ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 16 กันยายน 2558 โดย YLG

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- พุธที่ 16 กันยายน 2558 17:23:21 น.

กรุงเทพฯ--16 ก.ย.--พีอาร์ดีดี

สภาวะตลาดวันที่ 16 กันยายน 2558 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,104.40-1,109.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,900 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 50 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,850 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFV15 อยู่ที่ 19,070 บาท โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น 110 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,960 บาท

 

 

 

(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 17.10 น.ของวันที่ 16/09/15)

แนวโน้มวันที่ 17 กันยายน 2558

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกมืดมนกว่าเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ความกังวลดังกล่าวหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งนี้ OECD ประเมินว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัว 3.0% ในปีนี้และ 3.6% ในปีหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงจาก 3.1% และ 3.8% ที่คาดไว้ในเดือนมิถุนายน ขณะที่ผลสำรวจความเห็นนักลงทุนทั่วโลก โดยบาร์เคลย์ส พบว่า เศรษฐกิจที่ชะลอตัวในจีนและตลาดเกิดใหม่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดสำหรับตลาดการเงินโลกในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งความเห็นจากนักลงทุนเกือบ 40% คิดว่า ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเงินในจีนอยู่ในช่วงขาลง แม้ข้อมูลดังกล่าวพยุงราคาทองคำไว้แต่ราคายังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน ขณะที่ปริมาณการซื้อขายยังคงเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวการประชุมกำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งในการซื้อขาย โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ประเภทอายุ 2 ปีพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบกว่า 4 ปีที่ 0.8150% ในระหว่างช่วงการซื้อขาย โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นจาก 2.1800% สู่ 2.2940% ในระหว่างช่วงการซื้อขาย ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ซึ่งทำให้นักลงทุนในตลาดสัญญาล่วงหน้าคาดว่ามีโอกาส 27% ที่ เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ เบื้องต้นวายแอลจียังคงแนะนำให้เข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากราคาทองคำมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในลักษณะ Sideway หากราคาสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,117 และหากไม่สามารถผ่านแนวต้านไปได้จะเห็นการอ่อนตัวของราคาลงอีกครั้ง

 

กลยุทธ์การลงทุน ทางวายแอลจีมีมุมมองว่า ราคาทองคำจะมีแนวโน้มที่จะแกว่งตัวออกด้านข้าง เบื้องต้นประเมินว่าหากราคาสามารถยืนเหนือบริเวณ 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง คาดว่าราคาจะค่อยๆขยับขึ้นในลักษณะ Sideway อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,117 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากทะลุไปได้จะเกิดแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง แต่หากไม่สามารถผ่านไปได้แนะนำขายทำกำไรบางส่วน แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อเมื่อราคามีการย่อตัวเข้าใกล้บริเวณแนวรับ 1,100 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากหลุดให้ชะลอการซื้อมาบริเวณ 1,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และอาจตัดขาดทุนหากราคาหลุด 1,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ทองคำแท่ง (96.50%)

แนวรับ 1,100 (18,720บาท) 1,090 (18,550บาท) 1,080 (18,380บาท)

แนวต้าน 1,117 (19,010บาท) 1,122 (19,100บาท) 1,128 (19,200บาท)

GOLD FUTURES (GFV15)

แนวรับ 1,100 (18,930บาท) 1,090 (18,750บาท) 1,080 (18,580บาท)

แนวต้าน 1,117 (19,210บาท) 1,122 (19,300บาท) 1,128 (19,440บาท)

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/prg/2252707

 

ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดบวก 11.15 จุด หลังกนง.คงดอกเบี้ยตามคาด-แรงซื้อ Big cap หนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 16 กันยายน 2558 17:18:18 น.

ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,381.80 จุด เพิ่มขึ้น 11.15 จุด(+0.81%) มูลค่าการซื้อขาย 35,931 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีเคลื่อนกรอบสลับบวกและลบตลอดวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,382.42 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,369.45 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 603 หลักทรัพย์ ลดลง 348 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 258 หลักทรัพย์

 

 

นายคณฆัส จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีบวกเข้ามาแต่ยังไม่คึกคักมากนัก ช่วงเช้าซึมๆ เหมือนรอปัจจัย ช่วงบ่ายมาจาก 2 ส่วน คือเรื่องคงอัตราดอกเบี้ยซึ่งเป็นไปตามคาด และตลาดหุ้นยุโรปเปิดบวกเข้ามา ทำให้ 2 ส่วนนี้ผลักดันการปรับขึ้นของตลาดหุ้นไทยได้ แต่วอลุ่มการซื้อขายไม่มากนัก หุ้นที่บวกขึ้นมาเป็นรายกลุ่ม ซึ่งก็หมุนมาผลักดันหุ้น Big cap บางตัวปรับขึ้นมาบ้างแล้ว

ทิศทางพรุ่งนี้ รอดูปัจจัยต่างประเทศเป็นหลักเพราะจะมีประชุมเฟดวันแรก อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐก็ยังต้องติดตาม วันนี้มีดัชนี CPI พรุ่งนี้อัตราการสร้างบ้านใหม่ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการฯ เพราะฉะนั้นข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐและการประชุมเฟดยังเป็นปัจจัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม มุมมองของโนมูระฯ เหมือนเดิมคือเฟดยังคงดอกเบี้ย แต่เนื่องจากในประเทศมีปัจจัยหนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอยู่ ทำให้กรอบล่างลงไม่มากให้แนวรับ 1,370 และ 1,365 จุด ยกเว้นมีประเด็นข่าวอื่นๆที่เป็นลบเข้ามา แนวต้าน 1,390 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

JAS มูลค่าการซื้อขาย 2,675.05 ล้านบาท ปิดที่ 5.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,508.39 ล้านบาท ปิดที่ 236.00 บาท ลดลง 4.00 บาท

INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,722.05 ล้านบาท ปิดที่ 76.00 บาท ลดลง 1.25 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,666.60 ล้านบาท ปิดที่ 250.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,388.14 ล้านบาท ปิดที่ 10.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท

อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา

 

เงินบาทปิด 35.98/36.04 ระหว่างวันผันผวน คาดกรอบพรุ่งนี้ 35.85-36.05

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 16 กันยายน 2558 17:32:57 น.

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 35.98/36.04 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 35.93/95 บาท/ดอลลาร์

 

วันนี้เงินบาทค่อนข้างจะผันผวน โดยระหว่างวันแข็งค่าสุดที่ระดับ 35.88 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 36.07 บาท/ดอลลาร์ พรุ่งนี้ก็คาดว่าจะแกว่งอยู่ในกรอบเดิมๆ เพราะยังต้องรอผลประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ ขณะที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) วันนี้ออกมาเป็นไปตามที่ตลาดคาดไว้ว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมที่ 1.50%

 

 

 

นักบริหารเงิน คาดว่า เงินบาทวันพรุ่งนี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.85 - 36.05 บาท/ดอลลาร์

 

* ปัจจัยสำคัญ

- ปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 120.20 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 120.28 เยน/ดอลลาร์

 

- ส่วนเงินยูโรเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 1.1212 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1285 ดอลลาร์/ยูโร

 

- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,381.80 เพิ่มขึ้น 11.15 จุด (+0.81%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 35,931 ล้านบาท

 

- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 388.20 ลบ.(SET+MAI)

- ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ 7 : 0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% เนื่องจากยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกในช่วงไตรมาส 1/59 ซึ่งช้ากว่าคาดการณ์เดิม สำหรับเงินบาทที่อ่อนค่าในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตาม กนง.ยังคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยคงจะเติบโตได้ต่ำกว่า 3% จากผลกระทบปัจจัยภายนอกเป็นหลัก

 

- นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกองทุนหมู่บ้าน และการเร่งใช้งบประมาณโครงการขนาดเล็กของภาครัฐ วงเงิน 1.3 แสนล้านบาทจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกราว 0.4% และยังมั่นใจว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(GDP)ของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบว่าเป็นไปตามที่คาดการณ์หรือไม่

 

- นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการศึกษาการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ ค่าธรรมเนียมการโอน และ ค่าธรรมเนียมการจดจำนองอย่างถาวร เพื่อหวังกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งยังต้องศึกษาข้อดีข้อเสียว่าหากลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ให้ฟื้นตัวได้จริงหรือไม่ เปรียบเทียบกับรัฐต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียม โดยจะมีข้อสรุปพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีภายในปีนี้อย่างแน่นอน

 

- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เตรียมจะเสนอมาตรการเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพื่อให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาในสัปดาห์หน้า เพื่อจะทำให้เกิดการลงทุนจริงภายในปี 2560 โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1-2 ปีตามเงื่อนไข พร้อมออกนโยบายส่งเสริมการพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรม

 

- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงแบห่งชาติ (คสช.) คาดว่าหากทุกอย่างเดินไปตามโรดแมพจะสามารถเลือกตั้งได้ราวเดือนก.ค. 60 ซึ่งเป็นไปตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีประเมินไว้ ส่วนจะเร็วกว่านั้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

 

- สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) จัดสัมมนา"TOP DOWN VIEW ส่องเศรษฐกิจโลก เอเชีย และไทย ฟื้นหรือฟุบ" นักวิชาการมองไทยต้องจับทิศทางเศรษฐกิจโลก เพื่อตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจหรือนโยบายการเงินของโลก จากทั้งสหรัฐฯ ,จีน และญี่ปุ่น ขณะที่มองไทยจะเติบโตอย่างไร้ทิศทางไปอีก 3 ปี โดยการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ จะไม่ช่วยให้ประเทศเติบโต หลังยังขาดการสนับสนุนในด้านการศึกษา, วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี และสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม

 

- ธนาคารโลก(World Bank) ออกรายงานเพื่อเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) อาจทำให้กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ลดลงอย่างมาก รายงานยังระบุว่า แม้จะมีการคาดการณ์ว่าการกลับมาใช้นโยบายคุมเข้มทางการเงินของเฟดจะดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดตกอยู่ในภาวะผันผวน เมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มอ่อนแอ รวมทั้งการชะลอตัวของการค้าระหว่างประเทศ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง

 

- กระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยว่า การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (ODI) ประจำเดือนส.ค.ของจีน เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของจีนในเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 22% สู่ระดับ 8.71 พันล้านดอลลาร์

 

- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ปรับลดแนวโน้มผลผลิตภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะยังคง "ทรงตัว" ในไตรมาส 3 ปีนี้ จากที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม "จะเริ่มปรับตัวขึ้น" ในไตรมาส 3 นับเป็นสัญญาณล่าสุดที่บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังไม่สามารถฟื้นตัวตามที่บีโอเจคาดการณ์ไว้

 

- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้น 15 ดอลลาร์ฮ่องกง ปิดที่ระดับ 10,248 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,109.98 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 1.62 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2252724

 

OECD หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้,ปีหน้า ขณะหนุนเฟดขึ้นดบ.พรุ่งนี้

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 16 กันยายน 2558 17:37:01 น.

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ประกาศปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้สู่ระดับ 3.0% และปีหน้าสู่ระดับ 3.6% ลดลงจากคาดการณ์เดิมในเดือนมิ.ย.ที่ 3.1% และ 3.8% ตามลำดับ

 

OECD ระบุว่าการปรับลดคาดการณ์ดังกล่าวเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและบราซิล

อย่างไรก็ดี OECD ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 2.4% จาก 2.0% ในเดือนมิ.ย. แต่ได้ปรับลดคาดการณ์ในปีหน้าสู่ระดับ 2.6% จาก 2.8%

 

 

 

นอกจากนี้ OECD ยังได้สนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 16-17 ก.ย. แทนที่จะชะลอเวลาออกไปเป็นปลายปีนี้ เนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้จะช่วยขจัดความไม่แน่นอนออกไปจากตลาด

 

OECD คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัว 1.6% ในปีนี้ และ 1.9% ในปีหน้า และอาจเติบโตได้มากกว่านี้อีก 1% โดยได้แรงหนุนจากยูโรที่อ่อนค่า และอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำ รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง

 

ขณะเดียวกัน OECD ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนสู่ระดับ 6.7% ในปีนี้ และ 6.5% ในปีหน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ซบเซา และตลาดหุ้นที่ทรุดตัวลง

 

OECD ยังคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของบราซิลจะหดตัว 2.8% ในปีนี้ และ 0.7% ในปีหน้า โดยถูกกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ทรุดตัวลง

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq28/2252730

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ศาลสั่งจำคุก 4 แกนนำ นปช.พาม็อบบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยไม่รอลงอาญา

 

 

ข่าวการเมือง สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 16 กันยายน 2558 13:47:27 น.

ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พร้อมแนวร่วมกลุ่ม นปช.โดยไม่รอลงอาญา กรณีนำมวลชนไปปักหลักชุมนุมบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง

 

 

 

คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนพรุจ หรือนพรุฒ วรชิตวุฒิกุล, นายวีระศักดิ์ เหมะธุลิน, นายวันชัย นาพุทธา, นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นพ.เหวง โตจิราการ เป็นจำเลยที่1-7 ในความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยมีอาวุธ โดยเป็นหัวหน้าหรือผู้มีหน้าที่สั่งการ ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้ผู้ที่มั่วสุมเลิกไปแล้วไม่เลิกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรค 2, 215, 216 ประกอบมาตรา 33, 83 และ 91

 

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 ก.ค.50 แกนนำและแนวร่วมกลุ่ม นปช.พากลุ่มผู้ชุมนุมหลายพันคนจากเวทีปราศรัยเคลื่อนที่บริเวณสนามหลวงไปยังบ้านพักสี่เสาเทเวศร์เพื่อเรียกร้องกดดันให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากตำแหน่ง

 

วันนี้จำเลยที่ 1-3 และ 5-7 เดินทางมาศาล มีเพียงนายวีระกานต์จำเลยที่ 4 ได้มอบให้ผู้แทนนำใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจยื่นต่อศาล เพื่อขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อนเนื่องจากมีอาการป่วยเลือดออกในลำไส้ ศาลสอบถามโจทก์แล้วไม่คัดค้าน พิจารณาแล้วอนุญาตให้เลื่อนอ่านคำพิพากษาเฉพาะของจำเลยที่ 4 ออกไปเป็นวันที่ 30 ก.ย.58 เวลา 09.00 น. และให้อ่านคำพิพากษาของจำเลยที่เหลือในวันนี้

 

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีพยานเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายที่รับผิดชอบดูแลพื้นที่การชุมนุมมาเบิกความว่า ในการชุมนุมของกลุ่ม นปช.แต่ละครั้งจะมีการแจ้งสถานที่ในการเคลื่อนขบวนล่วงหน้าทุกครั้ง แต่ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 20-22 ก.ค.50 จำเลยที่ 4-7 ได้ปราศรัยชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมมารวมตัวกันวันที่ 22 ก.ค.50 เพื่อเคลื่อนขบวนการชุมนุมโดยปกปิดสถานที่ และเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมมารวมตัวกันที่สนามหลวง จำเลยที่ 4-7 ได้ปราศรัยไปในทิศทางเดียวกันให้กลุ่มผู้ชุมนุมเดินจากสนามหลวงไปบ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการชุมนุมโดยสงบตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูแลรักษาความปลอดภัยการชุมนุมมีเพียงแก๊สน้ำตา กระบอก และโล่ เมื่อกลุ่ม นปช.เดินทางมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเจรจาไม่ให้เคลื่อนขบวนเข้าไปที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์เนื่องจากเป็นพื้นที่หวงห้าม แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ได้มีการพูดชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าแนวกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปและให้เอารั้วเหล็กออก แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งให้เลิกแล้ว แต่จำเลยที่ 5 ยังชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่าด่านสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไป โดยมีการแย่งรั้วเหล็กกั้น และผลักดันเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ถอยออก แม้จะไม่ใช่การทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อมีการยื้อแย่งรั้วเหล็กก็ถือว่าเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ที่จำเลยที่ 4-7 ต่อสู้คดีอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมให้ผู้ชุมนุมรื้อรั้วกันเอง โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ขัดขวางนั้น แต่จากภาพเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจและแกนนำ นปช.ได้มีการเจรจากัน เพื่อขอไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปในบริเวณพื้นที่หวงห้ามดังกล่าว การที่จำเลยที่ 4-7 นำพยานบุคคลมาสืบมีน้ำหนักน้อย ไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 4-7 ร่วมกันเป็นแกนนำชักชวนให้ทำหรือไม่กระทำการใดๆ มีพฤติการณ์เป็นหัวหน้าสั่งการฯ, ก่อให้เกิดความวุ่นวายตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป

 

ส่วนจำเลยที่ 1-3 โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้ง 3 ได้ร่วมชุมนุมมาตั้งแต่ต้น แม้จำเลยที่ 3 จะยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้ขับรถปราศรัยซึ่งทำไปตามหน้าที่ โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบหักล้าง จึงมีเหตุอันควรสงสัยพอสมควรว่าจำเลยที่ 1-3 มีส่วนกับการชุมนุมหรือไม่ จึงยกผลประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย 1-3

 

ส่วนกรณีเหตุการณ์ประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจภายหลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนตัวไปถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกนั้นเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า การที่กลุ่มผู้ชุมนุมขัดขวางใช้อิฐตัวหนอนขว้างปาเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้จับกุมจำเลยที่ 4-7 โดยจำเลยที่ 4-7 ยังพูดชักชวนให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้ว่าพวกจำเลยจะนำสืบว่าไม่ได้พูดปลุกระดม แต่เหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาโดยกลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้ใช้วัสดุที่อยู่ใกล้ตัวมาป้องกันตัว เห็นว่าการจับกุมเป็นหน้าที่ของตำรวจสามารถจับกุมได้เมื่อเห็นการกระทำผิดซึ่งหน้า และตามพยานหลักฐานที่เป็นภาพบันทึกเหตุการณ์ปรากฏว่า จำเลยที่ 4-7 พูดปราศรัยขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมแกนนำ นปช.โดยมีกลุ่มผู้ชุมนุมใช้เก้าอี้พลาสติกและก้อนอิฐตัวหนอนขว้างใส่เจ้าหน้าที่ ซึ่งไม่ใช่การป้องกันตัวตามที่จำเลยกล่าวอ้าง ส่วนที่พวกจำเลยปราศรัยไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายเจ้าหน้าที่นั้น หากพิจารณาพฤติการณ์ตั้งแต่ต้นเปรียบเทียบกันแล้วเห็นว่าคำพูดในส่วนนี้พูดปนกับเร้าให้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่ได้มีเจตนาห้ามปรามอย่างจริงจัง แม้จำเลยที่ 4-7 ไม่ได้ลงมือเอง แต่ได้ปราศรัยข้อความชักชวนย่อมถือว่าจำเลยที่ 4-7 มีความผิดฐานยุยงให้ผู้อื่นต่อสู้ขัดขวาง ส่วนจำเลยที่ 1 มีเจ้าพนักงานที่กำลังปฏิบัติการจับกุมเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ใช้อิฐขวางใส่เจ้าหน้าที่และใช้ไม้เสาธงปัดแกว่งไปมา ระหว่างที่ดึงตัวลงจากรถจำเลยที่ 1 ใช้เข่ากระแทกใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจจนมือขวาหัก ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ขณะที่จำเลยที่ 2-3 โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานในฐานนี้

 

โดยศาลมีคำพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 138 วรรคสอง จำคุก 4 ปี ส่วนจำเลยที่ 4-7 มีความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ โดยกระทำความผิดเป็นหัวหน้าลงโทษจำคุกคนละ 3 ปี ฐานเมื่อเจ้าหนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกแต่ไม่เลิก มาตรา 216 จำคุกจำเลยที่ 4-7 คนละ 2 ปี และฐานเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่นขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานจำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน ในทางพิจารณาเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลงโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน และให้จำคุกเลยที่ 4-7 คนละ 4 ปี 4 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 2-3 ริบของกลาง

 

อินโฟเควสท์ โดย ตรฦ/ธนวัฏ/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq02/2252546

 

รมว.ต่างประเทศสหรัฐกดดันรัสเซียชี้แจงเหตุตั้งฐานทัพในซีเรีย

 

 

ข่าวการเมือง สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 16 กันยายน 2558 10:17:16 น.

นายจอห์น แคร์รี่ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้ออกมาเรียกร้องให้นายเซอร์ไก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียชี้แจงเกี่ยวกับเบื้องหลังของความพยายามในการจัดตั้งฐานทัพในซีเรีย

 

แถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐระบุว่า รมว.ต่างประเทศสหรัฐเตือนว่า การให้การสนับสนุนประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย ยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงและทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้น

 

ในขณะที่ทางรัสเซียเองระบุว่า รัสเซียช่วยเหลือซีเรียสู้รบกับกลุ่มรัฐอิสลาม (IS)

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq37/2252412

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

tumblr_mbux0qUD8x1qefrmxo1_1280.jpg

Found on touchn2btouched.tumblr.com

 

Take Things Easy

Make Your Life Wanderful....

ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินหยวนแข็งค่าแตะ 6.3670 ต่อดอลลาร์เช้าวันนี้

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 08:59:57 น.

China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า เงินหยวนปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.42% แตะที่ 6.3670 หยวนต่อดอลลาร์เช้าวันนี้

 

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่าในตลาดปริวรรตเงินตราต่างประเทศของจีนนั้น เงินหยวนได้รับอนุญาตให้ปรับตัวขึ้นหรือลงไม่เกิน 2% จากอัตราค่ากลางของการซื้อขายแต่ละวัน

 

ทั้งนี้ อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อิงกับราคาเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ก่อนที่ตลาดจะเปิดทำการซื้อขายในแต่ละวัน

 

ธนาคารกลางจีนได้ปฏิรูประบบอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อวันที่ 11 ส.ค.เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐสามารถสะท้อนสถานการณ์ในตลาดได้ดียิ่งขึ้น

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กนิษฐนุช สิริสุทธิ์/พันธุ์ทิพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: pantip@infoquest.co.th--

ADVERTISEMENT

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq21/2253018

 

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 07:40:25 น.

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 16 ก.ย.2558

-- ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน นอกจากนี้ การปรับตัวลงของตัวเลขเงินเฟ้อในสหรัฐยังช่วยหนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันพฤหัสบดีที่ 17 ก.ย.นี้

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,739.95 จุด พุ่งขึ้น 140.10 จุด หรือ +0.84% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,889.24 จุด เพิ่มขึ้น 28.72 จุด หรือ +0.59% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,995.31 จุด เพิ่มขึ้น 17.22 จุด หรือ +0.87%

 

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อหุ้นอย่างคึกคัก พร้อมกับจับตาดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพฤหัสบดีนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

 

ดัชนี Stoxx Europe 600 พุ่งขึ้น 1.5% ปิดที่ 361.87 จุด

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,645.84 จุด เพิ่มขึ้น 76.47 จุด หรือ +1.67% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,227.21 จุด เพิ่มขึ้น 39.08 จุด หรือ +0.38% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,229.21 จุด เพิ่มขึ้น 91.61 จุด หรือ +1.49%

 

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) เพราะได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นบริษัท SABMiller หลังจากที่บริษัท Anheuser-Busch InBev NV ประกาศว่า บริษัทจะยื่นข้อเสนอซื้อกิจการของ SABMiller ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ในวงเงินสูงกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์

 

ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น 91.61 จุด หรือ 1.49% ที่ 6,229.21 จุด

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงอย่างพลิกความคาดหมายในสัปดาห์ที่แล้ว

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 2.56 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.15 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.75 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อลดลงในเดือนส.ค. ซึ่งช่วยหนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 16.4 ดอลลาร์ หรือ 1.49% ปิดที่ระดับ 1,119.00 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 55.9 เซนต์ ปิดที่ 14.885 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 17.5 ดอลลาร์ ปิดที่ 975.7 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 11.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 611.95 ดอลลาร์/ออนซ์

 

-- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวลงในเดือนส.ค. ซึ่งได้หนุนคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปในการประชุมนโยบายการเงินที่จะเสร็จสิ้นในวันนี้

 

ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1287 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1278 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.5495 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5332 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 120.62 เยน จาก 120.46 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9695 ฟรังก์ จาก 0.9742 ฟรังก์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7190 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7120 ดอลลาร์

 

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 16,739.95 จุด เพิ่มขึ้น 140.10 จุด +0.84%

 

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,889.24 จุด เพิ่มขึ้น 28.72 จุด +0.59%

 

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 1,995.31 จุด เพิ่มขึ้น 17.22 จุด +0.87%

 

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,229.21 จุด เพิ่มขึ้น 91.61 จุด +1.49%

 

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 10,227.21 จุด เพิ่มขึ้น 39.08 จุด +0.38%

 

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,645.84 จุด เพิ่มขึ้น 76.47 จุด +1.67%

 

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 8,333.29 จุด เพิ่มขึ้น 73.30 จุด +0.89%

 

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 18,171.60 จุด เพิ่มขึ้น 145.12 จุด +0.81%

 

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 1,975.45 จุด เพิ่มขึ้น 37.89 จุด +1.96%

 

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,123.50 จุด เพิ่มขึ้น 76.90 จุด +1.52%

 

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,098.90 จุด เพิ่มขึ้น 80.50 จุด +1.60%

 

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,152.26 จุด เพิ่มขึ้น 147.09 จุด +4.89%

 

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 7,093.92 จุด เพิ่มขึ้น 4.91 จุด +0.07%

 

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 21,966.66 จุด เพิ่มขึ้น 511.43 จุด +2.38%

 

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 4,332.51 จุด ลดลง 14.65 จุด -0.34%

 

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 2,868.74 จุด เพิ่มขึ้น 26.80 จุด +0.94%

 

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 25,963.97 จุด เพิ่มขึ้น 258.04 จุด +1.00%

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq20/2252814

 

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์อ่อน หลัง CPI สหรัฐลดลง ขณะรอดูผลประชุมเฟด

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 07:30:47 น.

ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวลงในเดือนส.ค. ซึ่งได้หนุนคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปในการประชุมนโยบายการเงินที่จะเสร็จสิ้นในวันนี้

 

ค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1287 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1278 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นที่ 1.5495 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5332 ดอลลาร์สหรัฐ

 

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 120.62 เยน จาก 120.46 เยน และลดลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9695 ฟรังก์ จาก 0.9742 ฟรังก์

 

ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียปรับขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.7190 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7120 ดอลลาร์

 

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวในเดือนส.ค.

 

การปรับตัวลงของดัชนี CPI ได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของราคาพลังงาน ซึ่งร่วงลง 2%

ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างรอดูผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดที่จะเสร็จสิ้นลงในวันนี้ ตามเวลาสหรัฐ โดยคาดว่าแถลงการณ์หลังการประชุมจะมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ปรับตัวแตกต่างกันและความปั่นป่วนในตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ได้สกัดกระแสคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในเดือนนี้ โดยอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำนับเป็นปัจจัยลบสำหรับดอลลาร์ เนื่องจากจะลดความน่าดึงดูดใจของดอลลาร์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูง

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย พันธุ์ทิพย์ คำเพิ่มพูล โทร.02-2535000 อีเมล์: pantip@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq21/2252809

 

ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าปรับขึ้นตามตปท. เล็งกลุ่มพลังงานหนุน-คาดเฟดไม่ขึ้นดบ.

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 08:58:12 น.

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้าตามตลาดสหรัฐฯ โดยกลุ่มพลังงาน Rally หลังจากที่สต็อคน้ำมันของสหรัฐฯลดลงมากกว่าที่ตลาดคาด และตลาดยังคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในงวดนี้ โดยให้น้ำหนัก 50%

 

ทั้งนี้ วันนี้ตลาดบ้านเราก็คงจะได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกัน แต่การปรับตัวขึ้นของดัชนีฯคงจะไม่แรง เนื่องจากยังจับตาผลประชุมเฟดอยู่

 

พร้อมให้แนวรับ 1,375-1,368 จุด ส่วนแนวต้าน 1,392-1,400 ถัดไป 1,410-1,430 จุด

อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq05/2253017

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $16.4 รับคาดการณ์เฟดยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 07:35:46 น.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อลดลงในเดือนส.ค. ซึ่งช่วยหนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 16.4 ดอลลาร์ หรือ 1.49% ปิดที่ระดับ 1,119.00 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 55.9 เซนต์ ปิดที่ 14.885 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 17.5 ดอลลาร์ ปิดที่ 975.7 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 11.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 611.95 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลดลง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวในเดือนส.ค.

 

นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินหลักๆนั้น ปรับตัวลง 0.35% เมื่อคืนนี้ ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองคำซึ่งซื้อขายในรูปสกุลดอลลาร์มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq31/2252812

 

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $2.56 ขานรับสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วง

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 07:22:44 น.

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (16 ก.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงอย่างพลิกความคาดหมายในสัปดาห์ที่แล้ว

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 2.56 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.15 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.75 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจาก EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 455.9 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล

 

ขณะที่สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน ลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 54.5 ล้านบาร์เรล

 

ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 217.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 200,000 บาร์เรล และต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล เพิ่มขึ้น 3.1 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 154 ล้านบาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล

 

สำหรับอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.2% สู่ระดับ 93.1% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.5%

 

นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมเฟดในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ขณะที่นักลงทุนบางส่วนคาดว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อปรับตัวลดลง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวในเดือนส.ค.

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq35/2252808

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

เสื้อแดงมาเลย์เดินขบวนเชียร์รัฐบาล หลังนายกฯโดนเสื้อเหลืองชุมนุมขับไล่

 

 

ข่าวการเมือง สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 16 กันยายน 2558 19:06:46 น.

กลุ่มผู้ชุมนุมเชื้อสายมาเลย์ราว 30,000 คนพากันใส่เสื้อแดงออกมาเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาลในวันนี้ในใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

 

การออกมาชุมนุมของกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ชาวมาเลเซียหลายหมื่นคนพากันใส่เสื้อเหลืองออกมาชุมนุมประท้วงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค ลาออกจากตำแหน่ง จากข่าวอื้อฉาวที่ว่า มีการโอนเงินจำนวน 700 ล้านดอลลาร์จากกองทุน 1MDB เข้าบัญชีธนาคารของนายนาจิบ

 

การชุมนุมในวันนี้ส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบ ยกเว้นที่ย่านไชน่าทาวน์ที่เกิดเหตุวุ่นวาย หลังกลุ่มผู้ชุมนุมราว 1,000 คนพยายามฝ่าแนวกั้นของตำรวจเข้าไป จนทำให้ตำรวจต้องฉีดน้ำแรงดันสูงเพื่อสลายการชุมนุม

 

สีแดงเป็นสีประจำพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล

นายราซัคระบุว่าพรรคอัมโนไม่ได้ให้การสนับสนุนการชุมนุมในวันนี้ แต่ทางพรรคจะไม่ห้ามสมาชิกพรรคเข้าร่วมการชุมนุมหากต้องการ

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq37/2252760

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ในวันนี้ปัจจัยที่กระทบราคาทองคำมีปัจจัยส­­­­­­­­­ำคัญอะไรบ้าง ราคาทองจะเป็นเช่นไร รับชมได้ในคลิปนี้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

 

ชิลีเผยมีผู้เสียชีวิต 3 คน หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 8.3 วันนี้

 

 

ข่าวทั่วไป สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 11:30:44 น.

ทางการชิลีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 คน และบาดเจ็บกว่า 10 คน หลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 8.3 ที่บริเวณนอกชายฝั่งชิลี และทำให้เกิดคลื่นสูงประมาณ 4.5 เมตร

 

 

 

ทั้งนี้ ทางการชิลีได้ประกาศเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งให้อพยพออกจากพื้นที่

 

ด้านศูนย์เตือนภัยคลื่นสึนามิในมหาสมุทรแปซิฟิกยังได้ออกแถลงการเตือนภัยคลื่นยักษ์ในบริเวณชายฝั่งเปรู เอกวาดอร์ ญี่ปุ่น และฮาวาย

 

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ชิลีเป็นหนึ่งในประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดในโลก โดยเมื่อเดือนก.พ.2553 ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 8.8 และคลื่นยักษ์สึนามิ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 500 คน

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/สุนิตา โทร.02-2535000 ต่อ 315 อีเมล์: sunita@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq38/2253306

 

ไปรษณีย์ไทย จับมือ ทิพยประกันภัย พัฒนาบริการ เพิ่มศักยภาพและมาตรฐานในการให้บริการด้านประกันภัยแบบครบวงจร

 

 

ข่าวทั่วไป ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 11:37:04 น.

 

ดูรูปทั้งหมด

กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์

บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) จับมือ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) พัฒนาบริการรับชำระภาษีรถประจำปีด้วยระบบงานอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมเตรียมยกเครื่องปรับปรุงพัฒนาระบบการให้บริการรับประกันภัยให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบการชำระภาษีรถประจำปี พัฒนาและติดตั้งโปรแกรมการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านโทรศัพท์มือถือของเจ้าหน้าที่นำจ่าย ระบบการให้บริการรับประกันภัยรถตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 และระบบการให้บริการรับประกันภัยประเภทต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดและอนุญาตให้ดำเนินการผ่านทางไปรษณีย์ได้เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในปีนี้

 

 

 

นายปิยะวัตร์ มหาเปารยะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานระบบปฏิบัติการ รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) กล่าวว่า เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป ไปรษณีย์ไทย ในฐานะผู้ให้บริการด้านไปรษณีย์กับคนไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการมุ่งมั่นพัฒนาและปรับปรุงการบริการไปรษณีย์ให้ครบวงจร ครอบคลุมในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง จึงร่วมมือกับบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในการพัฒนารูปแบบการรับชำระภาษีรถประจำปีผ่านที่ทำการไปรษณีย์ด้วยระบบงานอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการมากขึ้น

 

นายปิยะวัตร์ กล่าวต่อว่า ไปรษณีย์ไทย ได้ประเดิมความร่วมมือดังกล่าว ด้วยการเปิดระบบชำระภาษีรถประจำปีทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจากเดิมนั้นระบบการรับชำระภาษีรถประจำปีทางไปรษณีย์ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จะมีขั้นตอนการจัดส่งเอกสารต่างๆ จำนวนมาก ทำให้ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่ผู้ใช้บริการจะได้รับเครื่องหมายแสดงการชำระภาษีประจำปี (ป้ายวงกลม) และใบเสร็จรับเงินกลับคืน ซึ่งทำให้ผู้ใช้บริการไม่ได้รับความสะดวกรวดเร็วเท่าที่ควร ซึ่งเราได้ปรับปรุงพัฒนาระบบการรับชำระภาษีรถประจำปี ณ ที่ทำการไปรษณีย์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ที่ทำการไปรษณีย์สามารถพิมพ์ป้ายวงกลมและใบเสร็จรับเงินมอบให้แก่ผู้ใช้บริการได้ทันทีเหมือนกับการไปชำระที่หน่วยงานของกรมการขนส่ง

 

นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทย ยังมุ่งพัฒนาระบบโปรแกรมการรับชำระภาษีรถประจำปีไว้ในระบบบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของเจ้าหน้าที่นำจ่ายของ ปณท เพื่อให้สามารถรับชำระภาษีรถประจำปี ณ ที่อยู่ของผู้ใช้บริการได้ รวมไปถึงการจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยให้ผู้ใช้บริการที่ยังไม่ได้ซื้อกรมธรรม์ เพื่อให้บริการแบบครบวงจรอีกด้วย พร้อมพัฒนาระบบการให้บริการรับประกันภัยรถตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ผ่านทางไปรษณีย์ และพัฒนาระบบการให้บริการรับประกันภัยประเภทต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดและอนุญาตให้ดำเนินการผ่านทางไปรษณีย์ได้ด้วย นายปิยะวัตร์ กล่าว

 

ด้านนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิพยประกันภัย รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่ได้มีส่วนร่วมกับการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการที่ทันสมัย และครบวงจร ร่วมกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด (ปณท) ซึ่งมีความแข็งแกร่งมั่นคง และมีสาขาการให้บริการมากมายทั่วประเทศ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งในการพัฒนาที่จะช่วยอำนวยความสะดวกและมีความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งตอบโจทย์กับผู้ใช้บริการในยุคปัจจุบันที่มีชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ โดยผู้ใช้บริการสามารถซื้อประกันภัยรถตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.) และประกันภัยประเภทต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดและอนุญาตให้ดำเนินการผ่านทางไปรษณีย์ได้ ในทุกช่องทางของไปรณีย์ไทย ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็ว และเข้าถึงได้ผู้ใช้บริการได้มากที่สุดเลยทีเดียว

 

"ไปรษณีย์ไทยพร้อมให้บริการคนไทยด้วยบริการที่หลากหลาย เพื่อให้คนไทยเข้าถึงบริการไปรษณีย์ได้มากที่สุด และเป็นส่วนหนึ่งของ "ชีวิต" คนไทย เป็นกลไกขับเคลื่อน "เศรษฐกิจไทย" ด้วยความ "รู้จริง" รู้จักทุกตารางนิ้วทุกพื้นที่ของไทย "รู้ใจ" ในความต้องการที่หลากหลาย ให้บริการด้วยความ "จริงใจ" และเป็นเครือข่ายชีวิต และเศรษฐกิจไทยตลอดไป" นายปิยะวัตร์ กล่าวในท้ายสุด

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/prg/2253308

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

iq2dd84e48e7b6a27f25916a8641e9713b.jpg

บริจาคโลหิต ช่วยชีวิต ทดแทนคุณแผ่นดิน

 

 

ข่าวทั่วไป ThaiPR.net -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 11:40:12 น.

 

ดูรูปทั้งหมด

กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ

'' โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯจัดกิจกรรม "บริจาคโลหิต ช่วยชีวิต ทดแทนคุณแผ่นดิน" ขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในในวโรกาสเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในวันอังคารที่ 22 กันยายน 2558 ณ ชั้น 1 อาคารคอนเวนชั่น เซ็นต์เตอร์ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ ตั้งแต่เวลา 09.00น. - 14.00 น. เรียนเชิญทุกท่านนะคะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 2 558 7888 ต่อ 10180 ''

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/prg/2253309

 

เงินบาทเปิด 35.84 แข็งค่าตามภูมิภาคหลังดอลล์อ่อน ตลาดคาดเฟดคงดอกเบี้ย

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 09:44:21 น.

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 35.84 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากปิดตลาดช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 35.98/36.04 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามค่าเงินภูมิภาค เนื่องจากมีแรงเทขายดอลลาร์จากผู้ค้าทองคำหลังราคาทองในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น

 

"เช้านี้บาทปรับตัวแข็งค่าตามภูมิภาค น่าจะเป็นการปรับ position ก่อนรู้ผลประชุม FED และมีแรงเทขายทำกำไรจากผู้ค้าทองคำออกมา" นักบริหารเงิน กล่าว

 

 

 

ตลาดจับตาผลประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ(FED) เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยคืนนี้ โดยคาดการณ์ว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เช่นเดิม

 

นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 35.80-35.92 บาท/ดอลลาร์

 

* ปัจจัยสำคัญ

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 120.35 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 120.20 เยน/ดอลลาร์

 

- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1314 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.1212 ดอลลาร์/ยูโร

 

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 35.9800 บาท/ดอลลาร์

 

- น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิจัย ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยภายในวันที่ 18 ก.ย.นี้ จะขึ้นเร็วสุดในเดือน ธ.ค.หรือต้นปีหน้า เป็นการค่อยๆ ขึ้นอย่างช้าๆ และน่าจะปรับขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น

 

- กรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่น "ดร.วิรไท สันติประภพ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ อยู่ที่ร้อยละ 62.4 โดยมีความเชื่อมั่นมากที่สุดในด้านความซื่อสัตย์ การยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติ ร้อยละ 73.6 และสิ่งที่อยากให้ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ทำทันทีที่รับตำแหน่งมากสุด คือ รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท

 

- บสย.-แบงก์พาณิชย์พร้อมค้ำประกันและปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตามนโยบายรัฐ คาดหลังขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านจากเดิม 6 พันล้าน และยอดค้าประกัน 8 พันล้าน จากเดิม 5 พันล้าน

 

- คลังร่วมหารือ กรอ. งัดมาตรการผ่อนคลายให้ภาคธุรกิจลงทุน เผยตั้งทีมหาช่องทางส่งเสริมเอกชนลงทุนในประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนการส่งออกที่ชะลอตัว ด้านบีโอไอเคาะพัฒนาเขตเศรษฐกิจรูปแบบคลัสเตอร์ พร้อมเว้นภาษีนิติบุคคลเพิ่ม เร่งรัดให้เกิดการลงทุน

 

- นายอาชนัน เกาะไพบูลย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยในงานสัมมนาเศรษฐกิจโลกกับการส่งออกของไทย:ปัจจัยและผลกระทบว่า ภาคการส่งออกไทยที่ติดลบปีนี้เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้เห็นว่าระยะสั้น รัฐบาลควรกระตุ้นการส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคมากขึ้น ด้วยการแก้อุปสรรคที่สำคัญ คือ เรื่องต้นทุนโลจิสติกส์ ส่วนระยะยาว อาจต้องกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนผ่านการลงทุนของภาครัฐในระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง

 

- นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ จะเริ่มใช้ระบบจัดซื้อ จัดจ้างแบบอีบิดดิ้ง และอีมาร์เก็ต สำหรับวงเงินซื้อตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนการ จัดซื้อจัดจ้างมูลค่าที่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทได้รับการยกเว้น

 

- องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ประกาศปรับลดคาดการณ์การ GDP โลกในปีนี้และปีหน้าลงสู่ระดับ 3.0% และ 3.6% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.1% และ 3.8% ตามลำดับ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและบราซิล

 

- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส(WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ(EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงอย่างพลิกความคาดหมายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.พุ่งขึ้น 2.56 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.75 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อลดลงในเดือน ส.ค. ซึ่งช่วยหนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค.พุ่งขึ้น 16.4 ดอลลาร์ หรือ 1.49% ปิดที่ระดับ 1,119.00 ดอลลาร์/ออนซ์

 

- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวลงในเดือน ส.ค. ซึ่งได้หนุนคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปในการประชุมนโยบายการเงินที่จะเสร็จสิ้นในวันนี้ โดยค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1287 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1278 ดอลลาร์สหรัฐ

 

อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2253199

 

(เพิ่มเติม) เงินบาทเปิด 35.84 แข็งค่าตามภูมิภาคหลังดอลล์อ่อน ตลาดคาดเฟดคงดอกเบี้ย

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 11:16:17 น.

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 35.84 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากปิดตลาดช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 35.98/36.04 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามค่าเงินภูมิภาค เนื่องจากมีแรงเทขายดอลลาร์จากผู้ค้าทองคำหลังราคาทองในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น

 

"เช้านี้บาทปรับตัวแข็งค่าตามภูมิภาค น่าจะเป็นการปรับ position ก่อนรู้ผลประชุม FED และมีแรงเทขายทำกำไรจากผู้ค้าทองคำออกมา" นักบริหารเงิน กล่าว

 

 

 

ตลาดจับตาผลประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน(FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ(FED) เกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยคืนนี้ โดยคาดการณ์ว่ายังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เช่นเดิม

 

นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 35.80-35.92 บาท/ดอลลาร์

 

ล่าสุด SPOT อยู่ที่ระดับ 35.8600 บาท/ดอลลาร์ ส่วน THAI BAHT FIX 3M(16 ก.ย.) อยู่ที่ 1.62742% ส่วน THAI BAHT FIX 6M(16 ก.ย.) อยู่ที่ 1.69737%

 

* ปัจจัยสำคัญ

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 120.35 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 120.20 เยน/ดอลลาร์

 

- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1314 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.1212 ดอลลาร์/ยูโร

 

- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 35.9800 บาท/ดอลลาร์

 

- น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิจัย ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยภายในวันที่ 18 ก.ย.นี้ จะขึ้นเร็วสุดในเดือน ธ.ค.หรือต้นปีหน้า เป็นการค่อยๆ ขึ้นอย่างช้าๆ และน่าจะปรับขึ้นเพียง 2 ครั้งเท่านั้น

 

- กรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่น "ดร.วิรไท สันติประภพ" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ อยู่ที่ร้อยละ 62.4 โดยมีความเชื่อมั่นมากที่สุดในด้านความซื่อสัตย์ การยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติ ร้อยละ 73.6 และสิ่งที่อยากให้ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ทำทันทีที่รับตำแหน่งมากสุด คือ รักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท

 

- บสย.-แบงก์พาณิชย์พร้อมค้ำประกันและปล่อยกู้ให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตามนโยบายรัฐ คาดหลังขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มเป็น 1 หมื่นล้านจากเดิม 6 พันล้าน และยอดค้าประกัน 8 พันล้าน จากเดิม 5 พันล้าน

 

- คลังร่วมหารือ กรอ. งัดมาตรการผ่อนคลายให้ภาคธุรกิจลงทุน เผยตั้งทีมหาช่องทางส่งเสริมเอกชนลงทุนในประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแทนการส่งออกที่ชะลอตัว ด้านบีโอไอเคาะพัฒนาเขตเศรษฐกิจรูปแบบคลัสเตอร์ พร้อมเว้นภาษีนิติบุคคลเพิ่ม เร่งรัดให้เกิดการลงทุน

 

- นายอาชนัน เกาะไพบูลย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยในงานสัมมนาเศรษฐกิจโลกกับการส่งออกของไทย:ปัจจัยและผลกระทบว่า ภาคการส่งออกไทยที่ติดลบปีนี้เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ทั้งนี้เห็นว่าระยะสั้น รัฐบาลควรกระตุ้นการส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคมากขึ้น ด้วยการแก้อุปสรรคที่สำคัญ คือ เรื่องต้นทุนโลจิสติกส์ ส่วนระยะยาว อาจต้องกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนผ่านการลงทุนของภาครัฐในระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง

 

- นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ จะเริ่มใช้ระบบจัดซื้อ จัดจ้างแบบอีบิดดิ้ง และอีมาร์เก็ต สำหรับวงเงินซื้อตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนการ จัดซื้อจัดจ้างมูลค่าที่ต่ำกว่า 2 ล้านบาทได้รับการยกเว้น

 

- องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ประกาศปรับลดคาดการณ์การ GDP โลกในปีนี้และปีหน้าลงสู่ระดับ 3.0% และ 3.6% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.1% และ 3.8% ตามลำดับ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและบราซิล

 

- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส(WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ(EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงอย่างพลิกความคาดหมายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ต.ค.พุ่งขึ้น 2.56 ดอลลาร์ ปิดที่ 47.15 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน ต.ค.ที่ตลาดลอนดอน เพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 49.75 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อลดลงในเดือน ส.ค. ซึ่งช่วยหนุนการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ธ.ค.พุ่งขึ้น 16.4 ดอลลาร์ หรือ 1.49% ปิดที่ระดับ 1,119.00 ดอลลาร์/ออนซ์

 

- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวลงในเดือน ส.ค. ซึ่งได้หนุนคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปในการประชุมนโยบายการเงินที่จะเสร็จสิ้นในวันนี้ โดยค่าเงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.1287 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 1.1278 ดอลลาร์สหรัฐ

 

อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2253292

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

โอบามา คาดบรรลุข้อตกลงการค้า TPP ภายในปีนี้

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 10:41:00 น.

ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐ มั่นใจว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกับอีก 11 ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกภายในปีนี้

 

ปธน.โอบามากล่าวว่า "บรรดารัฐมนตรีกระทรวงการค้าน่าจะกลับมาประชุมอีกครั้งในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งมีโอกาสในการสรุปข้อตกลงนี้" โดยระบุถึงการประชุมข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ในระดับรัฐมนตรีรอบต่อไป

 

 

 

สำหรับการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนก.ค. รัฐมนตรีจาก 12 ประเทศกลุ่มแปซิฟิกริม ออกแถลงการณ์ว่าที่ประชุมยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในขั้นตอนสุดท้าย เนื่องจากยังคงมีความติดขัดในเรื่องของการเข้าถึงตลาดและทรัพย์สินทางปัญญา อย่างไรก็ตาม การเจรจามีความคืบหน้ามากพอที่จะนำไปสู่การสรุปเพื่อการทำข้อตกลงการค้าเสรี

 

"ขณะนี้มีความคืบหน้ามากพอ" ปธน.โอบามาเปิดเผยภายหลังการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกสมาคม Business Roundtable ในกรุงวอชิงตัน "ผมมั่นใจว่าเราสามารถทำได้ และผมเชื่อว่าเราจะบรรลุข้อตกลงภายในปีนี้"

 

ประธานาธิบดีสหรัฐเผยว่า เขาจะทำงานอย่างหนักร่วมกับกลุ่มผู้นำพรรคริพับลิกันและเดโมแครต เพื่อบรรลุข้อตกลง TPP ในระดับสภาคองเกรสภายหลังการเจรจาเสร็จสิ้น พร้อมเสริมว่า "การเมืองในเรื่องของการค้านั้นค่อนข้างยุ่งยาก"

 

"อย่างไรก็ดี เรายังไม่ควรด่วนสรุป เพราะว่าการที่ผมได้รับอำนาจพิเศษนั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะบรรลุข้อตกลง TPP เสมอไป" โดยปธน.โอบามาได้กล่าวถึงร่างกฎหมายการค้าแบบ fast-track หรือที่รู้จักกันว่าอำนาจในการส่งเสริมด้านการค้า (TPA) ที่เขาได้รับเมื่อเดือนมิ.ย. ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้จะอนุญาตให้ปธน.โอบามาสามารถลงนามในข้อตกลงการค้าได้ด้วยการขอให้สภาคองเกรสลงมติเพียงแค่รับหรือไม่รับ โดยไม่มีการแก้ไขใดๆ

 

ทั้งนี้ ข้อตกลง TPP ซึ่งจะครอบคลุมเศรษฐกิจทั่วโลกประมาณ 40% และเชื่อกันว่าจะเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลกในรอบหลายทศวรรษ ประกอบไปด้วยออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกาและเวียดนาม สำนักข่าวซินหัวรายงาน

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กนิษฐนุช สิริสุทธิ์/พันธุ์ทิพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: pantip@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2253261

 

สหรัฐเผยจีนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในเดือนก.ค.

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 10:00:00 น.

กระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยว่า จีนได้ลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงในเดือนก.ค. ขณะที่ยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐโดยญี่ปุ่นนั้น ขยับขึ้นเล็กน้อย

 

 

 

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า จีนลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลงประมาณ 3.04 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 1.2408 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค.

 

ส่วนญี่ปุ่นซึ่งถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ได้เพิ่มการถือครองพันธบัตร 400 ล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 1.1975 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนก.ค. หลังปรับลดการถือพันธบัตรสหรัฐติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน

 

สำหรับยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐโดยรวมของต่างประเทศในเดือนก.ค. ลดลงแตะ 6.0766 ล้านล้านดอลลาร์ จากเดือนมิ.ย.ที่ 6.1752 ล้านล้านดอลลาร์

 

ด้านธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของจีนลดลงแตะ 3.56 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงสิ้นเดือนส.ค. ปรับตัวลง 9.39 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งลดลงเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน

 

แบงก์ชาติจีนระบุว่า การปรับตัวลงดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาของสินทรัพย์ทางการเงินขนาดใหญ่ที่ลดลงในตลาดโลก และการดำเนินงานในตลาดของจีนเพื่ออัดฉีดสภาพคล่องจนเพียงพอ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ บริษัทต่างๆ และบุคคลทั่วไป ถือสกุลเงินตราต่างประเทศมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2253214

 

สนง.ปริวรรตเงินตราจีนคาดเงินหยวนอ่อนค่าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ย

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 10:43:55 น.

สำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) คาดว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อาจจะกดดันให้สกุลเงินหยวนของจีนอ่อนค่าลงอีก

 

ทั้งนี้ มีกระแสการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมระยะเวลา 2 วันซึ่งจะเสร็จสิ้นในวันนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ลดลง 0.1% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดัชนีจะทรงตัวในเดือนส.ค.

 

 

 

ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับดูแลของ SAFE กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มของกระแสเงินทุนไหลออก และหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะไม่ทำให้เกิดสถานการณ์กระแสเงินทุนไหลเป็นจำนวนมากแต่อย่างใด

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2253268

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สนง.ปริวรรตเงินตราจีนไม่กังวลเม็ดเงินทุนไหลออกหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยวันนี้

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 16:02:00 น.

นายหวัง หยุนกุย ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) เปิดเผยว่า SAFE ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับการไหลออกของเงินทุนจำนวนในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะตัดสินใจว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่

 

"ไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องกังวลเรื่องกระแสเงินทุนต่างชาติไหลออก ส่วนแรงกดดันที่จะทำให้เงินหยวนอ่อนค่าลงนั้น ได้ผ่อนคลายลงแล้ว และมูลค่าเงินหยวนก็เริ่มมีเสถียรภาพ" นายหวังกล่าวกับผู้สื่อข่าว

 

นอกจากนี้ นายหวังกล่าวว่า เงินหยวนอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่เดือนส.ค. และจีนยังคงมียอดเกินดุลการค้าจำนวนมาก และปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของจีนยังคงแข็งแกร่ง

 

 

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/พันธุ์ทิพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: pantip@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2253578

 

แบงก์ชาติฮ่องกงหวั่นเฟดขึ้นดอกเบี้ยกระทบตลาดอสังหาฯ,กระตุ้นเงินทุนไหลออก

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 14:53:00 น.

นายนอร์แมน ชาน ผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกง คาดการณ์ว่า หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ จะส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง ขณะเดียวกันนายชานคาดว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออก

 

"เราคาดว่าจะเกิดเหตุการณ์กระแสเงินทุนไหลออกในช่วงที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งหมายความว่าประชาชนจำนวนมากจะเทขายสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง เพื่อหันไปซื้อดอลลาร์สหรัฐ"

 

 

 

ทั้งนี้ สกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกงผูกติดกับดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ปี 2526 จึงทำให้การกำหนดอัตราดอกเบี้ยของฮ่องกงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับสหรัฐ

 

"ความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง รวมทั้งความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง โดยยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในเดือนส.ค.ลดลงไปแล้ว 30% จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ธนาคารกลางฮ่องกงยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวในตลาดอย่างใกล้ชิด และเตรียมมาตรการเพื่อสร้างเสถียรภาพในภาคธนาคารและภาคการเงิน หากจำเป็น" นายชานกล่าว

 

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดจะเสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลา 2 วันในวันนี้ ตามเวลาสหรัฐ

 

ด้านนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดได้ส่งสัญญาณก่อนหน้านี้ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดอาจจะเกิดขึ้นในปีนี้ แม้นางเยลเลนพยายามหลีกเลี่ยงที่จะยืนยันถึงช่วงเวลาและสัดส่วนของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม สำนักข่าวเกียวโดรายงาน

 

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/พันธุ์ทิพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: pantip@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2253494

 

กพช.ผ่านแผนพลังงานทดแทน-น้ำมัน-ก๊าซ 2015 ไฟเขียวปตท.ลงทุนท่อก๊าซเส้น 5

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 16:07:08 น.

คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบ 3 แผนหลักสำคัญ ได้แก่ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558 - 2579 (AEDP 2015) แผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558 – 2579 (Oil Plan 2015) และแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2558 – 2579 (Gas Plan 2015) เพื่อกำหนดทิศทางการบริหารจัดการด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติระยะยาว พร้อมลุยแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต

 

 

 

สำหรับแผน AEDP 2015 มีเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน จากปัจจุบันอยู่ที่ 11.9% เป็น 30% ของปริมาณความต้องการพลังงานรวมของประเทศในปี 2579 โดยปรับเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งสิ้นประมาณ 19,635 เมกะวัตต์ โดยให้มีกรอบระยะเวลาเดียวกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP 2015) รวมทั้งจะมีการส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซลเป็น 14 ล้านลิตร/วัน และเอทานอล 11.3 ล้านลิตร/วัน เป็นต้น และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ดำเนินการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และรายงานความคืบหน้าการดำเนินต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ทุก 3 เดือน

 

ส่วน Oil Plan 2015 นั้นที่ประชุมมีความเห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2558 - 2579 (Oil Plan 2015) ต่อ กบง. ทุก 3 เดือนเช่นกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้กำหนดทิศทางการบริหารจัดการด้านน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ระบุภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานในภาคขนส่ง และแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก เช่น การทยอยปรับลดประเภทน้ำมันเบนซินในระยะยาว ที่ควรมีเหลือไม่เกิน 3 ประเภท และใช้เป็นกรอบสำหรับการดำเนินนโยบายส่งเสริมน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษ เช่น เชื้อเพลิงชีวภาพ และ NGV สำหรับรถสาธารณะ โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการพัฒนาด้านพลังงานของประเทศ

 

ทั้งนี้ ได้กำหนดเป็นยุทธศาสตร์จัดทำแผน 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1. สนับสนุนมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ภาคขนส่ง ผ่านมาตรการผสมผสาน 11 มาตรการ 2. บริหารจัดการชนิดของน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้ ได้แก่ LPG ที่แม้จะไม่ห้ามใช้ในภาคขนส่งแต่จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษในการส่งเสริม ในขณะที่ NGV จะเป็นการส่งเสริมเฉพาะกลุ่มรถสาธารณะและรถบรรทุก 3. ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต่อเนื่อง โดยใช้กลไกตลาดเป็นสำคัญ 4. ผลักดันการใช้เชื้อเพลิงเอทานอลและไบโอดีเซลตามแผน AEDP 2015 และ 5. สนับสนุนการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะระบบท่อขนส่งน้ำมันและคลังน้ำมันเพื่อสนับสนุนการเข้าสู่ AEC ซึ่งคาดว่าจะไม่มีความจำเป็นในการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันใหม่

 

ขณะที่ Gas Plan 2015 และหลักการการบริหารจัดการด้านการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ให้มีการแข่งขันและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต โดยเพิ่มจำนวนผู้จัดหาและจำหน่าย การเปิดให้บุคคลที่สามสามารถใช้หรือเชื่อมต่อระบบส่งก๊าซธรรมชาติและสถานีแอลเอ็นจี (Third Party Access; TPA) และกำกับดูแลการจัดหา LNG ในระยะสั้น/ระยะยาว โดยมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชพ.) และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ร่วมกันศึกษาและจัดทำแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน ให้มีผู้ประกอบการในกิจการ LNG มากกว่าปัจจุบันที่มีเพียง ปตท. เพียงเจ้าเดียว และจัดทำแนวทางการกำกับดูแลด้านการจัดหา LNG ต่อไป เพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติให้มีเพียงพอในอนาคต ซึ่งได้บูรณาการกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย(PDP 2015) แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP 2015) และ แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2015)

 

ทั้งนี้ ได้วางยุทธศาสตร์การดำเนินงานใน 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่อรองรับต่อความต้องการ โดยสามารถจำกัดการนำเข้า LNG ในอนาคตให้อยู่ในระดับที่พอเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น คือ 1. กระจายความเสี่ยงโดยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า 2. รักษาระดับการผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศให้ยาวนานขึ้น 3. จัดหาแหล่ง LNG ที่มีประสิทธิภาพภายใต้รูปแบบที่มีการแข่งขัน 4. มีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอ (ระบบท่อ และ LNG Terminal) และแนวทางด้านการแข่งขันทั้งทางกายภาพ (ทั้งโครงข่ายท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และท่าเรือรับ LNG) และกติกาที่สอดรับกับแผนจัดหา (Third Party Access; TPA)

 

และเห็นชอบในแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2558 ซึ่งแผนระบบรับส่งและโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเพื่อความมั่นคง รองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ทั้งจากภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง โดยได้พิจารณาเห็นชอบโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ เส้นที่ 5 (Natural Gas Pipeline Network) วงเงินลงทุนรวม 110,100 ล้านบาท โดยมอบหมายให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการ พร้อมติดตามแนวโน้มความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาใช้ทบทวนรายละเอียดการดำเนินโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศและประชาชน

 

อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq05/2253579

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

อานันท์ ติงมาตรการประชานิยมไม่ช่วยให้ศก.ขยายตัวยั่งยืน แนะต้องปฏิรูปแบบองค์รวม

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2558 15:57:17 น.

นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "สู่บริบทใหม่ของประเทศด้วยธรรมาภิบาลในระบอบประชาธิปไตย" ในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยประจำปี 58 ว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างช่วงรอยต่อที่สำคัญทางการเมือง และยากที่จะคาดเดาได้ว่าเมื่อผ่านรอยต่อนี้ไปแล้ว บรรทัดฐานใหม่(New Normal) ของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร แต่เพื่อช่วยให้เราสามารถผ่านปัญหาหรือวิกฤติต่างๆ และสามารถหาทางออกให้แก่ปัญหาได้จึงขอเสนอองค์ประกอบ 4 ประการที่ขาดไม่ได้ในบรรทัดฐานใหม่ของเส้นทางการพัฒนาประเทศไทยที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

 

 

 

ประการแรก New Normal ของประเทศไทยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและทั่วถึง เพราะจากที่ผ่านมามักจะมุ่งเป้าไปที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นหลัก ให้ความสำคัญแค่ตัวเลข โดยละเลยมิติด้านคุณภาพและการแบ่งสรรผลประโยชน์และรายได้ให้ทั่วถึง นอกจากนี้จะได้เห็นแล้วว่าการขยายตัวแบบอัดฉีดมาตรการประชานิยมที่ไร้วินัยการคลังนั้นเป็นการขยายตัวที่ไม่ยั่งยืน และสร้างปัญหาตามมามากมายในภายหลัง เช่น โครงการรถคันแรก โครงการรับจำนำข้าวในราคาสูงกว่าตลาด

 

"นี่เป็นเพียงตัวอย่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบชั่วครู่ที่หลายรัฐบาล ทั้งในบ้านเราและต่างประเทศใช้เพื่อให้ได้คะแนนนิยมระยะสั้น โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว" นายอานันท์ กล่าว

 

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การพัฒนาเศรษฐกิจให้ยั่งยืนในระยะยาวต้องมุ่งเน้นการเสริมโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งด้วยการเพิ่มขีดความสามารถที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพของภาครัฐหรือราชการ การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ การพัฒนาแรงงาน รวมทั้งยกระดับการศึกษาและงานวิจัย นอกจากนี้เพื่อให้การพัฒนามีความยั่งยืน ต้องมีการแบ่งสรรผลประโยชน์ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน จึงจะก่อให้เกิดความสมานฉันท์ในสังคมและความชอบธรรมของระบบเศรษฐกิจการเมืองในที่สุด

 

ประการที่สอง การเปลี่ยนแปลงต้องนำไปสู่สังคมที่เปิดและมีส่วนร่วมของคนในสังคม ซึ่งนอกจากการกระจายรายได้อย่างเสมอภาคแล้ว ต้องให้สิทธิเสรีภาพ และโอกาสที่เท่าเทียมกันแก่ทุกภาคส่วนในการมีส่วนร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศ ซึ่งสิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกันนั้นไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ประชาชนทุกคนมีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่ต้องรวมถึงการให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นหรือข้อเรียกร้องของทุกฝ่ายด้วย ระบบการปกครองโดยเสียงข้างมากไม่ได้หมายถึงการปกครองลักษณะผู้ชนะกินรวบ หรือการที่ผู้ชนะสามารถดำเนินการทุกอย่างได้ตามต้องการ ถ้าจะให้ประชาธิปไตยคงอยู่ในระยะยาวและเกิดความสงบสุขต้องมีขันติธรรม นั่นคือ การยอมรับความหลากหลายในสังคม กลุ่มเสียงข้างน้อยต้องได้รับผลประโยชน์ที่เที่ยงธรรมจากกระบวนการเลือกตั้ง ฝ่ายที่ชนะเลือกตั้งต้องตระหนักว่าเป็นตัวแทนประชาชนทั้งประเทศ

 

"การเป็นสังคมเปิดและมีส่วนร่วม ต้องดำเนินควบคู่ไปกับสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และการเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง...เราต้องหัดเดินหน้าไปด้วยกันบนพื้นฐานของความแตกต่างโดยไม่สร้างความแตกแยก หรือก่อให้เกิดการเกลียดชัง ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้กำลัง อาวุธ และความรุนแรงในด้านต่างๆ" นายอานันท์ กล่าว

 

ประการที่สาม คือ การทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ปกครองโดยนิติธรรม ไม่ใช่คำนึงถึงแต่ตัวบทกฎหมาย แต่ต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์แห่งกฎหมายและความเป็นธรรมด้วย ที่สำคัญกฎหมายไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายทางการเมือง รัฐบาลไม่ควรดำเนินการตามอำเภอใจ จับกุมผู้คนที่คัดค้านนโยบายของตน และลิดรอนสิทธิเสรีภาพบุคคลที่บุคคลเหล่านั้นพึงมีตามกฎหมาย ทั้งนี้หากการบังคับใช้หลักนิติธรรมอ่อนแอ การทุจริตคอรัปชั่นจะเฟื่องฟู ประชาธิปไตยจะผิดเพี้ยน นักการเมือง ข้าราชการ ภาคเอกชน ตำรวจ ทหารล้วนใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง และเอื้อประโยชน์บนความทุกข์ยากของสังคม นอกจากนี้ ความเป็นอิสระและเที่ยงธรรมของภาคตุลาการถือเป็นฐานหลักที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของหลักนิติธรรม

 

"การปกครองด้วยหลักนิติธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสและรับผิดชอบของภาครัฐ เป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่รัฐบาลที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน" นายอานันท์ กล่าว

 

ประการที่สี่ การปรับสมดุลในโครงสร้างเชิงอำนาจระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชน ซึ่งรัฐบาลที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนเป็นผลลัพธ์ของการมีประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมืองมีการกระจายอำนาจอย่างสมบูรณ์แบบ การปกครองที่รวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลางทั้งหมดไม่สามารถจะรองรับความสลับซับซ้อนของสังคมที่เพิ่มมากขึ้นได้ การกระจายอำนาจการปกครอง จะช่วยเปิดพื้นที่ให้กลุ่มผลประโยชน์ที่หลากหลายมากขึ้น และเป็นวิธีหนึ่งที่จะลดอิทธิพลของกลุ่มพลังทางการเมือง หัวใจของการกระจายอำนาจคือการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดสิ่งที่กระทบเขาโดยตรง จึงควรให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการออกแผนแม่บทของตนเอง โดยรัฐเป็นเพียงผู้ให้ข้อมูล สนับสนุนงบประมาณ และสนองความต้องการอื่นๆ ที่จำเป็นเท่านั้น

 

"ผมไม่ได้หมายถึงการกระจายอำนาจให้กับองค์กรท้องถิ่นโดยควบคุมจากส่วนกลาง แต่หมายถึงการกระจายอำนาจให้ถึงมือประชาชนหรือกลุ่มตัวแทนประชาชนที่แท้จริง ที่ผ่านมาเราตั้งองค์กรในท้องถิ่น แต่ควบคุมอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ดังนั้นเราจำเป็นต้องปฏิรูปองค์กรท้องถิ่นให้ตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่น ไม่ใช่ความต้องการของส่วนกลาง" นายอานันท์ กล่าว

 

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเดินหน้าไปสู่ New Normal ที่กล่าวมานั้นจำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างจริงจังตั้งแต่บัดนี้ ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะกระบวนการปฏิรูปมักนำมาซึ่งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ดังนั้นการถ่วงดุลอำนาจไม่ให้ผู้เสียประโยชน์กีดขวางการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จำเป็นต้องพึ่งกลไกการกระจายผลประโยชน์ที่ได้ระหว่างสมาชิกในสังคมอย่างสมดุล การปฏิรูปควรมองเป็นองค์รวม แต่ในช่วงที่ผ่านมาเรามุ่งการแก้ไขปัญหาทั้งหมดไปที่รัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ควรเป็นเช่นนั้น ประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญค่อนข้างเปลืองมาก ปัจจุบันเป็นฉบับที่ 19 ในระยะเวลา 83 ปี

 

"รัฐธรรมนูญไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาทั้งปวงของสังคมได้ สังคมทุกส่วนต้องอ้าแขนรับอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังรัฐธรรมนูญก่อนที่มันจะสร้างความแตกต่างได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาได้ประจักษ์แล้วว่า การเปลี่ยนแปลงที่มุ่งเน้นแก้ไขรัฐธรรมนูญเพียงลำพังนั้น ไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สมบูรณ์ได้ หากไม่เกิดขึ้นพร้อมการปฏิรูปกลไกอื่นๆ ที่เป็นเสาหลักประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยเฉพาะการปฏิรูปวิธีคิดของคน และการปฏิรูปการเมือง" นายอานันท์ กล่าว

 

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปฏิรูปไม่ใช่การกระทำที่เสร็จได้ในครั้งเดียว แต่การปฏิรูปเป็นเพียงกระบวนการที่อาจเริ่มขึ้นด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งกระบวนการต้องพัฒนาต่อไป และเราต้องไม่ตกหลุมของการใช้ทางลัดต่างๆ ในการบรรลุเป้าหมายสูงสุด การปฏิรูปไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่มีสูตรตายตัว ต่างจากการสร้างบ้านที่ต้องมีแบบชัดเจนและดำเนินการจากต้นจนจบทีละขั้นตอน

 

"ประชาธิปไตยที่แท้จริงเปรียบเสมือนต้นไม้ที่โตขึ้นได้จากปัจจัยสนับสนุนนานัปการ ไม่มีต้นไม้สองต้นที่เหมือนกันทุกประการ แต่ทุกต้นสามารถให้ร่มเงาได้เหมือนกันในที่สุด...เมล็ดของประชาธิปไตยจะต้องงอกเงยจากภายในแต่ละสังคมเอง จึงจะได้รับการยอมรับและดำเนินไปได้" นายอานันท์ กล่าว

 

อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/ธนวัฏ/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2253575

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...