โอกาส"ทอง" (จริงๆ) : Safe Heaven

[ส้มโอมือ 4,910]

ลือหึ่ง! เยอรมนีจ่อถอน “ทองคำมหาศาล” ที่ฝากไว้ต่างแดนกลับประเทศ อ้างทำเพื่อความมั่นคง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มกราคม 2556 09:27 น.

 

 

เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ธนาคารกลางเยอรมนี(Deutsche Bundesbank )ต้องการนำทองคำของตนจำนวนมากที่ฝากไว้ในประเทศอื่นๆ ทั้งในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกากลับประเทศ เร็วๆนี้เพื่อความมั่นคงทางการคลัง ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจและการเงินรายวัน “ฮันเดิลสบลัตต์” เมื่อวันอังคาร (15) โดยหากรายงานดังกล่าวเป็นความจริง จะถือเป็นหนึ่งในการโยกย้ายทองคำระหว่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติ ศาสตร์

 

รายงานของสื่อสิ่งพิมพ์ฉบับดังกล่าวระบุว่า ศาลของรัฐบาลกลางเยอรมนีว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินได้เข้าตรวจสอบปริมาณ ทองคำคงคลังของประเทศหลังได้รับการร้องขออย่างเป็นทางการเมื่อปีที่ แล้วจากกลุ่มเคลื่อนไหวภายในประเทศของพวก “ยูโรสเค็ปติกส์” หรือพวกที่มีความสงสัยคลางแคลงใจ ต่อบทบาทและความจำเป็นของสหภาพยุโรป (อียู)

 

หลังการเข้าตรวจสอบปริมาณทองคำคงคลังของประเทศ ศาลฯดังกล่าวของเยอรมนีได้เรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมนีภายใต้การนำของนายก รัฐมนตรีหญิงเหล็ก อังเกลา แมร์เคิล เร่งหาทางนำทองคำของเยอรมนีจำนวนมากที่ไปฝากไว้ในต่างประเทศกลับคืนมาเพื่อ ความมั่นคงทางการคลัง หลังจากรัฐบาลเยอรมนีในอดีต โดยเฉพาะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาต่างมีนโยบายนำทองคำของตนไปฝากไว้ในต่างแดนเพื่อกระจายความเสี่ยง จากสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในยุค “สงครามเย็น”

 

ตามข้อมูลที่สื่อดังอย่าง “ฮันเดิลสบลัตต์” รายงาน ระบุว่า ขณะนี้ 45 เปอร์เซ็นต์ของทองคำของเยอรมนีถูกนำไปฝากไว้ในธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่อีก 13 เปอร์เซ็นต์ และ 11 เปอร์เซ็นต์ ถูกนำไปเก็บไว้ในธนาคารกลางของอังกฤษ และธนาคารกลางฝรั่งเศสตามลำดับ ส่งผลให้มีปริมาณทองคำเพียงแค่ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ถูกเก็บไว้ภายในสำนักงานใหญ่ของบุนเดสบังก์หรือธนาคารกลางเยอรมนี ในนครแฟรงก์เฟิร์ต

 

รายงานข่าวซึ่งอ้างคำแนะนำของศาลฯระบุว่า ทองคำของเยอรมนีทั้งหมดที่นำไปฝากไว้ในฝรั่งเศส ควรจะเป็นทองคำส่วนแรกที่รัฐบาลเยอรมนีต้องดึงกลับมาไว้ในประเทศ ขณะที่ทองคำบางส่วนที่ฝากไว้ในอังกฤษและสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องคงอยู่ตามเดิมต่อไปก่อน เพื่อรองรับการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ

 

อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ เยนส์ ไวด์มันน์ ประธานบุนเดสบังก์ วัย 44 ปีที่เข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่พฤษภาคมปี 2011 ยังไม่ออกมาให้ความเห็นใดๆ ต่อรายงานของสื่อดังกล่าว

 

ทั้งนี้ ธนาคารกลางเยอรมนีได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือครองทองคำสำรองรายใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ โดยปริมาณทองคำในความครอบครองของบุนเดสบังก์นั้นมีกว่า 3,396.3 ตันเมื่อสิ้นปี 2011 หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 133,000 ล้านยูโร (ราว 5.3 ล้านล้านบาท)

เยนส์ ไวด์มันน์ ประธานบุนเดสบังก์

[Venus 0]

แล้วจะมีผล ต่อราคาทองคำไปในทิศทางใดคะ พ่ีส้มโอมือ

[mdaddy 2,443]

ชารล์ส เดอ กอลล์ เป็น ปธน. คนแรกที่สั่งถอนทองคำคืนจากอเมริกา จนทำให้นิกสันต้องประกาศชักดาบ

ตอนนี้เยอรมันก็โดนแรงกดดันจากประชาชน จนต้องเริ่มถอนทองคำคืนจากอเมริกา และประเทศอื่นๆ

 

มาฟังสิ่งที่ปธน. เดอ กอลล์ พูดไว้เมื่อปี ๑๙๖๕ กันครับ

 

[ส้มโอมือ 4,910]

แล้วจะมีผล ต่อราคาทองคำไปในทิศทางใดคะ พ่ีส้มโอมือ

ในระยะยาว ตามชื่อกระทู้เลยครับ โอกาสทองของทองจริงๆ

[ส้มโอมือ 4,910]

ชารล์ส เดอ กอลล์ เป็น ปธน. คนแรกที่สั่งถอนทองคำคืนจากอเมริกา จนทำให้นิกสันต้องประกาศชักดาบ

ตอนนี้เยอรมันก็โดนแรงกดดันจากประชาชน จนต้องเริ่มถอนทองคำคืนจากอเมริกา และประเทศอื่นๆ

 

มาฟังสิ่งที่ปธน. เดอ กอลล์ พูดไว้เมื่อปี ๑๙๖๕ กันครับ

 

http://www.youtube.com/watch?v=i-g2iGskFPE

 

ผมเชื่อว่า ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมเสมอ

[mdaddy 2,443]

โผออกแล้วครับ

ภายใน ๘ ปี จากนี้ บุนเดสแบงค์ จะปรับเปลี่ยนการเก็บทองคำ

โดยในปี ๒๐๒๐ จะถือครองทองคำร้อยละ ๕๐ ในประเทศ

 

โดยภายใน ๘ ปีนี้

• จะลดทองคำที่ฝากไว้ที่นิวยอร์คลง จากร้อยละ ๔๕ เหลือ ร้อยละ ๓๗
  
• ที่ลอนดอน ไม่เคลื่อนย้าย (ร้อยละ ๑๓)
  
• ที่ปารีส ย้ายกลับหมด (ร้อยละ ๑๑)
  

ย้ายกันแบบรักษาน้ำใจแบบนี้ (ใช้เวลา ๘ ปีในการย้าย) แถมไม่ไปแตะทองคำที่ลอนดอน ที่กฏหมายด้านการเงินหละหลวมมากๆอีก

 

สมัยที่ ปธน.เดอ กอลล์ เรียกทองคำกลับบ้าน ทางฝรั่งเศสถึงกับส่งเรือรบไปรับ/อารักขา ทองคำกลับบ้านเลยทีเดียว

 

ส่วนตัวมองว่าผลกระทบในระยะสั้น ไม่น่าจะรุนแรงเหมือนกับตอนที่ "ชาเวส" เรียกทองคำกลับเวเนซูเอลา ทั้งหมด ในระยะเวลาอันสั้น การเรียกทองคำกลับบ้านของบุนด์ฯ ในคราวนี้ น่าจะเป็นเพียงแค่การลดความร้อนแรง / กลบกระแส ขนทองกลับบ้านของชาวเยอรมันเท่านั้น

 

ที่มา http://www.jsmineset...ews-today-1427/

ถูกแก้ไข มกราคม 16, 2013 โดย wcg

[Jeng 63]

โผออกแล้วครับ

ภายใน ๘ ปี จากนี้ บุนเดสแบงค์ จะปรับเปลี่ยนการเก็บทองคำ

โดยในปี ๒๐๒๐ จะถือครองทองคำร้อยละ ๕๐ ในประเทศ

 

โดยภายใน ๘ ปีนี้

• จะลดทองคำที่ฝากไว้ที่นิวยอร์คลง จากร้อยละ ๔๕ เหลือ ร้อยละ ๓๗
  
• ที่ลอนดอน ไม่เคลื่อนย้าย (ร้อยละ ๑๓)
  
• ที่ปารีส ย้ายกลับหมด (ร้อยละ ๑๑)
  

ย้ายกันแบบรักษาน้ำใจแบบนี้ (ใช้เวลา ๘ ปีในการย้าย) แถมไม่ไปแตะทองคำที่ลอนดอน ที่กฏหมายด้านการเงินหละหลวมมากๆอีก

 

สมัยที่ ปธน.เดอ กอลล์ เรียกทองคำกลับบ้าน ทางฝรั่งเศสถึงกับส่งเรือรบไปรับ/อารักขา ทองคำกลับบ้านเลยทีเดียว

 

ส่วนตัวมองว่าผลกระทบในระยะสั้น ไม่น่าจะรุนแรงเหมือนกับตอนที่ "ชาเวส" เรียกทองคำกลับเวเนซูเอลา ทั้งหมด ในระยะเวลาอันสั้น การเรียกทองคำกลับบ้านของบุนด์ฯ ในคราวนี้ น่าจะเป็นเพียงแค่การลดความร้อนแรง / กลบกระแส ขนทองกลับบ้านของชาวเยอรมันเท่านั้น

 

ที่มา http://www.jsmineset...ews-today-1427/

 

ผมว่าเหตุผลที่เยอรมันเรียกทองกลับคืนประเทศโดยใช้เวลาถึง 8 ปี ก็เพราะว่าเยอรมันรู้ดีอยู่แล้วว่าที่อเมริกาไม่มีทองคำเหลืออยู่แล้ว เลยต้องให้เวลาอเมริกันในการขุดทองมาคืน

เยอรมันนานถึง 8 ปี คำถามที่จะตามมา คือถ้าประเทศอื่นๆต่อแถวเรียกทองกลับคืนจากอเมริกาบ้างละจะเป็นอย่างไร?

[คนหลงอ่าง 51]

บอกอเมริกา...ฝรั่งเศส..มาซื้อทองตู้แดง ที่เยาวราชซิ....ชาวดอยจะได้ขนมาขายให้...แต่ต้องเพิ่มกระดาษดอลล่าหน่อยนะ...เพราะเอาของจริง..

[mdaddy 2,443]

ผมว่าเหตุผลที่เยอรมันเรียกทองกลับคืนประเทศโดยใช้เวลาถึง 8 ปี ก็เพราะว่าเยอรมันรู้ดีอยู่แล้วว่าที่อเมริกาไม่มีทองคำเหลืออยู่แล้ว เลยต้องให้เวลาอเมริกันในการขุดทองมาคืน

เยอรมันนานถึง 8 ปี คำถามที่จะตามมา คือถ้าประเทศอื่นๆต่อแถวเรียกทองกลับคืนจากอเมริกาบ้างละจะเป็นอย่างไร?

 

มองเหมือนกับที่สมาชิกในซีโร่เฮดจ์คุยกันเลยครับ

 

 

บอก อเมริกา...ฝรั่งเศส..มาซื้อทองตู้แดง ที่เยาวราชซิ....ชาวดอยจะได้ขนมาขายให้...แต่ต้องเพิ่มกระดาษดอลล่าหน่อย นะ...เพราะเอาของจริง..

 

ถ้าเขามาขอซื้อ ถ้าผมกัดฟันได้ ผมกัดฟันเก็บไว้ครับ

เอากระดาษมาแลกกับของจริงแบบนี่ อาจจะดูดีในระยะสั้น

แต่ในระยะยาว เราขาดทุนครับ

ถูกแก้ไข มกราคม 17, 2013 โดย wcg

[mdaddy 2,443]

เกร็ก ฮันเตอร์ คุยกับ แคเทอริน ออสติน ฟิทส์* มีเนื้อความน่าสนใจ(เท่าที่พอจำได้)ตามนี้ครับ

• ปัญหายาเสพติดในอเมริกา และแม็กซิโก เธอเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นการค้ายาของคนในรัฐบาลเอง เพื่อเอาเงินมาใช้เป็นงบในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ไม่สามารถเอาเข้าระบบบัญชีของรัฐบาลได้
  
• ธนาคารเอชเอสบีซี ที่พึ่งโดนพิพากษา ข้อหาฟอกเงินให้แก๊งค้ายา ก็ไม่มีใครติดคุกซักคน ธนาคารเสียแค่ค่าปรับเล็กน้อย (เมื่อเทียบกับเงินที่ฟอก) เท่านั้นเอง เหตุผลก็คือ ถ้าจับคนเข้าคุก หรือสั่งปิดแบงค์ อาจจะทำให้เศรษฐกิจพังได้ (คุ้นๆไหมครับ)
  
• เธอมองว่า สกุลเงินไม่น่าจะล้ม เพราะจากประวัติศาสตร์ เวลาเงินทำท่าจะล้ม คนที่เสียหายมักจะชิงทำสงครามก่อน
  
• สกุลเงินนั้นควรจะต้องถูกหนุนด้วยอะไรบางอย่าง ที่ผ่านมา เงินดอลล่าร์ถูกหนุนด้วยพลังงาน (น้ำมัน/ปิโตรดอลล่าร์) เธอให้ข้อสังเกตไว้ได้น่าสนใจว่า ที่ลุงแซมกำลังพยายามผลักดันเมล็ดพันธุ์ขยะ (จีเอ็มโอ) จากบริษัทชั้นเลวนำเช่นมอนซาตาน และกฏหมายสิทธิบัตร ไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกนั้น อาจจะเป็นเป้าหมายใหม่ของลุงแซม ที่จะใช้สิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์ขยะพวกนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่หนุนเงินดอลล่าร์ในอนาคต (หันมาสนับสนุนเกษตรอินทรีย์ แทนเกษตรเคมีกันดีกว่าครับ นอกจากดีกับสุขภาพแล้ว ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงของชาติโดยที่ไม่ต้องซื้อรถถัง เรือรบเพิ่มขึ้นด้วย)
  
• และแน่นอน ทองคำจะเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ในการหนุนระบบเงินในอนาคตด้วย
  
• กรณีที่เกิดซูนามิที่อินโดฯนั้น เธอตั้งข้อสังเกตไว้น่าสนใจมาก ว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง ๑ สัปดาห์ มีคนเทขายพันธบัตรอินโดนีเซียในรอบกลางคืนเป็นจำนวนมากโดยที่ ไม่มีข่าวไม่ดี ไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ย ฯลฯ (ประมาณว่าหาเหตุผลมารองรับไม่ได้) เธอเชื่อว่า กลุ่มคนที่เทขายพันธบัตรนั้น จะต้องรู้ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
  
• คนที่ต้องการจะเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง จะชอบเงินกระดาษ เพราะสามารถพิมพ์มาซื้อของได้ไม่อั้น
  และเมื่อเขาเป็นเจ้าของของมากพอแล้ว เขาก็จะชอบเงินที่มีสินทรัพย์ที่แท้จริงหนุนหลัง
  

ถูกแก้ไข มกราคม 17, 2013 โดย wcg

[Dr.Polar Bear 346]

ชอบทุกบทความดีๆของทุกท่านเลยครับ

[deb99 290]

ขอบคุณครับ

[milo 888]

ชารล์ส เดอ กอลล์ เป็น ปธน. คนแรกที่สั่งถอนทองคำคืนจากอเมริกา จนทำให้นิกสันต้องประกาศชักดาบ

ตอนนี้เยอรมันก็โดนแรงกดดันจากประชาชน จนต้องเริ่มถอนทองคำคืนจากอเมริกา และประเทศอื่นๆ

 

มาฟังสิ่งที่ปธน. เดอ กอลล์ พูดไว้เมื่อปี ๑๙๖๕ กันครับ

 

 

แล้วเกิดอะไรหลังจากนั้นครับ

[mdaddy 2,443]

แล้วเกิดอะไรหลังจากนั้นครับ

 

จากวิกิพีเดีย

• หกเดือนแรกของปี ๑๙๗๑ มีคนถอนสินทรัพย์ออกไปจากลุงแซมถึง สองหมื่นสองพันล้านเหรียญ
  
• เดือน พ.ค. เยอรมัน ออกจากระบบ เบรตตันวูด เพราะไม่ต้องการลดค่า ดอยช์มาร์ค เพื่อหนุนดอลล่าร์
  (เทียบกับตอนนี้ ใครๆก็แข่งกันลดค่าเงิน ไม่มีใครกล้าหือกับนายธนาคารกลางมาเฟียระดับโลก)
  
• ฝรั่งเศสถอนทองคำออกไปได้ ๑๙๑ ล้านเหรียญ
  
• สวิสถอนไปได้ ๕๐ ล้านเหรียญ ในเดือน ก.ค.
  
• พอถึงเดือนสิงหาฯ สภาคองเกรสแนะนำให้ลดค่าดอลล่าร์ เพื่อ ปกป้องดอลล่าร์ จากคนเก็งค่าเงินจากตปท.
  
• ๙ สิงหา เงินดอลล่าร์ลดค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างๆในยุโรป -- สวิสออกจากระบบเบรตตันวูด
  
• ๑๕ สิงหา นิกสันออกคำสั่งหมายเลข ๑๑๖๑๕
  - กำหนดเพดานค่าจ้างแรงงาน และสินค้า ในระยะเวลา ๙๐ วัน (นึกถึง Atlas Shrugged ขึ้นมาทันที)
  - คิดค่าธรรมเนียมนำเข้าเพิ่มอีกร้อยละ ๑๐
  - ยกเลิก "โกลด์ วินโดว์" ที่ยอมให้เอาดอลล่าร์มาแลกทองคำได้
  

https://en.wikipedia.org/wiki/Nixon_Shock

[ส้มโอมือ 4,910]

วรวรรณ ธาราภูมิ

5 ชั่วโมงที่แล้ว

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง

 

18 มกราคม 2556

 

General News

------------------

 

• รัฐบาลเยอรมนีลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงสู่ 0.4% จากเดิม 1% หลังจากที่การส่งออกยังคงชะลอตัวจากปัญหาเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในยูโรโซนและสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงไม่แน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาขยายตัวได้ที่ 1.6% ในปีหน้า โดยจะมีความต้องการภายในประเทศเป็นแรงผลักดันสำคัญ

 

• สเปน ขายพันธบัตรได้ตามเป้าหมาย 4.5 พันล้านยูโร ด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลงในทุกช่วง อายุ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีอยู่ที่ 2.713%, 5 ปีอยู่ที่ 3.77% และ 28 ปีอยู่ที่ 5.696% ซึ่งเป็นผลมาจากความมั่นใจของนักลงทุนต่อคำมั่นสัญญาของ ECB ที่จะเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศที่ประสบปัญหา

 

ทั้งนี้ สเปนกำลังเร่งจัดตั้งกองทุนกันชนสำหรับปี 2556 เพื่อหลีกเลี่ยงการขอรับเงินกู้จากกองทุนช่วยเหลือของยูโรโซน

 

• รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) ของ FED เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวในอัตรา “เล็กน้อยหรือปานกลาง" ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลวันหยุด ในขณะที่กิจกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวดีขึ้นทั่วประเทศ แสดงสัญญาณฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจ แม้ว่าผู้บริโภคและภาคธุรกิจจะยังคงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายการคลังและสภาวะเศรษฐกิจในยุโรปก็ตาม

 

• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ ที่สิ้นสุดวันที่ 12 ม.ค ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 335,000 ราย ซึ่งต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2551 สะท้อนว่าตลาดแรงงานสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น นอกจากนั้น ตลาดแรงงานยังได้แรงหนุนจากการใช้กฎหมายที่ขยายระยะเวลาการให้สวัสดิการแก่ผู้ว่างงานในระยะยาวด้วย

 

• ริชาร์ด ฟิชเชอร์ ประธาน FED สาขาดัลลัส แสดงความเห็นว่า มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของ FED ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ต้องการและจะส่งผลต่อเศรษฐกิจน้อยลงไปเรื่อยๆ โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมไม่ได้ลดลงรวดเร็วอย่างที่ต้องการเพราะอยู่ที่ระดับต่ำสุดอยู่แล้ว

 

• อัตราการว่างงานของออสเตรเลียเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.4% จาก 5.3%ในเดือน พ.ย. เพราะภาคธุรกิจลดการจ้างงานลง 5,500 ตำแหน่ง โดยนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า การจ้างงานจะชะลอตัวลงอีก หากไม่ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะอันใกล้

 

• การบริโภคภายในของญี่ปุ่นมีแนวโน้มดีขึ้น จากการที่ยอดขายรถยนต์มือสองในปีก่อนขยายตัว 6.4% กับยอดขายของห้างสรรพสินค้าได้เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับปี 2554 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 16 ปี นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นแนวโน้มที่ห้างสรรพสินค้าหลักในเมืองใหญ่จะขยายสาขาหรือปรับปรุงพื้นที่ขายใหม่

 

• ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของเกาหลีใต้เดือน ธ.ค.ลดลง 0.3% จากเดือน พ.ย. เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง แม้ว่าราคาสินค้าเกษตรจะเพิ่มสูงขึ้น

 

• ยอดส่งออกสินค้ายกเว้นน้ำมันของสิงคโปร์เดือน ธ.ค.ลดลง 16.3% เมื่อเทียบกับ ธ.ค. 2554 เพราะยอดส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มโครงสร้างเรือ และเภสัชภัณฑ์ ลดลง

 

• OPEC ลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกลงเล็กน้อยสู่ 760,000 บาร์เรลต่อวัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงผันผวน อย่างไรก็ตาม คาดว่าอุปสงค์จากจีนจะเพิ่มขึ้นมากที่สุด

 

Equity Market

------------------

 

• SET Index ปิดตลาดที่ 1,420.95 จุด เพิ่มขึ้น 4.81 จุด หรือ 0.34% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 59,237.38 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 657.39 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนเช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค โดยเงินทุนจากต่างชาติยังคงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องโดยที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบกับตลาด

 

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ควรติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ GDP ประจำไตรมาส 4/2555 ของจีน

 

Fixed Income Market

---------------------------

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวค่อนข้างทรงตัว โดยปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ -0.01% อนึ่ง กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าในตลาดตราสารนี้ไทยอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับตลาดหุ้น โดยนักลงทุนต่างซื้อสุทธิที่ 8,685 ล้านบาทโดยเฉพาะในตราสารระยะสั้น

 

• ธปท. ยอมรับว่า เริ่มเห็นสัญญาณการเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทย ทำให้ค่าเงินบาทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในช่วงนี้แต่ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับสกุลเงินภูมิภาค โดย ธปท. จะติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินและมีมาตรการเสริมพร้อมจะนำมาใช้ตามความเหมาะสม รวมถึงพยายามออกมาตรการที่จะส่งเสริมการนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นอีกด้วย

 

• ธ.กสิกรไทย ประมาณการว่าการออกหุ้นกู้ระยะยาวของภาคเอกชนในปีนี้จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 4.1 แสนล้านบาท จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น

 

จึงคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2.75%

 

• ธปท. ออกประกาศอนุญาตให้บุคคลรายย่อยลงทุนในตราสารในต่างประเทศและอนุพันธ์ ได้ในวงเงินไม่เกินรายละ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสามารถลงทุนผ่านตัวแทน ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ หรือ กองทุนส่วนบุคคล เท่านั้น เพื่อให้มีความคล่องตัวในการลงทุนและบริหารความเสี่ยงได้มากขึ้น