ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

WEDNESDAY, OCTOBER 5, 2011

 

The German government starts printing the Deutschmark

Bob Chapman : Greece will go bankrupt whether it is bailed out or not and the banks will lose 60 cents to the dollar on the bonds they are holding which will be devastating for the banking sector in Europe , from my insider information in Hong Kong Te Chinese government has finished negotiating the purchase of 3 of the major Banks in France so this is what's going on , so no wonder why the FED and the Treasury are hitting on gold and silver because they do not want the people to find out about them this is the game they are playing gold and silver will go back up and go higher there are bad news coming in Europe real bad news .... The German government ordered the Deutsche Bank to restart printing the Deutschmark so they have nno intentions in staying in the Euro , and you people who have Euros get rid of them and buy Gold and Silver

 

http://bobchapman.bl...Chapman+Blog%29

 

เตรียมตัวเล่นรถไฟเหาะตีลังกาครับ ถ้าขึ้นแล้วเกาะแน่นๆ laugh.gif

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวดีจากหมอเล็กมาอีกแล้ว ท่ามกลางความเศร้าสร้อยของเรา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอลลาร์จะไปทางไหน

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ กรุงเทพธุรกิจ 5 ตุลาคม 2554

 

ควันหลงจากเดือนที่แล้ว ที่ผมเตือนเรื่องการซื้อ/ขายทอง ตอนนี้ราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงมาอย่างมาก ควันหลงจากเดือนที่แล้ว ที่ผมเตือนเรื่องการซื้อ/ขายทอง ตอนนี้ราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงมาอย่างมาก ผมก็เพียงหวังว่าทุกๆ ท่าน ที่เข้าไป trade น่าจะเอาตัวรอดได้นะครับ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า เดือนนี้ก็อยากจะเล่าเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนกันบ้าง ค่าของเงินดอลลาร์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ทะลุระดับ 31 บาท/ดอลลาร์ นำพามาซึ่งคำถาม และความหวั่นไหวของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมาเป็นอย่างมาก

 

ในส่วนที่หวั่นไหว ก็มีหลายพวก อาทิเช่น พวกตกรถไฟ มีความต้องการในการซื้อดอลลาร์ แต่ทว่ารีรอไม่ได้ซื้อตอนต่ำกว่า 30 บาท หรือเป็น พวกนักลงทุนในตลาดหุ้น เพราะกลัวว่าหุ้นไทยจะปรับตัวลง (ตอนนี้ก็คงไม่ต้องกังวลเพราะดัชนีทะลุ 1,000 จุดลงไปแล้ว) และเริ่มกังวลเรื่องใหม่ว่า จะไปถึงไหน หรือก็อาจจะเป็น ผู้ส่งออกบางราย ที่ไป Lock in ดอลลาร์เอาไว้ที่ราคาเตี้ยๆ และคำถาม (ยอดฮิต) ก็คือ trend ดอลลาร์ จะกลับไปแข็งค่าใช่หรือไม่ ผมก็อยากจะแสดงความเห็นเป็นข้อๆ ไปเลยนะครับ

 

ประเด็นแรก ผมคิดว่าเป็นการเร็วเกินไปที่บอกว่า trend ของดอลลาร์เปลี่ยนการปรับตัวของดอลลาร์ครั้งนี้ ผมมองว่าเป็นการปรับตัวทางด้าน technic เสียมากกว่า หลังจากที่มีค่าลดลงมาโดยตลอด บางท่านหรือบางกระแสก็บอกว่ามันเป็นเพราะ "ความขาดแคลน" ของดอลลาร์ในตลาดโลก เนื่องมาจากมี demand ของดอลลาร์มากขึ้น เนื่องจากความเชื่อมั่นใน EU ซึ่งหมายรวมถึงเงินยูโรเสื่อมลง ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ แต่ผมจะไม่ discuss ในเรื่องนี้ให้มากไปกว่านี้ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรสู้มองไปข้างหน้าดีกว่า หากมองให้รอบ คราวนี้ดอลลาร์ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลทุกสกุลมากบ้าง น้อยบ้าง อาทิเช่น AUD ก็ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์หล่นลงมาต่ำกว่า parity หลังจากทะยานขึ้นไปสูงมากเป็นประวัติศาสตร์ของ Aussie เลย หรือเช่นเมื่อเทียบกับเงินอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น วอนเกาหลี (พวกซื้อกองทุนเกาหลีคงต้องตามนิดหน่อยนะครับ) หรือดอลลาร์สิงคโปร์ รูปีอินเดีย เป็นต้น

 

ประการที่สอง แล้วมันจะกลับลงมาใหม่ไหม คำตอบก็คือคงไม่ใช่ในเร็ววัน มองกันถึงสิ้นปี 2011 ก็พอ ดอลลาร์น่าจะมีค่าสูงกว่า 30 บาท จนถึงสิ้นปี ส่วนด้านบนคาดเดายาก แต่ 32 บาทน่าจะเห็น ส่วนจะไป "touch" แล้วลงหรือค้างอยู่ตรงนั้น ยังยากที่จะคาดเดาได้ ข้อวิเคราะห์ของผม ก็คือ move นี้ดูได้ยากมากเพราะพื้นฐาน ของอเมริกา ยุโรป ไม่ดีเลย และเอเชียของเรา (ไม่รวมญี่ปุ่น) ก็ยังดีอยู่มาก และได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจใน 2 ภูมิภาคไม่มากนัก

 

ประการที่สาม แล้วหุ้นล่ะ จะกลับไปทะลุ 1,000 ขึ้นได้ไหม คำตอบ ก็คือ เหมือนข้อ 2 คือ คงไม่ใช่ในเร็ววัน หุ้นไทย (รวมถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ; TIP) ควรจะต้องปรับฐานมานานพอควรแล้ว (Longtime Overdue for Correction) ดังนั้น หากจะให้หุ้นกลับไปดีเหมือนเดิมคงต้องลงอีกสักระยะหนึ่ง ส่วนจะเป็นเท่าไรให้ไปถามบรรดาเซียนหุ้นเอาเองนะครับ มีการวิเคราะห์กัน (ผมไม่ได้ร่วมด้วย เพียงแต่ได้ยินมา) ว่าตลาดจะเล่นเรื่อง "ความขาดแคลน" เงินดอลลาร์ไปอีกระยะหนึ่ง จนถึงจุดที่ Fed คิดว่ามันเข้าทางของ Fed พอที่จะออก QE3 อันนี้เอามาเล่าสู่กันฟังนะครับ

 

สำหรับผมออกจะเฉยๆ ส่วนที่ผมไม่เฉย ก็คือ 1. Capital Flow ยังคงมีอิทธิพลต่อราคาของสินทรัพย์ต่อไป หรือจะพูดสลับกันว่าราคาสินทรัพย์ยังคงมีอิทธิพลต่อ Capital Flow ก็ได้ ถูกทั้งคู่ 2.ราคาสินทรัพย์ที่ถูกมากๆ ในอเมริกาย่อมดึงดูดให้เงินกลับไปซื้อ และ 3.ก็หมายถึงค่าของเงินดอลลาร์ที่จะมีค่าสูงขึ้น อย่างน้อยก็ในระยะสั้น ผมมีดัชนีส่วนตัวอันหนึ่งในการมองเศรษฐกิจอเมริกา (อันนี้ส่วนตัวจริงๆ ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์อะไรทั้งสิ้น ดังนั้น ขอให้ใช้วิจารณญาณ) คือ ดัชนีแอ๊ปเปิ้ลในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผมตามราคาหุ้นของแอ๊ปเปิ้ลท่ามกลางกระแสข่าวร้ายถล่มอเมริกา หุ้นแอ๊ปเปิ้ลราคาลงมาน้อยมาก หนำซ้ำตอนนี้ก็ถือว่าเป็นหุ้น Bluechips (ตัวจริง) ที่น่าจะแพงติดอันดับ (ประมาณหุ้นละกว่า 400 ดอลลาร์บวกลบ) ผมตามราคาหุ้นทุกวัน และหากยังขึ้นไปเรื่อยๆ ก็คงจะหมายถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของอเมริกา และอีกตัวหนึ่งที่น่าจะเป็น trigger ให้ดอลลาร์กลับ trend ก็คือ เงินเฟ้อ เมื่อไรก็ตามตลาดเริ่มพูดถึง เงินเฟ้อในอเมริกา (แค่เริ่มพูดก็เพียงพอแล้ว) เมื่อนั่นแหละเตรียมตัวได้เลย

 

สุดท้ายแล้วเราจะเอาเงินไปทำอะไรดี อเมริกา ยุโรป ก็ไม่ดี ทองก็ผันผวนมาก หุ้นก็ลง ผมคิดว่าการจัดสรรเงินเพื่อการลงทุนนั้น ควรต้องมองระยะเวลานานเป็นปี ไม่ใช่เป็นเดือนหรือเป็นวัน หากมองอย่างนั้น เอเชียก็มีศักยภาพมากที่สุด ดังนั้น การลงทุนในเอเชียน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี เสี่ยงน้อย และมีความผันผวนในระดับที่พอรับได้ ส่วนจะเป็นหุ้น ทอง อสังหาริมทรัพย์ หรืออื่นๆ เป็นเท่าไร คำตอบของผมตรงๆ (และไม่ได้กวน) ก็คือ ตามใจคุณ

 

แต่ประเด็นสำคัญ ก็คือ ให้มองถึง สภาพคล่อง (liquidity) ราคา (price) และ การส่งมอบ (Settlement) ให้ดี เหมาะสมกับ บุคลิกความเสี่ยง (Risk Characteriske) ของตัวเอง แล้วจะรอดปลอดภัยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Dollar Carry Trade แผลงฤทธิ์

โดย : บรรยง วิทยวีรศักดิ์ กรุงเทพธุรกิจ 5 ตุลาคม 2554

 

โลกาภิวัตน์ คือกระบวนการที่ประชากรของโลก ถูกหลอมรวมเป็นสังคมเดี่ยว(วิกิพีเดีย) มีการแลกเปลี่ยนเชื่อมโยงกันของระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยี อย่างรวดเร็วกว้างขวาง จากพัฒนาการของระบบสารสนเทศที่เชื่อมโยงข้อมูลของทุกประเทศไว้ด้วยกัน

 

การที่สินค้า บริการ แรงงาน เงินทุนและเทคโนโลยี สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระและรวดเร็ว นำมาซึ่งความสะดวกสบายมาให้ผู้คนทั่วทุกมุมโลก แต่เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ผู้ที่รู้เท่าทันย่อมสามารถฉกฉวยจากประโยชน์จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผู้ที่ล้าหลังอาจตกเป็นเหยื่อ ดั่งเหตุการณ์ที่หุ้นไทยถูกถล่มขายเมื่อเร็วๆ นี้ จากการปิดสถานะ Dollar Carry Trade ของนักลงทุนต่างชาติ

 

Dollar Carry Trade หมายถึง การกู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์ดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นเงินสกุลอื่นเพื่อลงทุนต่อในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า

 

การที่คนต่างชาติจะกู้จากธนาคารของประเทศเขา แล้วนำเงินดอลลาร์ที่ได้ มาแลกเป็นเงินบาทเพื่อซื้อหุ้น ซื้อพันธบัตรของไทย คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างไร แต่ ที่ต้องถือว่าพิสดารคือการที่เขาสามารถใช้ช่องโหว่ของระบบโลกาภิวัตน์มาหาประโยชน์จำนวนมหาศาลให้กับตนเอง และทำได้อย่างง่ายดายนี่สิ คือ สิ่งที่เรากำลังสนใจ ซึ่งขออรรถาธิบายดังนี้

 

พวกเราคงทราบกันดีว่า เมื่อประเทศใดเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แนวทางการแก้ปัญหาของธนาคารกลาง คือ การลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อกดให้ดอกเบี้ยในประเทศต่ำลง เป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและกระตุ้นให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อาจต้องใช้เวลา 5-20 ปี แล้วแต่ความรุนแรงของปัญหาและฝีมือของรัฐบาลประเทศนั้นๆ

 

ช่องโหว่ที่เกิดขึ้น คือ ถ้านักลงทุนรายใหญ่รู้ว่า ผลตอบแทนการลงทุนของประเทศอื่นๆ อย่างเช่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือไทย ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่น หากลงทุนในพันธบัตรอาจให้ผลตอบแทนประมาณ 3-5% ลงทุนในหุ้นอาจให้ผลตอบแทน 20-50% แถมยังได้กำไรจากค่าเงินของประเทศที่เข้าไปลงทุนติดไม้ติดมือมาด้วย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาจะฉวยโอกาสกู้เงินจากประเทศที่มีต้นทุนต่ำ นำไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าได้อย่างไร นี่คือ สิ่งที่นักลงทุนสถาบันการเงินใหญ่ๆ ในโลกเขาทำกัน

 

และแล้ว โอกาสทองก็มาถึง เมื่อประเทศสหรัฐเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และธนาคารกลางสหรัฐได้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำสุดที่ 0-0.25% และเราก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าการที่ประเทศยักษ์ใหญ่เทอะทะเกิดสะดุดล้มลง กว่าที่เขาจะลุกฟื้นขึ้นมาได้นั้นคงต้องใช้เวลานานนับสิบปี นักลงทุนรายใหญ่ที่มีเครดิตดี จึงฉวยโอกาสกู้ยืมเงินดอลลาร์จากธนาคารในสหรัฐนำไปแลกเป็นเงินสกุลเอเชีย และนำไปลงทุนต่อในพันธบัตร หุ้น หรือแม้แต่ฝากกินดอกเบี้ยในประเทศที่กำลังมีเศรษฐกิจเฟื่องฟู

 

การที่เงินดอลลาร์หลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกทยอยเทขายออกเพื่อแลกไปเป็นเงินสกุลอื่น ตั้งแต่เงินยูโร เงินหยวน เงินวอน เงินบาท และอื่นๆ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ค่อยๆ อ่อนค่าลง ผสมโรงด้วยตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ออกมาย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่ายอดขาดดุลการค้า อัตราการว่างงาน หรือยอดขายบ้านใหม่ ที่ช่วยซ้ำเติมค่าเงินดอลลาร์ให้ดำดิ่งลงไปเรื่อยๆ

 

ขณะที่อีกฟากฝั่งปลายทางที่เม็ดเงินถูกนำไปลงทุน เขาจะคัดเลือกประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดี ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทยที่มีหนี้ภาคเอกชนน้อย หนี้ภาครัฐต่ำ อัตราการว่างงานน้อยมากเพียง 1% ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนกำลังเติบโต ผลจึงออกมาตรงกันข้าม ค่าเงินบาทค่อยๆ แข็งขึ้น และเมื่อมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นพร้อมๆ กันหลายหมื่นล้านบาท มันก็ช่วยผลักดันให้ดัชนีหุ้นพุ่งทะยานไม่ยาก

 

คำถาม คือ นักลงทุนเหล่านี้จะขายสินทรัพย์ที่ลงทุนเพื่อทำกำไรเมื่อไร กลยุทธ์ของเขา คือ ปล่อยให้กำไรวิ่งไปเรื่อยๆ คาดว่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี การขายออกก่อนเวลาอันควร อาจได้กำไรไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ในขณะเดียวกัน ต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา หากไหวตัวไม่ทัน อาจตกขบวนรถไฟ ขายไม่ได้ราคา

 

แต่แล้ว เวลาที่ต้องลงมือปฏิบัติการก็มาเร็วกว่าที่คาด สมาชิกในกลุ่มประเทศยุโรปเกิดมีปัญหาเศรษฐกิจปะทุขึ้นมา ถึงขั้นว่าหนี้สาธารณะของกรีซอาจผิดนัดชำระหนี้ สื่อต่างประเทศอย่าง บลูมเบิร์ก บอกว่าพันธบัตรของกรีซมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ถึง 98% ใน 5 ปี ข้างหน้า ทั้งที่ล่าสุดอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร 2 ปีของกรีซ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 76% ต่อปี แต่ก็ไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้าไปลงทุนเพิ่มได้ เพราะมีข่าวว่า กรีซอาจต้องขอแยกตัวออกมาจากกลุ่มยูโรโซนเพื่อลดค่าเงินของตนให้สามารถแข่งขันได้มากขึ้น พร้อมกับอาจต้องเจรจาลดหนี้กับเจ้าหนี้ต่างประเทศให้ลดหนี้ลงมาเหลือ 50% ทำให้นักลงทุนต่างประเทศเกรงว่าผลตอบแทนที่ได้จะไม่คุ้มกับเงินต้นและค่าเงินที่เหลือ

 

เมื่อมีข่าวออกมาว่า แผนที่จะช่วยอุ้มประเทศกรีซดูท่าจะพังพาบ เพราะยังมีประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจอีกหลายประเทศ เช่น โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ และสเปน รอขอความช่วยเหลืออยู่ ทำให้ค่าเงินยูโรเริ่มเซซวน นักลงทุนรายใหญ่เริ่มไหวตัวทยอยขายเงินยูโร กลับไปซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกคืน ทำกำไรเอาไว้ก่อน

 

การขายเงินสกุลปลายทางแล้วกลับมาซื้อเงินดอลลาร์คืน เพื่อไปไถ่ถอนสัญญาเงินกู้ที่เคยยืมมาตอนทำธุรกรรม Dollar Carry Trade ถือเป็นการปิด (ย้อนคืน) สถานะสัญญาเงินกู้ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Dollar Carry Trade Unwinding

 

ลองนึกภาพดูว่า เงินยูโรจำนวนมหาศาลถูกเทขายเพื่อนำมาแลกซื้อเงินดอลลาร์คืน ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าทันที มันเป็นเหมือนสัญญาณนกหวีดในเกมเก้าอี้ดนตรี เมื่อทุกคนที่ตื่นตัวอยู่แล้วได้ยินสัญญาณนี้ ประกอบกับทุกคนได้กำไรกันพอสมควรแล้ว ไม่ว่าราคาหุ้น ราคาพันธบัตร รวมถึงค่าเงินสกุลปลายทาง สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือ แย่งชิงกันขายทรัพย์สินปลายทางเพื่อนำไปแลกเงินดอลลาร์คืนให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด

 

เมื่อทุกคนทำพร้อมกัน มันก็เปรียบดั่งคลื่นสึนามิที่ถาโถมเข้าใส่ตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นถล่มทลาย ราคาพันธบัตรทรุดฮวบและค่าเงินสกุลท้องถิ่นอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว ใครไหวตัวช้า ก็ขายไม่ได้ราคา แถมขาดทุนกำไรในค่าเงิน

 

ทองคำเป็นทรัพย์สินหนึ่งที่นักลงทุนกลุ่มนี้นำเงินจาก Dollar Carry Trade ไปลงทุนด้วย ราคาทองคำก็ต้องพบชะตากรรมเดียวกัน ยิ่งทองคำไม่มีเงินปันผลให้ชื่นใจ ไม่มีผลประกอบการให้ดู ราคาทองคำขึ้นด้วยเหตุผลเดียว คือ เป็นแหล่งพักเงิน (Safe Haven) ในช่วงที่เงินดอลลาร์ยังคงตกต่ำ เมื่อเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่า คนจึงขายทองคำทำกำไร และกลับไปซื้อเงินดอลลาร์ราคาถูกกลับคืน

 

แล้วทำไมตลาดหุ้นจึงตกแรงมากๆ เฉพาะวันจันทร์ที่ 26 กันยายน 2554 วันเดียว ดัชนีลดไปถึง 90 จุด หรือ 9.4% ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาติดลบ 54 จุด หรือ 5.6% รุนแรงกว่าภูมิภาคเดียวกันที่ลดลงประมาณ 2-3% คำตอบ คือ จังหวะของคนไทยไม่ดี เราเพิ่งได้รัฐบาลใหม่ในช่วงนี้พอดี เป็นธรรมดาที่รัฐบาลใหม่จะประโคมโหมข่าวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการลดภาษีนิติบุคคล ลดราคาน้ำมัน ลดภาษีบ้าน ภาษีรถยนต์ รวมถึงการที่มีข่าวระบบ 3 G มากระตุ้นราคาหุ้นกลุ่มต่างๆ ทำให้ตลาดหุ้นไทยคึกคักและให้ผลตอบแทนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้

 

ประกอบกับก่อนหน้านั้นไม่นาน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่าตนมีแนวความคิดที่จะทำให้เงินบาทแข็งค่าเพื่อใช้ต่อสู้กับเงินเฟ้อ ข่าวนี้กระตุ้นให้เงินบาทแข็งค่าแซงหน้าสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค พร้อมกับได้สร้างความฮึกเหิมให้นักลงทุนไทย เพราะทุกครั้งที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้น เรามักเห็นเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นเสมอ

 

แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทั้งราคาหุ้นและค่าเงินบาทได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในจุดที่หอมหวานที่สุด เมื่อมีสัญญาณการถอยทัพมาจากต่างแดน นักลงทุนต่างประเทศจึงพร้อมใจกันเทขายหนักๆ เพราะมีกำไรทุกราคา

 

จากต้นปี พ.ศ. 2552 ตอนที่เริ่มมีการทยอยทำ Dollar Carry Trade ค่าเงินบาทอยู่ที่ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ พอถึงต้นเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ แข็งขึ้นมาราว 15% ดัชนีหุ้นไทย ณ ต้นปี 2552 อยู่ที่ประมาณ 450 จุด เพิ่มมาเป็น 1,050 จุด ณ ต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 130% ไม่ขายตอนนี้ ไม่รู้จะไปขายตอนไหน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินเฟ้อน่ากลัวจริงหรือ ?

แจงสี่เบี้ย แจงสี่เบี้ย : ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน กรุงเทพธุรกิจ 5 ตุลาคม 2554

 

แบงก์ชาติขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อ เอกชนบ่นต้นทุนเพิ่ม ค่าครองชีพสูง

 

พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์รายวันข้างต้น ทำให้น่าสงสัยว่า ทำไมแบงก์ชาติจึงต้องทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่เขาไม่ชอบด้วย เศรษฐกิจดี แบงก์ชาติจะกลัวอะไรกับเงินเฟ้อ อุปมาดั่งปาร์ตี้กำลังสนุก แบงก์ชาติเคาะแก้วแล้วบอกว่างานเลิกแล้ว ... คนไทยไม่เคยหอบเงินใส่กระสอบไปจ่ายตลาด แต่คนเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซื้อขนมปังตอนเย็นแพงกว่าที่ซื้อตอนกลางวันและตอนเช้า ท่านลองจินตนาการดูว่าในเช้าวันรุ่งขึ้น คนเยอรมันในยุคนั้นจะรู้สึกอย่างไร สถานการณ์ทำนองนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา คนไทยจึงอาจเห็นผลเสียของการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาสินค้าหรือที่เรียกว่าเงินเฟ้อไม่ชัดเจนนัก ดังนั้น ในบทความนี้ ผมจะพยายามอธิบายว่า เงินเฟ้อที่สูงๆ เลวร้ายอย่างไรทั้งต่อตัวเราและต่อเศรษฐกิจของประเทศ

 

เงินเฟ้อที่กล่าวข้างต้น ถ้าจะว่าตามหลักวิชา ต้องเรียกว่าภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นภาวะที่ราคาสินค้า บริการ ค่าเช่า และ ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ประชาชนทั่วไปต้องบริโภคสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง คำถามที่ตามมา คือ แล้วเงินเฟ้อสูงเลวร้ายอย่างไร

 

ผลเสียประการแรก ก็คือ เงินในกระเป๋าของทุกคนมีค่าน้อยลง เช่น คนเยอรมันในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีเงินพอซื้อขนมปังตอนเช้าได้พอดี ตกเวลาบ่ายซื้อขนมปังไม่ได้แล้ว

 

ประการที่สอง คือ เงินเฟ้อเพิ่มความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในสังคมให้มากขึ้น เพราะคนที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคงหนีไม่พ้น คนที่ไม่มีอำนาจต่อรองให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะแต่คนที่มีรายได้น้อยเท่านั้น ยังรวมถึงคนที่บากบั่นขยันหมั่นเพียรเก็บหอมรอบริบจนมีเงินออมฝากไว้กับธนาคาร เพราะในที่สุดแล้วเงินออมนั้นจะมีค่าเหลือนิดเดียวหากเงินเฟ้อสูงมากๆ แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ใช้จ่ายเกินตัว จนเป็นหนี้ กลับได้รับประโยชน์ จากค่าเงินที่ลดลง เพราะแม้เขาต้องใช้หนี้เงินต้นรวมกับดอกเบี้ยแล้ว ค่าของเงินตอนที่ใช้หนี้ก็ยังน้อยกว่าค่าของเงินตอนที่เขากู้มา

 

ข้อเสียอันนี้ยังเกี่ยวโยงไปถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของภาครัฐด้วย ภาครัฐที่ใช้จ่ายเกินตัวและเกินระดับที่เหมาะสม ผลที่ตามมา คือ เกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนก็คงหนีไม่พ้นประชาชน เพราะ ภาระที่เพิ่มขึ้นจากเงินเฟ้อ ทำให้ประชาชนต้องใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อบริโภคเท่าเดิม เปรียบเสมือนต้องเสียภาษี จึงเรียกกันว่า "ภาษีเงินเฟ้อ" ซึ่งเลวร้ายกว่าภาษีอื่นๆ เพราะเก็บแบบไม่บอกกล่าว เดาสุ่ม และที่แย่สุด คือ พวกไม่มีอำนาจต่อรองให้ทันกับเงินเฟ้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยต้องรับภาระมากที่สุด

 

ประการที่สาม คือ เงินเฟ้อสูงๆ ทำให้ความเสี่ยงในการทำธุรกิจสูงขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตกำหนดราคาขายได้ยาก เพราะคาดการณ์กำลังซื้อของลูกค้าไม่ได้ การวางแผนการผลิตและการลงทุนก็ทำได้ยาก เพราะต้นทุนต่างๆ ทั้งราคาวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าเช่า ดอกเบี้ย สูงขึ้นพรวดพราด ถือเป็นการทำลายบรรยากาศการลงทุนในประเทศ เมื่อการลงทุนใหม่ๆ ไม่เกิดขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและศักยภาพการแข่งขันของประเทศย่อมทำได้ยาก

 

ประการที่สี่ ถ้าเงินเฟ้อของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าของไทยย่อมสูงกว่า ทำให้ขายของแข่งกับประเทศอื่นไม่ได้ กระทบกับการส่งออก เศรษฐกิจก็มีปัญหา นักลงทุนต่างชาติที่คิดจะเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในไทยคงเลือกที่จะไปตั้งฐานการผลิตในประเทศที่มีต้นทุนต่ำและคงที่มากกว่าแน่นอน

 

ประการที่ห้า คือ เงินเฟ้อมักมีพลังขับเคลื่อนตัวเองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อของแพง ต้นทุนการผลิตก็สูงขึ้น ผู้ผลิตก็ต้องปรับราคาสินค้า ลูกจ้างก็เรียกร้องค่าจ้างเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตก็บอกค่าจ้างแพง ปรับราคาอีก เป็นวงจร เรียกว่า Wage-price spiral ซึ่งจะทำลายความมั่งคั่งของประชาชนและเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจของประเทศ

 

ผลเสียประเด็นสุดท้าย ที่อยากเน้น คือ เงินเฟ้อเป็นตัวทำลายทั้งบรรยากาศการออม การค้า และการลงทุน ดังนั้น ผู้รับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจของประเทศจึงต้องตระหนักอยู่เสมอ ว่า มาตรการที่มุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็วเกินธรรมชาติในระยะสั้นนั้น คงไม่ได้ผลที่จีรัง แต่กลับจะมีผลร้ายหากเกิดเงินเฟ้อ ซึ่งมีผลบั่นทอนความกินดีอยู่ดีของประชาชนและทำลายศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

 

การดูแลเงินเฟ้อถือเป็นพันธกิจสำคัญของธนาคารกลางทั่วโลก โดยเครื่องมือหลักที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ใช้ดูแลเงินเฟ้อ คือ อัตราดอกเบี้ย จริงอยู่ การขึ้นดอกเบี้ยเป็นการเพิ่มต้นทุนแก่ผู้กู้ในระยะสั้น แต่ถ้าไม่ขึ้นดอกเบี้ยและปล่อยให้เงินเฟ้อสูงจนควบคุมไม่อยู่ ผลเสียที่ตามมาในระยะยาวจะสูงกว่าภาระดอกเบี้ยในระยะสั้นมาก แม้แต่ธุรกิจก็ต้องเดือดร้อน เพราะหากเงินเฟ้อสูงสัก 20% ในอนาคตท่านก็ต้องกู้มาลงทุนในอัตราที่ไม่ต่ำกว่า 20% หากทางการรักษาเงินเฟ้อให้ต่ำได้ในระยะยาวต้นทุนการกู้ยืมก็จะถูกลงมาด้วย

 

สุดท้ายนี้ผมขอฝากไว้ว่าเงินเฟ้อต่ำเป็นหัวใจสำคัญต่อการเติบโตของประเทศในระยะยาวก็จริง แต่เงินเฟ้อต่ำเพียงอย่างเดียว คงไม่พอที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ แต่เรายังต้องอาศัยหัวใจสำคัญ คือ การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของเอกชน และการจัดโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอ และมีคุณภาพจากภาครัฐควบคู่กันไป

 

บทความนี้ เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

WEDNESDAY, OCTOBER 5, 2011

 

The German government starts printing the Deutschmark

Bob Chapman : Greece will go bankrupt whether it is bailed out or not and the banks will lose 60 cents to the dollar on the bonds they are holding which will be devastating for the banking sector in Europe , from my insider information in Hong Kong Te Chinese government has finished negotiating the purchase of 3 of the major Banks in France so this is what's going on , so no wonder why the FED and the Treasury are hitting on gold and silver becausethey do not want the people to find out about them this is the game they are playing gold and silver will go back up and go higher there are bad news coming in Europe real bad news .... The German government ordered the Deutsche Bank to restart printing the Deutschmark so they have nno intentions in staying in the Euro , and you people who have Euros get rid of them and buy Gold and Silver

 

http://bobchapman.bl...Chapman+Blog%29

 

เตรียมตัวเล่นรถไฟเหาะตีลังกาครับ ถ้าขึ้นแล้วเกาะแน่นๆ laugh.gif

 

 

ยังไม่เข้าใจประโยคที่ขีดเส้นใต้ค่ะ รบกวนคุณ MORLEX ช่วยขยายความได้มั๊ยคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับคุณๆนักข่าวและคุณๆนักวิเคราะห์ทุกคน !01 !01

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยังไม่เข้าใจประโยคที่ขีดเส้นใต้ค่ะ รบกวนคุณ MORLEX ช่วยขยายความได้มั๊ยคะ

เหมือนว่า

เค้าอาจเอาระบบทองค้ำเงินกระดาษกลับมา

แต่ยังไม่อยากให้รายย่อยเข้าแย่งซื้อทอง

เลยทำราคาให้มันผันผวน

ทุบอยู่เรื่อยๆ

ทำให้รายย่อย ทั้งหลาย ที่ซื้อแล้วไม่เก็บ

โดนความกลัว

และความโลภ

ยั่วยวนสลับกันไปมา

จนในที่สุด

ก็ต้องเสียทองจริงไปให้พวกเค้าจนหมด

เหลือแต่กระดาษที่เค้าพิมพ์มาซื้อทองเราเฉย ๆ เต็มกระเป๋า และไม่มีค่าอะไรเลย

กว่าจะรู้ตัว

ก็โดนหลอกกินไปเรียบร้อยแล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยังไม่เข้าใจประโยคที่ขีดเส้นใต้ค่ะ รบกวนคุณ MORLEX ช่วยขยายความได้มั๊ยคะ

 

 

เหมือนว่า

เค้าอาจเอาระบบทองค้ำเงินกระดาษกลับมา

แต่ยังไม่อยากให้รายย่อยเข้าแย่งซื้อทอง

เลยทำราคาให้มันผันผวน

ทุบอยู่เรื่อยๆ

ทำให้รายย่อย ทั้งหลาย ที่ซื้อแล้วไม่เก็บ

โดนความกลัว

และความโลภ

ยั่วยวนสลับกันไปมา

จนในที่สุด

ก็ต้องเสียทองจริงไปให้พวกเค้าจนหมด

เหลือแต่กระดาษที่เค้าพิมพ์มาซื้อทองเราเฉย ๆ เต็มกระเป๋า และไม่มีค่าอะไรเลย

กว่าจะรู้ตัว

ก็โดนหลอกกินไปเรียบร้อยแล้ว

 

คุณ plaifa ตอบให้แล้วนะครับ

กลุ่มธนาคารพยายามทำให้เราออกจากตลาดเพื่อที่เขาจะคุมตลาดได้

ถ้าเราเพียงเปลี่ยนจากนักลงทุนไปเป็นนักเก็งกำไร(เพราะเห็นว่าขึ้นลงแรงๆ)โดยการขายทิ้งแล้วรอซื้อของถูกก็เข้าทางของเขาครับเพราะเป็นการช่วยเขาทุบ

ถ้าเพียงแต่เราถือไว้เฉยๆและซื้อเพิ่มเมื่อราคาลง เขาจะทำอะไรเราไม่ได้เลย ในที่สุดของจริงจะมาอยู่ในมือฝั่งซื้อจนหมด(ฝั่งเอเชีย) คนทุบก็จะตายเอง

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณ plaifa ตอบให้แล้วนะครับ

กลุ่มธนาคารพยายามทำให้เราออกจากตลาดเพื่อที่เขาจะคุมตลาดได้

ถ้าเราเพียงเปลี่ยนจากนักลงทุนไปเป็นนักเก็งกำไร(เพราะเห็นว่าขึ้นลงแรงๆ)โดยการขายทิ้งแล้วรอซื้อของถูกก็เข้าทางของเขาครับเพราะเป็นการช่วยเขาทุบ

ถ้าเพียงแต่เราถือไว้เฉยๆและซื้อเพิ่มเมื่อราคาลง เขาจะทำอะไรเราไม่ได้เลย ในที่สุดของจริงจะมาอยู่ในมือฝั่งซื้อจนหมด(ฝั่งเอเชีย) คนทุบก็จะตายเอง

 

ขอบคุณค่ะ คุณ MORLEK & Khun plaifa

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ !thk ทุกๆข้อมูลที่เข้ามาร่วมแบ่งปันกันค่ะ !thk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ คุณ MOR LEK คุณ plaifa ที่มาช่วยแปลเป็นภาษาไทย จะขอร้องให้ช่วยแปลก็เกรงใจเพราะขอมาหลายครั้งแล้ว เลยจำใจต้องผ่าน ๆ ไปแบบไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้น นี่แหละตอนเด็กไม่สนใจปะกิต ตอนแก่จึงถูกลงโทษ อิ อิ อิ กรรม ๆ ๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ คุณ MOR LEK คุณ plaifa ที่มาช่วยแปลเป็นภาษาไทย จะขอร้องให้ช่วยแปลก็เกรงใจเพราะขอมาหลายครั้งแล้ว เลยจำใจต้องผ่าน ๆ ไปแบบไม่รู้อะไรเพิ่มขึ้น นี่แหละตอนเด็กไม่สนใจปะกิต ตอนแก่จึงถูกลงโทษ อิ อิ อิ กรรม ๆ ๆ

 

อิอิ ยังไม่ได้แปลเลยครับ

เนื้อข่าวจากคนวงในบอกว่า

- จีนเพิ่งตกลงกันได้ว่าจะซื้อ 3 ธนาคารใหญ่ของฝรั่งเศส

-เยอรมันสั่งให้ธนาคารพิมพ์เงินดอยช์มาร์ค เพื่อเตรียมที่จะออกจากกลุ่มยูโร

ให้ขายยูโรทิ้งซะเอาไปซื้อทองกะเงินแทน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณคุณส้มโอมือ คุณMOR LEK สำหรับข่าวสารและช่วยแปลให้ด้วย ภาษาปะกิตไม่แข็งแรงเหมือนกันค่ะ :rolleyes: วันนี้กระทู้ดูเงียบๆนะคะ คุณกุ้งไปไหนเอ่ย คุณเน็กซ์ก็เข้ามาคุยกันบ้างนะคะคิดถึง :wub:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...