โอกาส"ทอง" (จริงๆ) : Safe Heaven

[mdaddy 2,443]

พึ่งเคยได้อ่านประวัติของลุงจิมมา ได้อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าจากที่ให้น้ำหนักในสิ่งที่แกพูดมากอยู่แล้ว

ควรให้น้ำหนักเพิ่มอีกมากๆ

 

"ซินแคลร์" เป็นนามสกุลก่อนแต่งงานของแม่ลุงจิม พ่อของลุงจิมคือ เบอร์แทรม เซลิกมาน

เทรดเดอร์ขั้นเทพคนหนึ่ง ... ถ้าดูตามปกติแล้ว นำสกุลของพอลุงจิม ก็เป็นนามสกุลของชาวยิว

เชืื้อสายเยอรมันทั่วไป

 

แต่จากบทความที่ได้อ่าน ถึงได้รู้ว่าตระกูล "เซลิกมาน" ไม่ธรรมดา

ตระกูลนี้ เป็นหนึ่งในตระกูลที่ก่อตั้งบริษัทดัีงๆอย่างเช่น

โกล์ดแมน แซคส์, โซโลมอน บราเดอร์ส และ ลีแมน บราเดอร์ส เป็นต้น

 

ดังนั้นในบทความ ที่ลุงจิมบอกว่า ตั้งแต่เกมเริ่ม แกก็เห็นแล้วว่าจะจบอย่างไรนั้น คงไม่เกินความจริงนัก

จะมีพลาดบ้าง ก็เรื่องเวลาเท่านั้นเอง

 

ใครที่ถือยาว เห็นตกแบบนี้ อย่าได้ตกใจไปนะครับ

เราผ่านมากันหลายรอบแล้ว สิ่งลุงจิมที่ออกมายืนยัน นั่งยัน นอนยัน ทุกครั้ง สำหรับผม ก็ดูมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิม

 

(ป.ล. ตอนนี้เลือกตั้งกันอยู่ ขึ้นมา ๑๗๑๔ แล้ว ขึ้นเร็วมากทีเดียว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร)

 

ที่มา

http://wakeupfromyourslumber.com/blog/pandora/outing-jim-sinclair-sinclair-rothschild-goldman-sachs-lehman-bros-connections

http://www.gata.org/node/2424

[mdaddy 2,443]

ก่อนที่จะรู้ผลว่าใครจะเป็นปธน.สหรัฐ ฝากข่าวไว้ ๒ ข่าวครับ

 

ข่าวแรก : บราเดอร์จอห์นเอฟ ตีความ สิ่งที่ลุงจิมเขียนไว้ในเวบ

• ถ้ารอมนีย์ชนะ ระบบเศรษฐกิจน่าจะล้มภายใน ๙ เดือน (รอมนีย์เคยบอกไว้ว่าจะไล่คุณชาโลม เบอร์แนงกี้ออก)
  
• ถ้าโอบามาชนะ ระบบเศรฐกิจจะถูกพยุงไว้ได้อีกสองสามปี โดยเป้าหมายอยู่ที่ ๒๐๑๕-๒๐๑๗
  

ข่าวต่อไป : ดีทีซีซี หรือบริษัทที่รับฝากใบหุ้น และหลักทรัพย์ในรูปกระดาษ ออกมาบอกว่า หลักทรัพย์ที่ฝากไว้กับบริษัท

อาจจะได้รับความเสียหายจากที่กรณีแซนดี้พิโรธ ทำให้ตู้นิรภัยน้ำท่วม และทำให้กระดาษเสียหาย ..... เมื่อเช้าวันอังคารตามเวลาไทย

บริษัทยังไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

• หลักทรัพย์ที่บริษัทนี้รับฝากไว้มีมูลค่ากว่า ๓๖ ล้านล้าน เหรียญสหรัฐ
  
• มีอยู่ช่วงหนึ่งเกิดปัญหาที่ใครๆก็กลัวได้ใบหุ้น/หลักทรัพย์ปลอม จนไม่มีใครยอมรับเอกสารพวกนี้ไว้ และทำให้กระดาษพวกนี้แทบจะหมดค่า ทั้งๆที่มันก็มีค่าอยู่
  
• บริษัทที่รับฝากหุ้นแบบนี้เลยเกิดขึ้นเืพื่อเป็นตัวกลางในการซื้อขาย / จัดเก็บ / แลกเปลี่ยนหลักทรัพย์พวกนี้
  
• จากที่ผ่านมา กูรูนอกแซวกันว่าน้ำท่วมนิวยอร์คครั้งนี้จะพัดพาทองคำที่เก็บไว้ใต้เฟดที่นิวยอร์คหายไป ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าสิ่งที่น่ากลัวคือว่า หลักทรัพย์ที่ฝากไว้กับบริษัทนี้จะหมดค่า หรือเสียหายแบบถาวรสักเท่าไหร่
  
• ณอน บิกซ์ และ แอนดี้ มองย้อนกลับไปในตอน ๑๑ กันยาฯ ว่าอาคารเวิร์ลดเทรดหมายเลข ๗ ที่ถล่มอย่างเรียบร้อย แม้จะไม่โดนเครื่องบินชนก็ตามนั้น อาจจะเป็นความต้องการของวงในอยู่แล้ว เพราะอาคารนั้นเป็นอาคารที่มีหน่วยงานสอบสวนต่างๆของรัฐบาลอยู่ และมีเอกสารสำคัญเกี่ยวกับคดีเอนรอน ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น การที่ตึกถล่มอย่างไม่มีเหตุผลทางวิศวกรรมรองรับ อาจเป็นเพราะต้องการทำลายหลักฐานคดีดังกล่าวก็ได้
  
• พวกเขามองว่า กรณี ดีทีซีซี นั้นอาจจะทำให้เกิดการทำลายความมั่งคั่ง/ล้างหนี้ ของคนหลายๆคน และ/หรือ สถาบันที่ฝากกระดาษไว้กับบริษัทก็ได้
  

หรือว่านี่คือเหตุผลที่ลุงจิมฯ แนะนำให้คนที่ซื้อหุ้นเพื่อเก็บ ทำเรื่องขอใบหุ้นออกมาเก็บไว้กับตัวแทนที่จะฝากไว้ในชื่อโบรกเกอร์

 

ที่มา

https://en.wikipedia.org/wiki/Dtcc

[MOR LEK 2,835]

เดือนกันยาจีนซื้ออีกเกือบ 70 ตัน

gold imports into China through Hong Kong rose another 30% month over month.

Mainland China bought close to 70 metric tonnes of gold last month. In August they brought in 54 tonnes of gold. If this continues China will bring in approx 840 tonnes of gold into their country. If you exclude both Russia and China which do not sell/ship any of its gold out of their respective countries, this represents approx 38% of worldly production of 2200 tonnes of gold. As I have stated on many occasions gold is travelling from western shores onto eastern shores.

 

http://harveyorgan.b...e-of-guard.html

[MOR LEK 2,835]

ใครๆก็พากันซื้อทองจริง ลดการซื้อทองกระดาษ

 

 

 

ส่วนเงินนี่ยิ่งแล้วไปกันใหญ่เลย เอาแต่ของจริงล้วนๆ เงินกระดาษยอดขายถึงกับติดลบ

 

 

 

http://www.tfmetalsreport.com/blog/4298/new-trend-gold

[mdaddy 2,443]

เจอราล์ด เซเลนเต พูดคล้ายๆกับ แมกซ์ ไคเซอร์ (เป็นเพียงคำทำนาย โปรดรับฟังไว้เป็นข้อมูล)

• โอบามา น่าจะชนะ
  
• ที่ทองคำวิ่งขึ้นมาแรงๆเมื่อคืนนี้ เป็นเพราะขาใหญ่รู้ว่า โอบามาจะชนะ และการทำลายดอลล่าร์จะเกิดขึ้นต่อไป
  
• เหมือนกับที่ก่อนบุชจะได้รับเลือกตั้ง หุ้นบริษัทผลิตก่อสงคราม, ยาสูบ ฯลฯ ขึ้นเป็นจรวด เพราะรู้ว่าบุชจะได้เป็นปธน. และเงินจะไหลไปทางนั้น
  
• แมกซ์ ทำนายว่า เม.ษ. นี้ น่าจะเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นคราวนี้ แทนที่ธนาคารกลางจะพิมพ์เงินมาซื้อพันธบัตร ธนาคารกลางจะพิมพ์เงินเพื่อมาซื้อทองคำ และจะทำให้ทองคำวิ่งเป็นจรวด
  

[milo 888]

ดูกราฟคุณหมอเล็กแล้ว ปี 2003 ที่เงินกระดาษติดลบ ก็จะคล้ายปี 2011

 

ปี 2004 ก็เทียบได้กับปีนี้

[thoney87 92]

ขอบคุณครับทุก ๆ ท่าน :01

[milo 888]

 

กราฟที่คุณหมอเล็กเคยเอามาลงนี้ให้แนวรับที่เยี่ยมมาก

[MOR LEK 2,835]

 

กราฟที่คุณหมอเล็กเคยเอามาลงนี้ให้แนวรับที่เยี่ยมมาก

มีกราฟระยะยาวอีกอันนึงครับ(ตั้งแต่ปี1980)แสดงให้เห็นถึงการเทขายครั้งใหญ่ 3 ครั้ง(ที่เป็นอยู่ตอนนี้คือครั้งที่3) ใน2 ครั้งแรกหลังจากการหยุดเทขายก็ขึ้นกระฉูด ....ครั้งนี้จะเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า มาลุ้นกันครับ

 

 

ส่วนกราฟนี้บอกเราว่าทำไมเจ้ามือถึงต้องป้องกัน 1800 ไว้อย่างสุดฤทธิ์

 

 

http://kingworldnews.com/kingworldnews/KWN_DailyWeb/Entries/2012/11/6_Here_Is_Why_A_Monumental_Move_Is_Coming_In_Gold_%26_Silver.html

ถูกแก้ไข พฤศจิกายน 7, 2012 โดย MOR LEK

[deb99 290]

ขอบคุณครับ

[ส้มโอมือ 4,910]

น่าฟังมากครับ

สยามวาระ วิกฤตเศรษฐกิจโลก-ไทยตอนที่1

http://www.youtube.com/watch?v=_FxFZgVOk1g&feature=player_embedded

[ส้มโอมือ 4,910]

สยามวาระ วิกฤตเศรษฐกิจโลก-ไทยตอนที่2

[MOR LEK 2,835]

วันนี้มือคันดันไปเปิดอ่านเจอกระทู้นึงมีคนพูดถึงว่า เงินดอลล์แข็งแกร่งแม้ว่าจะมี QE ก็เลยเอามาให้ดูว่าดอลล์มันแข็งหรืออ่อนกันแน่(บางทีที่มันแข็งไม่ใช่เพราะมันแข็งของมันเองน๊า มันเป็นเพราะในตะกร้าเงิน เงินสกุลอื่นมันอ่อนต่างหาก) ตั้งแต่ปี2002 ดอลล์อินเด็กซ์อยู่ที่ราวๆ 120 มาตอนนี้เหลือแค่ 80 หายไปกี่เปอรืเซ็นต์ก็ไม่รู้

 

 

ยิ่งถ้าเอาดอลล์ไปเปรียบเทียบกับราคาทอง ดอลล์ยิ่งด้อยค่าลงอย่างมหาศาล

 

ถูกแก้ไข พฤศจิกายน 7, 2012 โดย MOR LEK

[mdaddy 2,443]

อย่างที่คุณหมอเล็กว่า .. ยังไงดอลล่าร์ก็เป็นสกุลที่ "แข็ง" อยู่แล้ว เพราะใครๆในโลกก็ต้องใช้ดอลล่าร์ในการซื้อพลังงาน

และทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ แต่เมื่อไหร่ที่ดอลล่าร์มีการทำคิวอีเพิ่ม ประเทศต่างๆทั่วโลกก็ถูกบังคับให้ทำคิวอีเพิ่มตามเหมือนกัน

 

คนที่ชนะคือนักการเมือง นายแบงค์ต่างๆทั่วโลก

ส่วนคนที่แพ้ คือคนที่ถือเงินกระดาษ ซึ่งก็คือ ชาวบ้านตาดำๆแบบพวกเรานั่นเอง

 

ถือว่าเป็นสงครามค่าเงิน

และการแข่งกันดิ่งลงเหว (เรซทูเดอะบอททอม)ที่น่าติดตามจริงๆ

[ส้มโอมือ 4,910]

Fiscal Cliff การตัดสินใจครั้งสำคัญของสหรัฐฯ

 

 

 

 

Fiscal Cliff การตัดสินใจครั้งสำคัญของสหรัฐฯ

10 ตุลาคม 2012

ชาญชัย

http://chanchaiblogger.blogspot.com/2012/10/fiscal-cliff.html

หนึ่งในเรื่องสำคัญที่สังคมอเมริกันกำลังให้ความสนใจคือเรื่องการปรับขึ้น ภาษีพร้อมกับลดรายจ่าย ที่เรียกว่า ‘Fiscal Cliff’

Fiscal Cliff เป็นมรดกทางเศรษฐกิจทางการเมืองจากรัฐบาลอเมริกันชุดก่อนๆ ประกอบด้วยมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลายอย่าง เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้ทั่วไปสำหรับคู่สมรส มาตรการยกเลิกภาษีมรดก และมาตรการผ่อนปรนภาษีร้อยละ 2 จากรายได้ของผู้ที่มีเงินเดือนประจำ มาตรการเหล่านี้จะหมดอายุในวันที่ 2 มกราคมปีหน้า เป็นช่วงเวลาเดียวกับเริ่มมาตรการปรับลดงบประมาณจำนวน 100 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อยับยั้งการก่อหนี้ภาครัฐที่กำลังจะเกินเพดานหนี้ที่ 16.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปลายปีนี้ (หรือต้นปีหน้า)

การยกเลิกมาตรการลดหย่อนภาษีพร้อมกับตัดลดงบประมาณภาครัฐ เป็นการเสริมแรงกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างรุนแรง มีการคาดการณ์จากหลายแหล่ง เช่น

สำนักงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประมาณการเมื่อปลายเดือนสิงหาคมว่า ถ้าสหรัฐฯ เผชิญกับปัญหา Fiscal Cliff จะส่งผลให้ GDP ช่วงครึ่งปีแรก 2013 หดตัวร้อยละ 2.9 และกลับมาขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลังราว 1.9 ผลคือGDP ทั้งปีจะหดตัวร้อยละ 0.5 ขณะที่อัตราว่างงานจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 9 (Bloomberg กับCNBC)

ด้านนายชัด สโตน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Center on Budget and Policy Priorities วิเคราะห์ว่า ในช่วงแรกผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจจะมีน้อย แต่จะค่อยๆ สะสมจนเกิดผลกระทบรุนแรงมหาศาลเมื่อคิดรวมทั้งปี สำนักงบประมาณรัฐสภาคาดว่าการขาดดุลงบประมาณปี 2012-2013 จะลดลงกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ จะมีสภาพเหมือนกับเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย คนอเมริกันเกือบทุกคนจะต้องจ่ายภาษีเพิ่ม

งานวิจัยหนึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดผู้ว่างงานเพิ่มอีก 2.14 ล้านคน

คงไม่มีประธานาธิบดีคนใหม่ท่านใดอยากเผชิญหน้าปัญหานี้

ข่าวดีคือ มีข่าวว่า ส.ว.ทั้งพรรครีพับลิกันกับเดโมแครตกำลังหาทางออกร่วมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด ปัญหา Fiscal Cliff แม้ว่าวุฒิสมาชิกทั้งสองพรรคยังมีความเห็นแตกต่างกันอย่างชัดเจนต่อราย ละเอียดการแก้ปัญหา ในขณะที่ส.ส.พรรครีพับลิกันยังต่อต้านการแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มภาษี (The New York Times/CNBC)

ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เบน เบอร์นันเก้ ถึงกับกล่าวว่าหากรัฐสภาสามารถแก้ปัญหานี้ “จะเป็นวิธีการที่เกื้อหนุนเศรษฐกิจในขณะนี้ได้ดีที่สุด” (The New York Times)

ในแง่หนึ่ง ประเด็นจึงอยู่ที่ผู้แทนรัฐสภาของสองพรรคใหญ่จะตัดสินแก้ปัญหาอย่างไร

เมื่อพิจารณานโยบายหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อเรื่องนี้ ประธานาธิบดีบารัก โอบามาต้องการหาข้อตกลงเพื่อเลี่ยงปัญหา โดยคุยรายละเอียดหลังเลือกตั้ง ปธน.โอบามาเสนอแนวทางเพิ่มภาษีกับคนมีฐานะ และแก้ไขอัตราภาษีที่รัฐบาลจอร์จ ดับเบิ้ลยู. บุชวางไว้

ส่วนนายมิตต์ รอมนีย์ ต้องการยกเลิกกฎระเบียบข้าราชการที่จุกจิก ลดจำนวนพนักงานลูกจ้างของรัฐบาลกลาง

ในทางทฤษฏีทั้งสองทางคือแนววิธีแก้ปัญหา แต่ต่างวิธีปฏิบัติเท่านั้น คนหนึ่งเน้นการเพิ่มรายได้ อีกคนเน้นลดรายจ่าย

การเลือกตั้งปธน.จะเป็นตัวชี้ขาด

ผมเชื่อว่า สังคมอเมริกันจะถกเถียงกันวุ่นวายอย่างไร ที่สุดจะมีทางออกในเวลาที่เหมาะสมเอง แต่กว่าจะถึงวันนั้นคงต้องถกกันอีกหลายยกหลายเวที

ข้อเสนอแนะที่ควรเอามาประกอบคือข้อเสนอแนะจาก IMF ในรายงาน World Economic Outlook (WEO) ฉบับล่าสุดเดือนตุลาคม ที่เสนอให้รัฐบาลสหรัฐฯ แก้ปัญหาด้วยการเพิ่มเพดานกู้ยืม [รายงาน WEO ดาวโหลดได้ที่ http://www.imf.org/external/pubs/ft/weo/2012/02/index.htm]

ไม่ว่าใครจะชนะเลือกตั้ง วิธีการของ IMF ปรับเข้าได้กับทั้งสองฝ่าย และนำเสนออย่างทันเวลาก่อนการเลือกตั้ง ก่อนต้นปีหน้า

ที่สุดแล้ว ปธน.คนใหม่กับรัฐสภาจะมีทางออกแน่นอน อย่างน้อยให้ปัญหาก้อนโตเลื่อนออกไปอีกสักพักใหญ่ๆ และดูเหมือนว่า IMF จะเห็นด้วยกับแนวทางนี้

ถ้าจะพูดว่า ‘ชี้โพรงให้กระรอก’ ก็อาจจะเกินไป

--------------