ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

เยอรมนีเตือนประชาชนหยุดใช้ Internet Explorer ชั่วคราว

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กันยายน 2555 17:15 น.

blank.gif 555000012174302.JPEG

 

บรรยากาศเปิดตัวเบราว์เซอร์ IE9 รุ่นทดสอบ ล่าสุดเยอรมนีประกาศเตือนประชาชนหยุดใช้ IE ชั่วคราวเนื่องจากพบรูรั่วในโปรแกรม

blank.gif

รัฐบาลเยอรมนีประกาศเตือนประชาชนเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ให้ประชาชนหยุดใช้เว็บเบราว์เซอร์หรือโปรแกรมเปิดเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ (Microsoft) อย่างไออีหรือ Internet Explorer ชั่วคราว การประกาศเตือนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการประกาศพบข้อผิดพลาดซึ่งอาจทำให้คอมพิวเตอร์พีซีถูกลักลอบเจาะระบบได้ และข้อผิดพลาดดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไข

 

การประกาศเตือนให้ประชาชนระมัดระวังการใช้โปรแกรมเบราว์เซอร์หลักของโลกอย่างไออีของรัฐบาลเยอรมนีนั้นเป็นไปตามคำประกาศของนักวิจัยด้านความปลอดภัยรายหนึ่ง ซึ่งพบว่ามีนักเจาะระบบหลายรายกำลังเตรียมการโจมตีผู้ใช้โปรแกรมของไมโครซอฟท์ผ่านช่องโหว่ที่เพิ่งค้นพบ โดยไมโครซอฟท์ได้ออกแถลงการณ์ยอมรับตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาว่าทั้งหมดเป็นความจริง

 

โปรแกรม Internet Explorer นั้นถูกใช้เป็นเครื่องมือเปิดเว็บไซต์ในคอมพิวเตอร์หลายร้อยล้านเครื่องทั่วโลก รูรั่วนี้ทำให้ผู้ใช้ไออีมีโอกาสถูกโจมตีเมื่อเข้าสู่เว็บไซต์ที่มีชุดคำสั่งร้ายแฝงอยู่ ซึ่งข้อผิดพลาดในโปรแกรมไออีนี้เองที่ทำให้ชุดคำสั่งร้ายสามารถทำงานได้ และเปิดทางให้นักเจาะระบบสามารถควบคุมเครื่องของเหยื่อได้โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว

 

สำนักงานความปลอดภัยสารสนเทศแห่งชาติเยอรมนีหรือ Federal Office for Information Security (BSI) ระบุว่าได้พบเบาะแสแผนการโจมตีผ่านช่องโหว่ดังกล่าว ซึ่งมีโอกาสสูงที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจะถูกล่อลวงให้เข้าสู่เว็บไซต์ที่นักเจาะระบบฝังชุดคำสั่งประสงค์ร้ายไว้ จากการตรวจสอบพบว่าการแพร่หลายของชุดคำสั่งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและน่าเป็นห่วง

 

 

 

blank.gif

 

 

 

 

555000012174303.JPEG

blank.gif

ดังนั้น BSI จึงแนะนำให้ผู้ใช้ Internet Explorer ใช้งานโปรแกรมเบราว์เซอร์แบรนด์อื่น

 

จนกว่าไมโครซอฟท์จะสามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งขณะนี้ ไมโครซอฟท์ออกแถลงการณ์ชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้กล่าวถึงคำเตือนของรัฐบาลเยอรมนี ระบุเพียงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อผู้ใช้ในวงกว้าง

 

อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ยืนยันเพียงว่าจะออกซอฟต์แวร์เพื่อปกป้องผู้ใช้พีซีจากภัยโจมตีในช่วง 2-3 วันนี้ โดยผู้ใช้จะต้องติดตั้งโปรแกรมด้วยตัวเองผ่านการคลิกลิงก์ดาวน์โหลดโปรแกรมที่เว็บไซต์ไมโครซอฟท์ แต่ไม่ระบุว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าใดในการออกชุดอัปเดท Internet Explorer ที่แก้ปัญหาเรียบร้อยแบบหมดจด

 

ช่องโหว่ใน Internet Explorer นั้นถูกประกาศสู่สาธารณชนตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา โดยไมโครซอฟท์แนะนำให้ผู้ใช้เปิดคุณสมบัติ Enhanced Security Configuration ซึ่งจะช่วยปิดกั้นการทำงานของโปรแกรมประเภท ActiveX ที่ระบบไม่รู้จัก โดยผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 8 และ Internet Explorer 10 นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่นี้

 

Internet Explorer นั้นถือเป็นโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดอันดับ 2 ของโลกจากการจัดอันดับในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีส่วนแบ่งการตลาดราว 33% (ข้อมูลจาก StatCounter) ขณะที่ Chrome เบราว์เซอร์ซึ่งกูเกิลพัฒนาขึ้นนั้นครองแชมป์อันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 34%

 

Company Related Link :

Microsoft

 

post-2581-0-02175000-1348057208.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

กาแฟของ…ในหลวง

SC08699.jpg

 

โดย คุณปิ่นอนงค์ ปานชื่น

มนุษย์เรารู้จักต้นกาแฟมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 แต่กว่าจะมาเริ่มต้นดื่มกาแฟกันก็ต้องใช้เวลาอีก 300 ปีต่อมา หนังสือแทบทุกเล่มเล่าเรื่องตรงกันว่า คาลดี เด็กเลี้ยงแพะชาวอาระเบีย ดินแดนที่เป็นประเทศเอธิโอเปียในปัจจุบันเป็นคนสังเกตเห็นว่าแพะที่ตัวเองเลี้ยงไว้ไม่ยอมหลับ ยอมนอนสักที หลังจากไปกินเมล็ดและใบของต้นกาแฟ

หลังจากไปเล่าให้พระฮะยี โอเมอร์ ฟังท่านเลยลองนำเมล็ดกาแฟมาคั่วแล้วต้มดื่ม มนุษย์เราก็ได้รู้จักกับการลิ้มรสชาติอันล้ำลึกของกาแฟที่ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่าตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

600 ปีต่อมาไวเหมือนโกหกกาแฟก็กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของชาวอาหรับไปแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ แพร่หลายไปยังอิตาลี เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ…ก่อนจะเดินทางต่อไปรอบโลก แต่กว่าจะมาถึงเมืองไทยต้องรอถึง พ.ศ. 2447 เมื่อนายดีหมุน ชาวสวนบ้านโตนด อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา เดินทางกลับมาจากการแสวงบุญที่เมกกะ พร้อมกับเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้า…และแล้วสวนกาแฟพันธุ์โรบัสต้าในบ้านเราก็เริ่มต้นจากวันนั้น….

teentok.jpg

อาราบิก้าสายพันธุ์แรกในเมืองไทย

ในโลกนี้มีกาแฟมากกว่า 6,000 พันธุ์ แต่คนส่วนใหญ่กลับนิยมดื่มกาแฟจากกาแฟเพียง 2พันธุ์ นั่นก็คือ อาราบิก้า (Arabica) และ โรบัสต้า (Robusta) อาราบิก้าเป็นกาแฟที่มีรสชาติดี จึงเป็นที่นิยมมากว่าโรบัสต้าที่มีปริมาณของกาเฟอีนสูงกว่า ทั้งยังมีรสชาติที่ขมและเปรี้ยวกว่า หากโรบัสต้ามีข้อดีตรงที่สามารถปลูกในพื้นที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้

กาแฟพันธุ์อาราบิก้า เดินทางเข้ามาถึงบ้านเราช้ากว่าโรบัสต้าร่วม 50 ปี พระสารศาสตร์พลขันธ์ หรือ นายเจรินี ชาวอิตาลี จดบันทึกไว้ว่าคนไทยเริ่มปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้าเมื่อ พ.ศ.2493โดยเมล็ดพันธุ์ยุคแรกๆ นั้นมาจากประเทศปาปัวนิวกินี ครั้นเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2517 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินตรวจเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านมูเซอส้มป่อย อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

ทรงมีรับสั่งว่าพื้นที่บริเวณนี้น่าจะเหมาะสมในการปลูกกาแฟ หากมีการแนะนำส่งเสริมและสอนให้ชาวเขารู้จักวิธีจัดการที่ดีแล้ว จะกลายเป็นแหล่งปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้าที่แตกต่างไปจากภาคใต้

ด้วยเหตุนี้โครงการหลวงกับกรมวิชาการเกษตร จึงได้เริ่มศึกษาวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์บัลติมอร์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยให้ชาวไทยภูเขาเริ่มทดลองปลูกบนพื้นที่สูงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 ปรากฏว่าได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจจึงได้ส่งเสริมให้ชาวไทยภูเขาปลูกกันมากขึ้น

กาแฟของในหลวง

ใครจะรู้บ้างว่ากาแฟโครงการหลวงที่ให้ผลผลิตในรูปเมล็ดกาแฟดิบปีละ 250 – 300 ตันในวันนี้ จะเริ่มต้นมาจากต้นกาแฟเพียง 2 – 3 ต้น

cimg1968-copy.jpg

หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เล่าเรื่องโครงการหลวงมีความตอนหนึ่งว่า “เมื่อทรงตั้งโครงการหลวงแล้วไม่นาน เวลาเสด็จประพาสต้นบนดอยก็ประกอบด้วยการปีนป่ายเขามาก ในเรื่องนี้ผมถูกพวกในวังที่ต้องเดินตามเสด็จฯ นินทามากมายว่านำเสด็จฯ ด้วยพระบาทไปเป็นชั่วโมงๆ เพื่อให้ทอดพระเนตรต้นกาแฟเพียง 2 – 3 ต้น ซึ่งก็จริงอยู่ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งเองว่า การที่เสด็จฯ ไปนั้นทำให้ชาวเขาเห็นว่ากาแฟนั้นสำคัญจึงสนใจที่จะปลูก บัดนี้กาแฟบนดอยมีมากมาย และก็เริ่มต้นจาก 2 – 3 ต้นนั่นเอง”

กาแฟ 2 – 3 ต้นที่ว่านั้น มีเรื่องราวย้อนกลับไปในปีพ.ศ. 2517 ลุงพะโย ตาโร อดีตผู้ใหญ่บ้านหนองล่ม สถานีวิจัยโครงการหลวงอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ เล่าว่าตอนนั้นเขายังเป็นคนหนุ่มที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านมึกะคี จึงได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่บ้านให้คอยรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้ลุงพะโยมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวงอย่างใกล้ชิด

ลุงพะโยกล่าวว่า เมื่อมีรับสั่งถามถึงต้นกาแฟ จึงได้นำทางไปทอดพระเนตร ทรงมีรับสั่งสอนให้มีการใส่ปุ๋ย และนำหญ้ามาใส่โคนต้น เมื่อลุงพะโยนำเมล็ดกาแฟถวาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าเมล็ดกาแฟมีความสมบูรณ์ดี และปลูกในพื้นที่ได้จึงมีรับสั่งให้ส่งเสริมการปลูกกาแฟโดยใช้เมล็ดที่นายพะโยนำมาถวาย กลับคืนให้ชาวบ้านนำไปปลูกต่อ ต่อมาโครงการหลวงจึงได้เข้ามาส่งเสริมการปลูกกาแฟ และนำวิธีการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม

ทุกวันนี้สวนกาแฟของลุงพะโยกลายเป็นสวนตัวอย่าง นอกจากมีกาแฟเต็มสวนแล้ว ยังมีข้าวเต็มยุ้ง ถนนหนทางสะดวก มีไฟฟ้าใช้ สิ่งที่หายไปคือไร่ฝิ่น ที่เป็นเช่นนี้ลุงพะโยให้เหตุผลว่า “เป็นเพราะลุงปลูกกาแฟของในหลวง แล้วส่งขายให้กับโครงการหลวง”

นายจะหมอ ขอบด้ง ชาวเขาเผ่ามูเซอหมู่บ้านขอบด้ง สถานีวิจัยเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เล่าเสริมไว้ใน “เล่าเรื่องโครงการหลวง” โดย หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ความว่า

“พระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาตอนนั้นพวกเราปลูกฝิ่นอยู่ พระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปที่ไร่ฝิ่น ถ่ายรูปแล้วบอกให้พวกเราเลิกปลูกฝิ่น หลังจากนั้นหม่อมเจ้า (ภีศเดช รัชนี) ก็ให้ปลูกท้อ บ๊วย สาลี่ กาแฟ”

DSC08723.jpg

วันนี้กาแฟของในหลวงที่ทรงพระราชทานกลับให้เกษตรกรในหมู่บ้านหนองล่ม ไม่ได้เป็นเพียงต้นกาแฟที่สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเท่านั้น แต่ยังเป็นต้นกำเนิดของกาแฟอาราบิก้าโครงการหลวง และ อาราบิก้าในประเทศไทยอีกนับพัน หมื่น แสนต้นในวันนี้

ปัจจุบันโครงการหลวงผลิตกาแฟ โดยการรับซื้อกาแฟอาราบิก้าจากเกษตรกรในพื้นที่ส่งเสริมของมูลนิธิโครงการหลวง 20 แห่ง ได้แก่ อินทนนท์ อ่างขาง ป่าเมี่ยง ตีนตก ห้วยโป่ง ม่อนเงาะ ห้วยน้ำขุ่น เป็นต้น โดยรับซื้อจากเกษตรกรรายย่อยกว่า 2,000 ราย ในรูปแบบกาแฟกะลา (กาแฟที่ปอกเปลือกสีแดงออกเหลือแต่เมล็ดและเปลือกหุ้มเมล็ด) ปีละ 250 – 300 ตัน โดยจำหน่ายในรูปกาแฟเมล็ด (กาแฟดิบ) ให้แก่อุตสาหกรรมแปรรูปกาแฟ และ จำหน่ายในรูปกาแฟคั่วภายใต้ชื่อ กาแฟดอยคำ

เรื่องกาแฟของในหลวง ก่อนนี้เราคงไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นจากกาแฟเพียง 2 – 3ต้น ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธที่ทำให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นได้อย่างแยบยล จนกลายมาเป็นกาแฟดอยคำที่ให้รสชาติชวนลุ่มหลงและกลิ่นหอมกรุ่นที่ดื่มแล้วรู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกินที่ได้เกิดในแผ่นดินใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร.

teentok02.jpg

ทรงพระเจริญ

สำนักข่าวเจ้าพระยา……………………………………………………………………………………………………….

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน

วันที่ 20 กันยายน 2555 00:09

 

วายแอลจีมองแนวโน้มทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้น

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

news_img_470731_1.jpg

 

 

วายแอลจีมองแนวโน้มราคาทองอยู่ในช่วง "ขาขึ้น" คาดวันนี้แนวรับ 1,762 หรือ 1,754 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แนวต้าน 1,783 หรือ 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์

บริษัท

วายแอลจี

บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด รายงานถึงแนวโน้ม

ราคาทอง

ในวันนี้ (20 ก.ย.) โดยระบุว่า แบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ (BofA Merrill Lynch) คาดเป้าหมาย

ราคาทอง

คำระยะ 6 เดือนไว้ที่ 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และคาดว่า

ราคาทอง

คำจะแตะระดับ 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ภายในสิ้นปี 2557 อันเป็นผลจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบใหม่ หรือ QE3 ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

 

นอกจากนี้ ยังระบุว่า

ราคาทองคำไม่มีแนวโน้มจะร่วงลงต่ำกว่าระดับ 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงทศวรรษหน้า โดยมีแรงหนุนจากกลุ่มผู้ซื้อในตลาดเกิดใหม่ สร้างมุมมองเชิงบวกให้กับตลาดทองคำ

 

ขณะที่ความวิตกกังวลที่ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งวิกฤตหนี้ยุโรปที่ยังคงยืดเยื้อ จะส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลง ยังคงฉุดการขยายตัวอุปสงค์ในตลาดทองคำให้หดตัวลง ประกอบกับ

ราคาทองคำยังได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่อ่อนตัวลง จากกระแสข่าวที่ ซาอุดิอาระเบียวางแผนที่จะปรับเพิ่มการผลิตน้ำมันให้อยู่ในระดับสูงสุด เพื่อหนุนอุปทานพลังงานโลกให้ปรับตัวสูงขึ้น

 

นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยืนยันว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐยังคงหารือกันเกี่ยวกับการระบายน้ำมันดิบออกจากคลังยุทธภัณฑ์สำรอง(SPR) เมื่ออุปทานตึงตัวส่งผลให้ในระยะสั้นเมื่อ

ราคาทองคำขยับตัวขึ้นก็ยังคงมีแรงขายทำกำไรออกมา

 

เบื้องต้น

วายแอลจีประเมินว่า ต้องรอดูการเคลื่อนไหวของราคาทองคำว่าจะสามารถยืนในบริเวณ 1,783 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่งหรือไม่ หากสามารถยืนได้ประเมินว่าราคาทองคำจะขยับขึ้นชนแนวต้านในโซน 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ในขณะที่หาก

ราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือแนวรับ 1,762 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง นักลงทุนต้องระมัดระวังการอ่อนตัวของราคาทองคำ

 

กลยุทธ์การลงทุน

ราคาทองคำพยายามสร้างรูปแบบการเคลื่อนไหวลักษณะ Sideway Up โดยนักลงทุนสามารถซื้อและขายทำกำไรในกรอบราคา สำหรับนักลงทุนที่มีทองคำในมือ แนะนำให้ทำกำไรหากราคาดีดตัวขึ้น และไม่ผ่านแนวต้าน 1,783 หรือ 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

โดยหากราคามีการย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ 1,762 หรือ 1,754 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยรักษาระดับไว้ได้ก็เป็นจุดที่เข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้นจากการดีดตัวของราคา ซึ่ง

วายแอลจี มีมุมมองว่าราคาทองคำยังอยู่ในช่วงปรับฐานของราคา แนะนำให้นักลงทุนเล่นในกรอบและให้รอจังหวะเปิดสถานะซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ และขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปบริเวณแนวต้าน

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

 

วันที่ 20 กันยายน 2555 07:39

 

คาดราคาทองแตะ 2,400 ดอลล์/ออนซ์ปี'57

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

news_img_470759_1.jpg

 

เมอร์ริล ลินช์คาดทองแตะ 2,400 ดอลล์/ออนซ์ภายในปี 2557

นักวิเคราะห์ของแบงก์ ออฟ อเมริกา เมอร์ริล ลินช์ คาดว่าราคาทองจะแตะระดับ 2,400 ดอลลาร์/ออนซ์ภายในสิ้นปี 2557 ผลพวงจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบใหม่ หรือ QE3 ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งการคาดการณ์ราคาทอง ที่ระดับนี้สะท้อนมุมมองของแบงก์ออฟอเมริกา ที่ว่าเฟดจะยังคงใช้มาตรการ QE3 ไปจนถึงสิ้นปี 2557

ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (fed funds rate) ที่ระดับ 0 - 0.25 % พร้อมขยายระยะเวลาการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษออกไปจนถึงกลางปี 2558 จากเดิมที่กำหนดไว้ถึงช่วงกลางปี 2557 นอกจากนี้ เฟดยังได้ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน

นักวิเคราห์กล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงมาตรการ QE3 ครั้งล่าสุด ที่เป็นแบบเปิดกว้าง ราคาทองน่าจะยังคงได้รับแรงหนุนให้ปรับตัวในช่วงขาขึ้น จนกว่าตลาดแรงงานของสหรัฐจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายได้ ซึ่งภาวการณ์ดังกล่าวไม่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจนกว่าจะถึงสิ้นปี 2557

นอกจากนี้ แบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริลล์ ลินช์ ยังคงเป้าหมายราคาทองระยะ 6 เดือนไว้ที่ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ พร้อมระบุว่าราคาทองไม่ม่แนวโน้มจะร่วงลงต่ำกว่าฟลอร์ที่ 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วงทศวรรษหน้า โดยมีแรงหนุนจากกลุ่มผู้ซื้อในตลาดเกิดใหม่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

วันที่ 20 กันยายน 2555 07:29

 

มูดี้ส์ชี้มีโอกาส15%สหรัฐเจอ fiscal cliff

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

news_img_470757_1.jpg

 

 

มูดี้ส์ชี้มีโอกาส 15% สหรัฐเผชิญหน้าภาวะหน้าผาทางการคลัง

 

มูดี้ส์ อะนาลิติกส์ ระบุว่า มีความเป็นไปได้ 15% ที่สหรัฐจะเผชิญภาวะหน้าผาทางการคลัง หรือ fiscal cliff พร้อมกับเตือนว่า สถาบันการเงินต่างๆต้องดำเนินในเชิงรุกเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในบรรยากาศที่ยังคงมีความไม่แน่นอน

 

Fiscal cliff หมายถึง ภาวะที่มาตรการด้านนโยบายหลายประการของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือในช่วงรอยต่อระหว่างสิ้นปี 2555 และต้นปี 2556 โดยมาตรการที่สำคัญซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอเมริกันโดยตรงนั่นก็คือมาตรการปรับลดภาษีและการปรับลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล

 

มาตรการปรับลดภาษีที่ว่าคือ มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ขนานใหญ่ ที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชได้นำมาใช้ในปี 2544 และ 2546 ที่กำลังจะสิ้นอายุลงในสิ้นปี 2555 ขณะที่กระบวนการปรับลดงบประมาณที่เป็นไปโดยอัตโนมัติจะเริ่มมีผลในวันที่ 2 มกราคม 2556

 

มูดี้ส์ คาดว่า ในกรณีที่เกิด fiscal cliff ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จะร่วงลงต่ำกว่าสถานการณ์ที่มีการขยายระยะเวลานโยบายในปัจจุบันออกไปในปี 2556 อยู่ 2.8% ขณะที่จะเกิดภาวะถดถอยครั้งใหม่ และอัตราว่างงานจะพุ่งแตะ 9.2% ภายในสิ้นปี

 

นายมาร์ค แซนดี หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมูดี้ส์ อะนาลิติกส์ ให้ความเห็นว่า สถานการณ์ fiscal cliff ในสหรัฐ อิงกับการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจล่าสุดของทางบริษัท เพื่อที่จะช่วยให้สถาบันการเงินต่างๆสามารถบริหารจัดการพอร์ทโฟลิโอได้ดีขึ้น ท่ามกลางภาวะทางเศรษฐกิจที่กำลังเปลี่ยนแปลง

 

นอกจากนี้ มูดี้ส์ ยังคาดว่า มีโอกาส 30% ที่เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายจะเลี่ยงภาวะหน้าผาทางการคลังด้วยการขยายมาตรการด้านภาษีและงบประมาณรายจ่ายออกไปในปี 2556 ซึ่งในกรณีนี้ เศรษฐกิจสหรัฐจะกระเตื้องขึ้นในปีหน้า แต่จะไม่มีความคืบหน้าสู่ความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว

 

ส่วนสถานการณ์ที่มูดี้ส์ระบุว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด 55% ก็คือการที่เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายประนีประนอมด้วยการพบกันครึ่งทางระหว่างภาวะหน้าผาทางการคลังและภาวะที่ไม่เกิดหน้าผาทางการคลัง

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะ

ดีค่ะ nice

 

229950_443793122326697_76906984_n.jpg

ทานตะวัน ดอกที่แปลกพิเศษจากเพื่อนๆ

ตะวันมีมวลพล้งมหาศาล ขับเคลื่อนจักรวาล

ใจของพวกเราก็มึพลังจิดที่ยิ่งใหญ่ที่จะผลักพาโลกและจ้กรวาลให้หลุมไปด้วย

พลังจิตที่ดีนั้นมีจริง คิดดื ทำดี มีพลังใจ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

shared Kru Joey Chawadol's photo.

 

483204_3611770016000_1022638749_n.jpg

ช่วยแชร์อีกแรง

สงสารหัวอกคนเป็นพ่ออ่ะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

 

" รู้ทันความคิดปรุงแต่ง "

 

มีปริศนาชวนคิด ๒ ข้อที่อยากให้ลองหาคำตอบ ขอแนะว่าควรใช้เวลาคิดสักพัก ก่อนที่จะไปดูคำตอบข้างล่าง

 

๑.แม่ให้เงินเด็กน้อย ๒๐ บาท พอได้เงินเด็กน้อยก็รีบวิ่งเข้าไปในร้าน เพื่อซื้อขนมราคา ๕ บาท เมื่อเจ้าของร้านยื่นเงินทอน ๕ บาท เด็กน้อยก็รีบคว้าเงินและขนมออกไปจากร้าน คุณทราบไหมว่าทำไมเด็กน้อยจึงทำเช่นนั้นหากว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นถูกต้องทุกอย่าง ?

 

๒. รถคันหนึ่งชนเสาไฟฟ้าอย่างแรง ผู้เป็นพ่อตายคาที่ ส่วนผู้เป็นลูกบาดเจ็บสาหัส ถูกนำส่งโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดสมองรีบด่วน ศัลยแพทย์ถูกเรียกตัวมาผ่าตัดผู้ป่วยอย่างกะทันหัน แต่เมื่อเห็นหน้าผู้ป่วยซึ่งนอนหมดสติอยู่บนเตียงผ่าตัด ศัลยแพทย์ก็ชะงัก และบอกกับคณะแพทย์พยาบาลว่า ตนไม่กล้าผ่าตัดผู้ป่วยคนนี้ด้วยมือของตนเอง เพราะว่าเขาเป็นลูกของตน เด็กคนหนึ่งฟังเรื่องนี้แล้ว งงงวยมาก คุณพอจะอธิบายเรื่องนี้ได้ไหม?

 

ถ้าคุณตอบข้อ ๑.ว่าเป็นเพราะเจ้าของร้านทอนเงินผิด หรือเด็กขาดสติ จึงฉวยเงินทอนขาดไป ๑๐ บาท คุณก็ตอบผิด เพราะโจทย์บอกไว้แล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านนั้นถูกต้องทุกอย่าง ไม่มีอะไรผิด หากคุณใช้เวลานานแล้วยังตอบไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก เหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่นึกอยู่ตลอดเวลาว่าเด็กคนนั้นยื่นธนบัตร ๒๐ บาทให้เจ้าของร้าน ทั้ง ๆ ที่โจทย์ไม่ได้บอกเลยแม้แต่น้อย คำตอบข้อนี้ก็คือ เป็นเพราะเด็กยื่นเงิน ๑๐ บาทให้เจ้าของนั่นเอง

 

ข้อ ๒ ก็เช่นกัน ถ้าคุณตอบว่าศัลยแพทย์เป็นพ่อบุญธรรม (หรือเป็นอะไรต่ออะไรสุดแท้แต่จะนึก) คุณก็ตอบผิด ถ้าคุณงงงวย อธิบายเรื่องนี้ไม่ได้ ก็คงเป็นเพราะคุณนึกตลอดเวลาว่าศัลยแพทย์เป็นผู้ชาย ความจริงก็คือศัลยแพทย์ในเรื่องนี้เป็นแม่ของเด็กคนนั้น

 

ปริศนาทั้ง ๒ เรื่องที่จริงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ตอบไม่ได้จนสร้างความอึดอัดแก่หลายคน ก็เพราะคนส่วนใหญ่เผลอปรุงแต่งข้อมูลหรือสร้างภาพบางอย่างขึ้นในใจเกินจากที่โจทย์ได้ระบุไว้ สิ่งที่ปรุงแต่งต่อเติมนี้เองที่กลายเป็นกรอบหรืออุปสรรคบังตาให้เราหาคำตอบไม่เจอทั้ง ๆ ที่คำตอบนั้นง่ายแสนง่าย กลายเป็นเส้นผมบังภูเขาก็ได้

 

สิ่งที่ปรุงแต่งต่อเติมนั้นบางครั้งเกิดจากการตีความเอาเอง (เช่น แม่ให้เงินเด็ก ๒๐ บาท ก็เลยนึกต่อไปว่าเด็กยื่นเงิน ๒๐ บาทให้เจ้าของร้าน) หรือเกิดจากประสบการณ์และความคุ้นเคยที่กลายเป็นแบบแผนความคิด (เช่น ศัลยแพทย์ส่วนใหญ่ที่เจอนั้นเป็นผู้ชาย ดังนั้นพอได้ยินคำว่าศัลยแพทย์ ก็นึกภาพเป็นผู้ชายขึ้นมาทันที) การปรุงแต่งต่อเติมดังกล่าวเกิดขึ้นทันทีแบบอัตโนมัติจนเราไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงทำให้หลายคนไม่ทันได้ตระหนักว่าความคิดปรุงแต่งของตนนั้นแหละที่เป็นปัญหา ไม่ใช่เป็นเพราะโจทย์ผิดหรือบุคคลในโจทย์ทำอะไรผิดพลาด

 

ความคิดที่ปรุงแต่งต่อเติมโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้เป็นปัญหาเพียงเพราะว่ามันได้ตีกรอบความคิดของเราให้อับจนต่อโจทย์ง่าย ๆ เท่านั้น หากยังเป็นอุปสรรคขวางกั้นไม่ให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์ในเวลาทำงาน ยิ่งกว่านั้นมันยังอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดจนเกิดความวิวาทบาดหมางกันด้วย ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ เรารู้สึกอย่างไรหากได้ยินว่าแฟนสาวของเรานัดพบศัลยแพทย์คนหนึ่งในโรงแรมหรูยามค่ำคืน ได้ยินเพียงเท่านี้บางคนก็เกิดความหวาดระแวงในคู่รักของตนแล้ว

 

การปรุงแต่งต่อเติมจากสิ่งที่ได้ยินหรือเห็นนั้น บางครั้งก็มีประโยชน์ในการทำให้เรามองได้ลึกไปกว่าปรากฏการณ์ แต่หากเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก็อาจทำให้เราเห็นความจริงอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อน เกิดความเข้าใจผิดและหวาดระแวงได้ง่ายมาก ยิ่งเกิดความบาดหมางใจกันแล้ว ก็ยิ่งง่ายที่จะปรุงแต่งต่อเติมในทางลบ จนเห็นอีกฝ่ายเป็นตัวเลวร้าย

 

การต่อเติมปรุงแต่งหรือคิดไปเองไม่เพียงนำไปสู่ความวิวาทบาดหมางระหว่างสามีภรรยาหรือเพื่อนร่วมงานเท่านั้น หากยังสามารถขยายความร้าวฉานของผู้คนจนกลายเป็นความแตกแยกในบ้านเมืองได้ เมื่อฝ่ายหนึ่งพูดหรือกระทำการใด ๆ ง่ายมากที่อีกฝ่ายจะตั้งข้อระแวงสงสัยหรือมองไปในทางลบ หากฝ่ายนั้นตระหนักว่านี้เป็นเพียงการคาดการณ์หรือตั้งข้อสงสัยของตน ก็คงไม่ถึงกับหลงเชื่อว่าเป็นความจริง แต่หากเป็นการปรุงแต่งต่อเติมขึ้นมาเองโดยไม่รู้ตัว ก็ง่ายที่จะสำคัญผิดว่านั่นเป็นความจริง ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นลบ เกิดท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์มากขึ้น กลายเป็นการขยายความขัดแย้งให้ลุกลามมากขึ้น

 

บ่อยครั้งที่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนอื่น หากอยู่ที่ความคิดของเราเอง แม้เป็นการยากที่เราจะรู้ทันความคิดปรุงแต่งของตนทุกเรื่อง เพราะบางเรื่องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แต่จะดีไม่น้อยหากเราหมั่นตรวจสอบความคิดของตนอยู่เสมอว่าปรุงแต่งต่อเติมจากความเป็นจริงหรือสิ่งที่รับรู้มามากน้อยเพียงใด นั่นจะช่วยให้เราเป็นนายมัน หาไม่แล้วมันจะกลายเป็นนายของเราได้ง่ายมาก

 

พระไพศาล วิสาโล

222174_517300944963894_803016321_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

shared อกาลิโก แปลว่า ไม่ประกอบด้วยกาล'sphoto.

 

 

 

530204_509716522387667_1190427975_n.jpg

สติปัฏฐาน ๔

กาย เคลื่อนไหวหยุดอยู่ ให้รู้ชัด

เวทนา สัมผัส รู้ชัดเจน

จิต เกิดดับปรุงให้รู้ ดูให้เห็น

ธรรม เฉกเช่นปริศนา พิจารณาธรรม

...

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

"บิล เกตส์"ยังรวยสุดในสหรัฐฯ-พิษหุ้นเฟซบุ๊คทำซัคเคอร์เบิร์กอันดับรูด

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กันยายน 2555 02:00 น.

blank.gif 555000012191701.JPEG

 

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค สูญเสียมูลค่าทรัพย์สินไปมหาศาล จนหล่นไปรั้งที่ 36 ในอันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2012 blank.gif เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการ - นายบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ ครองอันดับ 1 บุคคลรวยที่สุดในสหรัฐฯ ปีที่ 19 ติดต่อกัน ขณะที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก อันดับร่วงกราวรูดเช่นเดียวกับหุ้นเฟซบุ๊คของเขา

 

ในอันดับบุคคลร่ำรวยที่สุดของสหรัฐอเมริกา ประจำปี 2012 ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธ(19) นิตยสารฟอร์บส์เผยว่านายบิล เกตส์ ยังคงครองหมายเลข 1 ด้วยทรัพย์สิน 66,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่าร้อยละ 10 ตามมาด้วย นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ประธานบริษัทเบิร์คเชียร์ แฮธาเวย์ อิงค์ ด้วยสินทรัพย์ตามประเมิน 46,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนอันดับ 3 เป็นของนายลาร์รี เอลลิสัน ประธานบริษัทซอฟท์แวร์ ออเรเคิล ด้วยทรัพย์สิน 41,000 ล้านดอลลาร์

 

อันดับ 4 ร่วมได้แก่ 2 พี่น้องตระกูลคอช นายชาร์ลส์และนายเดวิด เจ้าของร่วมกลุ่มบริษัทพลังงานและเคมี คอช อินดัสตรีส์ อิงค์ มีสินทรัพย์เท่ากันที่ 31,000 ล้านดอลลาร์ นั่นหมายความว่าอันดับ 1 ถึง 5 ของปีนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงจากปีที่แล้ว

 

ด้านมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ค ทรัพย์สินหดหายไปกว่า 8,100 ล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 9,400 ล้านดอลลาร์ หล่นจากอันดับ 14 มารั้งอันดับ 36 ขณะที่หุ้นของเฟซบุ๊ค ดิ่งลงต่ำกว่า 20 ดอลลาร์ต่อหุ้นแล้ว นับตั้งแต่เปิดไอพีโอที่ราคา 38 ดอลลาร์ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม

 

ส่วน จอร์จ โซรอส พ่อมดการเงินหลุดจากท็อปเท็น หล่นไปรั้งอันดับที่ 15 ด้วยทรัพย์สิน 19,000 ล้านดอลลาร์ สวนทางกับ ไมเคิล บลูมเบิร์ก นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ที่กลับสู่ 10 อันดับแรก จากทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นถึง 5,500 ล้านดอลลาร์ เป็น 25,000 ล้านดอลลาร์ ในปีนี้และรั้งอันดับ 10

 

ฟอร์บส์ ระบุว่า สินทรัพย์รวมของมหาเศรษฐี 400 อันดับแรกของอเมริกา ปีนี้สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1,700,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 200,000 ล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ 13 และปีนี้มีมหาเศรษฐีหน้าใหม่ติดอันดับ 400 คนแรกรวม 20 คน ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของหุ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ดีดตัว โดยเฉพาะในลอสแองเจลิสและนิวยอร์ก

blank.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ต่างประเทศ

 

 

จับตาธนาคารกลางโลก ลุยสู้เศรษฐกิจ "ฝืนธรรมชาติ ก่อปัญหาใหญ่"

  • 20 กันยายน 2555 เวลา 09:08 น.

 

โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา

สมตามความคาดหวังและการรอคอยของบรรดานักลงทุน โดยเฉพาะเหล่านักเก็งกำไรส่วนใหญ่ทั่วโลก เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) พร้อมใจประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดสภาพคล่องอีกระลอกในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

สำหรับเฟด ก็คือ มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนามคิวอี 3 โดยคราวนี้จะอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านการซื้อทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (เอ็มบีเอส) ของหน่วยงานที่รัฐบาลให้การสนับสนุน เป็นวงเงินสูงถึง 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 ล้านล้านบาท) ต่อเดือน โดยไม่จำกัดระยะเวลาการเข้าซื้อ พร้อมกับการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับต่ำสุดๆ ที่ 00.25% ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะยาวนานไปจนถึงกลางปี 2558 จากเดิมที่กำหนดไว้ในช่วงสิ้นปี 2557

ส่วนอีซีบี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบล่าสุด คือ การทุ่มซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่ทั่วโลกคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยมีทั้งมาตรการปล่อยเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ (แอลทีอาร์โอ) และมาตรการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุ 3 ปี หรือสั้นกว่าแบบไม่จำกัดจำนวน เพื่อให้ชาติสมาชิกยูโรโซนซึ่งกำลังปวดหัวกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่พุ่งสูงขึ้น ได้มีเวลาหายใจหายคอ จัดการหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจของตนเองต่อไป

ยังไม่นับรวมกรณีที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ที่ประกาศเดินหน้าแทรกแซงนโยบายทางการเงินของประเทศด้วยการเพิ่มเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลอีก 10 ล้านล้านเยน เป็น 80 ล้านล้านเยน (ราว 30.4 ล้านล้านบาท) เพื่อป้องกันไม่ให้ค่าเงินเยนแข็งจนกระทบภาคการส่งออกที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ

ทั้งนี้ แม้จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่ทั้งเฟดและอีซีบีก็มีเป้าหมายสูงสุดเหมือนกัน คือ การกดอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ทางการเงินลดต่ำลง ซึ่งจะส่งผลให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจต่างๆ มีต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกลง พร้อมสนับสนุนให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้นเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในทางอ้อม

แน่นอนว่า หากยึดถือตามหลักทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์แล้ว มาตรการของเฟดและอีซีบีย่อมสมควรเป็นไปในตามที่คาดหมายกันข้างต้น แต่ทว่าในความเป็นจริงนอกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะไม่ได้ผลสมใจนึกแล้ว การเข้าแทรกแซงของธนาคารกลางยังอาจส่งผลเสียหายร้ายแรง รวมถึงบิดเบือนภาคเศรษฐกิจจริงอย่างร้ายกาจเสียด้วย

นั่นเป็นเพราะว่า ในภาคปฏิบัติจริงแล้วเม็ดเงินที่อัดลงมาจากธนาคารลงสู่ภาคการเงิน และธนาคารพาณิชย์กลับกระจายไปไม่ทั่วถึง และแทบจะไม่เคยถึงมือผู้ใช้เงินที่จะกระตุ้นจีดีพีได้อย่างแท้จริง

ทั้งนี้ แม้ว่ารายงานของอีซีบีจะแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ธนาคารพาณิชย์ทั่วภูมิภาคยุโรปตบเท้าเข้าคิวยื่นเรื่องขอกู้เงินจากโครงการของอีซีบีเพิ่มมากขึ้น แต่จนแล้วจนรอดเงินจำนวนดังกล่าวก็ยังกระจุกตัวอยู่แต่ในธนาคารพาณิชย์ ไม่กระจายถึงภาคธุรกิจสักเท่าไรนัก ขณะที่รายงานอีกฉบับแสดงให้เห็นว่า จำนวนการกู้ยืมของภาคครัวเรือนในแถบยูโรโซนในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาลดลงจากเดือนก่อนหน้า

นักกลยุทธ์ส่วนหนึ่งมองว่า สาเหตุดังกล่าวสืบเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทำให้ธนาคารเริ่มไม่มั่นใจว่าการปล่อยเงินกู้ออกไปโดยให้ดอกเบี้ยต่ำจะทำให้สถานะของธนาคารปลอดภัยหรือไม่ โดยนอกจากจะไม่ได้เงินคืนแล้ว ยังต้องแบกรับภาระหนี้เสียเพิ่มขึ้นอีก จนอาจนำไปสู่สถานะที่สั่นคลอนของธนาคารในอนาคต

ความหวาดวิตกดังกล่าวจึงทำให้ธนาคารเพิ่มเงื่อนไขปลีกย่อยและยกระดับเกณฑ์การกู้ยืมให้เข้มงวดมากขึ้น จนบรรดาประชาชนตลอดจนผู้ประกอบการหวาดกลัวหรือหมดกำลังใจที่จะเข้ามายืมเงินจากธนาคาร

ขณะเดียวกันแม้ธนาคารกลางจะจูงใจโดยการทุ่มเงินให้ธนาคารพาณิชย์ได้ครอบครองเงินด้วยต้นทุกที่ถูก แต่การเอามาปล่อยกู้ต่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำนี้ เป็นมาตรการที่ค่อนข้างฝืนกับธรรมชาติของธนาคาร ซึ่งนับเป็นธุรกิจที่จำต้องแสวงหากำไรเช่นกัน

พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือว่า การปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำนี้ นอกจากจะทำให้สถานะของธนาคารเสี่ยงเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้ธนาคารไม่มีกำไรคุ้มการลงทุนอีกด้วย

ปีเตอร์ ฟิชเชอร์ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนในตราสารหนี้กองทุนแบล็กร็อก แสดงความเห็นไว้อย่างชัดเจนว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์เงินออกมาเพื่อกดให้อัตราดอกเบี้ยทั้งในระยะยาวและระยะสั้นปรับตัวต่ำลงนี้ จะไม่ทำให้เกิดการปล่อยสินเชื่อเพิ่มที่น่าจะนำไปสู่การลงทุนฟื้นเศรษฐกิจตามความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะเมื่อคนปล่อยกู้ได้ดอกเบี้ยต่ำในระดับไม่เกิน 2% คนย่อมไม่อยากปล่อยกู้

ท้ายที่สุดสภาพการณ์ดังกล่าวอาจนำไปสู่การเผชิญหน้ากับ “กับดับสภาพคล่อง” (Liquidity Trap) ที่จะทำให้คนเลือกเก็บเงินกับธนาคารต่อไปมากกว่าที่จะนำออกมาใช้

เหตุผลประการต่อมา เพราะเงินที่ธนาคารกลางอัดเข้าสู่ระบบไปนั้น กลับไหลเข้าสู่สินค้าตลาดโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน เพื่อเก็งกำไรจนทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ซึ่งจะบีบให้คนต้องประหยัดกันมากขึ้นกว่าเดิม

รูเชียร์ ชาร์มา หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มหภาคของกองทุนมอร์แกน สแตนเลย์ แสดงความเห็นผ่านหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ไว้อย่างชัดเจนว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐเลือกพิมพ์เงินอัดเข้าระบบเป็นจำนวนมาก จะทำให้เงินทะลักเข้าไปเก็งกำไรในราคาอาหารและราคาน้ำมันเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว

72537AF453AD46118CA45BB0BB1E67D8.jpg

 

เมื่อราคาสินค้าและอาหารปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น กำลังซื้อของประชาชนก็ย่อมต้องลดลง โดยชาร์มาได้คำนวณไว้เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ว่า หากคิวอี 3 ล่าสุดที่ออกมาทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ราว 3,600 บาท) ผู้บริโภคในสหรัฐจะต้องใช้เงินเพื่อซื้อน้ำมันเกินกว่า 6% ของรายได้

ทั้งนี้ ประวัติการสำรวจที่ผ่านมาของสหรัฐระบุชัดว่า การที่ผู้บริโภคต้องซื้อน้ำมันเกินกว่า 6% ของรายได้จะส่งผลให้ผู้บริโภคลดการจับจ่ายใช้สอยในสินค้าอื่นๆ ลง จนกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวในช่วงกลางปี 2553-2554

หนำซ้ำผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากราคาสินค้าที่แพงขึ้นก็คือผู้มีรายได้น้อย ที่กว่า 75% ของรายได้หมดไปกับอาหาร สินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่จำเป็นต้องชีวิตประจำวัน

และเพราะการแทรกแซงโอบอุ้มดังกล่าว คือ การฝืนธรรมชาติที่จะทำให้กลไกราคาตลาดบิดเบือน

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่า การกระทำดังกล่าวของธนาคารกลางเป็นการฝืนธรรมชาติของวิกฤตเศรษฐกิจ โดยแทนที่จะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูจากวิกฤตเศรษฐกิจการเงินอย่างน้อย 5-6 ปี ก่อนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ธนาคารกลางกลับเลือกใช้วิธีการข้างต้นเข้าไปอุ้มเศรษฐกิจฝืนไม่ให้ตกต่ำ และเร่งดันให้ฟื้นขึ้นโดยใช้ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี

ฟิล แกรมม์ และจอห์น เทย์เลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางทุ่มซื้อพันธบัตรหลายล้านเหรียญสหรัฐ ในเวลาเดียวกับที่รัฐบาลกำลังขาดดุลงบประมาณปีแล้วปีเล่า จะเป็นการขัดขวางมากกว่าจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

เนื่องจากเงินที่ไหลเข้ามาจะทำให้มูลค่าของเงินกลายเป็นไร้ค่า การแบ่งสันปันส่วนเงินทุนไหลไปอยู่ผิดที่ผิดทาง และดันให้ธนาคารกลางแบกรับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะกรณีที่เกิดการผิดนัดชำระหนี้

เรียกได้ว่า มาตรการของธนาคารกลางทั้งหมดนี้เป็นมาตรการเอาตัวรอดเฉพาะหน้าที่มีแต่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศตนเอง รวมถึงบรรดาประเทศอื่นๆ ทั่วโลกย่ำแย่หนักมากกว่าเดิม

กระทั่ง เจนส์ ไวด์แมนน์ ประธานธนาคารบุนเดสแบงก์ ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนี ถึงกับลุกขึ้นมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า มาตรการเคลื่อนไหวล่าสุดของอีซีบีไม่ต่างอะไรกับการกระทำของปีศาจ! ขณะที่นักวิเคราะห์รวมถึงผู้เชี่ยวชาญรายอื่นๆ เห็นว่า ธนาคารกลางเหล่านั้นลงมือทำเกินหน้าที่ของธนาคารกลาง

เนื่องจากธนาคารกลางมีหน้าที่กำกับดูแลให้เกิดความเป็นธรรมด้านการเงิน ส่วนหน้าที่กระตุ้นเศรษฐกิจคือหน้าที่ของรัฐบาล

ขณะเดียวกันแม้ธนาคารกลางจะมีหน้าที่พิมพ์ธนบัตร แต่หากสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้จับจ่ายในตลาดแบบไม่จำกัดตามอำเภอใจโดยไม่ต้องอ้างอิงหรือพึ่งพากับหลักทรัพย์ใดๆ แล้วสกุลเงินเหล่านั้นจะสามารถรักษามูลค่าของตนเองได้อย่างไร

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งก็เลือกที่จะมองในแง่ดีว่า แม้การประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเสริมสภาพคล่องของบรรดาธนาคารกลางทั้งหลายจะไม่ช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซบเซาที่เกิดขึ้นสักเท่าไรนัก

กระนั้น อย่างน้อยก็เป็นหลักฐานพิสูจน์เพิ่มเติมอีกหนึ่งชิ้นที่กระตุ้นให้ธนาคารกลาง ตลอดจนรัฐบาลของประเทศนั้นๆ รู้ตัวว่าจะต้องคิดหาหนทางอื่นๆ เพิ่มเติมมากขึ้นต่อไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...