

post-2581-026692700 1313573578.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดี นิทาน มีไว้อ่าน อ่านเล่นๆ อ่านให้สบายใจ :wub:

 

นิทานโทสะ ตอน หลานปู่กับเด็กข้างบ้าน

« เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2010, 11:10 »

 

“ต้น ข้าว สวัสดีปู่น้อยสิ!”

หา...นี่ผมเป็นปู่ไปแล้วเหรอ?

 

รุ่นพี่ที่เออร์ลี่รีไทร์แวะมาเยี่ยมที่ทำงาน พร้อมกับหลานสาวตัวอ้วน กลมป๊อก แก้มเป็นพวง ยกมือไหว้อย่างเด็กได้รับการอบรมมาดี

 

ผมยอมรับสภาพตัวเองอย่างปลง ๆ ในเมื่อปู่ของเด็กเป็นรุ่นพี่ผม...พ่อแม่หนูนี่ก็เรียกผมว่าอา แล้วจะไม่ให้เจ้าตัวกลมเรียกผมเป็น “ปู่น้อย” ได้ยังไง...เฮ้อ เครียด...

 

แม่หนูต้นข้าวอายุได้ขวบเศษ ๆ ยังพูดไม่ได้ แต่เดินคล่อง ยิ้มเก่ง หน้าแป้นแล้น ไม่มีอาการตื่นกลัวอย่างเด็กแปลกที่ หนำซ้ำยังซุกซนเดินเล่นโน้น เล่นนี่แบบเด็กอยากรู้อยากเห็น จนผู้ใหญ่ต่างเอ็นดู

 

ต้นข้าวนั่งเล่นหน้าคอมพ์ของที่ทำงาน พยายามจะกดปุ่มบนแป้น คุณปู่ก็ร้องเตือนเสียงเอ็นดู

“อย่า เล่นนะลูก เดี๋ยวของเขาเสีย...”

เชื่อเหอะ...ไม่มีเด็กคนไหนยอมทำตามหรอก

 

เจ้าตัวซนนั่งกดแป้นเล่น ตามประสา ผมก็นึกเสียวว่าแกจะทำข้อมูลในเครื่องหาย หาทางเบี่ยงเบนความสนใจ พอดีมีกล้องดิจิตอลในมือ เลยเรียกให้ต้นข้าวหันมาแล้วถ่ายรูป เปิดภาพให้แม่หนูดูรูปตัวเอง

 

ได้ผลเกินคาด เจ้าตัวกลมเห็นรูปตัวเองก็ลงจากเก้าอี้ เดินเข้ามาหากล้องของผม ซึ่งตอนนั้นผมเพิ่งนึกได้ว่ากล้องตัวนี้มันราคาแพงกว่าคอมพิวเตอร์เสียอีก ไม่สมควรให้ถึงมือเด็กด้วยประการทั้งปวง

 

“เอ๊ย...เล่นไม่ได้ กล้องมันแพง” ผมรีบบอก แล้วเอากล้องหลบจากมือเจ้าต้นข้าวทันที

แม่หนูเห็นอย่างนั้นก็หน้าบึ้ง วิ่งไปกอดปู่ แล้วทุบขาปู่ตัวเองดังอั้กอั้ก ระบายอารมณ์ที่ถูกขัดใจ

 

ผมก็เหวอรับประทาน...อะไรกันวะเนี่ย ตะกี้ยังยิ้มเล่นอยู่ดี ๆ แค่ขัดใจนิดเดียว แม่คุณเกิดโทสะไปลงที่ปู่เสียแล้ว

คุณปู่ก็ไม่ถือสา ปลอบหลานสาวอย่างใจเย็น ส่วนผมรีบเอากล้องไปซ่อนไม่ให้เจ้าตัวร้ายเห็น...แค่แป๊บเดียว ต้นข้าวก็หายโกรธ กลับไปหาของเล่นอื่นอย่างกับไม่เคยมีความขัดใจมาก่อน

 

เห็นอย่างนี้แล้วก็แว้บนึก ถึงคำสอนของครูบาอาจารย์

“ให้ดูจิต เหมือนดูเด็กข้างบ้าน ที่เราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียนะ”

 

ดูเฉย ๆ อย่างไม่มีส่วนได้ ส่วนเสีย ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ดัดแปลง ควบคุม ปล่อยให้จิตแสดงธรรมชาติของมัน เหมือนเด็กไร้เดียงสาที่แสดงธรรมชาติของตัวเองโดยไม่เสแสร้ง

 

แม่หนูต้นข้าวโกรธ เมื่อมีเหตุมาขัดใจ พอเจ้ากล้องตัวต้นเหตุหายไป เธอก็ลืมโกรธ ไม่เก็บมันมาโกรธซ้ำ หันไปสนใจของอย่างอื่นมาเล่นแทน

 

จิตของเราก็เหมือนเด็ก มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไม่เคยอยู่นิ่ง มีกิเลสสารพัด แวะเวียนผ่านราวกับมันเป็นแค่ป้ายรถเมล์

 

“โทสะ” ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่จิตเข้าไปรู้...มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามเหตุ ปัจจัย...

 

ดูโทสะ ให้เหมือนดูเด็กข้างบ้าน ไม่ใช่ดูแบบเป็นหลานปู่...

เราดูเด็กข้างบ้านแบบไม่ มีส่วนได้ส่วนเสีย ปล่อยให้เขาทำทุกอย่างตามธรรมชาติตัวเองได้

แต่ถ้าเป็นหลานปู่ของเรา...ก็คงอดไม่ได้ที่อยากจะให้เขาดี ต้องคอยควบคุม บังคับให้เขาอยู่ในกรอบ

ดูโทสะเหมือนเป็นเด็กข้างบ้าน ไม่ใช่หลานรักของปู่

เมื่อโทสะเกิดให้รู้ แค่คอยตามดู

ไม่ต้องไปอยากให้มันหายโกรธ ไม่จำเป็นต้องไปบังคับให้มันหยุดโกรธ

 

รู้อย่างที่มันเป็น...ดูธรรมชาติของมันด้วยใจที่เป็น กลาง

แล้วจะเห็นมันเกิด – ดับเอง โดยที่เราไม่ได้ไปทำอะไรกับมันเลย

มันเกิดเพราะมีเหตุ...หมดเหตุ มันก็ดับ...แค่นั้นเอง

ตามรู้ ตามดูไปเรื่อย ๆ จนเห็นว่าไม่มีความเป็นเราในโทสะเหล่านั้น

“ความ โกรธ” มันไม่น่ากลัวเท่าไหร่...แต่เมื่อไรที่ “เรา โกรธ” นี่สิ...ค่อยน่ากลัวจริง ๆ

 

โดย ชลนิล

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลุงผู้ใจดี

ความเอื้ออารีจากเพื่อนมนุษย์ในยามยาก

By จักรวาล สรรพอาสา

แบ่งปัน

 

 

ในวันเปิดเทอมชั้นมัธยมหนึ่ง ผมต้อง ตื่นแต่เช้าเพื่อรีบไปรับเงิน ณ ที่ทำการไปรษณีย์

ซึ่งอาส่งมาให้เพื่อนำไปซื้อตำราเรียนในวันนั้น แม้จะไปถึงก่อน 8.30 น.

แต่กลับมีคนมาเข้าแถวรออยู่มากพอสมควร

ผมไปรับบัตรคิวเป็นเลขที่ 40 และคิดว่ากว่าจะถึงคิวตัวเองก็คงเลยเวลา 9.30 น. ไปแล้ว

ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียนจะมาเปิดงานสัมมนาในช่วงนั้นด้วย

ลุงคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆกันคงเฝ้าดูความกระวน กระวายใจของผมและได้ยินผมบ่นกับตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ลุงซึ่งได้คิวที่ 10 จึงเอ่ยปากขอแลกคิวกับผมทั้งที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเพื่อให้ผมไปทันเวลา

แม้ขณะนี้ ผมจะอยู่ชั้นมัธยมสามแล้วก็ยังไม่เคยลืมความเอื้ออาทรของลุงในวันนั้นและซาบซึ้งอยู่ตลอดเวลา

ผมคิดว่า คนไทยช่างเป็นคนมีน้ำใจเช่นนี้เสมอ :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น้ำใจในต่างแดน

ตอนฉันกับครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่น เราไปที่นิกโก้เพื่อจะไปดูมรดกโลก

By นภัสสร ไชยมโนวงศ์

 

post-2581-030589300 1313816507.jpg

 

 

ตอนฉันกับครอบครัวไปเที่ยวญี่ปุ่น เราไปที่นิกโก้เพื่อจะไปดูมรดกโลก พอตอนกลางวัน เรามุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารซึ่งน้าของฉันหาเจอในอินเทอร์เน็ตพร้อมกับยืนยันว่าอาหารอร่อย หลังเดินหาอยู่นานก็ต้องยอมแพ้เมื่อหาร้านไม่เจอ ชายวัยกลางคนที่เราถามทางถามกลับมาว่าเราจองไว้หรือไม่

เมื่อรู้ว่าเรายังไม่ได้จอง เขาหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์ร้านแล้วโทรฯไปจองโต๊ะให้ แต่ร้านเต็มแล้ว เขาจึงบอกพวกเราว่า ที่จริง อาหารร้านนั้นไม่ได้อร่อยนักหรอก เพียงแต่ราคาถูกเท่านั้น เราขอให้เขาแนะนำร้านใหม่ให้ แทนที่จะชี้ทาง เขากลับเรียกพวกเราขึ้นรถเขาเพื่อจะขับไปส่ง เนื่องจากครอบครัวฉันมีกันหกคน เขาจึงต้องขับไปส่งถึงสองรอบ

พอถึงหน้าร้านอาหาร เราถามเขาว่า จะให้ตอบแทนอย่างไรดี เขายิ้มแล้วบอก ว่า “แค่มาเที่ยวญี่ปุ่นบ่อยๆก็พอแล้ว”

ปล. อาหารในร้านที่ชายผู้มีน้ำใจพาเราไปอร่อยมาก

ขอบคุณผู้เขียน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณพ่อแฟนบอลโลก

คุณพ่อแฟนบอลโลก

พ่อเป็นคนพูดน้อย จนกระทั่งฉันพบวิธีเข้าถึงโลกอันเงียบขรึมของท่าน

By พริสซิลลา ชิว

 

post-2581-049024700 1313817915.jpg

 

ตลอด 15 ปีที่ฉันเกิดมาเป็นตัวเป็นตน พ่อจะพูดกับฉันและแม่น้อยมาก การพูดกับพ่อช่างลำบากยากเย็น เวลาฉันถามอะไร พ่อมักจะตอบไม่เกินคำสองคำ

ครั้งหนึ่งเมื่ออายุ 12 ขวบ ฉันขอให้พ่อชิมต้มจืดมะกะโรนีซึ่งฉันทำที่โรงเรียน นั่น เป็นอาหารอย่างแรกที่ฉันหัดทำในวิชาคหกรรมและอยากรู้ใจจะขาดว่าพ่อคิดอย่างไร

"เป็นอย่างไรบ้างคะ พ่อ" ฉันถามอย่างกระตือรือร้น

"ไม่เลว"

"แล้วพ่อว่ารสชาติเป็นอย่างไรล่ะคะ" ฉันยังตื๊อขอคำตอบ

"ก็ดี" พ่อบอก แล้วซดน้ำเสียงดัง ฉันหวังไว้ว่าพ่อจะให้คำตอบที่แสดงความชื่นชมกว่านี้ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าพ่อกำลังซดน้ำต้มจืดอยู่แล้ว ดังนั้น พ่อคงต้องชอบแน่ๆ

พ่อชอบอ่านหนังสือพิมพ์และดูการแข่งขันฟุตบอลในโทรทัศน์มากกว่าจะคุยกับครอบครัว แต่อย่าเข้าใจฉันผิด พ่อเป็นพ่อที่ดี ตอนฉันยังไม่ได้เข้าโรงเรียน ฉันกับพ่อเล่นต่อรูปภาพกันอย่างมีความสุขครั้งละนานๆ ต่อมา ทุกครั้งที่ฉันขะมักเขม้นดูหนังสือสอบ พ่อจะซื้ออาหารที่ฉันโปรดปรานมาฝาก นั่นคือก๋วยเตี๋ยวผัดเจ

พ่อแสดงความรักออกมาด้วยการกระทำมากกว่าด้วยคำพูด และฉันก็จะต้องทำตัวให้ชินกับนิสัยไม่ช่างพูดของพ่อ

พอถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2545 ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ตอนนั้นเป็นเวลาเริ่มปิดภาคเรียนเดือนมิถุนายน พ่อหยุดงานสองสามวันเพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่กับฉันและแม่

เช้าวันนั้น ทันทีที่ฉันลงมาข้างล่างเพื่อกินอาหารเช้า ฉันก็เห็นว่าพ่อไม่ได้สงวนถ้อยคำอย่างเคย "แทบจะรอไม่ไหวแล้ว การแข่งฟุตบอลโลก" พ่อละล่ำละลักไม่หยุด "แข่งนัดสำคัญ ต้องดูให้ได้" ฉันรู้ทันทีว่าพ่อตื่นเต้นเรื่องอะไร พ่อเป็นแฟนฟุตบอลตัวยง และการแข่งขันครั้งยิ่งใหญ่ระดับโลกระหว่างชาติต่างๆกำลังจะเริ่มขึ้น

ก่อนหน้านั้น ฉันไม่เคยสนใจฟุตบอล ด้วยเห็นว่าเป็นเกมที่คน 22 คนวิ่งไล่ตามลูกกลมๆ วิ่งกันไปทำไมก็ไม่รู้ แต่ความตื่นเต้นอย่างที่สะกดเอาไว้ไม่อยู่ของพ่อเช้าวันนั้นทำให้ฉันอดรนทนไม่ไหว และตั้งใจจะค้นหาคำตอบให้ได้ว่า เพราะเหตุใดกีฬานี้จึงทำให้พ่อผู้มักสงวนท่าทีอยู่เป็นนิจกลับทำตัวเหมือนกับเด็กห้าขวบเมื่อได้ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์เป็นครั้งแรก

พ่อบอกว่าเราน่าจะไปกินอาหารที่ภัตตาคารเยอรมันเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ใกล้บ้านเราในสิงคโปร์ ร้านนี้จะรับภาพการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างฝรั่งเศสและเซเนกัล ดังนั้น เราจึงได้กินอาหารเย็นนอกบ้านไปพร้อมๆกับดูฟุตบอลโลก ฉันคิดว่า ตามจริงแล้ว พ่อคงแอบหวังว่าจะชวนให้เรามาเป็นแฟนฟุตบอลให้ได้

การแข่งขันเริ่มขึ้นหลังเราเข้าไปในร้านอาหารไม่กี่นาที พ่อยิ้มและออกปากว่า เรามาถึง "ทันเวลาพอดี" พ่อนั่งจ้องตาเขม็งไปที่สนามหญ้าสีเขียวและพวกนักฟุตบอลที่วิ่งวุ่นกันอยู่ในจอโทรทัศน์ ฉันมองไปรอบๆร้านอาหาร รู้สึกเบื่อหน่ายพร้อมกับสงสัยว่าทำไมจึงหลวมตัวปล่อยให้พ่อพามา

ขณะฉันกินไส้กรอกหมูอยู่ก็มีเสียงโห่ร้องดังมาจากโทรทัศน์ ฉันสะดุ้งและเงยหน้าขึ้นมองจอ "ปาปา บูบา ดิอุปเพิ่งทำประตูให้เซเนกัล" พ่อบอก "ฝรั่งเศสจะต้องกลับมา พวกเขาชนะการแข่งขันบอลโลกเมื่อครั้งที่แล้ว พวกเขาคงเอาอยู่"

ฉันจ้องดูจอภาพ "ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงกระโดดอย่างนั้นล่ะคะ"

พ่ออธิบายอย่างอดทน "คนนั้นแหละ ปาปา บูบา ดิอุป ผู้เล่นที่ชอบกระโดดโลดเต้นหลังทำประตูได้ พวกผู้เล่นจะตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะเมื่อทีมฝีมือเป็นรองแบบเซเนกัลยิงประตูทีมระดับแชมเปียนอย่างฝรั่งเศส เอาละ กินต่อสิลูก เดี๋ยวจะเย็นเสียหมด"

ฉันรู้สึกทึ่งมาก พ่ออธิบายทุกอย่างให้ฟังอย่างละเอียด ไม่มีคำตอบห้วนๆอีกแล้ว ฉันรักพ่อคนใหม่นี้จริงๆ

 

ฉันดูการแข่งขันต่อไปอย่างใจจดใจจ่อยิ่งขึ้น ฉันเห็นทีมเซเนกัลต้านทานทีมฝรั่งเศสได้อย่างเหนียวแน่นจนยากจะเชื่อว่าทีมนี้มีฝีมืออยู่ในอันดับรอง เมื่อการแข่งขันจบลงโดยที่เซเนกัลเป็นฝ่ายชนะไป 1-0 พ่อพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดหวัง "ไม่เป็นไร หรอก ฝรั่งเศสจะต้องชนะในการแข่งขันนัดต่อๆไป แล้วได้เข้ารอบ" พ่อยืนยันกับฉัน จากนั้นก็อธิบายกติกาฟุตบอลให้ฟังและช่วยให้ฉันเข้าใจทุกอย่างที่ดูมา แล้วคืนนั้นฉันก็รู้จักศัพท์ต่างๆเพิ่มขึ้น เช่น เตะลูกโทษ กองหลังซ้ายฟาวล์ แจกใบเหลืองใบแดง และล้ำหน้า

ในเมื่อฉันเริ่มเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น การแข่งขันฟุตบอลโลกก็กลับเป็นเรื่องน่าสนใจขึ้น มา พอฉันบอกพ่อว่าจะดูการแข่งขันด้วยอีก พ่อก็ยิ้มและขยิบตาทำหน้าทะเล้นกับฉัน ที่สุด เราก็มีความสนใจตรงกัน

ฉันกับพ่อดูการแข่งขันนัดสำคัญๆส่วนใหญ่ด้วยกัน เช่น รอบก่อนชิงชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ ระหว่างการแข่งขันเหล่านี้ ความเห็นของเราไม่สอดคล้องกันนัก ฉันทำนายว่าบราซิลจะได้แชมป์เพราะผู้เล่นของบราซิลมีไหวพริบและทักษะเหนือกว่ามาก แต่พ่อยืนยันว่าเยอรมนีจะต้องชนะเพราะมีกองหลังที่แข็งแกร่ง และโอลิเวอร์ คานเป็นผู้รักษาประตูระดับโลก

เมื่อบราซิลเป็นฝ่ายชนะ พ่อก็คอตกและยอมรับแต่โดยดี "ลูกได้รับการสั่งสอนเรื่องฟุตบอลมาอย่างดีมากจากบรมครูเชียวนะ" พ่อบอก แล้วเราสองคนก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

นับแต่นั้นมา ฉันกับพ่อก็ดูฟุตบอลด้วยกันตลอด เมื่อดูแล้วก็จะมานั่งวิเคราะห์การเล่นและกลยุทธ์อย่างละเอียด

 

เราสองคนชื่นชอบการแข่งขันพรีเมียร์ลีกของอังกฤษเป็นพิเศษ ครั้งหนึ่ง หลังการแข่งขันระหว่างทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับ ทีมอาร์เซนอลสิ้นสุดลงโดยเสมอกันด้วยแต้ม 0-0 เราก็เถียงกันไม่เลิกว่าทีมไหนเล่นดีกว่ากัน ในที่สุด แม่ต้องเข้ามาขัดจังหวะ "ทั้งแมนยูฯและอาร์เซนอลเล่นยอดเยี่ยมพอๆกัน นั่นแหละ นักฟุตบอลก็เก่งกาจทั้งคู่" แม่บอก "แต่ถ้าพ่อลูกคู่นี้ไม่เลิกเถียงกัน ชาวบ้านก็จะพากันตื่นหมด"

ฟุตบอลช่วยให้ฉันกับพ่อใกล้ชิดกันมากขึ้นอย่างแน่แท้ และช่วยให้เราสานความสัมพันธ์ระหว่างกันที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ใครนะ ที่บอกว่าฟุตบอลเป็นแค่เกมที่คน 22 คนวิ่งไล่ตามลูกกลมๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณๆที่รัก เพื่อนๆ ขอความเห็นหน่อย

 

ช่วยบอกกันหน่อยว่า คิดอย่างไร

 

ชอบ ไม่ชอบ อยากให้มีอะไรในนี้ บอกกันหน่อย :) นะๆ

 

primmark

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขำๆ แบบเพื่อนพูดกับเพื่อนอ่ะ

 

เพื่อน กับ แฟน

อาหาร

 

เพื่อน: ข้าว ราดแกง / ก๋วยเตี๋ยว ราคาไม่เกิน 30แดกไรแพงๆวะ เปลืองชิบ

 

แฟน: กินอะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่ ข้าว - สปาเกตตี้

 

เฟรนฟรายซ์ ซูชิ ฯลฯ สั่ง กันไป… มื้อละร้อยขึ้น

-------------------------- --------------- -----------

 

ข้ามถนน

 

แฟน: ข้ามได้ มั้ย ระวังนะครับ! จับมือผมไว้

 

เพื่อน: ………อ้าว! เหี้ย… รอกูด้วย(แม่งข้าม ไปนานละ)

-------------------------- ------------------------- -

 

เวลาเดิน

 

แฟน: แนบชิดประหนึ่ง ตัวดูดแบบสุญญากาศ

 

เพื่อน: เฮ้ย! ไปไกลๆกูหน่อยดิ ร้อนจะตาย ห่า!!

-------------------------- ------------------------- -

บนรถเมล์

 

แฟน: นั่งก่อนเลย ครับ เดี๋ยวผมยืนเอง

 

เพื่อน: เหยิบหน่อยดิวะ กูจะนั่งด้วย!

--- ----------------------- --------------------------

 

เงิน

 

แฟน: มีเสมอ..จ่ายไม่อั้น

 

เพื่อน: ไม่มีเสมอ... มึงออกไปก่อนละกัน เดี๋ยวกูให้(แร้วแม่งก็ชิ่ง)

------------- ------------- --------------------------

 

มา สาย

 

แฟน: ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้

 

เพื่อน: ทำห่าไรอยู่ วะ มาโคตรช้าเลย สาด

 

...เลี้ยงข้าวกูเลย(เพิ่งจะมาก่อนแม่ง ได้ 5 นาทีเหมือน กัน)

-------------------------- ------------------------- -

 

ช่วยทำธุระ

 

แฟน: ว่าง เสมอ - อ๋อ ว่างครับ จะให้ไปถึงที่นั่นกี่โมงดี

 

จะได้เตรียมตัวล่วงหน้า

 

เพื่อน: ไม่เคยว่าง - ขนของย้ายห้องเหรอวะ

 

.. เออ...ที่จริงก็ได้นะ แต่พอดีแม่ กูให้ช่วยพาไปหาญาติๆ

 

ฝ่ายแม่ว่ะแล้วบ่ายๆ ต้องไปหาของฝ่ายพ่ออีก คงไม่ว่างแล้วละ

------------------------- - --------------------------

 

กลับบ้านดึก

 

แฟน: เดี๋ยวผมนั่งรถไปส่งดีกว่านะ กลับคนเดียว อันตราย

 

เพื่อน: กลับยังไงวะมึง มีค่ารถป่าว แต่กูไม่มีให้ยืมนะ เว้ย

-------------------------- ------------------------- -

ป่วย

 

แฟน: เป็นไรมากมั้ย? กิน ยายังคับ ห่มผ้าด้วยนะ

 

เพื่อน: เป็นห่าไรอีกวะ สำออยอะดิมึง…

 

ออกมาให้ไวเลย แดกเหล้ากัน

-------------------------- -

 

สอนหนังสือ

 

แฟน: ไม่เข้าใจตรงไหนบอกนะ ครับ จะอธิบายให้ใหม่

 

เพื่อน: กูสอนมึง 3 รอบแล้วนะ ห่านี่ แดกหมาแทนข้าวไง วะ

-------------------------- ------------------------- -

 

วาเลนไทน์

 

แฟน: ให้คุณได้ ทุกอย่าง ยกเว้น ดาว เดือน และ ขนหน้าอก

 

เพื่อน: ……………(วันนี้มันไม่มีตัว ตน)

-------------------------- ------------------------- -

 

โดนทิ้ง

 

แฟน: เราไปกันไม่ได้ / อย่า มายุ่งกับเรา / ไปไหนก็ไปรำคาญ

 

เพื่อน: ไม่เป็นไรเว้ย! ช่างแม่ง … มึงยังมีกูอยู่

 

ขอบคุณผู้เขียน

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณๆที่รัก เพื่อนๆ ขอความเห็นหน่อย

 

ช่วยบอกกันหน่อยว่า คิดอย่างไร

 

ชอบ ไม่ชอบ อยากให้มีอะไรในนี้ บอกกันหน่อย :) นะๆ

 

primmark

 

น่าจะยกตำแหน่ง "พระในบ้านไทยโกลด์" ให้เลยนะ

ชอบเข้ามาอ่านครับ และพิมพ์เก็บ รวมทั้งที่โพสในห้องอื่นด้วย

ขอบคุณมากครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

post-2581-013580000 1313839765.jpg

 

รูปภาพประกอบโดย เด็กหญิงลากรถ

 

 

ความคิดแค้น อาฆาตมีผลพวงมาจากโทสะ...

 

เมื่อเราเก็บความโกรธเอาไว้ ปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ ขยันคิดซ้ำ สะสมความโกรธเข้ามาเรื่อย ๆ มันก็เลยกลายเป็นความพยาบาท อาฆาต

 

หากพูดถึงเรื่องความอาฆาตแค้น หลายคนคงหวาดกลัว คิดไปถึงเรื่องการตามล่า ล้างแค้นกันเจ็ดชั่วโคตร ทั้งที่จริงหากเราสังเกตใจตัวเองบ่อย ๆ จะเห็นว่าวัน ๆ หนึ่ง เรามีเรื่องให้ผูกโกรธ อาฆาตกันบ่อย ๆ อยู่เหมือนกัน

 

วันหนึ่งผมเข้าเวรแล้วไม่มีคนอยู่ที่ทำงานเลย พอถึงเวลาใกล้เที่ยงก็ไม่สามารถหาใครมารับฝากเวรเพื่อจะออกไปซื้ออาหารกลางวันได้ ดูท่าวันนี้ผมมีแววอดกินข้าวแน่ ๆ

 

 

กระสับกระส่าย หิวก็หิว ห่วงเวรก็ห่วง กลัวว่าถ้าออกไปกินข้าวแล้วมีคนติดต่องานมาจะไม่มีคนอยู่รับเรื่อง อดทนรออีกครู่ใหญ่ก็ตัดสินใจรีบขับมอเตอร์ไซค์ไปซื้อข้าวราดแกงที่ร้านใกล้ ๆ คิดว่าใช้เวลาไม่นาน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

 

โชคดีที่ร้านยังไม่ค่อยมีลูกค้า ผมจึงบอกแม่ค้าที่คุ้นเคยกันให้ตักข้าวใส่กล่อง พร้อมกับเร่งแก

 

 

“ขอด่วนเลยนะป้า...ตอนนี้เข้าเวร ไม่มีคนอยู่ที่ทำงาน”

ไม่รู้ว่าเกิดอาเพศ หรือแกอารมณ์เสียมาจากไหน จึงขัดหูกับคำพูดของผม

[/size]“ถ้ารีบนักก็ไปกินร้านอื่นเลยไป๊” แกย้อนทันควันอย่างไม่มีแววล้อเล่น

 

ผมฉุนกึก โมโหจัด เดินออกจากร้านทันที โดยไม่แวะสั่งอาหารที่ร้านอื่น มาถึงที่ทำงานก็คิดซ้ำถึงคำพูดป้าขายข้าวแกง ยิ่งคิดยิ่งโกรธ ยิ่งคิดยิ่งโมโห

 

 

คิดดูเราหิวก็หิว รีบก็รีบ ห่วงเวรที่รับผิดชอบก็ห่วง ตั้งใจรีบไปรีบมาโดยใช้เวลาสั้นที่สุด กลับเจอเหตุการณ์แบบนี้...ทำไมป้าแกไม่เข้าใจเลยวะ...

สุดท้าย ผมบอกกับตัวเองทันที...จะไม่เหยียบร้านแกชั่วชีวิต...(ย้ำ...ชั่วชีวิต)

 

สมัยวัยรุ่น (หลายปีเหลือเกิน) ผมชอบฟังเพลง ซื้อเทปสะสมเป็นประจำ ด้วยความที่มีนิสัยง่าย ๆ เซอ ๆ จึงมักแต่งตัวตามสบาย ด้วยเสื้อยืดเก่า ๆ กางเกงขาสั้นแบบปอน ๆ รองเท้าแตะเน่า ๆ ตระเวนไปโน่นมานี่โดยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร

 

 

ผมไปเลือกซื้อเทปที่ร้านแห่งหนึ่ง หาเทปเพลงที่ต้องการได้แล้วก็เอาไปให้คนขาย แล้วบอกว่าช่วยเปิดลองให้หน่อย เผื่อเทปมันจะยืด (เอ่อ...สมัยนั้นต้องลองเทปกันอย่างนี้จริง ๆ) ปรากฏว่าคนขายมองผมหัวจดเท้า (เน้น...มองหัวจดเท้าจริง) แล้วพูดอย่างดูถูกว่า...

 

 

“ถ้าลองแล้วต้องซื้อนะ”

โอ้โห...สีหน้า แววตา น้ำเสียงของเธอประกาศชัดแจ้งเลยว่า...หน้าอย่างแก (ผมเอง) ไม่มีปัญญาซื้อเทปม้วนนี้ได้หรอก

 

ชัดช่า...ดูถูกกันเกินไปแล้วโว้ย

อาการโกรธจนลมออกหูเป็นอย่างไร วันนั้นได้ประจักษ์แก่ตัวเอง ผมตอบอะไรไปสักอย่างก็จำไม่ได้แล้ว (ยัวะจนหูอื้อ หน้ามืด) หันหลัง ออกจากร้าน พร้อมกับประกาศก้องในใจ

...ชาตินี้กูจะไม่เหยียบร้านมึงอีกแล้ว... (ขนาดนั้นเชียว)

 

...นี่แหละ อาฆาต!

 

ทั้งสองเหตุการณ์เป็นความโกรธแค้น อาฆาต พยาบาทที่ไม่ถึงขั้นอยากไปเผาบ้าน ทุบกระจกรถคู่กรณีกันหรอกครับ

 

 

ความแค้นเคือง ประกอบกับอัตตาที่ใหญ่คับอก ทำให้ผมโกรธเกลียดร้านค้าเหล่านั้น จนตั้งใจไม่อุดหนุนพวกเขาอีก (แถมยังแอบแช่งให้มันเจ๊งด้วย)

 

 

ลืมดูตัวเองไปว่า...ตอนที่บอกให้ป้าขายข้าวแกงรีบ ๆ ตักน่ะ คำพูดของเราก็คงทำให้เขาโกรธเหมือนกัน ถึงโดนย้อนเข้าให้อย่างนั้น

 

 

การที่โดนคนขายเทปดูถูกน่ะ... “ลุ๊ค” ของผมมันก็ชวนให้เขาดูถูกจริง ๆ นั่นแหละ แต่งตัวขอทานซะแบบนั้น ใครเขาจะไปคิดล่ะว่าจะมีปัญญาซื้อเทปม้วนละเกือบร้อยได้ (สมัยนั้นดอลล่าร์ละยี่สิบห้าบาทเองนะครับ)

 

 

ผมเก็บความอาฆาต พยาบาทไว้หลายปีทีเดียว ไม่ไปเหยียบสองร้านนั้นตามที่ตั้งใจจริง ๆ แต่ทั้งร้านขายเทป ร้านขายข้าวแกงก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจ๊ง อย่างที่ผมแอบแช่งเลย (น่าแปลกมั้ย?)

 

จนกระทั่งผมได้พบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมกับผมหลายอย่าง และคำพูดหนึ่งของท่าน กระทบใจผมอย่างแรง

 

“เราน่ะ เป็นพวกอัตตาสูง...แต่คนพวกนี้นะ เวลาที่อัตตาเหวี่ยงกลับ มันก็จะลงมาต่ำเร็วเหมือนกัน”

 

เหมือนโดนจี้ให้เห็นข้อบกพร่องใหญ่ของตนเอง...

...อัตตาสูง โทสะแรง...

 

ผมทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา นึกอยากให้ตนเองก้าวหน้าขึ้น และมองเห็นปมใหญ่ที่ค้างคาใจอยู่

...ร้านขายข้าวแกง กับร้านขายเทปนั้น...

 

ถ้าจะฝึกลดอัตตาตัวตน ก็ต้องกล้าฝืนคำอาฆาต ที่ตนปฏิญาณด้วยโทสะ!

 

หลังกลับจากได้พบครูบาอาจารย์ท่านนั้น ผมตัดสินใจเข้าไปนั่งกินข้าวแกงในร้านที่เคยตั้งใจจะไม่ยอมไปเหยียบชั่วชีวิต (เฮ้อ...ยังไม่ถึงสิบปีเลยด้วยซ้ำ)

 

 

และเข้าไปเดินดูซีดี (แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะระยะหลังไม่ค่อยสนใจฟังเพลงแล้ว) ในร้านขายเทปที่เคยพูดจาใส่ผมอย่างดูถูก...

 

เหมือนปมที่มัดใจหลุดออกไปโดยไม่ต้องทำอะไร แค่ละความอาฆาตแค้นออกจากใจ...เกิดความปลอดโปร่ง โล่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...

 

 

นี่เอง...ที่เขาบอกกันว่า...ละความอาฆาต พยาบาทได้ จิตใจย่อมเป็นสุข...

 

 

-----๐๐๐-----

 

ขอบคุณ ผู้เขียน คุญเด็กหญิงลากรถ และเวป Dlitemeg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น่าจะยกตำแหน่ง "พระในบ้านไทยโกลด์" ให้เลยนะ

ชอบเข้ามาอ่านครับ และพิมพ์เก็บ รวมทั้งที่โพสในห้องอื่นด้วย

ขอบคุณมากครับ

 

 

ขอบคุณมากๆ คุณ Foo :)

 

เราเป็นคนธรรมดา ที่มีความเป็นเด็กและผู้ใหญ่อยู่ในตัวเอง บางครั้งยังขำๆว่าตัวเราแปลกมั๊ยเนี่ย

แต่เราก็มีความสุขดี

 

เราคิดว่า ใจและสมองของคนถ้าได้รับข้อมูลที่ดี

ก็คงได้ออกมา = การกระทำที่ดี = ชีวิตน่าจะได้รับผลดี ทั้งตนเองและคนรอบข้าง

จนถึงส่วนที่ใหญ่และสำคัญกว่านั้น .....

 

จนอาจจะละวางจาก สิ่งที่ผูกรัดไว้ เบาสบายได้...

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

116089.jpg

 

คนวัยไหนมีทุกข์มากที่สุด

 

พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต

 

 

 

 

วัยที่มีทุกข์มากที่สุด

คือวัยที่ปล่อยชีวิตไป ตามดวง

ตามโชคชะตา ตามเคราะห์ซ้ำกรรมซัด

ปรับตัวไม่ทันกับสังคมไทย

ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

มัวหลงยึดวัตถุเป็นสรณะ มากกว่าธรรมะ

ไม่เข้าใจว่า วัตถุให้แค่ความสะดวกสบาย

แต่ธรรมะให้ความสุขสงบเย็น

 

 

อยากจะบอกกับทุกๆ วัยว่า

การเกิดก็เป็นทุกข์

ความแก่ก็เป็นทุกข์

ความตายก็เป็นทุกข์

การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก คนที่รัก ก็เป็นทุกข์

เพราะสิ่งเหล่านี้ คือสัจธรรม

ความจริงของชีวิตต้องรู้เท่าทันมัน

...ความทุกข์ที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน...

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทำไมพวกเราจึงรักนัก :wub:

 

เรื่องเล่าอารมณ์ดี... ของในหลวง และพระเทพ

 

มีเรื่องเล่าให้ฟัง เกิดที่จังหวัดตาก

เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ

และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด

ถามความเป็นอยู่ มาถึงแม่ค้าปลา

พระองค์ทรงตรัสถามว่า 'ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ'

แม่ค้าตอบว่า 'ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท

และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ'

เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน

---------------------------------------

 

 

 

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน

เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง

ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล

ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน

เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า

'ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้า..'

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน

ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..

พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า

มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป

ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย

และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว'

เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

-------------------------------------

 

 

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน ไม่เว้นแม้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่

ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน

ครั้งหนึ่งมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน

ว่า 'ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม

ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ'

เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า

'เออ ดี เราชื่อเดียวกัน...'

วันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย

เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

-----------------------------------

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ลูกชายตัวน้อย....."แม่ครับ.บนท้องฟ้ามีนางฟ้าไหมครับแม่.."

แม่จ๋า.....แม่กอดลูกชายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน ขณะนั่งมองท้องฟ้าและดวงดาวด้วยกัน

 

"มีสิจ๊ะลูกจ๋า นางฟ้าแสนสวย ใจดี รักเด็กๆ ที่เป็นเด็กดีจ๊ะลูก"

ลูกชายตัวน้อย..."จริงหรือครับแม่ ลูกอยากเห็นนางฟ้าแสนสวย ใจดีจังเลยครับแม่ เมื่อไหร่นางฟ้าจะมีให้ลูกเห็นซักทีน๊า"

 

แม่จ๋า...นางฟ้าเป็นสัญญลักษณ์แห่งความดี ความงาม หากลูกอยากเห็นนางฟ้า ลูกต้องเป็นเด็กดีนะจ๊ะ ไม่ดื้อ ไม่เกเร และที่สำคัญ ต้องมีจิตใจที่งดงาม ไม่อิจฉาริษยา รู้จักแบ่งปันที่จะให้สิ่งดีๆ กับคนอื่นๆ

รู้จักช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเรา"

ลูกชายตัวน้อย..".แล้วถ้าลูกเป็นเด็กดี นางฟ้าจะมาหาลูกหรือครับ"

แม่จ๋า...."ใช่จ๊ะ..แค่ลูกคิดดี ทำดี มีจิตใจที่งดงาม นางฟ้าก็จะมาหาลูก อยู่กับลูก อยู่ในหัวใจของลูก"

 

"หลับตาลงซิจ๊ะ..แล้วคิดแต่สิ่งดีๆ....หลับตาสิจ๊ะ"

ลูกชายตัวน้อย...."ครับแม่ ลูกจะหลับตาและคิดแต่สิ่งดีๆ"

แม่จ๋า...."เป็นไงจ๊ะลูกจ๋า ลูกคิดอะไร..รู้สึกอย่างไร ..เห็นอะไรบ้าง"

ลูกชายตัวน้อย.."ลูกกำลังคิดว่าเพื่อนลูกมาแกล้งลูก..ทำร้ายลูก แต่ลูกไม่โกรธเขาหรอกครับแม่ ลูกอภัยให้เขา กับสิ่งที่เขาทำกับลูก"

 

แม่จ๋า..."เมื่อลูกคิดได้อย่างนั้น ไหนบอกแม่ซิจ๊ะ ว่าลูกรู้สึกอย่างไร"

ลูกชายตัวน้อย..."ลูกรู้สึกสบายใจที่ไม่โกรธเพื่อนคนนั้นครับแม่"

แม่จ๋า..."อืมห์ ถูกต้องที่สุดแล้วลูกจ๋า ที่ลูกคิดอย่างนั้น เราต้องรู้จักให้อภัย จิตใจของเราก็จะสงบ มีแต่ความสบายใจ. เสมือนมีนางฟ้ามาอยู่ใกล้ๆ ลูก มาอยู่ในหัวใจของลูก เพราะนางฟ้าคือ ความงาม นั่นเอง"

 

อภัยให้เขาเถิดลูกจ๋า ...กับคนที่ทำร้ายเรา แม้ว่าเขาจะทำร้ายเราให้เจ็บปวดแค่ไหน อิจฉา ริษยาเราอย่างไร กลั่นแกล้งเราอย่างไร แม่ว่าเขาคนนั้นไม่มีความสุขหรอกลูกจ๋า จิตใจเขาจะไม่สงบ จะร้อนรน .เหมือนมีเปลวไฟร้อนรุ่มอยู่ในจิตใจ....นอนเถอะจ๊ะลูกจ๋า ..ดึกมากแล้ว..หลับตาสิจ๊ะคนดี... เดี๋ยวนางฟ้าแสนสวยจะมาอยู่กับลูก มากล่อมลูกให้นอนหลับฝันดี...หลับนะคนดีของแม่...แม่รักลูกจ๊ะ"

 

post-2581-074638400 1313888512.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Moral Quotient

14 สิงหาคม 2554 เวลา 08:38 น. |เปิดอ่าน 216 | ความคิดเห็น 0

 

ทุกข์คืออะไร

 

โดย..คุณสลิต

เรื่องของทุกข์นั้นเป็นสิ่งสำคัญในพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนควรทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าแท้จริงแล้วทุกข์คืออะไร? หรืออะไรคือทุกข์? ในสัมโมหวิโนทนี อรรถกถาพระวิภังค์ ได้อธิบายถึงทุกข์ว่ามีประการต่างๆ คือ

 

ทุกขทุกข์ ทุกข์เพราะทนได้ยาก หมายถึง ทุกขเวทนา คือ ความรู้สึกทุกข์ ทั้งที่เป็นไปทางกายและทางใจ

 

วิปริณามทุกข์ – ทุกข์เพราะเปลี่ยนแปลง หมายถึง สุขเวทนา คือ ความรู้สึกสุขทั้งทางกายและทางใจ สุขเวทนา เรียกว่า วิปริณามทุกข์ เพราะเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์โดยการเปลี่ยนแปลง

สังขารทุกข์ – ทุกข์ของสังขาร หมายถึง อุเบกขาเวทนา คือ ความรู้สึกเฉยๆ และสังขารทั้งหลายที่เหลือที่เป็นไปในภูมิ 3 ทั้งกามภูมิ รูปพรหมภูมิ และอรูปพรหมภูมิ ทั้งหลาย ชื่อว่า สังขารทุกข์ เพราะถูกความเกิดและดับบีบคั้น คือ เมื่อมีการเกิดแล้วก็ต้องดับ จึงยังเป็นสังขารทุกข์ แม้จะไม่ใช่ความรู้สึกสุข (วิปริณามทุกข์) หรือความรู้สึกทุกข์ (ทุกขทุกข์) โดยตรงก็ตาม

ปฏิจฉันนทุกข์ – ทุกข์ปกปิด หมายถึง ความป่วยไข้ทางกาย (เช่น ปวดหัว ปวดฟัน) และใจ (เช่น ความเร่าร้อนเพราะความโกรธ หรือเพราะราคะ) เพราะต้องถามจึงจะรู้ ไม่ปรากฏให้เห็นโดยเปิดเผย

 

อัปปฏิจฉันนทุกข์ – ทุกข์เปิดเผย หมายถึง ทุกข์ที่เห็นได้ คือ ปรากฏไม่ปกปิด ไม่ต้องถามก็รู้ได้ เช่น คนที่กำลังถูกทุบตีทำร้าย หรือความป่วยไข้ที่แสดงอาการให้เห็นชัดเจน ความโกรธที่แสดงออกทางกาย วาจา

ปริยายทุกข์ – ทุกข์โดยอ้อม หมายถึง ทุกข์ทั้งหมด ได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ เว้นแต่ทุกขทุกข์ที่เหลือทั้งหมด ชื่อว่า ปริยายทุกข์ เพราะเป็นที่อาศัยเกิดแห่งทุกข์

 

นิปปริยายทุกข์ – ทุกข์โดยตรง หมายถึง ทุกขทุกข์ คือ ทุกขเวทนา คือความรู้สึกทุกข์กายและทุกข์ใจนั้นเอง

 

ทุกขอริยสัจ นั้น ประกอบด้วย ปริยายทุกข์ และนิปปริยายทุกข์นั่นเอง ดังนั้น ชาติ ชรา มรณะ ความโศกเศร้า (โสกะ) ความร้องไห้คร่ำครวญ (ปริเทวะ) ความไม่สบายกาย (ทุกข์) ความไม่สบายใจ (โทมนัส) ความขุ่นแค้น (อุปายาส) ความประสบกับสิ่งหรือบุคคลที่ไม่เป็นที่รัก (อัปปิเยหิสัปโยโค) ความไม่ประสบกับสิ่งหรือบุคคลที่เป็นที่รัก (ปิเยหิวิปปโยโค) ความไม่สมปรารถนา (ยัมปิจฉังนลภตัมปิ) ล้วนนับเป็นทุกขอริยสัจทั้งสิ้น เพราะจะเข้าอยู่ใน ปริยายทุกข์ คือ ทุกข์โดยอ้อม กับนิปปริยายทุกข์ คือ ทุกข์โดยตรง

จะเห็นได้ว่าพระอริยเจ้านั้นท่านมีปัญญาลึกซึ้ง จึงสามารถเห็นความจริงที่เป็นทุกข์ ได้ทั้งทุกข์ที่เราทราบทั่วๆ ไป เพราะประสบแล้วไม่เป็นที่พอใจ กับทั้งทุกข์ที่เป็นไปโดยอ้อม ซึ่งปุถุชนไม่เห็นเป็นทุกข์ เช่น การเกิด เป็นต้น ทั้งๆ ที่ความจริงการเกิดขึ้นเป็นทุกข์โดยสภาวะ เพราะเมื่อเกิดแล้วก็ต้องดับ ความเปลี่ยนแปลงไปนั้นเป็นทุกข์ แม้ความสุขก็เป็นทุกข์โดยสภาวะ ทุกข์ไม่ได้สำคัญที่ความรู้สึก เพราะถ้ามาดูคำแปลของทุกข์แล้ว โดยศัพท์ พระอรรกถานี้แสดงไว้ว่า

 

ทุกขํ แยกได้เป็น ทุ กับ ขํ โดย ทุ หมายถึง ความน่าเกลียด (เพราะเป็นที่ตั้งแห่งอุปัทวะไม่ใช่น้อย) ส่วน ขํ หมายถึง ความว่างเปล่า (เพราะเว้นจากความยั่งยืน ความงาม ความสุข และความเป็นอัตตา ที่พาลชนเข้าใจผิด คิดกัน)

ดังนั้น ชื่อว่า ทุกข์ เพราะเป็นของน่าเกลียดและเป็นของว่าง แต่ด้วยความที่ไม่พิจารณาด้วยปัญญา ปุถุชนอย่างเราท่านทั้งหลายก็ไม่ได้มองลึกซึ้งเช่นนี้ คงคิดแต่ว่าทุกข์มีเพียงความรู้สึกทุกข์กาย ทุกข์ใจเท่านั้น สิ่งอื่นนั้นไม่ใช่ทุกข์ เพราะเราไม่คิดถึงความเป็นเหตุเป็นผล ว่าเมื่อสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถตั้งอยู่ได้ตลอดไป แม้ความสุขเมื่อเกิดแล้วก็ไม่ยั่งยืน จึงเป็นที่ตั้งแห่งอุปัทวะเช่นกัน และเป็นธรรมชาติที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรไปยึดว่าเป็นเราของเรา ล้วนถูกปรุงแต่ง เมื่อกิเลสตัณหาเข้าไปยึดก็กลายเป็นความมีตัวตน มีอัตตา ทั้งที่จริงโดยสัจจะของพระอริยะแล้ว อุปาทานขันธ์ 5 นั้นเป็นทุกข์ คือ ทั้งรูปและนามที่ตัณหาอันมีกำลังเข้าไปยึดนั้นเป็นทุกขสัจ

เมื่อยังไม่เห็นความจริงเหล่านี้ เราจึงแสวงหาแต่สิ่งที่เราคิดว่าจะทำให้พ้นทุกข์ ดับทุกข์ได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน เงินทอง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญทั้งหลาย เรามุ่งหวังแต่จะดับเพียงทุกขเวทนา คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และเพื่อสนองความปรารถนา ซึ่งก็เป็นไปด้วยความโลภ ความไม่รู้จริง เมื่อไม่ได้ก็โกรธ

 

ดังนี้ เราจึงยังไปไม่พ้นทุกข์เสียที แม้บางครั้งจะได้ประสบกับสิ่งที่พอใจ รู้สึกมีความสุข เราก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงวิปริณามทุกข์เท่านั้น ไปยึดมั่นไว้เพราะไม่รู้ว่าแม้ความสุขก็เป็นทุกขสัจเช่นกัน ต้องเปลี่ยนแปรไป บางคนยึดโลกหน้า ทำความดีเพื่อไปเกิดในสวรรค์ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์อีก ... เพราะยังอยู่ในสังขารทุกข์ ... พระพุทธเจ้าให้กำหนดรู้ทุกข์ คือ ทุกขสัจ หากเข้าใจว่าอะไรเป็นทุกข์ แม้ยังดับทุกข์ไม่ได้ ก็นับว่าเริ่มมาถูกทาง ...

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...