ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

ใบไม้ผลิบนดวงจันทร์

โพสต์แนะนำ

การเงิน - การลงทุน : เศรษฐกิจต่างประเทศ

 

วันที่ 18 กันยายน 2555 11:17

ยูโร/เยนพุ่งเกือบสูงสุดรอบ4เดือน หวั่นประท้วงในจีน

 

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

 

 

ยูโรเทียบเยนพุ่งใกล้จุดสูงสุดรอบ 4 เดือน หลังนักลงทุนขายเยน หวั่นเหตุประท้วงญี่ปุ่นในจีน

 

สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเกือบแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน เมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ราว 103 เยนในการซื้อขายที่ตลาดโตเกียวช่วงเช้าวันนี้

 

เนื่องจากนักลงทุนหลีกเลี่ยงการถือสกุลเงินเยน อันเป็นผลมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ประท้วงญี่ปุ่นที่กำลังบานปลายในประเทศจีน

 

ทั้งนี้ ในช่วงเที่ยงวันตามเวลาโตเกียว สกุลเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1.3103-1.3105 ดอลลาร์สหรัฐ และ 102.98-102.99 เยน เมื่อเทียบกับการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวานนี้ที่ 1.3111-1.3121 ดอลลาร์สหรัฐ และ 103.13-103.23 เยน

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวอยู่ที่ 78.58-78.60 เยน เมื่อเทียบกับระดับที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวานนี้ที่ 78.66-78.76 เยน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo shared หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives's photo.

ดำเนินเป็นประโยชน์กิจด้วยปัญญา

อย่าดำเนินด้วยกิเลสตัณหา

ไอ้ความหวังน่ะมันเป็นกิเลสตัณหา...

 

ความต้องการหรือวัตถุประสงค์นั้นมีได้

 

 

ตั้งความหวังไว้ถูกต้อง แล้วหยุดความหวังเสีย

ทำไปด้วยสติปัญญา

อย่าให้ความหวังมันหวังกัดกร่อนหัวใจอยู่เรื่อย

เอาสติปัญญาเป็นตัวประธาน

อย่าให้กิเลสตัณหาหรือความหวังเป็นตัวประธาน

 

พุทธทาสภิกขุ

299314_10151212309370535_1031636096_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สื่อจีนเพลาท่าทีเหยี่ยว ชี้ “ชาวโลกกำลังหัวเราะลัทธิรักชาติจีน”

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 กันยายน 2555 17:48 น.

blank.gif 555000012067101.JPEG

 

หนึ่งในเหตุรุนแรงต่อต้านญี่ปุนที่กำลังระบาดในทั่วประเทศจีน กลุ่มประท้วงชาวจีนถือธงประจำชาติจีนและป้ายต่อต้านญี่ปุ่นกรณีพิพาทหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์ ระหว่างการประท้วงฯที่นครซีอัน มณฑลส่านซี วันที่ 15 ก.ย.2555 (ภาพรอยเตอร์ส) blank.gif เอเจนซี--ขณะที่กระแสต่อต้านญี่ปุ่นในจีน ขยายวงและรุนแรงอย่างกลัว ภาพการต่อต้านญี่ปุนในจีนที่ออกสู่สายตาชาวโลกในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มประท้วงในหลายๆเมืองเที่ยวจู่โจมผลประโยชน์ปฏิปักษอย่างหน้ามืดตามัว ทั้งการเผารถยนต์พังร้านค้าญี่ปุน ทำร้ายแม้ชาวจีนด้วยกันที่ขับรถยนต์ญี่ปุ่น

 

สื่อจีนกลุ่มหนึ่งถึงกับอึ้งตะลึงงัน ลดท่าทีสายเหยี่ยวที่แข็งกร้าวในการเสนอข่าว และหันมาเทศน์กลุ่มต่อต้านญี่ปุ่นอย่างรุนแรง

 

ในบทบรรณาธิการของเว็บไซต์ข่าว Beijing Youth Daily เมื่อวันเสาร์(14 ก.ย.) ชี้ว่า “การทำลายรถยนต์ยี่ห้อญี่ปุ่นในจีน เป็นการละเมิดกฎหมาย

 

“ต้องขีดเส้นกันแล้ว การแสดงความรักกำลังทำลายความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง”

 

เมื่อวานนี้(15 ก.ย.) บทความแสดงความคิดเห็นของสำนักซินหวา ระบุ “การแสดงความรักชาติ ต้องเป็นไปอย่างมีสติปัญญา”

 

เน็ตอีสต์ ยักษ์ใหญ่เว็บท่าข่าวสารของแผ่นดินใหญ่ ก็ออกมาเตือนในวานนี้ “ขณะนี้ ความรักชาติกำลังถูกนำมาแอบอ้างในการก่ออาชญากรรม มีการปล้นสะดมร้านค้าในหลายๆเมือง ทั้งใน ฉังซา ซีอัน ชิงเต่า ฯลฯ”

 

บทบรรณาธิการของหนังสือประชาขน (พีเพิล เดลี) ซึ่งเป็นกระบอกเสียงพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุการกระทำรุนแรงด้วยความโกรธแค้นได้เหยียบย่ำระบบกฎหมายของประเทศ ทำลายสังคมจีนอย่างน่าอดสู และชาวโลกกำลังหัวเราะเยาะจีน “ขณะนี้ ใครต่อใคร กำลังหัวเราะเยาะ สมเพช “ลัทธิรักชาติ” ในจีน” พร้อมทิ้งท้ายว่า สาธารชนต้องออกมาปกป้องเกาะเตี้ยวอี๋ว์ด้วยวิถีอารยะ

 

ขณะเดียวกัน กลุ่มสื่อจีนบางกลุ่มหันมาเสนอรายงานด้วยท่าทีที่อ่อนลง ลดท่าทีแข็งกร้าวแบบสายเหยี่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้ สื่อบางกลุ่มถึงกับเรียกร้องให้มีการเตรียมการทหารเพื่อปกป้องหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์ ดินแดนพิพาทระหว่างจีนและญี่ปุ่น สำหรับชาวญี่ปุ่นเรียกหมู่เกาะนี้ว่า “เซนกากุ”

 

อย่างไรก็ตาม ศาตราจารย์ จั้น เจียง ผู้สอนวิชาการหนังสือพิมพ์ ที่ Beijing Foreign Studies University ชี้ว่า สื่อจีนบางกลุ่มยังเป็นพวกมือถือสากปากถือศีล โดยขณะเรียกร้องให้กลุ่มประท้วงสงบสติอารมณ์ แต่ก็ยังมิวายปั่นกระแสลัทธิรักชาติโหมกระพือ

 

อาจารย์จั้น ว่าองค์กรข่าวสายเหยี่ยว อย่าง โกล์บอล ไทม์ส (Global Times) หนังสือพิมพ์ในเครือ พีเพิล เดลรวมหัวกับกลุ่มผู้นำทหารที่ไร้ความรับผิดชอบ ปั้นกระแสลัทธิรักชาติ เพื่อผลประโยชน์ของตัว

 

พญามังกรยังขู่ฟอดๆ

 

ในวันนี้(17 ก.ย.) พีเพิล เดลี เสนอบทความแสดงความคิดเห็น เตือนญี่ปุ่นว่า เศรษฐกิจญี่ปุนได้ถดถอยมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 และยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเศรษฐกิจต่อไปอีกนานสืบเนื่องจากวิกฤตการเงินโลกและผลกระทบจากแผ่นดินไหวเมื่อปีที่แล้ว หากจีนใช้มาตรการคว่ำบาตร โต้ตอบศึกพิพาทกรรมสิทธิเหนือหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์ ญี่ปุนก็จะยิงบอบช้ำหนักยิ่งขึ้นไปอีก

 

ในบทแสดงความคิดเห็น ระบุว่า โดยหลักการแล้ว ปักกิ่งคัดค้านมาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ และใช้ความระมัดระวังมากในการตัดสินดำเนินมาตรการนี้ โดยเป้าหมายของมาตรการคว่ำบาตรการค้า จะรวมไปถึง อุตสาหกรรมการเงิน การผลิต การส่งออก การลงทุนของญี่ปุนในประเทศจีน รวมทั้งการนำเข้า “วัตถุดิบเชิงยุทธศาสตร์” ซึ่งดูจะอ้างถึง ธาตุหายากที่ใช้ในอุตสาหกรรมไฮเทคหลายประเภท

 

“ญี่ปุนอยากสูญเสียทางเศรษฐกิจไปอีก 10 ปี อย่างนั้นหรือ? ญี่ปุ่นรับได้หรือ ที่จะต้องตกอยู่ในภาวะถดถอยนาน 20 ปี ?” คำถามในบทแสดงความเห็นในพีเพิล เดลี ซึ่งเผยแพร่เฉพาะในพีเพิล เดลี ฉบับต่างแดน

 

ทั้งนี้ การคว่ำบาตรการค้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่เศรษฐกิจเอเชีย จีนและญี่ปุนนี้ อาจจะส่งผลกระทบไปทั่วภูมิภาค ขณะที่กลุ่มชาติตะวันตกคาดหวังว่าเอเชียจะช่วยฟื้นวิกฤตการค้าโลก

 

จีนประกาศความสำเร็จ ภารกิจแสดงอธิปไตยเหนือเกาะพิพาท

 

ในวันนี้ สื่อจีนรายงานว่า ภารกิจลาดตระเวนหมู่เกาะพิพาทเตี้ยวอี๋ว์ “ประสบความสำเร็จ” ในการแสดงอธิปไตยเหนือดินแดนแล้ว

 

ในวันศุกร์(14 ก.ย.) จีนได้ส่งเรือลาดตระเวนไปยังเกาะเตี้ยวอี๋ว์ เพื่อ “บังคับใช้กฎหมายเหนือดินแดน” หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ผลักดันข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์ ซึ่งญี่ปุ่นเรียกเซนกากุ เป็นประเด็นแห่งชาติ

 

แต่จีนก็ยังให้ฝูงเรือ 6 ลำ ซึ่งมีเรือลาดตระเวนรวมอยู่ด้วย ลาดตระเวนรอบหมู่เกาะที่จีนอ้างกรรมสิทธิฯต่อไป

 

“การส่งเรือลาดตระเวนไปเยือนเกาะเตี้ยวอี๋ว์ และเกาะรอบๆ เป็นการแสดงกรรมสิทธิเหนือดินแดน หยุดการล่วงล้ำเขตแดน ปกป้องผลประโยชน์น่านน้ำจีน” เสี่ยว ฮุ่ยอู่ รองผู้อำนวยการหน่วยลาดตระเวนเขตแดนสมุทร (China Marine Surveillance-CMS) บอกกับสำนักข่าวซินหวา

 

ในวันศุกร์(14 ก.ย.) เจ้าหน้าที่ในโตเกียวได้เรียกทูตจีนมาพบ และยื่นหนังสือประท้วงจีน ยืนยันว่าสิ่งที่จีนทำนั้น เป็นการบุกรุกเขตแดนในน่านน้ำที่ญี่ปุนครองกรรมสิทธิอยู่

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สามีภรรยาห้ามทำงานที่เดียวกัน แบบนี้มีด้วยเหรอ โดย อ.อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยาม

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 กันยายน 2555 11:11 น.

blank.gif

 

blank.gif Q: อาจารย์ครับผมได้ยิน HR ที่บริษัทฯ เปรยว่าจะมีการกำหนดนโยบายให้พนักงาน ที่แต่งงานกันต้องมีคนใดคนหนึ่งลาออกจากบริษัทฯ แบบเดียวกับหนัง "ATM เออรักเออเร่อ" ที่เคยดู ผมนึกว่ามีแต่ในหนังเสียอีก อาจารย์คิดว่าสมควรหรือไม่ครับ

 

A: นโยบายทำนองนี้มักมีที่มาที่ไป ซึ่งส่วนใหญ่ผลกระทบเกิดมาจากการกระทำของพนักงานเองนั่นแหละ ยกตัวอย่างสักสองเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเร็วๆ นี้ในองค์กรแห่งหนึ่ง

 

ตัวอย่างแรก พนักงานคู่หนึ่งคบหากันมาหลายเดือนปรากฎว่าฝ่ายชายแอบไปกิ๊กกับคนอื่นในบริษัทเดียวกัน ฝ่ายหญิงจับได้จนเกิดเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันภายในองค์กร สุดท้ายเดือดร้อนไปถึงพนักงานฝ่ายอื่นๆ ที่ต้องประสานงานด้วย เรียกได้ว่าเสียทั้งคนเสียทั้งงานเลยทีเดียว

 

อีกตัวอย่างหนึ่ง ผู้ชายทำงานอยู่ฝ่ายขาย ผู้หญิงอยู่ฝ่ายการเงิน ทุกเดือนผู้ชายจะเบิกค่าน้ำมันซึ่งฝ่ายหญิงเป็นผู้อนุมัติ ไปๆมาๆ ผู้ชายเงินเริ่มไม่พอใช้ เลยใช้วิธีการหาใบเสร็จจากเพื่อนฝูงนอกบริษัทมาเบิกค่าน้ำมันแทน ผู้หญิงเห็นใจเลยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ สุดท้ายบริษัทจับได้ ไล่ออกทั้งคู่ !

 

เรื่องทำนองนี้ฟังดูอาจคล้ายละครที่ดูทางโทรทัศน์มากไปหน่อย แต่ความจริงล้วนเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น หลายครั้งพฤติกรรมของพนักงานเองก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้องค์กรไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมาป้องกัน

 

ในความเห็นส่วนตัว เหตุการณ์ทำนองนี้อาจเกิดขึ้นได้ในทุกองค์กร แต่คงไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกๆ คู่รัก ดังนั้นผมคิดว่ากรณีแบบนี้ดูตามความเหมาะสมน่าจะดีที่สุด หากความรักอาจนำมาซึ่งความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย ก็อาจใช้วิธีการย้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกจากหน่วยงานเดิม ไม่จำเป็นต้องให้ลาออกจากองค์กรเสมอไป

 

ผมคิดว่าทุกวันนี้คนจำนวนไม่น้อยคบหากันและอยู่กันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้แต่งงานหากองค์กรกำหนดกฎเหล็กชนิดที่ว่า "ถ้าแต่งต้องออก" ผมคิดว่าน่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี แต่ถ้าเอาเป็นว่า หากเริ่มมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิด ชนิดว่าอาจก่อให้เกิดผลกระทบ ก็ให้หัวหน้างานโดยตรงร่วมกับ HR พิจารณาตามความเหมาะสม เป็นกรณีๆ ไป น่าจะเหมาะสมและได้ผลมากกว่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มาตรการ QE3 และแนวโน้มของตลาดตราสารหนี้ไทย

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 กันยายน 2555 13:01 น.

blank.gif 555000012100901.JPEG blank.gif

 

หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศว่าจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งที่3 หรือ Quantitative Easing (QE) ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรประเภท MBS (mortgage-backed securities) หรือตราสารหนี้ที่ผูกพันกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ จำนวน 4หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อหวังจะกดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านในตลาดให้ต่ำลงไปกว่าเดิม และสร้างให้เกิดกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งคนที่ภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงก็จะได้รีไฟแนนซ์เพื่อลดภาระการจ่ายดอกเบี้ยลง โดยเมื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐอเมริกาปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากมาตราการนี้จะทำให้สภาพคล่องในระบบเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะกระตุ้นให้เกิดการจ้างงานและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจการใช้มาตราการ QE3 ในครั้งนี้จึงถูกคาดหวังที่จะสามารถแก้ปัญหาตลาดแรงงานในสหรัฐให้มีทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่อัตราการว่างงานของสหรัฐอยู่ในระดับที่สูงกว่า 8% มานับตั้งแต่ปี2552

 

จากวิกฤตซับไพรม์ในช่วงปลายปี 2551 เป็นต้นมา การประกาศใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในลักษณะ Quantitative Easing (QE) เป็นหนึ่งในกลไกที่ธนาคารกลางของหลายประเทศนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่นโยบายการเงินผ่อนคลายแบบปกติ ไม่สามารถแก้ไขได้ ธนาคารกลางสหรัฐฯใช้มาตรการ QE1 เพื่อการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ ด้วยการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้าไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน โดยเน้นการซื้อ MBS เป็นหลัก ในขณะที่ QE2 จะเน้นการซื้อพันธบัตรรัฐบาลที่มีระยะเวลากำหนดชำระยาวนานขึ้น (Longer term Treasury securities) เพื่อต้องการกดดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำลง ซึ่งจะทำให้เป็นประโยชน์ต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

แม้ว่าสหรัฐฯ ใช้มาตรการ QE มาถึง 2 ครั้งแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ตามมาจากการใช้มาตรการดังกล่าวกลับไม่ใช่อัตราการว่างงานที่ลดลง กระแสเงินที่ถูกสร้างขึ้นมาจากนโยบาย QE ถูกเคลื่อนย้ายไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่าในประเทศที่กำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย ทำให้มีเม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้เอเชียมากขึ้น เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งเม็ดเงินเหล่านี้อาจทำให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนสูง และอาจนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ได้เช่นกัน ทำให้ตลาดเริ่มกังวลว่าเงินทุนที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้ ตลาดตราหนี้ของทั้งไทย และภูมิภาคเอเชียได้รับผลกระทบภายหลังการประกาศใช้มาตราการ QE3

 

ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20 bps. (ในช่วงเดือนกันยายน) เช่นเดียวกับหลายประเทศในภูมิภาค เนื่องจากความกังวลว่ากระแสเงินไหลเข้ามาลงทุนในแถบเอเชียซึ่งมีผลตอบแทนสูงกว่า น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น อาจจะทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น รวมถึงการลงทุนในตลาดเกิดใหม่เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลต่อเนื่องให้ตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจต้องหันมาให้ความสนใจประเด็นนี้เพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาตั้งแต่ต้นปี เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก

 

การเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารทุน ตราสารหนี้ และอสังหาริมทรัพย์ ในระยะสั้นส่วนใหญ่นักลงทุนจะมีเป้าหมายเพื่อเก็งกำไรจากการปรับตัวขึ้นลงของราคาสินทรัพย์ และอาจนำมาซึ่งความผันผวนของระบบการเงินในประเทศ เพราะเมื่อเงินทุนสามารถไหลเข้าสู่ประเทศได้มากและรวดเร็วเท่าไหร่ ก็ย่อมสามารถไหลออกได้มากและรวดเร็วเช่นกัน โดยในช่วงแรกจะทำให้หลักทรัพย์ ได้แก่ หุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงขึ้น แต่เมื่อเงินทุนจำนวนนั้นไหลออกจากประเทศในจำนวนที่มากก็จะส่งผลให้หลักทรัพย์ดังกล่าวมีราคาลดลง หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่าฟองสบู่แตก และส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเงินในที่สุด ดังนั้นคงต้องจับตาดูกันว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างที่บางท่านกังวลหรือไม่ และภาครัฐจะมีมาตรการใดเพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาตลาดทุนโดยรวมของประเทศ

 

โดยพอพิศ ยอดแสง

ฝ่ายวิจัยและพัฒนา

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย

www.thaibma.or.th

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Dharma@Hand Lite ธรรมะใสใส ใกล้ตัวคุณ

 

September 14

 

 

"พ่อแม่เป็นผู้ให้เกิด เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้ให้วิชาความรู้

เป็นผู้ให้ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้ให้น้ำจิตน้ำใจทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น ใครยังมีพ่อแม่อยู่ รีบอุปถัมภ์อุปัฏฐาก

รีบทำบุญกับท่าน อย่าปล่อยให้ท่านลำบาก"

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

 

427812_10151036129316581_1686760318_n.jpg

 

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Dharma@Hand Lite ธรรมะใสใส ใกล้ตัวคุณ

September 5

 

"ธรรมะท่านสอนให้ดูตัวเอง ระวังตัวเอง

จะได้เห็นความบกพร่องของตนเอง

แล้วแก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ จนสมบูรณ์ได้"

หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

 

 

423897_10151025550136581_1785363025_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:: หมื่นตากับปัจจุบันขณะอันประเสริฐ ::

n1.jpg

 

n2.jpg

 

n3.jpg

 

 

n4.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

A DAY Foundation

แม่ค้าขายผักไต้หวันสุดปลื้ม หลังคว้ารางวัลแมกไซไซ

รางวัลรามอน แมกไซไซ หรือที่โลกยกย่องให้เป็นรางวัลโนเบลของเอเชีย ซึ่ง 1 ใน 6 ของผู้ที่ได้รับรางวัลคือ เฉิน ซูฉู แม่ค้าขายผักจากไต้หวัน วัย 63 ปี โดยผู้มอบรางวัลได้กล่าวถึงนางเฉินว่าเธอเป็นผู้ใจบุญ สะท้อนให้โลกเห็นถึงความลึกซึ้งและความเมตตากรุณาที่เงียบสงบ ถ่อมตัว จากการที่ได้ช่วยเหลือเด็กชาวไต้หวันหลายชีวิตให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นางเฉินให้เงินเพื่อสนับสนุนเด็กด้อยโอกาสรวมกันมากถึง 7 ล้านเหรียญไต้หวันหรือราว 7.35 ล้านบาท มีส่วนร่วมในการสร้างห้องสมุดและเลี้ยงอาหารเด็กในศูนย์พักพิงผู้พลัดถิ่น ซึ่งนางเฉินกล่าวหลังได้รับรางวัลว่า "เงินจะมีค่าก็ต่อเมื่อมันได้ใช้เพื่อคนที่ต้องการมันจริงๆ วันนี้ฉันดีใจที่ฉันสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้" นอกจากนี้ปีที่ผ่านมาเธอยังเคยได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพล ของนิตยสารไทม์อีกด้วย

ที่มา a day BULLETIN

 

424702_454288807955423_874625663_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo shared หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ : Buddhadasa Indapanno Archives's photo.

‎'พินัยกรรม'

 

เราไม่มีปัญญาที่จะมีเงินถึงล้าน

แต่เราก็สามารถทำประโยชน์

อันมีค่าถึงร้อยล้านพันล้านอยู่

 

 

 

อย่าไปมัวหาเงินอยู่เลย

มาทำประโชน์กันดีกว่า...นั่นคือ

ทำให้เพื่อร่วมโลกของเรา...รู้จักดับทุกข์

หยุดเห็นแก่ตัว

 

พุทธทาสภิกขุ

479913_10151212530625535_1807817911_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

264248_409246932464429_2052108904_n.jpg

ต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งสาขา

สร้างความชุ่มชื่นห่มดิน

ปกป้อง หน่อยอด ผลิเกิด

แสงตะวัน ส่องลอด อุ่นไอ

ginger

love the nature

====

คิดเเบบเปิด มีช่องว่าง

อารมณ์ดีหรือไม่ อยู่ที่ตัวเรา

บายๆค่ะ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

19/9/2555

พระอารมณ์ขัน

 

 

463pxthekingwe11.jpg

นกสามตัว

 

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลาย ออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมี พระราชปฏิสันฐาน ถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า..”

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..

พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า “มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสี มันบินหนีไป ทิ้ง พระโอรส ไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้ พระบิดา เลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”

เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

ทรงพระเจริญ

สำนักข่าวเจ้าพระยา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...