ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

เส้นปากถุง (BollingerBandsเส้นสีขาวทั้ง๓เส้น)แบบง่ายๆ ไม่ปวดเศียรเวียนเกล้า

เส้นบน---แนวต้าน

เส้นกลาง---แนวโน้ม(สำคัญสุด)

เส้นล่าง---แนวหนุน

ลักษณะที่๑---ทิศทางขึ้นเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวขึ้น เส้นล่างหันหัวลง

ลักษณะที่๒---ทิศทางขึ้นเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวขึ้น

เมื่อเจอลักษณะทั้ง๒นี้ ราคาระหว่างวันที่ขึ้นๆลงๆ เมื่อเจอจุดที่เห็นว่าต่ำแล้วให้ซื้อเข้าได้เลยครับ ขอเพียงเส้นกลาง(แนวโน้ม)ยังหันหัวขึ้นอยู่ แม้ราคาเแท่งเทียนจะอยู่ต่ำกว่าเส้นกลาง ก็ยังซื้อเข้าได้ หากเส้นบนเดินขวางเมื่อไหร่ ให้ทยอยลดพอร์ตได้เลยครับ

ลักษณะที่๓---เลือกทิศทาง---เส้นบนหันหัวลง เส้นล่างหันหัวขี้น ปากถุงแคบลง ถึงช่วงนี้ ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว หากใครยังคิดอยากเคลื่อนไหว ก็จงเคลื่อนไหวไปหน้าทีวี จงอย่าทำการอย่างอื่นใด หากใครเป็นจอมยุทธ์ ก็ชิงเคลื่อนไหวก่อนใครได้

ขอแถมอีกนิด จงโฟกัสที่เส้นกลาง หากเส้นกลางเริ่มขยบหัวหัวขึ้นหรือลง ทิศทางอาจขึ้นหรือลงตามเส้นกลางแนวโน้มนั้น

ลักษณะที่๔---เคลื่อนไหวในกรอบแคบ---เส้นบน กลาง ล่าง เดินขวางทั้ง๓เส้น หากใครเล่นออนไลน์ สามารถเล่นได้เล็กน้อยอย่ามาก เมื่อราคาแท่งเทียนใกล้เส้นบน จงขาย ใกล้เส้นล่าง จงซื้อ ต้องเข้าออกให้ทันการณ์ หาไม่แล้วจากกำไรอาจขาดทุนได้นา ขอบอก

ลักษณะที่๕---ทิศทางลงเบื้องต้น---เส้นบนหันหัวขึ้น เส้นกลางหันหัวลง เส้ยล่างหัวหัวลง

ลักษณะที่๖---ทิศทางลงเต็มตัว---เส้นบน กลาง ล่าง ล้วนหันหัวลง เมื่อเส้นล่างเดินขวางเมื่อไหร่ ผู้ที่ใจกล้าที่เล่นออนไลน์ เริ่มทยอยซื้อเข้าได้ที่ละนิด อัตราเสี่ยงยังมีอยู่บ้างนะครับ สิบอกไห่

วิธีดูเส้นปากถุงที่กล่าวมานี้ .....ไม่ใช่ตำราของฝรั่ง แบบของฝรั่งผมเคยอ่านมาบ้างแล้ว ยาวมาก ปวดหัว ทำความเข้าใจได้ยากมากๆๆๆๆ ...........เหมาะเฉพาะกราฟราย๔ชม.และช่วงปกติเท่านั้นนะครับ (บางครั้งตลาดจงใจคึงขึ้นลงอย่าแรงๆ แทบหัวใจวายสำหรับผู้มีทองในมือและผิดทิศทางของตัวเอง เรียกว่า ช่วงไม่ปกติครับ)

ดูกราฟทุกครั้งให้ดูที่หัวมุมซ้ายบน จะบอกเวลา H4=4ชม. H1=1ชม. D1=1วัน และบอกชนิดของกราฟด้วย เช่น goldหรือset50เป็นต้น

post-1188-018184400 1284512778.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะอ.ทองใหม่ ไข้หวัดระบาดรักษาสุขภาพด้วยนะคะ :wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณค่ะอาจารย์ทองใหม่ ตื่นเช้าจังเลยค่ะรักษาสุขภาพด้วยนะคะ :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Home Breaking News ข่าวต่างประเทศ นักลงทุนวิตกศก.ยุโรปแห่ซื้อทองคำปิดพุ่ง 24.60ดอลลาร์

นักลงทุนวิตกศก.ยุโรปแห่ซื้อทองคำปิดพุ่ง 24.60ดอลลาร์

วันพุธที่ 15 กันยายน 2010 เวลา 07:38 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวต่างประเทศ User Rating: / 0

แย่ดีที่สุด

 

ทองคำตลาดนิวยอร์กปิดเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.)พุ่งขึ้นถึง 24.60 ดอลลาร์ โดยทองโคเม็กซ์ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ระดับ 1,271.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่เคลื่อนตัวในช่วง 1,246.00 - 1,276.50 ดอลลาร์ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,276.5 ดอลลาร์ในระหว่างวัน

 

 

 

นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ หลังได้รับข้อมูลว่าดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีเดือน ก.ย.ร่วงสู่ระดับ -4.3 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากเดือนส.ค.อยู่ที่ +18.3 ทำให้นักลงทุนกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจของยุโรป

 

 

 

นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 15 กันยายน 2553 08:52:01 น.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป หลังจากมีรายงานว่าความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีหดตัวลงอย่างหนักในเดือนก.ย. และดัชนีภาคการผลิตของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรปทรงตัวในเดือนก.ค. อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์ปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเพราะตลาดได้แรงหนุนจากรายงานยอดค้าปลีกที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดลบ 17.64 จุด หรือ 0.17% แตะที่ 10,526.49 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับลง 0.80 จุด หรือ 0.07% ปิดที่ 1,121.10 จุด และดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 4.06 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 2,289.77 จุด

 

-- สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) หลังจากบริษัทเอ็นบริดจ์ อิงค์ ออกแถลงการณ์ว่า การซ่อมแซมรอยรั่วซึมที่ท่อส่งน้ำมัน Line 6A ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างโรงงานผลิตในแคนาดาไปยังโรงกลั่นในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว และคาดว่าจะสามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้งในไม่ช้านี้ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะซัพพลายตึงตัวและเข้ามาเทขายทำกำไร

 

สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 39 เซนต์ มาอยู่ที่ระดับ 76.80 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยุโรปและตัวเลขเงินเฟ้อของอังกฤษได้กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ส่งผลให้สัญญาทองคำทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,276.5 ดอลลาร์ในระหว่างวัน

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 24.60 ดอลลาร์ สู่ระดับ 1,271.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากที่เคลื่อนตัวในช่วง 1,246.00 - 1,276.50 ดอลลาร์

 

-- ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากข่าวนายนาโอโตะ คัง ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (ดีพีเจ) ทำให้นักลงทุนเชื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การนำของนายคังจะไม่มีมาตรการแทรกแซงตลาดเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐทำให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์และหันไปถือครองสกุลเงินที่มีความเสี่ยงสูงกว่า

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลง 0.71% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 83.090 เยน จากระดับของวันจันทร์ (13 ก.ย.) ที่ 83.680 เยน และดิ่งลง 1.23% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9951 ฟรังค์ จากระดับ 1.0075 ฟรังค์

 

-- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) ขานรับยอดค้าปลีกที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอในยุโรปและตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในอังกฤษ ส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนซบเซาลงและสกัดช่วงบวกของดัชนี FTSE 100 ตลอดทั้งวัน

 

ดัชนี FTSE 100 ขยับขึ้น 1.88 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 5,567.41 จุด หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 5,541.50 - 5,582.46 จุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Home Breaking News ข่าวในประเทศ เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่30.74/30.76บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่30.74/30.76บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

วันพุธที่ 15 กันยายน 2010 เวลา 09:13 น. ณัฐญา เนตรหิน ข่าวรายวัน - ข่าวในประเทศ

 

นักบริหารเงินธนาคารซีไอเอ็มบีไทย รายงานว่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเปิดตลาดวันนี้ (15 ก.ย.) ที่ระดับ 30.74/30.76 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ 30.77/30.81 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยนักลงทุนยังติดตามว่าจะมีการออกมาตรการเพื่อควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศหรือไม่ หลังจากที่เมื่อวานนี้มีกระแสข่าวลือว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาตรการเพื่อคุมการไหลเข้าของเงินทุน ทำให้เงินบาทปิดตลาดอ่อนค่าลง

 

ซีไอเอ็มบีไทย สรุปสถานการณ์ตลาดเงินเมื่อ 14 ก.ย. บาท/ดอลลาร์ เมื่อวันอังคาร(14 ก.ย.) เงินบาทอ่อนค่าลง โดยเป็นผลมาจากกระแสข่าวเกี่ยวกับการเตรียมออกมาตรการดูแลการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้นักลงทุนบางส่วนใช้เป็นจังหวะในการขายทำกำไรเงินบาท และมีแรงหนุนสำคัญจากการเกินดุลการค้าอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกันรมว.พาณิชย์ เผยว่าหากเงินบาทไม่แข็งค่ากว่าระดับ 30 ต่อดอลลาร์ เชื่อว่าการส่งออกในปีนี้ จะยังสามารถเติบโตได้ 20% ตามเป้าหมายที่วางไว้

 

 

 

เยน/ดอลลาร์ เมื่อวันอังคาร(14 ก.ย.) แข็งค่าขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการขายดอลลาร์จากผู้ส่งออกญี่ปุ่นก่อนปิดงบดุลบัญชีกลางปีในวันที่ 30 ก.ย. และถึงแม้ว่านายกรัฐมนตรีนาโอโตะ คัง ของญี่ปุ่น ได้รับชัยชนะในการลงมติเลือก หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น(ดีพีเจ) ก็ตาม ทั้งนี้ อัตราดอลลาร์/เยน ปรับตัวตามส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างสหรัฐ-ญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด เนื่องจากส่วนต่างที่แคบลง หมายความถึงแรงจูงใจที่น้อยลงสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่นในการเข้าซื้อตราสารหนี้สหรัฐ และก่อนหน้านี้ดอลลาร์/เยนได้รับแรงกดดัน อันเป็นผลจากการร่วงลงของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวแข็งแกร่ง

 

 

 

ยูโร/ดอลลาร์ เมื่อวันอังคาร(14 ก.ย.) เงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ท่ามกลาง ข่าวเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการผ่อนคลายเชิงปริมาณอีกเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานการเปิดเผยของโกลด์แมน แซคส์ว่า บริษัทไม่แน่ใจว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทาง เศรษฐกิจของสหรัฐหรือไม่ แต่การปรับลดดังกล่าวไม่มีแนวโน้มเพียงพอที่จะกระตุ้น ให้มีการผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิตกทิศทางเศรษฐกิจยุโรป ถ่วงดาวโจนส์ปิดลบ

 

Posted on Wednesday, September 15, 2010

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากเปิดทำการซื้อขายได้ไม่นาน ขานรับรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 0.4% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% และยังปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 5 เดือน เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดขายน้ำมันเบนซินที่สถานีบริการทั่วประเทศและยอดขายเสื้อผ้าที่ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน รวมทั้งรายงานที่ว่า ปริมาณสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 1.0% สู่ระดับ 1.38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เนื่องจากยอดขายในภาคเอกชนขยายตัวแข็งแกร่ง โดยปริมาณสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกที่ทะยานขึ้นแข็งแกร่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกเดินหน้าขึ้น โดยหุ้นเมซี อิงค์ ปิดบวก 2.9% หุ้นเจซี เพนนี ปิดพุ่ง 7.4% และหุ้นเบสท์บายปิดบวก 6%

 

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ในช่วงบ่ายเริ่มถอยร่นลงมาเคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจในยุโรป หลังจาก ZEW Center ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจในยุโรประบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีร่วงลงสู่ระดับ -4.3 จุดในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากระดับ +18.3 จุดในเดือนส.ค.

 

ขณะที่ยูโรสแตท (Eurostat) ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (EU) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย.

 

ด้านดัชนี S&P 500 ปิดร่วงจากแรงขายในกลุ่มสถาบันการเงิน นำโดยข่าว Bank of America ที่อาจต้องซื้อวงเงินสินเชื่อบ้านกลับคืนในมูลค่าที่อาจสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวขึ้นคึกคัก

 

หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนักที่สุดในบรรดา 24 หมวดอุตสาหกรรมของ S&P 500 หลังมีรายงานข่าวว่า Bank of America ในฐานะธนาคารที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อาจต้องซื้อกลับวงเงินสินเชื่อบ้านที่ให้ไประหว่างปี 2548-2550 ด้วยเหตุผลในเรื่องข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ขณะที่สื่ออย่าง Financial Times ยังรายงานด้วยว่า ธนาคารขนาดใหญ่รายนี้มีแผนแยกสินทรัพย์และธุรกิจที่ตนต้องการจะขายออกด้วยเช่นกัน ซึ่งข่าวดังกล่าวก็ทำให้หุ้น Bank of America ร่วงลงไปเกือบ 2% เมื่อคืนที่ผ่านมา

 

ส่วนราคาหุ้นธนาคาร BB&T ดิ่งลงถึง 3.9% เมื่อซีอีโอนาย Kelly King บอกว่า ธนาคารจะล้างหนี้สูญในส่วนของวงเงินกู้ที่มีปัญหาในจำนวนเงินที่สูงกว่าตัวเลขที่เคยวางแผนจะขายถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอีกธนาคารจากรัฐจอร์เจีย อย่าง Suntrust Banks ราคาหุ้นกลับพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อ CFO ออกมาบอกว่า ธนาคารจะสามารถรายงานกำไรได้ในไตรมาส 3 นี้ หลังต้องเจอกับตัวเลขขาดทุนมาตลอด 7 ไตรมาสติดต่อกัน

 

อย่างไรก็ตาม แรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังประคองไม่ให้ตลาดร่วงลงไปลึกมากนัก โดยหนึ่งในข่าวดีมาจาก Cisco ผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์รายใหญ่ ที่เตรียมจะประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกในอัตราระหว่าง 1-2% ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ซีอีโอ นาย John Chambers เคยเปิดเผยไว้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

- Dow Jones ปิดที่ 10,526.49 จุด (-0.17%)

- S&P 500 ปิดที่ 1,121.10 จุด (-0.07%)

- Nasdaq ปิดที่ 2,289.77 จุด (+0.18%)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วิตกทิศทางเศรษฐกิจยุโรป ถ่วงดาวโจนส์ปิดลบ

 

Posted on Wednesday, September 15, 2010

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากเปิดทำการซื้อขายได้ไม่นาน ขานรับรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 0.4% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% และยังปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งสุดในรอบ 5 เดือน เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดขายน้ำมันเบนซินที่สถานีบริการทั่วประเทศและยอดขายเสื้อผ้าที่ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน รวมทั้งรายงานที่ว่า ปริมาณสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 1.0% สู่ระดับ 1.38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% เนื่องจากยอดขายในภาคเอกชนขยายตัวแข็งแกร่ง โดยปริมาณสินค้าคงคลังในภาคธุรกิจเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีอิทธิพลต่อวงจรทางธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกที่ทะยานขึ้นแข็งแกร่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีกเดินหน้าขึ้น โดยหุ้นเมซี อิงค์ ปิดบวก 2.9% หุ้นเจซี เพนนี ปิดพุ่ง 7.4% และหุ้นเบสท์บายปิดบวก 6%

 

อย่างไรก็ตาม ดัชนีดาวโจนส์ในช่วงบ่ายเริ่มถอยร่นลงมาเคลื่อนไหวในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจในยุโรป หลังจาก ZEW Center ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจในยุโรประบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีร่วงลงสู่ระดับ -4.3 จุดในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากระดับ +18.3 จุดในเดือนส.ค.

 

ขณะที่ยูโรสแตท (Eurostat) ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (EU) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย.

 

ด้านดัชนี S&P 500 ปิดร่วงจากแรงขายในกลุ่มสถาบันการเงิน นำโดยข่าว Bank of America ที่อาจต้องซื้อวงเงินสินเชื่อบ้านกลับคืนในมูลค่าที่อาจสูงถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยียังคงปรับตัวขึ้นคึกคัก

 

หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหนักที่สุดในบรรดา 24 หมวดอุตสาหกรรมของ S&P 500 หลังมีรายงานข่าวว่า Bank of America ในฐานะธนาคารที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ อาจต้องซื้อกลับวงเงินสินเชื่อบ้านที่ให้ไประหว่างปี 2548-2550 ด้วยเหตุผลในเรื่องข้อมูลที่ผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ขณะที่สื่ออย่าง Financial Times ยังรายงานด้วยว่า ธนาคารขนาดใหญ่รายนี้มีแผนแยกสินทรัพย์และธุรกิจที่ตนต้องการจะขายออกด้วยเช่นกัน ซึ่งข่าวดังกล่าวก็ทำให้หุ้น Bank of America ร่วงลงไปเกือบ 2% เมื่อคืนที่ผ่านมา

 

ส่วนราคาหุ้นธนาคาร BB&T ดิ่งลงถึง 3.9% เมื่อซีอีโอนาย Kelly King บอกว่า ธนาคารจะล้างหนี้สูญในส่วนของวงเงินกู้ที่มีปัญหาในจำนวนเงินที่สูงกว่าตัวเลขที่เคยวางแผนจะขายถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอีกธนาคารจากรัฐจอร์เจีย อย่าง Suntrust Banks ราคาหุ้นกลับพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อ CFO ออกมาบอกว่า ธนาคารจะสามารถรายงานกำไรได้ในไตรมาส 3 นี้ หลังต้องเจอกับตัวเลขขาดทุนมาตลอด 7 ไตรมาสติดต่อกัน

 

อย่างไรก็ตาม แรงซื้อในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังประคองไม่ให้ตลาดร่วงลงไปลึกมากนัก โดยหนึ่งในข่าวดีมาจาก Cisco ผู้ผลิตอุปกรณ์เน็ตเวิร์คคอมพิวเตอร์รายใหญ่ ที่เตรียมจะประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นครั้งแรกในอัตราระหว่าง 1-2% ซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่ซีอีโอ นาย John Chambers เคยเปิดเผยไว้เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

- Dow Jones ปิดที่ 10,526.49 จุด (-0.17%)

- S&P 500 ปิดที่ 1,121.10 จุด (-0.07%)

- Nasdaq ปิดที่ 2,289.77 จุด (+0.18%)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำ ประจำวันที่ 15 ก.ย. 53

ข่าวเศรษฐกิจ ThaiPR.net -- พุธที่ 15 กันยายน 2553 09:44:58 น.

กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์

คำแนะนำการลงทุน Gold Futures

DAY TRADER

GFV10 ซื้อในช่วงราคา 18290 — 18330 ขายในช่วงราคา 18410 — 18440

GFZ10 ซื้อในช่วงราคา 18380 — 18420 ขายในช่วงราคา 18500 — 18530

SWING TRADER

ทิศทางราคาทองคำโลก(Gold Spot) อยู่ในทิศทางของขาขึ้นโดยมีแนวรับและแนวต้านที่1260และ1280เหรียญ มีโอกาสไปทำ New Highที่1300และราคาทองคำไทยถูกแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่ผันผวนซึ่งมีกระแสข่าวการแทรกแซงค่าเงินบาท คำแนะนำนักลงทุนรายวันให้เก็งกำไรตามภาวะขาขึ้น นักลงทุนรายสัปดาห์แนะนำเพิ่มสถานะ LONG POSITION เป็น40%ของ Portfolio

 

GFV10 รอเข้าซื้อที่ระดับ 18580 รอขายที่ระดับ 18700

ปัจจัยสำคัญ

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 24.60 ดอลลาร์ สู่ระดับ 1,271.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากที่เคลื่อนตัวในช่วง 1,246.00 - 1,276.50 ดอลลาร์ เมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของยุโรปและตัวเลขเงินเฟ้อของอังกฤษได้กระตุ้นให้นักลงทุนแห่ซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ส่งผลให้สัญญาทองคำทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,276.5 ดอลลาร์ในระหว่างวัน

 

ZEW Center ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจในยุโรประบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนในเยอรมนีร่วงลงสู่ระดับ -4.3 จุดในเดือนก.ย.ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2552 จากระดับ +18.3 จุดในเดือนส.ค. ขณะที่ยูโรสแตท (Eurostat) ซึ่งเป็นสำนักงานสถิติของสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของ 16 ประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโรทรงตัวในเดือนก.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะดีดตัวขึ้น 0.2% หลังจากร่วงลง 0.2% ในเดือนมิ.ย. รวมถึงสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อ เคลื่อนไหวที่ระดับ 3.1% ต่อปี ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางอังกฤษ

 

กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองรายใหญ่ที่สุดในโลก เข้าถือครองทองคำที่1298.698ตันในช่วงเวลาที่สิ้นสุด ณ วันที่ 14ก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้น6.079ตัน จากระดับ1292.619ตันของวันที่ 13 ก.ย.

 

GOLD Market Recap : 14/09/2010

MORNING RECAP : ราคาทองคำต่างประเทศเปิดที่ระดับ 1,249 $ ส่วน Gold Future V10 เปิดที่ 18,310 สมาคมค้าทองแท่งเปิดที่ 18,250 ปรับขึ้น 50 บาทจากวันทำการก่อน ตลาดทองคำ ( ราคาต่างประเทศ )อยู่ในทิศทางการปรับฐาน แต่ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังแข็งค่าไม่หยุด โดยล่าสุดอยู่ที่ 30.75 บาท ต่อดอลล่าร์สหรัฐ ในช่วงเช้าราคาทองคำแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,250 - 1,252 $ สำหรับช่วงบ่าย ราคาทองคำต่างประเทศทะยานขึ้นแรงชนแนว 1,255 $ ปิดตลาด Gold Future V10 ปิดตลาดที่ 18,410 ในขณะที่ราคาทองคำแท่งของสมาคมค้าทองคำแท่ง ปรับขึ้น 50 บาท ปิดตลาดอยู่ที่ 18,300 บาท นักลงทุนซื้อขายทำกำไรอย่างหนาแน่น หลังจากที่ Gold Spot เคลื่อนไหวในทิศทางปรับฐาน และเงินบาทยังแข็งค่า

 

NIGHT RECAP: ราคาทองคำเปิดตลาดในประเทศไทยปิดที่ระดับ 1253 เหรียญ โดยราคาเคลื่อนตัวอยู่ระหว่าง 1248 - 1254 เหรียญ ในเวลาประเทศไทย ต่อมาในตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ราคาทองคำมีการทะยานตัวอยู่ขึ้นไปที่ระดับ 1275 เหรียญ และกลับมาปิดตลาดที่ 1271 เหรียญ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ เยือนจีนทำงานการกุศล

 

Posted on Wednesday, September 15, 2010

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาเมื่อวานนี้ (อังคารที่ 14 ก.ย. 2553)

• ยอดค้าปลีก (ส.ค.) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้า

• สินค้าคงคลังภาคธุรกิจ (ก.ค.) เพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนก่อนหน้า

 

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯที่จะประกาศออกมาวันนี้ (พุธที่ 15 ก.ย. 2553)

• ราคานำเข้า-ส่งออก (ส.ค.) โดย กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

• ตัวเลขน้ำมันสำรองประจำสัปดาห์ โดย EIA

• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (ส.ค.) โดย ธนาคารกลางสหรัฐฯ

 

 

บิล เกตส์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ เยือนจีนทำงานการกุศล

 

บิล เกตส์ ประธานบริษัทไมโครซอฟท์ คอร์ป และวอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทธาเวย์ เปิดใจกับสำนักข่าวซินหัวว่า การเดินทางเยือนประเทศจีนในวันที่ 29 ก.ย.นี้มีเป้าหมายที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของการทำงานด้านการกุศล และไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะกดดันให้ชาวจีนบริจาคเงินแต่อย่างใด

 

ท่ามกลางกระแสความวิตกกังวลที่ว่า สองผู้มีอิทธิพลในโลกธุรกิจอย่างเกตส์และบัฟเฟตต์ ผู้ริเริ่มโครงการ "The Giving Pledge" ในเดือนมิ.ย.เพื่อชักชวนบรรดามหาเศรษฐีในสหรัฐให้แบ่งปันความมั่งคั่งด้วยการบริจาคเงินเพื่อการกุศลนั้น จะเดินทางมากดดันชาวจีนให้ร่วมบริจาคด้วย ซึ่งในงานเลี้ยงการกุศลที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ก.ย.นี้ มีนักธุรกิจจีนเพียงกลุ่มเล็กๆที่ตอบรับคำเชิญ จึงทำให้เกิดกระแสข่าวเรื่องความเต็มใจในการบริจาคเงินของเศรษฐีชาวจีน

 

กระแสข่าวดังกล่าวทำให้เกตส์และบัฟเฟตต์ออกมาอธิบายว่า "หนึ่งในเป้าหมายการเดินทางเยือนประเทศจีนในครั้งนี้คือ การใช้โอกาสที่จะนั่งลงพูดคุยกับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและบรรดาผู้ใจบุญ เพื่อที่จะเรียนรู้ถึงการทำงานด้านการกุศลในจีน และเพื่อที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของเราเองที่มีต่อสังคมและโลกใบนี้"

 

เกตส์และบัฟเฟตต์ต่างรู้ดีว่า โครงการ "The Giving Pledge" เป็นโครงการระดมทุนเพื่อการกุศลจากผู้ใจบุญ และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าการเดินทางไปจีนในครั้งนี้จะราบรื่นหรือไม่

 

จาง ยินจุน โฆษกสมาพันธ์การกุศลของจีน (China Charity Federation) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดของจีนกล่าวว่า แนวความคิดของชาวจีนผู้มั่งคั่งก็คือการสร้างทุกสิ่งไว้ให้เป็นมรดกกับลูกหลาน ซึ่งแนวคิดเช่นนี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการบริจาคเงินเพื่อการกุศล

 

ขณะที่จาง จิง โฆษกหญิงของสำนักงานตัวแทนมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ ในกรุงปักกิ่ง กล่าวกับซินหัวว่า ทางสำนักงานประสบความยากลำบากในการยืนยันตัวเลขของเศรษฐีชาวจีนที่จะเข้าร่วมงานการกุศลครั้งนี้ โดยทางสำนักงานไม่ได้จงใจเลือกเศรษฐี 50 คนที่ติดอันดับผู้ร่ำรวยที่สุดของจีน แต่เลือกเฉพาะผู้ที่แสดงความสนใจในการทำงานเพื่อการกุศลเท่านั้น

 

 

ตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่สอง

 

เป็นไปตามคาดสำหรับตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ที่ออกมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ซึ่งอย่างน้อยก็ทำให้หลายคนเบาใจได้ว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังอาจไม่ชะลอตัวลงแรงมากนัก

 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขยอดค้าปลีกขยับขึ้น 0.4% ในเดือนที่แล้ว ต่อเนื่องจากการปรับตัวขึ้น 0.3% ในเดือนกรกฎาคม ขณะที่ตัวเลขที่ไม่รวมสินค้าในหมวดยานยนต์ก็พุ่งขึ้นมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ถึงสองเท่า

 

นักเศรษฐศาสตร์ของ JPMorgan Chase ในนิวยอร์ก บอกว่า รายงานดังกล่าวเป็นสิ่งตอกย้ำความมั่นใจของนักลงทุนที่ก่อนหน้านี้เคยกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจกลับเข้าสู่สภาวะถดถอยอีกครั้ง ยิ่งถ้าสถานการณ์ในตลาดแรงงานออกมาดีขึ้นด้วย ก็น่าจะทำให้ตลาดมั่นใจได้มากขึ้นที่การฟื้นตัวในรอบนี้จะมีความมั่นคงมากกว่าเดิม

 

สำหรับรายละเอียดของตัวเลขยอดค้าปลีก พบว่า มี 8 จาก 13 หมวดสินค้าที่ขยายตัวในเดือนที่แล้ว นำโดย สินค้าในร้านขายของเบ็ดเตล็ด หรือ grocery store ไปจนถึงสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งยอดขายที่ดีขึ้นของร้านประเภทหลังสามารถสะท้อนได้จากราคาน้ำมันขายปลีกที่ปรับเพิ่มขึ้น

 

อย่างไรก็ดี แม้ตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์จะเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์และผู้ประกอบการขายปลีกมองไว้ แต่ก็มีผู้ค้าบางรายที่ยังคงมีมุมมองในแบบที่ระมัดระวังมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของธุรกิจเสื้อผ้า บริษัท Talbots ที่เพิ่งปรับลดคาดการณ์รายได้ของทั้งปีลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังตัวเลข same-store sales ร่วงลง 1.4% ในไตรมาสล่าสุดที่สิ้นสุดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งซีอีโอ นาย Trudy Sullivan บอกว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไม่ได้เป็นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และไม่มีท่าทีที่สภาวะความผันผวนเช่นนี้จะยุติลงง่ายๆ

 

 

BCG ย้ำเศรษฐกิจเกิดใหม่เป็นแหล่งโอกาสทางการค้า

 

รายงานจากบอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) ระบุว่า เมืองใหญ่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีประชากรมากกว่า 500,000 คนจะสร้างโอกาสทางการค้าให้กับบริษัทต่างๆ ได้อย่างมหาศาลในหลายสิบปีข้างหน้า

 

รายงานของ BCG ที่เผยแพร่ในที่ประชุม World Economic Forum (WEF) ซึ่งจัดขึ้นที่เขตเทศบาลนครเทียนจิน ระหว่างวันที่ 13-15 กันยายนนี้ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลและกลุ่มผู้บริหารภาคธุรกิจกว่า 1,500 คนจากเกือบ 90 ประเทศเข้าร่วมประชุม

 

รายงาน ระบุว่า ปัจจุบันนี้ เมืองต่างๆ กว่า 717 แห่งในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีประชากรทั้งสิ้น 2.6 พันล้านคน หรือราว 1 ใน 3 ของประชากรทั่วโลก ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก 1.3 พันล้านคนภายในปี 2573

 

ขณะที่จำนวนครอบครัวชนชั้นกลางมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นด้วย และโอกาสการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ ก็ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ รายงานระบุด้วยว่า กว่า 37% ของรถที่จำหน่ายได้ทั่วโลกกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ และยอดขายรถหรูในกลุ่มประเทศเหล่านี้ก็ปรับตัวขึ้นมาแข่งกับยอดขายในเยอรมนี ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา

 

ขณะที่ในปี 2558 สัดส่วนการบริโภคภาคเอกชนของเมืองในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะขยายตัวในระดับ 30% ของอัตราการบริโภคภาคเอกชนทั่วโลก

 

ขณะเดียวกัน เมืองต่างๆ ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ด้านระบบสาธารณูปโภคได้มาก และราว 60 - 70% ของยอดการลงทุนทั่วโลกด้านโครงสร้างพื้นฐานจะกระจายไปยังกลุ่มเมืองเหล่านี้ภายในปี 2573

 

อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวเตือนว่า แม้การเติบโตของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะช่วยสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจ แต่บริษัทต่างๆ ยังคงมีความท้าทายในการดำเนินธุรกิจที่ต้องเผชิญอยู่

 

"ผู้บริโภคในเมืองที่อยู่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มีความต้องการเฉพาะด้านและมีรูปแบบการจับจ่ายใช้สอยที่ต่างไปจากผู้บริโภคในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว

 

ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่บริษัทระดับโลกต้องคำนึงถึงจึงอยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการส่วนลึกของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง"

 

 

ECB มั่นใจ สหรัฐ ดูแลแบงก์พาณิชย์ได้ตามเกณฑ์บาเซิล 3

 

นายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป กล่าวในฐานะตัวแทนผู้ว่าการธนาคารกลางทั่วโลกหลังจากเป็นประธานงานประชุม Global Economy Meeting ที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันนี้ว่า เขาเชื่อมั่นว่าทางการสหรัฐจะสามารถทำตามกฎเกณฑ์ของคณะกรรมการบาเซิลในการกำกับดูแลด้านการธนาคาร

 

ทริเชต์กล่าวว่า "ตัวเขามั่นใจเต็มเปี่ยมว่าทางการสหรัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และรัฐบาลทั่วโลกก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วย เพื่อที่จะดำเนินการตามมาตรฐานของคณะกรรมการบาเซิล"

 

คณะกรรมการบาเซิลด้านการกำกับดูแลภาคการธนาคาร มีมติให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มการดำรงเงินกองทุนคุณภาพสูงสุด หรือกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1 capital) ตามเกณฑ์บาเซิล 3 (Basel III) เป็น 7% ของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันที่กำหนดไว้เพียง 2% โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินในอนาคต และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าธนาคารจะมีเงินทุนเพียงพอในการต้านทานภาวะวิกฤตโดยไม่ต้องนำเงินภาษีราษฎรมาใช้ในการแก้ไขปัญหาด้านการเงินเหมือนกับที่ผ่านมา

 

นอกเหนือจากการดำรงกองทุนขั้นที่ 1 แล้ว คณะกรรมการบาเซิลยังกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์เพิ่มเม็ดเงินในทุนสำรองกันชน (capital conservation buffer) เป็น 2.5% ของสินทรัพย์ เพื่อให้ธนาคารสามารถต้านทานภาวะวิกฤตในอนาคตได้ ซึ่งหากธนาคารพาณิชย์รายใดไม่สามารถเพิ่มเงินในกองทุนกันชนได้ตามกำหนด ก็จะต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการจ่ายเงินปันผลหรือโบนัส หรืออาจจะต้องระงับการจ่ายเงินปันผล

 

"การตัดสินใจของคณะกรรมการบาเซิลถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธนาคารพาณิชย์ เมื่อเราอยู่ในเศรษฐกิจที่มีการเชื่อมโยงกันทั่วโลก ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเงิน เราก็ต้องมีการกำหนดมาตรฐานให้อยู่ในระดับเดียวกันด้วย" ทริเชต์กล่าว

 

 

เงินเฟ้ออังกฤษสูงเกินเป้า หลังราคาอาหาร-ตั๋วเครื่องบินพุ่ง

 

สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นดัชนีหลักที่ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อ ยังทรงตัวที่ระดับ 3.1% ต่อปี ในเดือนสิงหาคม ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางอังกฤษ

 

ขณะที่ ดัชนีราคาผู้ค้าปลีก (RPI) ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ชี้วัดเงินเฟ้ออีกทางหนึ่งโดยรวมต้นทุนเกี่ยวกับบ้าน ปรับตัวลงแตะ 4.7% ต่อปี ในเดือนส.ค. จากระดับ 4.8% ในเดือนก.ค.

 

CPI เป็นดัชนีหลักที่ธนาคารกลางอังกฤษใช้ในการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ส่วน RPI เป็นดัชนีที่ใช้ในการเจรจาเรื่องค่าจ้าง

 

ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลงในเดือนส.ค. โดยคาดว่า CPI จะอยู่ที่ 2.9% และ RPI ที่ 4.6%

 

สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ไม่รวมราคาอาหาร บุหรี่ แอลกอฮอล์ และพลังงาน ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 2.8% จากระดับ 3.6% ในเดือนก.ค.

 

สำนักงานสถิติฯระบุว่า ถึงแม้ราคารถยนต์และเชื้อเพลิงได้ปรับตัวลดลง แต่ราคาอาหาร เสื้อผ้า และค่าตั๋วเครื่องบินที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง

 

ค่าตั๋วเครื่องบินพุ่งขึ้น 16% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นสถิติการปรับตัวขึ้นรุนแรงสุดสำหรับเดือนส.ค.

 

ส่วนราคาอาหารยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะขนมปัง ธัญพืช และผัก โดยราคาข้าวสาลีแตะระดับสูงสุดในรอบ 22 เดือน หลังจากที่พุ่งขึ้นมากกว่า 50% นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิ.ย.

 

ทั้งนี้ หลังจากที่มีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าว เงินปอนด์พุ่งขึ้น 0.6% เนื่องจากตลาดคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางอังกฤษจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ประเมินไว้ในตอนแรก

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารกลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุด 0.5% เป็นเดือนที่ 18 ติดต่อกัน แม้จะเริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ธนาคารขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ

 

ถึงแม้ว่าเงินเฟ้อในปัจจุบันจะสูงเกินกำหนด แต่ข้อมูลเศรษฐกิจต่างๆยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเศรษฐกิจอังกฤษฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไตรมาสสามอาจชะลอตัว จึงส่งผลให้ธนาคารยังไม่กล้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

 

รมว.ทรัพยากรออสเตรเลียยังไม่มีนโยบายขึ้น “ภาษีเหมือง”

 

มาร์ติน เฟอร์กูสัน รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรของออสเตรเลีย เปิดเผยว่า รัฐบาลออสเตรเลียไม่มีนโยบายที่จะขึ้นภาษีการทำธุรกิจเหมือง เพื่อเอาใจพรรคกรีนส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล และต้องการปรับขึ้นภาษีเป็น 40% โดยรมว.ทรัพยากรระบุว่า การขึ้นอัตราภาษีคงจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเรื่องการจัดเก็บภาษีไม่ใช่เงื่อนไขในการรวมตัวกันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง

 

รมว.ทรัพยากร กล่าวว่า ตนเองพร้อมที่จะหารือกับพรรคกรีนส์และสมาชิกรัฐสภาอิสระเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีการทำเหมือง ซึ่งผลพวงจากการหารือจะส่งผลกระทบอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมาย เพราะจะต้องผ่านขบวนการในภาคประชาชนด้วยเช่นกัน

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา เฟอร์กูสันได้มีส่วนร่วมในการเจรจาต่อรองเรื่องข้อตกลงกับบริษัท บีเอชพี บิลลิตัน ริโอ ทินโต และเอ็กซ์ตราต้า เรื่องการจัดเก็บภาษีการเช่าทรัพยากรเหมืองที่จำกัดเฉพาะสินแร่เหล็กและถ่านหิน

 

พรรคแรงงานของจูเลีย กิลลาร์ด นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีบริษัทต่างๆจำนวน 320 แห่ง แทนที่จะเก็บภาษีจากบริษัท 2,500 แห่ง ตามข้อเสนอของรัฐบาลชุดก่อนภายใต้การนำของนายเควิน รัดด์ อดีตนายกฯ

 

ก่อนที่จะมีการจัดการเลือกตั้งนั้น รัฐบาลได้จัดตั้งกลุ่มโอนถ่ายงานการกำหนดนโยบายภาษีการทำเหมือง ซึ่งมีอดีตประธานบีเอชพี บิลลิตัน และรมว.ทรัพยากรทำหน้าที่เป็นประธานร่วม

 

 

เอกชนเรียกร้องนาโอโตะ คัง หนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

 

ผู้บริหารภาคเอกชนของญี่ปุ่นต่างขานรับที่นายนาโอโตะ คัง ได้รับโอกาสให้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นต่อไป หลังจากที่คังได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น (ดีพีเจ) พร้อมกันนี้ ยังได้เรียกร้องให้นายกฯญี่ปุ่นเร่งใช้ยุทธศาสตร์เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ฮิโรมาสะ โยเนคูระ ประธานสหพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งพรรคดีพีเจชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคาดหวังว่า รัฐบาลจะใช้นโยบายอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยของประเทศ ซึ่งญี่ปุ่นไม่สามารถชะลอการปฏิรูปภาษี การคลัง และความมั่นคงทางสังคมต่อไปได้อีกแล้ว

 

ด้านมาซามิตสึ ซากุราอิ ประธานสมาคมผู้บริหารบริษัทเอกชนญี่ปุ่น ได้ขอให้นายกฯลดภาษีนิติบุคคล และส่งเสริมการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี รวมทั้งการปฏิรูปการกำกับดูแลเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ และเพิ่มการลงทุนและจ้างงานภายในประเทศ

 

ทาดาชิ โอกามูระ ประธานหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น กล่าวว่า การใช้มาตรการทางเศรษฐกิจจะล่าช้าต่อไปไม่ได้ ขณะที่เงินเยนแข็งค่าขึ้นและส่งผลกระทบต่อบริษัทของญี่ปุ่นอย่างหนัก ขณะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็เป็นไปในลักษณะที่ชะลอตัว โดยเฉพาะบริษัทเล็กนั้น รัฐบาลควรจะสร้างดีมานด์ขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...