ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

คราวที่แล้วเวเนฯถอนกลับ ๓๖๖ ตัน ทีเดียว

คราวนี้เยอรมันถอนกลับ ๑๕๐ ตัน (ปีละ ๕๐ ตัน)

ผลกระทบคงน้อยกว่ามาก ถอนทีละหน่อย มาเฟียเขาน่าจะหาของมาให้ได้โดยไม่กระทบตลาดอยู่แล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณส้มโอมือเป็นเภสัชใช่ป่าว....ทําไม7-11ขายยาอันตราย24ชม.ได้โดยไม่มีเภสัชอ่ะ !!!..Sara, Antacil, Anti-cough..etc

 

ร่วม10ปีมาแล้ว เคยทราบว่ามีร้านค้าที่ไม่ไม่ใช่ร้านยาโดยจับเรื่องขายยาพื้้นๆ ถ้าพูดตามกฎหมายก็ผิดครับ แต่กฎหมายที่เขียนมาหลายมาตราก็ไม่เหมาะสม

 

-----คลีนิค ถ้าแพทย์ที่มีหน้าที่ปฎิบัติการไม่อยู่ แต่มีแพทย์ท่านอื่นทำหน้าที่แทนไม่ผิด

-----แต่ทางกฎหมายเภสัชที่เป็นผู้ปฏิบัติการไม่อยู่ เภสัชท่านอื่นขายยาผิดนะครับ นานมากแล้วเคยมีร้านยาร้านนึงสามีภรรยาเป็นภสัชทั้งคู่ คนที่มีหน้าที่ปฎิบัติการไม่อยู่ไปต่างประเทศ อีกคนขายยาแทนโดนจับ(คงมีเรื่องมาก่อนมั้งระหว่างทางร้านกับคนที่ถือกฎหมาย)

 

----ถ้าเคร่งครัดกฎหมายมาก ยาดมยาหม่องที่กลุ่มโอทอปผลิตต้องขายเข้าร้านยาทั้งหมด โอท็อปที่ผลิตสินค้ากลุ่มนี้ตายหมดแน่

 

----ถ้าผมเป็นเจ้าหน้าที่นะ(ถ้าเป็น) ผมคงหรี่ตาในหลายจุด เอาเวลาไปตรวจเรื่องที่มีอ้นตรายต่อสุขภาพของประชาชนดีกว่า ยกเว้นตัวไหนไม่ควรขายก็เตือน คุมทุกเรื่องเจ้าหน้าที่ไม่มีเวลาแน่ครับ(ต้องเลือกปฎิบัติเล็กๆก็ปล่อยแต่อันตราบหรี่ตาไม่ได้ครับ)

 

----ว่าจะแวะดูยาที่เซเว่นแล้วละ แต่ลืมดูเลยไม่แน่ใจว่ามียาอะไรบ้าง แต่ถ้าเป็นยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งข้างกล่องหรือแผงจะมีคำว่ายาสามัญประจำบ้าน(ยาสามัญประจำบ้านต้องขออนุยาตก่อนพิมพ์เองโดยไม่ขอผิดครับ) จะขายได้ครับไม่ผิด เคยไดข่าวว่าถ้าไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้านเซเว่นจะไม่ขายนะ(แต่ไม่ค่อยได้ดูครับ)

 

----พาราเซตามอลกินบ่อยๆทุกวันอันตรายมากครับ จะทำลายตับ คุ้นว่าที่เป็นยาสามัญประจำบ้าน อนุญาตเฉพาะแผง10เม็ด

พาราพอกินแล้วจะเปลี่ยนเป็นสารAซึ่งมีพิษต่อตับ แต่ตับมีเอนไซม์Bซึ่งจะไปกำจัดสารAทำให้ไม่เกิดพิษ แต่ถ้ากินบ่อยๆเอนไซม์Bจะผลิตไม่ทันใช้ สารAจะค้างที่ตับและทำลายตับครับ พาราถึงบอกว่าให้กิน2เม็ด(ผู้ใหญ่)ทุก4-6ชั่วโมงเมื่อมีอาการ กินติดต่อไม่เกิน5-10วัน บางคนอาจกินบ่อยแต่กินแค่วันละครั้งก็เลยไม่เห็นอันตรายเท่าไหร่ แต่ถ้ากินเยอะและบ่อยอันตรายมากครับ

 

----ยาแก้ไอเดี๋ยวนี้คุมหนักมาก วัยรุ่นใช้ผิดประเภทมาก บางตัวที่อนุญาตให้เป็นยาสามัญประจำบ้านในขนาด60 มิลิลิตร คงยกเลิกไม่ให้เป็นยาสามัญประจำบ้านไปแล้ว

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

10 ชั่วโมงที่แล้ว

 

คนรวยๆ เขาลงทุนอะไรให้ปลอดภัยจากมรสุมเศรษฐกิจ

 

วรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ.บัวหลวง

 

23 ตุลาคม 2555

 

เมื่อคิดจะหาแหล่งหลบภัยในการลงทุนหากเกิดเหตุร้าย บางคนอาจจะคิดถึงการถอนเงินฝากและเงินลงทุนมาเก็บในเซฟที่บ้าน เรียกว่าไม่ไว้ใจใครแล้วนอกจากตัวเอง เลยฝังตุ่มบ้านเรานี่ละ

 

แต่เก็บไปเก็บมา ราขึ้น แบงค์เปื่อย หรือน้ำท่วมตู้เซฟจนความแตก เลยโดนข้อหาร่ำรวยผิดปกติไปก็มี

 

หรือเก็บไปเก็บมา ค่าเงินบาทโดนลดไป 50% อ้าวหายรวยไปครึ่งนึง ทำไงดีล่ะ

 

มาถึงตรงนี้ บางคนอาจนึกออกแล้วว่าควรเก็บเป็นทองคำไว้บ้าง เพื่อให้คงคุณค่าและอำนาจซื้อไว้ หรือเวลามีสงครามใหญ่ก็เอามาทยอยขายแลกปัจจัยสี่ห้าหก ตามแบบคุณปู่มาคิยงของลุงมาร์ค ฟาเบอร์ ที่เหรียญทองคำช่วยให้รอดชีวิตจากความทารุณในช่วงสงครามมาจนมีพ่อลุงมาร์ค แล้วก็มีผลผลิตมหัศจรรย์อย่างลุงมาร์ค ที่ออกมาด่าการเมืองในสหรัฐมาจนถึงวันนี้

 

แต่คนที่รวยมากๆ เขาไม่ได้มองแต่ทองคำกันหรอก หมายถึงคนที่รวยจนล้นเหลือ รวยจนเบื่อที่จะมีแต่ทองคำ คนกลุ่มน้อยนิดนี้เขามีทางเลือกอื่นเพิ่มเติม

 

แถมตา Jim O’Neill ประธานกรรมการ Goldman Sachs Asset Management. ยังออกมาบอกว่า “ความคิดที่เชื่อว่ามี Safe Haven หรือแหล่งปลอดภัยตลอดกาลที่จะเอาความมั่งคั่งของเราไปลงทุน มันเป็นอันตราย”

 

เอ้า ยังอ่านไม่จบ อย่าเพิ่งร้องกรี๊ดขยับปีกที่ไหม้ไปแล้วครึ่งนึง บินพรึ่บๆ ตาลีตาเหลือก ออกไปขายทองคำทิ้งเพราะคำพูดตา Jim กันล่ะ ก็ที่เขาพูดนั้น เขาหมายถึงพันธบัตรรัฐบาลอเมริกันต่างหาก

 

จริงอยู่ ทองคำเป็น Safe Haven ที่คนทั่วโลกนิยมกันมากที่สุด เพราะทองคำสามารถดำรงอำนาจซื้อไว้ได้ และไม่เสื่อมคุณค่าของตัวมันเอง แต่ทองเป็นก้อนๆ เป็นแท่งๆ หรือเป็นเหรียญจำนวนมากๆ มันก็หนักนะ ยกเว้นพวกที่ซื้อกองทุน ETF ทองคำ ที่ไม่ต้องเก็บรักษาเอง อย่างนี้ก็ไม่หนัก

 

แต่เศรษฐีเขายังหนักใจกัน เพราะกลัวว่า เอ... ถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วโดนรัฐยึดทองคำไว้ ทีนี้จะทำยังไงกันล่ะ

 

ดังนั้น เศรษฐีที่ร่ำรวยมากๆ ก็เลยคิดกันว่ามีแต่ทองคำก็อาจจะไม่ปลอดภัย ก็ดูอย่างตาฮูโก้ ชาเวซ ประธานาธิบดีเวเนซูเอลลาสิ เขายังเอาทองคำสำรองของรัฐบาลเวเนซูเอลลากว่า 211 ตันที่เคยเก็บไว้ในธนาคารยุโรปกับสหรัฐอเมริกาใส่เรือกลับคืนประเทศเมื่อเดือน พย ปีก่อนเลย คงเพราะกลัวว่ารัฐบาลตะวันตกจะเข้าตาจน แล้วจะยึดเอาทองคำไป

 

เอ้า พวกเราที่มีทองเล็กๆ น้อยๆ ผ่านการลงทุนในกองทุนทองคำ ถ้าจะแตกตื่นตามตาฮูโก้ ชาเวซ ก็ตามใจ ไม่ว่ากัน แต่ต้องถามตนเองก่อนว่าถอนออกมาแล้วจะเอาไปซื้อทองคำอีกไหม ซื้อแล้วจะเอาไปเก็บที่ไหน หรือจะใส่เป็นทองรูปพรรณกันให้เต็มคอ แล้วมันจะปลอดภัยไหม หรือจะเปลี่ยนเป็นเงินสด หรือจะไปลงทุนอย่างอื่น

 

คิดไปคิดมาชักปวดหัว เพราะจะเก็บเป็นเงินสด เงินฝาก ตราสารหนี้ หรือพันธบัตร ก็กลัวเสื่อมอำนาจซื้อจากเงินเฟ้อ จะซื้อหุ้นก็กลัวเจ๊ง อย่ากระนั้นเลย สู้เอาเงินที่เก็บหอมรอบริบนี่ไปช็อปปิ้งกันให้สบายใจดีกว่า

 

เอา จะทำอะไรก็ทำ เงินใครเงินมันอยู่แล้ว ขอแต่ว่าถ้าพลาดพลั้งไปก็อย่ามากระพือปีกไหม้ๆ ร้องไห้กระซิกๆ ให้เห็นแล้วกัน

 

เรื่องที่เศรษฐีตัวจริงเขาสะสมเงินที่ล้นเหลือไปไว้ที่ไหนกันบ้างนั้น ต้องบอกว่ามีหลายอย่างเลย นอกจากทองคำแล้ว เศรษฐียังสะสมงานศิลปะ วิสกี้ ไวน์ เหรียญโบราณในสกุลเงินประหลาดๆ ที่คนไม่ค่อยรู้จักกัน และอื่นๆ อีกมาก

 

แต่จะสะสมอะไรก็ว่ากันไป อย่าไปสะสมกิ๊ก เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายต่อชีวิตหากคุณนายรู้แล้ว กิ๊กยังมีแต่เสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา คุณผู้ชายอย่ามาเถียงเป็นอันขาดนะ

 

ตัวอย่างการลงทุนของเศรษฐีอเมริกัน

----------------------------------------

 

1. พันธบัตรรัฐบาลคานาดา (Canadian Bonds)

 

Financial Post รายงานว่า มีการซื้อ Canadian Bond กันมากขึ้นจนทำสถิติสูงถึง 16,700 ล้านคานาเดียนดอลลาร์ ในเดือนพฤษภาคม 2555

 

เรื่องนี้ Jeff Herold กับ Maria Berlettano ผู้เป็นผู้จัดการกองทุนตราสารหนี้ของ J. Zechner Associates บอกว่า ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ที่มีความกังวลเรื่องวิกฤติในยุโรปได้หันไปหาแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยผ่าน Canadian Bond ซึ่งรักษาอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AAA เอาไว้ได้

 

เศรษฐีก็ทำได้เช่นกัน

 

2. Scandinavian Bonds

 

ยิ่งสถานการณ์กลุ่มยูโรแย่ลง พันธบัตรของ Sweden, Norway และ Denmark ก็ยิ่งมีราคาตลาดสูงขึ้น เพราะมีฐานะการเงินการคลังที่แข็งแรงกว่ามาก

 

เรื่องนี้ DNB ซึ่งเป็นธนาคารใน Norway ถึงกับออกพันธบัตรรุ่นพิเศษมารองรับความต้องการของผู้ลงทุนสถาบันจากต่างประเทศและบรรดาเศรษฐีเมืองนอกที่แห่กันมาซื้อทีเดียว

 

Rob Stewart ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้และ เงินตราต่างประเทศ ที่ Rothschild Wealth Management ยังถึงกับออกมาประกาศว่า Sweden, Norway และ Denmark เป็นที่ที่ปลอดภัยใน การลงทุนและมีพันธบัตรที่แข็งแรงมั่นคง

 

3. Japanese Yen

 

Wall Street Journal รายงานว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้ ธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มทุนสำรองของตนด้วยการการลงทุนในเงินเยนของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นถึง 22% เพราะค่าเงินเยนแข็งขึ้นมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้ตลาดคาดกันว่ารัฐบาลญี่ปุ่นต้องต่อสู้ให้ค่าเงินเยนอ่อนลง มิฉะนั้นการส่งออกจะลำบาก

 

J.P. Morgan ก็ได้แนะนำให้ลูกค้าซื้อเงินเยนในช่วงเศรษฐกิจกำลังเป็นขาลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของญี่ปุ่นเป็นศูนย์ อัตราดอกเบี้ยปล่อยกู้ก็ต่ำมากด้วย ทำให้มีการกู้เงินสกุลเยนในต้นทุนต่ำเพื่อเอาไปลงทุนในตลาดที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า (Yen Carry Trade) และเมื่อถึงกำหนดคืนเงินเยนที่กู้มา (Deleveraging) ก็จะมีการหาเงินเยนมาคืนเจ้าหนี้ ทำให้สามารถทำกำไรจากการลงทุนในเงินเยนได้

 

3 อย่างข้างต้นนั้น จัดเป็นสินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Assets)

 

แต่ยังมีสินทรัพย์จริงที่จับต้องได้ (Non-financial Assets) ที่บรรดาเศรษฐีนิยมลงทุนกันอีกหลายอย่าง เช่น

 

1. ที่ดินการเกษตร

 

ที่ดินการเกษตรเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยและทรงคุณค่า เพราะมีปริมาณจำกัด ในขณะที่มีคนต้องการเพิ่มขึ้นเสมอ

 

Tom Eisenhauer ผู้เป็น President ของ Bonnefield Financial ชี้ว่า ราคาที่ดินการเกษตรสามารถต้านทานเงินเฟ้อได้ดีกว่าทองคำ ในขณะที่ Simon Black บอกว่า ที่ดินการเกษตรเป็นการลงทุนที่ดีในการต้านทานเงินเฟ้อเพราะความต้อง การอาหารมีแต่จะเพิ่มขึ้น และ John Taylor หัวหน้าฝ่าย Farm and Ranch ของ U.S. Trust ยืนยันว่า มีมมุมมองว่าที่ดินการเกษตรจะเป็นตลาด กระทิง เพราะขนาดไม่มีข่าวดีเลยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แถมยังมีแต่ข่าวร้ายๆ ราคาก็ยังขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งยังขึ้นมากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอีกด้วย

 

2. ไม้

 

อะไรนะ ไม้น่ะเหรอ

 

ใช่ ไม้จริงๆ นั่นแหละ หมายถึง ไม้แผ่น ไม้ซุง

 

ไม้เป็น Soft Commodity ชนิดหนึ่งด้วย และการลงทุนในไม้ก็มีประวัติศาสตร์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีมากโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อเช่นกัน

 

Larry D. Spears บันทึกไว้ว่า การลงทุนในไม้ที่สหรัฐอเมริกาให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 22% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 1973 ถึง 1981 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงเดียวกันเป็น 9.2%

 

ส่วน R. Dennis Moon กรรมการผู้จัดการ ของกลุ่มบริหารสินทรัพย์พิเศษของ U.S. Trust เล่าว่า แม้ตลาดบ้านในสหรัฐจะฟุบมาหลายปี แต่เขามีลูกค้ารายหนึ่งใน Long Island ที่ลงทุน 50 ล้านดอลลาร์ ในพื้นที่ที่มีไม้ใหญ่

 

อย่างบ้านเราก็น่าคิด ถ้าเป็นพื้นที่ว่างเปล่าในต่างจังหวัด ไกลๆ ที่ปลูกสักทองได้ ก็น่าปลูกไว้ เพื่อให้ลูกเก็บกินในอีกสัก 30-40 ปีข้างหน้า คล้ายๆ กับฝากออมสินไว้ให้ลูกนั่นแหละ แต่ก่อนตัดต้องไปขออนุญาตจากรัฐก่อนนะ

 

3. ปืน

 

การสะสมปืนสามารถดำรงคุณค่าได้ (เพราะราคาขึ้นไปตามเวลา) เศรษฐีเลยนิยมสะสมปืนและกระสุนกันมาก

 

ตัวอย่างก็คือ ราคาของปืน Remington .223 ที่อ้างอิงจาก ammo.net มีราคาขึ้นจากปี 1999 ถึง 2011 ถึง 224% ชนะเงินเฟ้อในช่วงเดียวกันมากมาย

 

นอกจากนี้ Wall Street Journal ยังรายงานว่า ราคาปืนพุ่งกระฉูด เพราะคาดกันว่า Barack Obama จะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แล้วจะออกกฏหมายควบคุมอาวุธ และยังระบุว่ามีความต้องการปืนมากเกิน กว่ากำลังการผลิตด้วย เห็นได้จากที่ Michael O. Fifer ผู้เป็น CEO ของ Sturm, Ruger & Co. ออกมาแถลงว่า บริษัทขอระงับการรับออร์เด้อร์ซื้อปืนไว้ชั่วคราว เพราะยอดขายในไตรมาสแรกปีนี้เกินกว่าที่คาดไว้มาก เลยผลิตไม่ทันความต้องการที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

 

เอ ... มีความต้องการขนาดนี้แล้วคงไม่ใช่ว่ามีแต่เศรษฐีซื้อแล้วละ และหากคนทั่วไปผสมโรงซื้อด้วยก็อาจหมายถึงความรุนแรงหรือความถี่ของอาชญากรรมในอเมริกาเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะโยงไปถึงเรื่องที่

รัฐบาลท้องถิ่นไม่มีเงินจ้างตำรวจเพียงพอก็ได้

 

4. นาฬิกา

 

เรื่องนาฬิกานี้ไม่ใช่ว่าทุกยี่ห้อจะลงทุนแล้วหวังผลกำไรในอนาคตได้เสมอไป คนที่ซีเรียสเรื่องการลงทุนในนาฬิกาจริงๆ จึงมักลงทุนใน Rolex กับ Patek Philippe เป็นหลัก เพราะเป็นยี่ห้อที่ขายออกได้คล่องที่สุด และได้กำไรดี ซึ่งอย่างหลังนี้บริษัทผู้ผลิตมีความเป็นอัจริยะทางการตลาดที่สามารถทำให้ยี่ห้อของตนที่เคยผลิตออกมามีราคาขึ้นมาโดยตลอด

 

เจ้าของร้านแอนทีคในลอนดอนชื่อ George Somlo ให้ข้อสังเกตุว่า การซื้อนาฬิกาข้อมือที่เป็นแอนทีคในช่วงเศรษฐกิจขาลงเป็นการลงทุนที่ คุ้มค่าเสมอ ซึ่ง Eric Engh ผู้จัดการเวบไซท์ Old Watch ก็ยืนยันว่า เมื่อนาฬิกาชั้นดียี่ห้อใด รุ่นใด เป็นที่นิยม ก็จะมีคนต้องการอยากจะครอบครองกันมาก และยอมจ่ายในราคาที่สูงลิ่ว

 

5. สแตมป์

 

Handbook of Personal Wealth Management เขียนเอาไว้ว่า แสตมป์เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ลงทุนประเภทจับต้องได้ (ไม่ใช่ Financial Assets อย่างหุ้นและพันธบัตร) ที่มี Record ว่าให้ ผลตอบแทนที่มั่นคงและดีมากมายาวนาน ที่สุด และถึงแม้สแตมป์จะบอบบาง ถูกทำลายได้ง่าย แต่แสตมป์เก่าๆ ก็มีค่าคล้ายๆ รถคลาสสิคที่คนนิยมสะสม หรือหนังสือการ์ตูนยอดนิยมเก่าๆ

 

มิน่า ลุง Bill Gross (PIMCO) ถึงได้สะสมแสตมป์มีค่าไว้ถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทีเดียว และส่วนมากก็ได้มาจากการที่ลุงเข้าไปประมูลช่วยการกุศลด้วย

 

นึกถึงหนังสือการ์ตูนเก่าๆ ที่เคยติดงอมแงมสมัยเด็กๆ อย่าง ขวานฟ้าหน้าดำ ชะมัด

 

เนี่ยะ ถ้าเก็บไว้ดีๆ ป่านนี้ก็สบายไปแล้ว

 

ดังนั้น เราก็อาจจะเริ่มสะสมสแตมป์ (ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้เราติดต่อทางอินเตอร์เนตกันแล้ว) และสะสม การ์ตูนซุปเปอร์ไซย่า กันไว้ได้แล้ว

 

อ้าว อย่าเพิ่งหัวเราะว่าโลกไปยุคเทคโนโลยี่ eBook แล้ว จะให้เก็บไว้ทำไม

 

อย่าลืมสิ ต่อไปจะมีคนถวิลหาสิ่งที่ยึดโยงเราไว้กับอดีต จะมีคนอยากเงยหน้าขึ้นมาจาก Smart Phone เพื่อจับต้องกระดาษจริงที่มีแต่จะหายากขึ้นทุกที

 

ก็คงคล้ายๆ กับที่เราเห็นเครื่องพิมพ์ดีดโบราณ เห็นฉลากยาเก่าๆ แล้วทึ่ง อยากเป็นเจ้าของกันนั่น แหละ

 

6. งานศิลปะ

 

หลายคนคงไม่รู้ว่าในทศวรรษที่ผ่านมานี้ ดัชนี Mei Moses (ดัชนีสำคัญที่โลกใช้สำหรับงานศิลปะ) ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าดัชนี S&P500 ถึง 6 เท่า

 

กูรูด้านพันธบัตรอย่าง Jeff Gundlach ยังถึงกับบอกว่า งานศิลปะก็คือทองคำในเวอร์ชั่นที่พกพาไปไหนๆ ได้ (เพราะในราคาที่เท่าๆ กัน ทองคำจะหนักกว่า) โดยสามารถดำรงอำนาจซื้อได้เท่าๆ กับทองคำ

 

หากจะดูว่ากำลังซื้อในงานศิลปะและการลงทุนในงานศิลปะโดยเฉพาะภาพเขียนนั้นดีขนาดไหน วิธีดูที่ดีก็คือให้ไปดูราคางานศิลปะที่บริษัทประมูลปล่อยไปได้ กับดูยอดขาย ผลกำไร และราคาต่อหุ้นของบริษัทประมูล

 

ไปดูตัวอย่างที่ Sotheby อันเป็นบริษัทประมูลข้ามชาติเก่าแก่เป็นอันดับ 4 ของโลกซึ่งก่อตั้งในปี 1744 มีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐ มีอีก 90 สำนักงานในอีก 40 ประเทศ ก็ได้

 

บริษัทนี้ทำธุรกิจประมูลที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกของศิลปะการตกแต่ง เครื่องประดับ และของสะสม ซึ่งในปี 2011 มียอดขายทั่วโลก รวมถึง 5,800 ล้านดอลลาร์

 

ตั้งแต่ปี 2009 หุ้นของ Sotheby ได้ขึ้นจากจุดต่ำสุดในช่วงนั้นที่ 6.47 มาเป็น 30.58 ดอลลาร์ต่อหุ้น

 

แบบนี้จะเรียกว่าเป็นตลาดกระทิงของงานศิลปะก็ไม่ผิดหรอก

 

ก็ขนาดภาพเขียน Pop Art ของ Andy Warhol ยังมีคนประมูลไปได้ในราคาตั้งพันล้านบาท จนเดี๋ยวนี้ผลงานภาพเขียนของเขาหากคำนวณเป็น Market Cap. ก็น่าจะแซงเบอร์หนึ่งอย่าง ปิคาสโซ ไปแล้ว

 

 

 

7. เพ็ชร

 

Alan Landau ผู้เป็น CEO ของ Novel Asset Management ให้สัมภาษณ์ใน Bloomberg TV ว่า

 

“เพชรเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมและปลอดภัย แม้จะมีสภาพคล่องน้อยกว่าทองคำอยู่มาก แต่ราคาก็ไม่ผันผวนเท่าราคาทองคำ ทั้งยังกำลังเป็นที่สนใจในการลงทุนเพื่อหลบภัยจากค่าเงินดอลลาร์อีกด้วย”

 

ความจริงนอกจากเพ็ชรแล้ว พวกอัญมณีประเภทต่างๆ ก็ได้รับความนิยมในการสะสมเพิ่มขึ้น

 

มีคนบอกว่า นอกจากคุณค่าในเชิงการลงทุนที่ดีแล้ว เพ็ชรและอัญมณี มีมนตรามหาเสน่ห์ให้คนหลงไหลในความงดงามอย่างถอนตัวได้ลำบาก

 

จริงเท็จอย่างไร ลองจุดธูปถามคุณป้า Elizabeth Taylor ดูก็ได้ ก็ Jewelry Collection ของเธอที่เปิดประมูลไปเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้คนที่ได้ดูแม้เพียงรูปยังอ้าปากค้าง แม่จ้าว อะไรมันจะอลังการงานสร้างและมีเป็นจำนวนมากได้ถึงขนาดนั้น

 

ลองไปดูงานประมูลเพ็ชรที่ทำสถิติราคาสูงสุดกันบ้าง

 

Christie’s รายงานว่า เพ็ชรสีชมพูขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยอ อกประมูล ชื่อ The Martian Pink เพ็ชรเม็ดนี้หนัก 12.04 กะรัต และมีคนประมูลไปเมื่อเดือน พ.ค.2012 ไปแล้ว ในราคา 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 527 ล้านบาท คร่าวๆ ก็กะรัตละ 45 ล้านบาท

 

คนทั่วไปทำงานมาทั้งชีวิตยังมีเงินเก็บไม่ได้ครึ่งของ 1 กะรัตเลย

 

การที่เพ็ชรเม็ดนี้ขายได้ราคาสูงกว่าที่ประเมินราคาเป็นเท่าตัว แสดงว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จะทำร้ายผู้คนจำนวนมากได้อย่างไร เศรษฐีตัวจริงย่อมเป็นข้อยกเว้น

 

เมื่อ 1 ธ.ค. 2009 แหวนเพ็ชรสีชมพูขนาด 5 กะรัต ถูกขายไปงานประมูลของ Christie’s Hong Kong ในราคา 10,776,660 ดอลลาร์สหรัฐ (334 ล้านบาท)

 

โอย ... กะรัตละแค่ 66 ล้านบาทเท่านั้นเอง

 

เป็นสถิติราคาเพ็ชรต่อกะรัตที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการประมูล โดย Vickie Sek ผู้อำนวยการ Christie’s Asia บอกว่า แหวนวงนี้เป็นดวงดาวที่ส่งประกายระยิบระยับที่สุดในงาน และ 8 ใน 10 คนที่ประมูลเพ็ชรพลอยไปได้เป็นนักสะสมชาวเอเชีย

 

หากเดินทางไปต่างประเทศแล้วหมั่นซอกแซก ถามไถ่ สังเกตุสังกาผู้คนกับสิ่งแวดล้อม เราก็จะได้ข้อมูลดีๆ มากมาย และสะท้อนอะไรๆ ที่เป็นของจริงได้มากกว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาอีกด้วย

 

อย่างเมื่อเร็วๆ นี้ที่ไป South Africa คนพื้นเมืองเล่าว่าแต่ก่อนนักท่องเที่ยวจะเป็นชาติตะวันตกมากที่สุด เดี๋ยวนี้ลดลงไปมาก แต่ได้คนจีน คนอินโดเนเซีย เกาหลี และตะวันออกกลาง มาทดแทน

 

ส่วนร้านขายเพ็ชรเล่าว่า เดี๋ยวนี้นักท่องเที่ยวจากตะวันออกซื้อเพ็ชรพลอยมากกว่าคนตะวันตกแล้ว

 

ตอกย้ำประโยคที่ว่า ....

 

“คนเราจะรวยจะจนนั้น ไม่มีคงทนถาวร แต่เพ็ชรพลอย ทองคำ ซึ่งเป็นความมั่งคั่ง แม้จะเปลี่ยนมือไปได้เรื่อยๆ ก็จะไหลไปอยู่ในมือของคนรวยๆ เสมอ”

 

8. สุรา

 

มันน่าสนใจมาก เพราะเราอาจไม่ค่อยรู้กันว่า คนอเมริกันในยุคก่อนใช้วิสกี้แทนเงินในการแลกเปลี่ยนสินค้า เหมือนพวก Aztecs ใช้เมล็ดโกโก้ไปแลกสินค้าอื่นๆ แบบ Barter Trade

 

นอกจากนี้ นิตยสาร SWAGได้รวมไวน์เข้าไว้กับพวกแร่เงิน งานศิลปะ และทองคำ ในฐานะที่เป็นโอกาสในการลงทุนที่ช่วยต้านเงินเฟ้อได้ด้วย

 

และ Peter Luzer ผู้บริหากองทุนไวน์ (Wine Investment Fund) คาดว่า กองทุนของเขาจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 12.5% ถึง 14.0% ทีเดียว

 

ดังนั้น การเลิกดื่มแล้วหันมาสะสมสุรากันก็น่าจะอินเทร็นด์ไม่ใช่น้อยเลย

 

9. เหรียญที่หาได้ยาก

 

เหรียญเก่าๆ หายากมักเป็นที่ต้องการของผู้สะสม ผู้มีโอกาสครอบครองไว้จึงเบาใจได้เลยว่าค่าของมันในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นเพราะมันผลิตเพิ่มไม่ได้ ไม่เหมือนทองคำกับแร่เงินที่ยังพอจะขุดหามาได้

อย่างราคาเหรียญทองคำ St. Gaudens รุ่น 20 ดอลลาร์สหรัฐ ยังขึ้นจากช่วงก่อน Recession ใน อเมริกา จากไม่ถึง 2,000 ดอลลาร์ มาเป็น 2,720 ดอลลาร์ในเดือนตุลาคมนี้เลย

 

------------------------------------------------------------------------

 

สำหรับตลาดไทยๆ นั้น เรายังมีอะไรน่าสะสมเพื่อรักษาอำนาจ ซื้อ และผลตอบแทนที่ดี ได้มากกว่านี้อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง พระพุทธรูป เหรียญเก่า ผ้าทอเก่าๆ ถ้วยชามรามไหเก่าๆ ตั้งแต่ครั้งราชวงศ์โบราณ

 

ก็แหม ขนาดชามตราไก่ กับถาดสังกะสีลายดอกไม้ที่ใช้กันในวัด ยังป๊อบปูลาร์ในวันนี้

 

แต่ข้อยกเว้นในใจคุณผู้ชายมันก็มีเป็นธรรมดา

 

นั่นก็คือ ของเก่าๆ อย่างคุณนายที่บ้าน ไม่เคยมีราคาขึ้น มีแต่จะตกลงไปด้วยอัตราเร่งสูงสุด เหลือเชื่อจริงๆ

 

แถมไม่มีตลาดรอง ไม่มีสภาพคล่อง ลงทุนแล้วต้องลงทุนเลย ไม่ให้ Cut Loss ไม่ให้ Take Profit

 

จนบางคนถึงกับบ่นว่า .....

 

“ฮ้วย อย่างนี้มันก็เลยมีแต่ Take Loss กับ Cut Profit ละสิ”

 

ฮ่า สมน้ำหน้าค่ะ

 

เอาละ คิดจะลงทุนอะไร ก็อย่าลืมเรื่องสภาพคล่อง เพราะหลายอย่างไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันใจอย่างที่จำเป็นต้องใช้ ดังนั้น ต้องวางแผนให้ดีๆ

 

ถ้าคิดจะเดินตามรอยเศรษฐีกันละก็ อย่าลงทุนสะเปะสะปะ ให้เลือกชิ้นที่ดีที่สุดไว้ก่อน (ถ้ามีเงินพอนะ)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เรื่อง สะสมของเก่าเมืองไทย ที่เห็นมีราคากำไรจริงจังก็พระรุ่นนิยม กับเหรีญที่เก่ามากๆทีมีต่างชาติมาแย่งซื้อครับซึ่งจะมีปลอมเยอะ ส่วนที่ไม่เก่ามาก ไม่มีต่างชาติมาแย่งซื้อ ราคาไม่ค่อยไปไหน ที่ไม่เก่ามากแต่สร้างกระแสได้สุดยอด คือเหรีญ10บาท(ไม่แน่ใจว่าใช่ปี2536หรือเปล่า ผลิตแค่ร้อยกว่าเหรียญ) สภาพใหม่ดันไปเหรียญละแสนอัพ เรื่องสะสมของไม่เก่ามากหรือไม่ใช่รุ่นสร้างกระแสเมืองไทยต้องทำใจนะ ราคาอาจไม่ไปไหน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การเงิน - การลงทุน

 

วันที่ 24 ตุลาคม 2555 18:00

ส่งออกก.ย.หด7.5% หากไม่นับส่งออกทอง

 

ไทยพาณิชย์เปิดไส้ ในส่งออกเดือนก.ย.55 บอกสถานการณ์ยังแยก หดตัวกว่า 7.5% หากไม่นับรวมส่งออกทองที่โตกว่า 44% แนะจับตาหนี้ยุโรป-ประเทศคู่ค้า

 

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าการส่งออกของ ไทยเดือนกันยายนอยู่ที่ 20.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 0.2%YOY (เทียบกับเดือนเดียวกันในปีก่อนหน้า) ขณะที่มูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 19.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หดตัว 7.7%YOY ส่วนดุลการค้าเกินดุล 1,153 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

"การส่งออกกลับมาขยายตัวแต่เป็นผลจากการส่งออกทองคำ การส่งออกทองคำ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้วถึง 1,592 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1,705%YOY) และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าถึง 515 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (44%MOM) โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกไปยังสวิตเซอร์แลนด์ การส่งออกทองคำที่ขยายตัวมากส่งผลให้มูลค่าการส่งออกโดยรวมกลับมาขยายตัวได้ อย่างไรก็ดี มูลค่าการส่งออกที่ไม่รวมทองคำยังหดตัว 7.5%YOY"

อย่างไรก็ตาม การค้ากับตลาดอาเซียนและจีนยังไม่ดีขึ้น มูลค่าการส่งออกไปอาเซียนในเดือนกันยายนอยู่ที่ 4.53 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทรงตัวใกล้เคียงกับมูลค่าการส่งออกของเดือนก่อนหน้าที่ 4.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่การส่งออกไป จีนอยู่ที่ 2.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจาก 2.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ สินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ส่วนการส่งออกไปยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า

การนำเข้าปัจจัยการผลิตลดลงตามภาคการผลิต ที่ชะลอตัว มูลค่าการนำเข้าลดลง1.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการลดการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป เกือบทั้งหมด ดังนั้น การส่งออกและภาคการผลิตเพื่อส่งออกที่ชะลอตัวเป็นเหตุให้ความต้องการสินค้านำเข้าที่เป็นปัจจัยการผลิตลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง

อย่างไรก็ตาม ไทยยังขาดดุลการค้าหากไม่รวมดุลการค้าทองคำ หากไม่รวมทองคำที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในเดือนกันยายน มูลค่าการส่งออกและนำเข้าจะอยู่ที่ 19.10 และ 19.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ และการขาดดุลการค้าจะอยู่ที่ 152 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) แนะนำว่า ต้องจับตามองประเทศคู่ค้าในภูมิภาคเอเชียควบคู่ไปกับสถานการณ์ในยุโรป โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียนที่มีความสำคัญต่อห่วงโซ่การผลิตสินค้า อิเล็กทรอนิกส์ และภาคอุตสาหกรรมของจีนซึ่งหากยังชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อสินค้าหมวด เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และวัตถุดิบ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามสถานการณ์ในยุโรปในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะการพิจารณาต่ออายุการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กรีซที่ยังไม่ ได้ข้อยุติและอุปสงค์ภายในยูโรโซนที่ยังหดตัวต่อเนื่องและยังไม่มีแนวโน้มดี ขึ้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บ.เรตติ้งน้องใหม่ใน'จีน'ประกาศหยุด'ฟิตช์-เอสแอนด์พี-มูดี้ส์'ผูกขาด blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 ตุลาคม 2555 01:32 น.

 

 

blank.gif

เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - กลุ่มเครดิตเรตติ้งของจีน,อเมริกา,รัสเซีย ซึ่งร่วมกันจัดตั้งบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือน้องใหม่ที่มีฐานใหญ่ใน แดนมังกร แถลงในวันพุธ(24)ว่า มีแผนการทำลายการครอบงำการประเมินฐานะหนี้สินของประเทศและบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ของ ฟิตช์, เอสแอนด์พี, มูดี้ส์ โดยระบุว่าวิกฤตการเงินทั่วโลกที่เกิดขึ้นมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระบบการจัดอันดับเครดิตระหว่างประเทศในปัจจุบันซึ่งครอบงำโดย 3 ยักษ์ใหญ่ที่ล้วนแต่มีฐานที่มั่นในสหรัฐฯเหล่านี้ มีความบกพร่องและเป็นอันตราย จึงต้องทำการปฏิรูป

 

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24) ต้ากง ของจีน, อีแกน-โจนส์ เรตติ้ง (อีเจอาร์) จากสหรัฐฯ และรัสเรตติ้งของรัสเซีย ร่วมกันแถลงข่าวที่กรุงปักกิ่งถึงแผนการร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทเครดิต เรตติ้งแห่งใหม่ขึ้นมาภายในเวลา 6 เดือน โดยที่สำนักงานใหญ่จะอยู่ที่ฮ่องกง

 

หุ้นส่วนทั้งสามยังเชิญชวน “องค์การจากทุกๆ ประเทศ” เข้าร่วมกับบริษัทใหม่ของพวกตนซึ่งใช้ชื่อว่า ยูนิเวอร์แซล เครดิต เรตติ้ง กรุ๊ป โดยที่ กวน เจี้ยนจง ประธานกรรมการต้ากง ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัทหลายสิบแห่งจากกว่า 20 ประเทศ แสดงความสนใจเข้าร่วมด้วย

 

พันธมิตรกลุ่มใหม่นี้แสดงความหวังว่า จะสามารถทำลายการครอบงำของบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 แห่งคือ ฟิตช์, สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) และมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ ซึ่งล้วนมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า

 

“ผมเชื่อว่าเราทำได้ เป้าหมายของเราคือการสร้างระบบใหม่จากการร่วมมือกันของพันธมิตรทั้งหมด ซึ่งจะสามารถคานอำนาจกับระบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน” กวน แสดงความเชื่อมั่น

 

กลุ่มหุ้นส่วนทั้ง 3 ระบุในเอกสารที่ใช้ชื่อว่า “ปฏิญญาปักกิ่ง” ซึ่งมีเนื้อหาว่า วิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นมา ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า ระบบการจัดอันดับสากลในปัจจุบันมีข้อบกพร่องผิดพลาดที่บ่อนทำลายความ มั่งคั่งและพัฒนาการของมนุษย์ และจำเป็นต้องมีการปฏิรูป

 

“เราอยู่ในโลกที่สลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง มีผลประโยชน์ต่างๆ มากมายที่แข่งขันกันอยู่ และมีทัศนะมุมมองทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน” ริชาร์ด ไฮน์สเวิร์ธ ประธานกรรมการบริหารของรัสเรตติ้ง กล่าวในการแถลงข่าวคราวนี้

 

“ในโลกเช่นที่กล่าวถึงนี้ ไม่เป็นการเพียงพอเลยที่กิจการสำคัญอย่างยิ่งยวดเฉกเช่นการจัดอันดับความน่า เชือถือนี้ จะมาถูกครอบงำโดยบริษัทจำนวนเพียงไม่กี่แห่งเช่นนี้”

 

ขณะที่ ฌอน อีแกน ประธานกรรมการบริหารของอีเจอาร์ กล่าวเสริมว่า การที่มี “บริษัทบางแห่งในสหรัฐฯ” ซึ่งบริษัทผู้ออกตราสารหนี้เป็นผู้จ่ายเงินว่าจ้าง ได้จัดเรตติ้งแก่ตราสารหนี้ต่างๆ อย่างสูงเกินความเป็นจริง มีบทบาทสำคัญมากที่ก่อให้เกิดารการพังครืนทางการเงินและภาวะล้มเกินทางการ เงินในช่วงปี 2008-09 ซึ่งเป็นปัญหาที่จนถึงเวลานี้ยังไม่ได้มีการขจัดลดทอน

 

“เห็นได้ชัดเจนว่าการกำกับตรวจสอบพวกกิจการเครดิตเรตติ้งในทุกวันนี้ ยังคงล้มเหลวพลาดเป้าไปมาก” เขากล่าว

 

ทั้งนี้ ฟิตช์, เอสแอนด์พี และมูดี้ส์ 3 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือยักษ์ใหญ่ที่ก่อตั้งมายาวนานและให้บริการ ประเมินความเสี่ยงแก่นักลงทุน ถูกวิจารณ์กว้างขวางจากการให้เรตติ้งระดับสูงสุดแก่เครื่องมือการลงทุน ประเภทผูกกับสินเชื่อที่อยู่ แล้วพอสินเชื่อเหล่านี้เกิดปัญหา ก็นำไปสู่วิกฤตการเงินโลกในปี 2008

 

อำนาจอันมหาศาลของ ฟิตช์ล เอสแอนด์พี, และมูดี้ส์ ยังทำให้พวกเจ้าหน้าที่ยุโรปโกรธเคืองกันมาก ในช่วงที่วิกฤตหนี้สินของทวีปนี้กำลังย่ำแย่หนัก ถึงแม้การพูดจาหารือเกี่ยวกับการก่อตั้งบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของ ยุโรปเอง จะถูกยกเลิกไปสืบเนื่องจากปัญหาเรื่องต้นทุนค่าใช้จ่ายและปัญหาความสามารถ ที่จะประเมินความน่าเชื่อถือโดยปลอดจากอคติ

 

พันธมิตรทั้งสามแถลงว่า ยูนิเวอร์แซล เครดิตจะ “เป็นอิสระ” โดยประกอบด้วยบริษัทเอกชน “ที่ความรับผิดชอบไม่ได้ขัดแย้งกับการจัดอันดับ และไม่ได้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด”

 

กวน สำทับว่า จะไม่รับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 เป็นสมาชิกกลุ่ม เนื่องจากมีความแตกต่างกันมากระหว่างหลักการและจุดยืนที่ทางกลุ่มยึดมั่น

 

ต้ากงนั้นได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือที่ให้แก่ตราสารหนี้ รัฐบาลสหรัฐฯลงจาก A+ ลงมาอยู่ที่ A โดยที่อันดับทิศทางอนาคตก็เป็น “ลบ” ทั้งนี้หลังจากรัฐสภาสหรัฐฯผ่านกฎหมายที่เพิ่งเพดานความสามารถก่อหนี้ของ รัฐบาล

 

สำหรับ อีแกน-โจนส์ เรตติ้ง ให้บริการนักลงทุนสถาบัน และได้รับสถานะ “องค์การจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับชาติซึ่งมีสถิติที่ได้รับการยอมรับ” โดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เมื่อปลายปี 2007

 

ขณะที่รัสเรตติ้งที่ตั้งอยู่ในมอสโก มุ่งเน้นการจัดอันดับภาคการธนาคารเป็นหลัก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหมืองแอฟริกาใต้ ไล่คนงานออก 12,000 คน

 

 

 

เหมืองแร่แพลทินัมที่ใหญ่ที่สุดในโลกในแอฟริกาใต้ปลดคนงานออกกว่า 12,000 คน หลังเกิดเหตุประท้วงหยุดงานยาวนานหลายสัปดาห์ และสร้างความเสียหายให้กับบริษัทกว่า 2 พันล้านบาท

 

 

Anglo American (แองโกล อเมริกัน) เหมืองแร่แพลทินัมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกาใต้ ปลดคนงานเหมืองออกถึง 12,000 คน โดยให้เหตุผลว่า คนงานเหล่านั้น ทำการประท้วงหยุดงานที่ผิดกฎหมายและปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามกฎของบริษัทอย่าง เคร่งครัด ซึ่งคนงานที่ถูกไล่ออกจะมีเวลา 3 วันในการยื่นอุทธรณ์ต่อบริษัท

 

 

ตัวแทนของเหมืองแพลทินัมดังกล่าวเปิดเผยว่า การประท้วงหยุดงานเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ของคนงานเหล่านั้นทำให้บริษัทสูญเสียรายได้เป็นจำนวนถึง 700 ล้านแรนด์ หรือราว 2,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นความสูญเสียมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ราคาแพลทินัมในตลาดโลกกำลังตกต่ำอยู่ในขณะนี้

 

 

ทั้งนี้ การประท้วงของคนงานเหมืองเพื่อขึ้นค่าแรงนั้น กำลังแพร่กระจายไปยังเหมืองแร่อื่นๆ เช่นกัน ล่าสุดเหมืองแร่โกลด์ฟิลด์ ซึ่งเป็นเหมืองทองคำที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ได้ปลดพนักงานออกไปแล้วกว่า 5 พันคน ด้วยสาเหตุเดียวกัน คือการประท้วงหยุดงานและประพฤติผิดกฎของบริษัท

 

 

บรรดานักวิเคราะห์มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้น อาจเกิดจากแรงจูงใจ หลังเกิดเหตุคนงานเหมืองแร่แพลทินัมมาริกานาประท้วงใหญ่เมื่อกลางเดือน สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะกับตำรวจปราบจลาจลถึง 34 ราย แต่สุดท้ายเจ้าของเหมืองมาริกานา ก็ยอมขึ้นค่าแรงให้กับคนงานเหมืองถึงร้อยละ 22 จึงอาจเป็นสาเหตุให้คนงานในเหมืองอื่นๆ ต้องการขอขึ้นค่าแรงบ้าง

 

 

ทั้งนี้ แอฟริกาใต้กำลังประสบปัญหาอัตราการว่างงานสูงถึงร้อยละ 25 ทำให้การปลดพนังงานเหมืองดังกล่าว จะยิ่งซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งส่งผลให้ประชาชนเริ่มออกมาแสดงความพอใจการบริหารงานของนายจาค็อบ ซูมา ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ พร้อมเรียกร้องให้นายคกาเลมา มอตลันเต รองประธานาธิบดีขึ้นดำรงตำแหน่งแทนที่

by Chakrit

6 ตุลาคม 2555 เวลา 10:47 น.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยโหดไม่แพ้ชาติใดในโลก

 

21 วิธีประหารสมัยกรุงศรีอยุธยา

ในสมัยกรุง ศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทยเรา พบว่า มีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือ โทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการ ประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทุกประการ

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

- สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

- สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระ ให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

- สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

- สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

- สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็น ริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

- สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่น ดินอย่าให้้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

- สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

- สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้ น้ำหนักหนึ่่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

- สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

- สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้ง สองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

- สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอมแล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูก นั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

- สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาด**censor**ลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

- สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

- สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

- สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

- สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

- สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

- สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

- สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พาดหัว โพสท์ทูเดย์ เมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา

 

ถล่ม 'เงินฮ่องกง' บาทยังไม่กระทบ

 

... สำนักงานการเงินฮ่องกงประกาศเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนอีกครั้ง ในวงเงิน ๘๕๕ เหรียญสหรัฐ ....

... รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพทางการเงิน ธปท. เห็นว่า ที่สนง.การเงินฮ่องกงเข้าแทรกแทรง เพราะต้องการดูแลเงินทุนไหลเข้าให้อยู่ในกรอบ ...

... ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธ.กรุงศรีฯ เชื่อว่าจากนี้ ธปท. จะจับตาดูการเก็งกำไรอย่างใกล้ชิดขึ้น หากมีสัญญาณไม่ดี ก็คงจะมีมาตรการดูแล ...

 

& & & & & & & & & & &

 

การที่ท่านประธานเบอร์แนงกี้ ออกมาประกาศ คิวอี ๓ มีกูรูนอกเปรียบเทียบไว้เหมือนกับว่า ท่านได้ออกมาพูดว่า

แท่นพิมพ์ข้า ใหญ่กว่าแท่นพิมพ์ของชาติใดในโลกนี้

 

เหมือนกับหลายๆครั้งที่ผ่านมา ที่การทำลายค่าเงินของประเทศหลักๆ ทำให้เกิดผลกระทบลูกโซ่

บังคับให้ประเทศอื่นๆต้องออกมาทำลายค่าเงินตัวเองตาม ไม่เว้นแม่แต่ สวิสฯ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Where Did Germany's Gold Go?

 

 

 

 

 

Comment

 

Posted by Brittany Stepniak - Thursday, October 25th, 2012

Another one of the international central banks failed to properly oversee and audit a country's massive gold reserves. This time, Germany's central bank is to blame.

The federal auditors' office has publicly criticized the central bank saying they should be more pro-active when it comes to taking control and responsibility for the county's gold reserves stored in the United States, Britain, and France. They are worth “dozens of billions of dollars.”

Care to know where a majority of Germany's gold reserves are held? You guessed it – they're in possession of our very own Federal Reserve; 'safely' secured in the vaults of our nation's most 'trustworthy' men.

At least 3,400 tons of gold – valued at about $190 billion at modern rates – are in the U.S., the Bank of France, and the Bank of England. Most of that gold has been there since the end of the Cold War and the Soviet invasion.

However, that number is just an estimation of how much gold should be there... but no one is quite sure how much gold is physically inside those vaults because of poor control and a lack of audits.

Auditors argue that the central banks aren't fulfilling their duties of inspecting samples of its gold bars “in regular values to verify their book value.”

Monday of this week, The Associated Press got their hands on a report to lawmakers regarding this issue:

The report acknowledges that such inspections might be logistically complicated, but it stresses that ‘‘this cannot discharge from the necessity to carry out an inventory.’’

The central bank said in a reaction to the report that was also sent to lawmakers Monday that it sees no reason for a physical inspection of the bars. ‘‘There is no doubt about the integrity of the foreign storage sites in this regard,’’ it stated.

The debate on most of the gold reserves being held by foreign authorities has caused some inevitable conspiracy theories questioning their very existence, but several German politicians have also voiced unease.

Philipp Missfelder, a leading lawmaker from Chancellor Angela Merkel’s center-right party, has asked the Bundesbank for the right to view the gold bars in Paris and London, but the central bank has denied the request, citing the lack of visitor rooms in those facilities, German daily Bild reported.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยโหดไม่แพ้ชาติใดในโลก

 

21 วิธีประหารสมัยกรุงศรีอยุธยา

ในสมัยกรุง ศรีอยุธยา อาณาจักรที่รุ่งเรืองที่สุดอีกยุคสมัยหนึ่งของไทยเรา พบว่า มีการตราบทลงโทษขั้นรุนแรงที่สุดคือ โทษประหารชีวิตเอาไว้ในพระไอยการกระบถศึก ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ก่อนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมอีกครั้งในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กฎหมายฉบับนี้มิได้มีการแก้ไขในบทลงโทษความผิดขั้นประหารชีวิตและวิธีการ ประหารชีวิตเลยแม้แต่น้อย คือยังคงลักษณะเดิมไว้แต่ครั้งการตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทุกประการ

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังนี้

- สถาน 1 คือ ให้ต่อยกระบานศีศะ (กบาลศีรษะ) เลิกออก (เปิดออก) เสียแล้ว เอาคีมคีบก้อนเหล็กแดงใหญ่ใส่ลงไปในมันสะหมอง (มันสมอง) ศีศะพลุ่งฟู่ขึ้นดั่งม่อ (หม้อ) เคี่ยวน้ำส้มพะอูม

- สถาน 2 คือ ให้ตัดแต่หนังจำระ (จาก) เบื้องหน้าถึงไพรปากเบื้องบนทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้างเป็นกำหนด ถึงเกลียวคอชายผมเบื้องหลังเป็นกำหนด (หนังบริเวณคอถึงท้ายทอย) แล้วให้มุ่นกระหมวดผมเข้าทั้งสิ้น (ม้วนเข้าหากัน) เอาท่อนไม้สอดเข้าข้างละคน โยกคลอนสั่นเพิกหนังทั้งผมนั้นออกเสียแล้วเอากรวดทรายหยาบขัดกระบานศีศะชำระ ให้ขาวเหมือนพรรณศรีสังข์

- สถาน 3 คือ ให้เอาขอเกี่ยวปากให้อ้าไว้ แล้ให้ตามประทีบ (ดวงไฟ) ไว้ในปาก ไนยหนึ่ง (นัยหนึ่ง) เอาปากสิวอันคมนั้นแสะแหวะผ่าปากจนหมวกหู (ใบหู) ทั้งสองข้าง แล้วเอาขอเกี่ยวให้อ้าปากไว้ให้โลหิตไหลออกเต็มปาก

- สถาน 4 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันให้ทั่วร่างกายแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 5 คือ เอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วทั้งสิบนิ้วแล้วเอาเพลิงจุด

- สถาน 6 คือ เชือดเนื้อให้เป็นแรงเป็นริ้วอย่าให้ขาดจากกัน ตั้งแต่ใต้คอลงไปถึงข้อเท้าแล้วเอาเชือกผูกจำ ให้เดินเหยียบริ้วเนื้อริ้วหนังแห่งตน ให้ฉุดคร่าตีจำให้เดินไปกว่าจะตาย

- สถาน 7 คือ เชือดเนื้อให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร่งเป็นริ้ว ตั้งแต่ใต้คอลงมาถึงเอวและให้เชือดตั้งแต่เอวให้เนื่องด้วยหนังเป็นแร้งเป็น ริ้วลงมาถึงข้อเท้ากระทำหนังเบื้องบนให้คลุมลงมาเหมือนนุ่งผ้า

- สถาน 8 คือ ให้เอาห่วงเหล็กสวมข้อศอกทั้งสองข้าง ข้อเข่าทั้งสองข้างให้มั่นแล้วเอาหลักสอดในวงเหล็กแย่งขึงตรึงลงไว้กับแผ่น ดินอย่าให้้ไหวตัวได้ แล้วเอาเพลิงรน (ลน) ให้รอบตัวจนกว่าจะตาย

- สถาน 9 คือ ให้เอาเบ็ดใหญ่ที่มีคมสองข้างเกี่ยวทั่วร่างเพิก (เปิด) หนังเนื้อและเอ็นน้อยใหญ่ให้หลุดขาดออกมาจนกว่าจะตาย

- สถาน10 คือ ให้เอามีดที่คมเชือดเนื้อให้ตกออกจากกายแต่ทีละตำลึง(นำเนื้อมาชั่งให้ได้ น้ำหนักหนึ่่งตำลึง:มาตราวัดสมัยโบราณ) จนกว่าจะสิ้นมังสา (เนื้อ)

- สถาน 11 คือ ให้แล่สับทั่วร่างแล้ว เอาแปรงหวีชุบน้ำแสบกรีดครูดขูดเสาะหนังและเนื้อแลเอ็นน้อยใหญ่ให้ลอกออกให้สิ้นให้อยู่แต่ร่างกระดูก

- สถาน 12 คือ ให้นอนลงโดยข้างๆ หนึ่งแล้วให้เอาหลาวเหล็กตอกลงไปโดยช่องหูให้แน่นกับแผ่นดินแล้วจับขาทั้ง สองข้างหมุนเวียนไปดังบุคคลทำบังเวียน (เวียนเทียน)

- สถาน 13 คือ ทำมิให้หนังพังหนังขาด แล้วเอาลูกสีลา (ลูกหิน) บดทุกกระดูกให้แหลกย่อย แล้วรวบผมเข้าทั้งสิ้น ยกขึ้นหย่อนลงกระทำให้เนื้อเป็นกองเป็นลอมแล้วพับห่อเนื้อหนังกับทั้งกระดูก นั้นทอดวางไว้ดั่งตั่งอันทำด้วยฟางซึ่งเอาไว้เช็ดเท้า

- สถาน 14 คือ ให้เคี่ยวน้ำมันให้เดือดพลุ่งพล่าน แล้วลาด**censor**ลงมาแต่ศีศะ (ศีรษะ) จนกว่าจะตาย

- สถาน 15 คือ ให้กักขังสุนัขร้ายทั้งหลายไว้ อดอาหารหลายวันให้เต็มอยากแล้วปล่อยให้กัดทึ้งเนื้อหนังกินให้เหลือแต่ร่างกระดูกเปล่า

- สถาน 16 คือ ให้เอาขวานผ่าอกทั้งเป็นแหกออกดั่งโครงเนื้อ

- สถาน 17 คือ ให้แทงด้วยหอกทีละน้อยๆ จนกว่าจะตาย

- สถาน 18 คือ ให้ขุดหลุมฝังเพียงเอว แล้วเอาฟางปกลงคลุมร่างก่อนคลอกด้วยเพลิงพอหนังไหม้แล้วไถด้วยไถเหล็ก ให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่เป็นริ้วน้อยริ้วใหญ่

- สถาน 19 คือ ให้เชือดเนื้อล่ำออกทอดด้วยน้ำมัน เหมือนทอดขนมให้กินเนื้อตัวเองจนกว่าจะตาย

- สถาน 20 คือ ให้ตีด้วยตะบองสั้นตะบองยาวจนกว่าจะตาย

 

 

 

- สถาน 21 คือ ตีด้วยหวายที่มีหนามจนกว่าจะตาย

 

 

 

 

ขออนุญาตินะคะ

 

อ่านทีแรกตกใจมาก สยามเคยโหดเเบบนี้ด้วยหรือ ขออนุญาติเพิ่มเติม การประหารทั้ง 21 วิธี ดังนี้

 

 

 

สมัยโบราณ

 

 

 

โทษประหารชีวิต 21 สถาน

 

จากหนังสือกฎหมายตราสามดวง ซึ่งเป็นหนังสือกฎหมายที่รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้รวบรวมกฎหมายโบราณครั้งกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรีมาประมวลไว้ด้วยกัน ได้กล่าวถึงการประหารชีวิต และเครื่องมือต่างๆ เช่น

 

 

 

จากพระไอยการลักษรโจร กล่าวถึงการลักพระพุทธรูปเอาไปล้างหรือเผาสำรอกเอาทอง หรือเอาพระบท (พระคัมภีร์) ไปสำรอกแช่น้ำ หรือเอาไปเผา โทษประหารคือ เอาโจรนั้นใส่เตาเพลิงสูบเผาไฟ ถ้าขุดทำลายพระพุทธรูป พระสถูปเจดีย์ จับได้หลายครั้งหลายหน โทษประหารก็คือเอาโจรนั้นไปตระเวนบก 3 วัน ตระเวนเรือ 3 วัน แล้วตัดคอผ่าอกเสีย

 

 

 

ถ้าทำให้เกิดเพลิงไหม้ในพระราชวัง โทษคือเอาไฟคลอกให้ตาย

 

 

 

ในพระไอยการกระบดศึก ตอนหนึ่งว่านักโทษที่เป็นกบฏ ประทุษร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัว ปล้นเมือง ปล้นพระนคร เผาจวน เผาพระราชวัง เผายุ้งฉาง คลังหลวง ปล้นวัด เผาวัด ทำทารุณกรรมหยาบช้าต่อพระและชาวบ้าน เช่นเอาปิ้งย่างเผาไฟ หรือเอาแหลนหลาวเสียบร้อนฆ่าบิดามารดาคณาจารย์ พระอุปัชณาย์ เหยียบย่ำทำลามกต่อพระพุทธรูป และตัดมือตัดเท้าตัดคอเด็ก เพื่อเอาเครื่องประดับ จะต้องถูกประหารโดยสถานใดสถานหนึ่ง

 

 

 

 

วิธีการประหารชีวิตตามพระไอยการกระบถศึก (หนี หลีกเลี่ยง ทุรยศ ฯลฯ ต่อศึกสงคราม) บันทึกและอธิบายเอาไว้อย่างละเอียดถึงวิธีการลงโทษประหาร 21 วิธีหรือ 21 สถาน ดังกล่าว

 

ซึ่งการประหาร (การประหาร ทั้ง 21 วิธี) จะนำมาใช้กับผู้ก่อการกบฏ คิดร้ายต่อเจ้านาย และราชวงศ์ (ซึ่งน่าจะนำมาใช้กับสถานการณ์ปัจจุบัน) ด้วย และจะกระทำการประหารเจ็ดชั่วโคตร ไม่เว้นสตรี และเด็ก หากเป็นพระสงฆ์ก็จะถูกนิมนต์ให้สึก และรับโทษประหารตามบัญญัติเจ็ดชั่วโคตรด้วย ซึ่งการประหารโดยทั่วไปนั้น คือ การบั่นคอ

 

 

เข้าใจว่าในสมัยนั้นศึกสงครามมีตลอดเวลา น่าจะเป็นการ " เขียนเสือให้วัวกลัว " ส่วนหนึ่ง คล้ายกับการใช้จิตวิทยา ไม่ให้ไพร่พลคิดทำไม่ดี

 

 

ในประวัติศาสตร์ สมเด็จพระนเรศวร เคยจับเชลยศึก(ไม่เเน่ใจว่าเชลย หรือกบฎ) ปาดคอ ให้เลือดไหลลงมาล้างเท้า ความหมาย คือ ต้องการให้เป็นที่โจษจัน เป็นเยี่ยงอย่างว่าหากกระทำผิดจะโดนโทษเช่นไร เป็นการ ปฏิบัติการจิตวิทยารูปแบบหนึ่ง

ถูกแก้ไข โดย S o m S e e

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...