โอกาส"ทอง" (จริงๆ) : Safe Heaven

[MOR LEK 2,835]

ก็อปมาฝากครับ

Jimmy Siri ขาใหญ่ S -43,548 สัญญา และ L -41,717 สัญญา

แมสเม่า S -7,205 สัญญา และ L -12,328 สัญญา

 

มีความเป็นไปได้อยู่ 2 ประเด็นคือ

 

1.ทุกกลุ่มกำลังเร่งลดปริมาณการถึอครองสัญญาลงเพื่อให้สอดรับกฏเกณฑ์ที่ CFCT จะออกมาใหม่ คือ Position Limit หรือการกำหนดปริมาณสัญญาที่นักลงทุนแต่ละรายจะถือครองได้ เพื่อป้องกันการบิดเบือนราคาตลาด จากกรณีของ Silver Manipulation หรือการปั่นราคาโดยกลุ่มขาใหญ่ จากข้อมูลเดิมคือจะเริ่มออกมาบังคับใช้ ต้นเดือนมีนาคม แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการครับว่าเมื่อไหร่ เพียงแต่บอกมาว่าต้องมีแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่ก็....

 

2.แบงค์เกอร์เหล่านี้ กำลังเร่งปิดช๊อตหนีอะไรบางอย่าง ก็คือทองคำจะพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายถึง มีอะไร "แรงๆ" (ที่ไม่ดี) กำลังมา และคงเร็วๆนี้ เพราะปิด -43,548 หลังจากมีเรื่องอิยิปต์แล้ว นั่นคือยอมปิดที่ราคานี้ เหมือนจะรู้ว่าคงคุมราคาไม่อยู่ในระยะต่อไปนี้ แต่อะไรล่ะที่จะทำให้ทองพุ่งได้แรงในระดับนั้น???

 

แต่การที่แบงค์เกอร์ลดสัญญาฝั่ง L ลงด้วย ก็มีสิทธิ์ลุ้นให้เป็นอันแรกจะดีกว่า เพราะถ้าเป็นอันหลังคงจะเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสอยู่......ซึ่งไม่อยากเห็นเท่าไหร่ครับ

[Soda 36]

มะวานได้คุยกะคุณเนคแป๊บนึงในห้องแชต พร้อมกับคุณน้องเล็ก และคุณพี่ราตรี .... เช้าวันนี้เลยแวะมาสวัสดีคุณเนกถึงบ้าน และขอขอบคุณสำหรับความรู้ที่นำมาเสนอให้ และขอขอบคุณทุกๆท่านที่หาความรู้มาแปะไว้ให้อ่านเป็นวิทยาทานคะ ขอบคุณคะ

[ส้มโอมือ 4,910]

ยังไม่ได้หนังสือเลยคับ

สองอาทิตย์แล้วเหอๆ

รอเหมือนเดิมคับ

 

คณินท์ ศรีสวัสดิ์

มาลุ้นกันดีกว่าครับ ว่าคุณกับผมใครจะได้หนังสือก่อนกัน

[ส้มโอมือ 4,910]

ขอบคุณมากคุณหมอ

[baskie30 6,060]

มาลุ้นกันดีกว่าครับ ว่าคุณกับผมใครจะได้หนังสือก่อนกัน

 

ได้เเล้วบอกกันด้วยน้า(อิอิ)

[mdaddy 2,443]

ขอบคุณคะคุณmdaddyที่กรุณาแปลให้ สนุกและมัน ไม่เข้าใจโอบามา ว่ามีนักเศรษศาตร์อยู่คนเดียว หรือไม่มีใครยอมรับจ้อบกันแน่.

 

ตอบยากเหมือนกันครับ นักเศรษฐศาสตร์ที่เคารพยังบอกเองเลยว่า เศรษฐกิจของมะกันมีความซับซ้อนมาก จนแม้กระทั่งตัวท่านเองยังไม่กล้าวิพากษ์นโยบายทางการเงิน

ของสหรัฐฯ เพราะว่า "ยังไม่รู้จริง" ถ้าว่ากันตามหนังสือเรียน หรือสิ่งที่เกิดกับประเทศต่างๆเช่น ซิมบับเว หรืออาร์เจนตินา ก็เกิดจากนโยบายคล้ายๆกับ QE แต่ทำแบบรวดเร็ว

กว่า ชนิดที่เงินเฟ้อเป็นรายชั่วโมงเลย แต่เพราะความใหญ่ของประเทศ และสกุลเงินของมะกันมันคนละระดับกับสองประเทศนี้ และข้อเท็จจริงต่างๆที่เราๆท่านๆยังไม่ทราบอีกมาก

ผลที่ออกมาอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้ :: สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร

 

ขอบคุณทุกท่านที่เห็นว่าสิ่งที่เอามาลงมีประโยชน์ และคุณ next ที่อนุญาตให้นำข้อมูลมาเสริม โอกาสหน้าถ้าเจออะไรน่าสนใจ และเกี่ยวข้องกับกระทู้นี้จะนำมาฝากอีก

ตัวผมเองไม่มีความรู้ทางด้านเศรษฐกิจ/การเงิน ภาษาอังกฤษก็พอได้บ้าง แปลผิดถูกอย่างไร ยินดีรับคำติ และคำแนะนำครับ

 

เหรียญมีสองด้าน โปรดใช้วิจารณยานในการรับ และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ

 

เซงลี้ฮ่อ กันทุกท่านครับ

[mdaddy 2,443]

http://en.wikipedia.org/wiki/Quantitative_easing#Printing_Money

ว่าด้วยการพิมพ์เงิน

 

สื่อมักนำQuantitative Easing ไปเปรียบเทียบกับการ “พิมพ์เงิน” แต่ธนาคารกลางบอกว่าการนำ “เงิน” ไปใช้ ระหว่าง Quantitative Easing กับการ “พิมพ์เงิน” นั้นต่างกัน

 

“เงิน” ที่ถูกสร้างด้วย QE นั้นจะเอาไว้ใช้ในการซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ ในขณะที่ “เงิน” ที่ถูกพิมพ์ขึ้นใหม่ จะเอามาใช้ลดการขาดดุลบัญชี หรือชำระหนี้ของรัฐบาล

 

ธนาคารในประเทศที่พัฒนาแล้ว (บางประเทศ เช่น USA, UK, EU) ไม่สามารถซื้อ หนี้จากรัฐบาล (เช่นพันธบัตร) โดยตรง แต่จะต้องซื้อจากตลาดรองอื่นๆ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ก็มองว่า นี่เป็นเพียงแค่ขั้นตอนที่เพิ่มขึ้น ในการพิมพ์เงิน มาเพื่อลดการขาดดุลบัญชี/ชำระหนี้ของรัฐบาล

 

ลักษณะที่แตกต่างระหว่างการพิมพ์เงิน กับ QE ก็คือ ธนาคารผลิตเงินขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (economic stimulus) มิใช่เพื่อเอามาให้รัฐบาลใช้จ่าย (monetizing government debt) และธนาคารก็จะทำการ ดูดเงินที่ถูกสร้างขึ้นออกไปนอกระบบโดยการขายพันธบัตรที่ซื้อมาในตอนแรก เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว

 

นักเศรษฐศาสตร์ชื่อ Robert McTeer กล่าวไว้ว่า การพิมพ์เงินเพิ่มในช่วงเศรษฐกิจถดถอยนั้นไม่มีปัญหาอะไร และ QE ก็ไม่ต่างจากนโยบายทางการเงินทั่วๆไป เพียงแค่ QE มีจำนวนเงินที่มากกว่า, มีการประกาศไว้ล่วงหน้า และมีการกำหนดเวลาชัดเจน

 

สิ่งที่จะสามารถวัดว่าธนาคารกลางผลิตเงินเพื่อมาให้รัฐบาลใช้จ่าย หรือเอามากระตุ้นเศรษฐกิจได้ ก็คือการเปรียบเทียบ ผลที่เกิดขึ้นจริง กับ ผลที่ธนาคารกลางคาดหวังไว้ – ธนาคารกลางส่วนมากนิยมใช้อัตราเงินเฟ้อ เป็นเป้าสำหรับการผลิตเงิน – นั่นคือ ถ้าหากธนาคารกลางยังซื้อพันธบัตรอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเกินเป้าแล้ว และรัฐบาลยังไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ แสดงว่า การผลิตเงินนั้นเป็นการผลิตให้ “รัฐบาลใช้” (monetizing government debt - ไม่ดี) มากกว่าการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” (economic stimulus - ดี)

 

Who gets the freshly "printed" money from the fed?

(เลื่อนไปที่ 3:43)

 

นายชิวาคโคกล่าวว่า เงินที่เกิดขึ้นจาก QE นั้น รัฐบาลจะนำไปซื้อพันธบัตรจาก บริษัทหลักทรัพย์ 18 บริษัท

ซึ่งรวมถึงบริษัทข้ามชาติจากประเทศที่มีลูกค้าอยู่รอบโลกด้วย (ไม่ได้ซื้อจากบริษัทอเมริกันอย่างเดียว)

ซึ่งแตกต่างจากข้อเท็จจริง ในคลิปที่ผมแปลในหน้าที่แล้ว ที่อ้างถึงการซื้อพันธบัตรจาก Goldman เพียงบริษัทเดียว

 

กระนั้นก็ตาม นายชิวาคโคก็บอกต่อว่า ตัวเขาเองก็ไม่สามารถประเมินผลที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น และระยะยาวได้

แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือ บริษัทพวกนี้ คงไม่ปล่อยให้เงินนอนอยู่ในบัญชีเฉยๆ น่าจะมีการนำไปใช้งานทำให้เกิดการ

ผลิตดอกออกผลในอนาคต

 

จากที่ผมพอจะเข้าใจ การพิมพ์เงินหรือ QE ก็ไม่ต่างอะไรกันนัก เพียงแต่ว่าเงินที่ถูก "สร้าง" ขึ้นมา จะเอาไปใช้ทำอะไร

ซึ่งถ้าสามารถเอาไปกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ ก็น่าจะไปรอด มีคนเสนอทฤษฏีให้ดู "เป้า" อัตราเงินเฟ้อของ QE กับ

อัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริง ถ้าของจริง เกินเป้าแล้วยังมี QE ออกอีกเป็นระลอกๆ (ผมไม่ทราบว่าเป้า ของ QE1 และอัตราเงิน

เฟ้อที่เกิดขึ้นจริงอยู่ที่เท่าไหร่นะครับ) ก็เตรียม "งานเข้า" กันได้เลย

 

ส่วนตัวแล้ว พิมพ์เงินเพิ่มมา ผมก็ว่าดีนะครับ แต่ปัญหาคือจะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดการจ้างงาน และการผลิตขึ้น (economic stimulus)

สิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐก็คือ รัฐบาลพยายามกระตุ้นธุรกิจขนาดกลาง/เล็กกันสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเงินกู้ (การันตีหนี้เสียให้กับธนาคารที่ปล่อยกู้)

ลดภาษีธุรกิจ ลดภาษีชั่วคราวให้กับประชาชน แต่สิ่งที่ "รู้สึก" ได้ก็คือ ฝ่ายบริโภค ก็ระมัดระวังตัวเอง พยายามเก็บเงิน เผื่อตกงาน เผื่อบริษัทเจ๊ง

เผื่อเศรษฐกิจพัง ในขณะที่ฝ่ายการผลิต (ที่ไม่ค่อยจะมีเหลือในประเทศแล้ว) กับฝ่ายบริการ ก็ไม่กล้าขยายตัว แม้ว่าจะมีัรัฐบาลหนุนหลัง

เพราะที่สุดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าขยายแล้ว จะมีคนมาซื้อหรือเปล่า

ถูกแก้ไข กุมภาพันธ์ 6, 2011 โดย mdaddy

[MOR LEK 2,835]

เอามาแถมให้ครับ ไม่ยากนักแต่ยังดูไม่จบ มันยาวครับ.

Porter Stansberry Research - The End of America

http://www.youtube.com/watch?v=nI-BIVWlc7A

[seam888 2,911]

ขอบคุณ คุณ mdaddy เเละคุณหมอ ครับ

 

[john neff 0]

ขอบคุณสำหรับบทความครับ

รอลุ้นหนังสือ อยู่ เหมือนกันครับ

[MISS K 4]

ขอบพระคุณคุณเน็กซ์และทุกท่าน สำหรับ บทความ ข่าวสารข้อมูลต่างๆพร้อมบทแปลเป็นภาษาไทยค่ะ

[kingdom1234 21]

ฮาดีอ่ะครับ ขอบคุณมากเลบคุณmdaddy

[mdaddy 2,443]

เอามาแถมให้ครับ ไม่ยากนักแต่ยังดูไม่จบ มันยาวครับ.

Porter Stansberry Research - The End of America

 

นั่งฟังจนจบแล้ว ได้ความรู้เยอะทีเดียว ความรู้ใหม่ที่ได้คราวนี้คือเมื่อสมัยก่อนเงิน "ปอนด์" ของอังกฤษนั้นเคย

เป็น reserve currency หลัก แต่ตอนนี้หล่นมาเป็นอันดับ 3 แล้ว และนาย Porter ว่าไว้ว่า เงิน USD

ก็จะตกกระป๋อง ไม่ได้เป็น reserve currency หลักอีกต่อไป และเมื่อนั้น เงิน USD ที่เราๆท่านๆถืออยู่

ก็จะหมดค่าไปทันที

 

แต่ที่จะเตือนนิดนึงก็คือ นาย Porter นั้นเปิดบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเงิน และขายข้อมูลให้กับสมาชิก(ที่จ่ายตัง)

เป็นรายปี โดยตอนประมาณ 20 นาทีสุดท้าย นาย Porter คุยไว้ว่าจะแจกเอกสารฟรีถึงสามสี่รายการ ที่จะให้ข้อมูลการ

"เตรียมตัว" รับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น (ตามที่เขากล่าวนำไว้แต่แรก) การ "ซ่อน" สินทรัพย์ให้พ้นมือรัฐบาลมะกัน

อย่างถูกกฏหมาย และการลงทุนต่างๆที่ได้ ROI 100+% แต่พอตอนจบ ถึงได้เผยไต๋ว่าต้อง "สมัครสมาชิก" แบบทดลองก่อน

(ไม่พอใจ ยินดีคืนเงิน) แล้วถึงจะได้เอกสารต่างๆที่ว่า

 

ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับข้อเท็จจริงที่นาย Porter นำมาเสนอ แต่พอเห็นเขา "ปลุก" อารมณ์ความน่ากลัวของเศรษฐกิจที่จะล้ม

ตามข้อมูลที่นำเสนอ แล้วมา "ปิด" ด้วยการขายของ เลยอดรู้สึกนิดๆว่านาย Porter มีวาระแอบแฝงที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง

ซึ่งอาจจะทำให้นาย Porter ใส่สีสด เกินจริงได้ -- เหรียญมีสองด้าน รับฟังข้อมูลอย่างมีสตินะครับ

 

ขอบคุณครับคุณ MOR LEK ที่นำคลิปดีๆมาฝาก ที่ผมเตือนไว้ข้างบน ด้วยความเคารพ ไม่ได้มีเจตนาอื่นๆทั้งสิ้นนะครับ

นอกจากชี้ให้เห็นว่า มีการพยายามปิดการขายของนาย Porter ที่เพื่อนๆพี่ๆหลายๆท่านอาจจะไม่ได้เปิดดูจนจบ

ถูกแก้ไข กุมภาพันธ์ 6, 2011 โดย mdaddy

[MOR LEK 2,835]

นั่งฟังจนจบแล้ว ได้ความรู้เยอะทีเดียว ความรู้ใหม่ที่ได้คราวนี้คือเมื่อสมัยก่อนเงิน "ปอนด์" ของอังกฤษนั้นเคย

เป็น reserve currency หลัก แต่ตอนนี้หล่นมาเป็นอันดับ 3 แล้ว และนาย Porter ว่าไว้ว่า เงิน USD

ก็จะตกกระป๋อง ไม่ได้เป็น reserve currency หลักอีกต่อไป และเมื่อนั้น เงิน USD ที่เราๆท่านๆถืออยู่

ก็จะหมดค่าไปทันที

 

แต่ที่จะเตือนนิดนึงก็คือ นาย Porter นั้นเปิดบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลด้านการเงิน และขายข้อมูลให้กับสมาชิก(ที่จ่ายตัง)

เป็นรายปี โดยตอนประมาณ 20 นาทีสุดท้าย นาย Porter คุยไว้ว่าจะแจกเอกสารฟรีถึงสามสี่รายการ ที่จะให้ข้อมูลการ

"เตรียมตัว" รับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น (ตามที่เขากล่าวนำไว้แต่แรก) การ "ซ่อน" สินทรัพย์ให้พ้นมือรัฐบาลมะกัน

อย่างถูกกฏหมาย และการลงทุนต่างๆที่ได้ ROI 100+% แต่พอตอนจบ ถึงได้เผยไต๋ว่าต้อง "สมัครสมาชิก" แบบทดลองก่อน

(ไม่พอใจ ยินดีคืนเงิน) แล้วถึงจะได้เอกสารต่างๆที่ว่า

 

ส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับข้อเท็จจริงที่นาย Porter นำมาเสนอ แต่พอเห็นเขา "ปลุก" อารมณ์ความน่ากลัวของเศรษฐกิจที่จะล้ม

ตามข้อมูลที่นำเสนอ แล้วมา "ปิด" ด้วยการขายของ เลยอดรู้สึกนิดๆว่านาย Porter มีวาระแอบแฝงที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง

ซึ่งอาจจะทำให้นาย Porter ใส่สีสด เกินจริงได้ -- เหรียญมีสองด้าน รับฟังข้อมูลอย่างมีสตินะครับ

 

ขอบคุณครับคุณ MOR LEK ที่นำคลิปดีๆมาฝาก ที่ผมเตือนไว้ข้างบน ด้วยความเคารพ ไม่ได้มีเจตนาอื่นๆทั้งสิ้นนะครับ

นอกจากชี้ให้เห็นว่า มีการพยายามปิดการขายของนาย Porter ที่เพื่อนๆพี่ๆหลายๆท่านอาจจะไม่ได้เปิดดูจนจบ

 

ขอบคุณมากครับ และก็ไม่ต้องกังวลว่าปัญหาจากการเห็นต่างหรือตักเตือนครับ ดีเสียอีกครับที่มีคนมาระวังให้

[marnnoi965 38]

ขอบคุณคับ พ่อเอ็ม หมอผีเล็ก ได้ความรู้มาก ๆ เลยคับ !01