ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
aunson

บรรยากาศทองคำ ณ ช่วงเวลานี้ BY Rจานอั๋น

โพสต์แนะนำ

image-5E06_50F4B474.jpg

·

 

Good Morning News 15 มกราคม 2556 - วรวรรณ ธาราภูมิ

 

602802_3676755257370_1677683840_n.jpg

 

64521_3676762537552_2136670762_n.jpg

  • ยอดผลผลิตภาคอุตสาหกรรมประเทศกลุ่มยูโรโซนเดือน พ.ย. 55 ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แย่กว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% อย่างไรก็ตาม อัตราการลดเริ่มชะลอลงจากช่วง 2 เดือนก่อนหน้าที่ลดลงค่อนข้างมากที่ -2.5% และ -1.0% ตามลำดับ

  • Charles Evans เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FED คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว2.5% ในปีนี้และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.5% ในปีหน้า โดยอัตราว่างงานจะลดลงเหลือ 7.4% ภายในสิ้นปีและเป็น 7.0% ในปี 2556 เนื่องจากมีสัญญาณที่ดีขึ้นในตลาดแรงงานหลังจากการจ้างงานเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 150,000 ตำแหน่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อัตราว่างงานจะลดลงเหลือ 6.5% ตามเป้าหมายของ FED ในช่วงกลางปี 2558 จึงเห็นว่า FED ยังควรใช้นโยบายอัดฉีดเศรษฐกิจต่อไป

  • ตามที่ พอล ครุกแมน และผู้มีแนวคิดเสรีนิยมบางคนสนับสนุนแนวคิดของ ก.คลังสหรัฐเรื่องผลิตเหรียญพลาตินัมมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อนำไปฝากในบัญชีเงินฝากของ ก.คลัง ที่ FED แล้ว ก.คลังจะได้สั่งจ่ายเช็คออกจากบัญชีเงินฝากเพื่อชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ของรัฐบาลได้นั้น ก.คลังได้ข้อสรุปแล้วว่า จะไม่ทำแม้จะมียอดหนี้ชนเพดานที่ 13.39 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว โดยจะไม่มีเงินเหลือใน เดือน ก.พ.

 

เมื่อไม่มีทางอื่นในขณะที่ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นทุกวันและรอการจ่ายชำระ โดยที่ ก.คลังจะไปเพิ่มหนี้ด้วยการออกพันธบัตรมาขายก็ไม่ได้ เพราะชนเพดานหนี้แล้ว ลูกบอลจึงไปตกอยู่กับสมาชิกสภาคองเกรสพรรครีพับลิกันที่ถูกกดดันให้ยอมขยายเพดานหนี้ให้ทันก่อนที่รัฐบาลสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่หลวง

 

ทั้งนี้ ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้คัดค้านการที่สมาชิกพรรคเดโมแครตบางรายสนับสนุนให้แก้ปัญหาเพดานหนี้โดยอ้างบทบัญญัติที่ 14 ของมาตราแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประธานาธิบดีเพิ่มเพดานหนี้ได้เองโดยไม่ต้องพึ่งสภาคองเกรส เนื่องจากทำเนียบขาวไม่เชื่อว่าจะถูกต้องตามกฎหมาย

  • .พาณิชย์ อินเดีย รายงานว่า ดัชนีราคาค้าส่งในเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้น 7.18% จากปีก่อนซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวจากเดือน พ.ย.ที่ดัชนีขยายตัว 7.24% ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อที่เริ่มลดลง ทำให้คาดกันว่าธนาคารกลางอินเดียอาจใช้นโยบายการเงินเพิ่มเติมเพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น

  • สำนักงานพลังงานแห่งชาติจีน (NEA) รายงานปริมาณการใช้ไฟฟ้าของจีนในปี 2555 ว่าขยายตัวในอัตรา 5.5% ชะลอลงจากปี 2554 ที่ยอดใช้ไฟฟ้าขยายตัว 11.7% โดยเป็นผลจากเศรษฐกิจจีนที่ซบเซาในปีที่แล้ว โดยภาคธุรกิจบริการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 11.5% ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 3.9% ในขณะที่ธุรกิจภาคการเกษตรไม่รเปลี่ยนแปลง

  • ยอดการค้าเกินดุลของเกาหลีใต้ในปี 2555 อยู่ที่ 2.85 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงจาก 3.08 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2554 เป็นผลจากยอดส่งออกที่ลดลง 1.3% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อย่างไรก็ตาม เกาหลีใต้ยังเกินดุลการค้าต่อเนื่องมา 4 ปีติดต่อกัน จากความต้องการของตลาดโลกในสินค้ากลุ่มเคมีภัณฑ์และรถยนต์

  • รัฐบาลสิงคโปร์ประกาศมาตรการชะลอความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่ หลังราคาที่อยู่อาศัยพุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ในไตรมาส 4 ปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำและกระแสเงินทุนไหลเข้า โดยมาตรการล่าสุดได้แก่ การขึ้นภาษีผู้ซื้อบ้านบางกลุ่ม การจำกัดเพดานเงินกู้ และการเพิ่มสัดส่วนเงินดาวน์สำหรับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมจากที่มีครอบครองอยู่แล้ว

  • ทีดี ซิเคียวริตีส์ และ สถาบันเมลเบิร์น เปิดเผยว่า ราคาผู้บริโภคออสเตรเลียเดือน ธ.ค.สูงขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าซึ่งลดลง 0.1% เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงและค่าเช่าที่พักอาศัยในช่วงเทศกาลท่องเที่ยวสูงขึ้น ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อรายปีในเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้น 2.4% สอดคล้องกับกรอบเป้าหมายที่ 2%-3% ของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) จึงเป็นสัญญาณว่าRBA อาจจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไว้ที่ 3% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

  • กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.คลัง ระบุว่า ก.คลังจะเสนอร่าง พ.ร.บ.การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ ครม. อนุมัติการให้อำนาจ ก.คลัง กู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท โดยมั่นใจว่ามูดี้ส์จะปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของไทย เนื่องจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของไทยจะทำให้เกิดการลงทุนและทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ จะนำเสนอกรอบหลักการให้ ครม. พิจารณาเป็นขั้นที่ 1 ในการประชุม ครม สัปดาห์หน้า โดยจะยังไม่มีรายละเอียดในเรื่องของโครงการลงทุนว่ามีอะไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่า กรอบของหลักการทางกฎหมายไปเอื้อโครงการใดทั้งสิ้น และหากกรอบดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบในเชิงหลักการว่าเป็นกรอบที่ดี เหมาะสมกับโครงการพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นโครงการชนิดใดแล้ว ในการประชุม ครม.ครั้งถัดไปจึงจะเสนอโครงการที่จะอยู่ในบัญชีแนบท้ายของกรอบกฎหมาย ซึ่งโครงการต่างๆ เหล่านั้นก็จะเป็นโครงการที่ต้องพร้อมนำเสนอสู่การพิจารณาของที่ประชุมรัฐสภา เป็นการลงทุนระยะยาวไม่มีผลกระทบถ้ามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานนั้นจะยังคงเน้นการลงทุนในระบบรางและน้ำ ส่วนทางถนนนั้นเพื่อให้เกิดการประหยัดต้นทุนด้านขนส่งก็จะเน้นการลงทุนเพื่อขยายขนาด ไม่ใช่ขยายเส้นทางใหม่ ส่วนการลงทุนระบบรางจะเป็นรถไฟความเร็วสูงเพื่อการขนส่งผู้โดยสารใน 4 เส้นทางหลักในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และ ภาคใต้ ดังนั้น หากมีการดำเนินการลงทุนตั้งแต่นี้ไป ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เหล่านี้จะมีส่วนช่วยทำให้ประเทศมีศักยภาพที่เข้มแข็งและพร้อมเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

  • บีโอไอ เตรียมจัดแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับปีนี้ โดยจะเน้น 10 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญสูงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ธุรกิจอุตสาหกรรมหนักระดับพื้นฐาน ธุรกิจพลังงานทดแทนและบริการด้านสิ่งแวดล้อม ธุรกิจอาหารและแปรรูปสินค้าเกษตร ธุรกิจยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ยังอาจยกเลิกส่งเสริมกิจการบางประเภทที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก หรือกิจการที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ ซึ่งแนวทางการส่งเสริมใหม่นี้คาดจะมีผลบังคับใช้ในเดือน มิ.ย.ปีนี้

  • ที่ประชุม กสท.มีมติเห็นชอบให้เปลี่ยนทีวีระบบอนาล็อคเป็นดิจิตอล โดยจะให้คูปองส่วน ลดแก่ประชาชนในการซื้อกล่องรับสัญญาณ ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมูลคลื่นความถี่ได้ในช่วงไตรมาส 2 โดยคลื่นความถี่ที่ต้องประมูลมี 24 ช่อง แบ่งเป็นช่องข่าว ช่องเด็ก เยาวชน และครอบครัว กับ ช่องทั่วไป อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดหลายๆ ด้าน

  • ก.ล.ต. เตรียมเปิดโครงการนำร่องเพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชน โดยมีโครงการที่เป็นรูปธรรมแล้ว ได้แก่ 1. เปิดให้มีใบอนุญาตประเภทใหม่ที่ให้บริการซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อการลงทุน (investment supermarket) เพื่อให้ผู้ลงทุนเข้าถึงและเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงินของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนได้ง่ายขึ้น 2. จัดทำเกณฑ์กลางรองรับการออกและเสนอขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ โดยแยกตามระดับความเสี่ยงและความซับซ้อน 3. ขยายโอกาสของกองทุนรวมไทยจากการเติบโตของกลุ่มประเทศอนุภูมิลุ่มน้ำโขง (GMS) เช่น เปิดโอกาสให้กองทุนรวมไทยสามารถลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศกลุ่มนี้ได้

285003_3676762657555_371734974_n.jpg

  • SET Index ปิดตลาดที่1,425.07 จุด เพิ่มขึ้น 13.01 จุด หรือ 0.92% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 53,014 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,994 ล้านบาท โดยดัชนีตลาดที่ปรับตัวเพิ่มส่วนใหญ่เป็นผลจากแรงซื้อในหุ้นกลุ่มธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี ในขณะที่ยังคงมีแรงขายต่อเนื่องในหุ้นกลุ่มสื่อสาร

72273_3676763057565_768199035_n.jpg

  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง -0.01% ถึง 0.00% มีเพียงรุ่นอายุคงเหลือ 9 ปีที่มีอัตราผลตอบแทนลดลงค่อนข้างมาก โดยลดลง 1.95% ในวันนี้มีการประมูลพันธบัตรธปท. 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ รุ่นอายุ 1 เดือน 3 เดือน และ 6 เดือน มูลค่ารวม 78,000 ล้านบาท

422371_3677019703981_1391880643_n.jpg

  • ดร.วรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ ก.ล.ต. ยืนยันว่า กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ก.ล.ต.นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีสัญญาส่วนต่อขยายของ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ที่กำลังเป็นเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ เพราะสินทรัพย์ของกองทุน BTSGIF ที่ยื่นไฟลิ่งมีเฉพาะสัมปทาน 17 ปี ไม่ได้รวมส่วนต่อขยาย ดังนั้น กองทุนนี้จะไม่เกี่ยวกับการฟ้องร้องกรณีส่วนต่อขยาย และ DSI ก็ไม่ได้ขอข้อมูลเพิ่มเติมมายัง ก.ล.ต. นอกจากนี้ การโฆษณาเสนอขายกองทุนนั้นก็ไม่ผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ เพราะในโฆษณาได้ระบุแล้วว่า “อยู่ระหว่างการพิจารณาของ ก.ล.ต.” และการประกาศข้อความในโฆษณาก็ไม่มีข้อความใดขัดต่อกฎหมายทั้งสิ้น

  • คีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร BTS ระบุว่า การจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน BTSGIF 5-6 หมื่นล้านบาท ไม่ได้รับผลกระทบจากคดีฟ้องร้องและกำหนดว่าจะจัดโรดโชว์ให้แก่นักลงทุนในประเทศทุกภาคตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค.นี้ หลังจากเดินสายโรดโชว์ในต่างประเทศเสร็จแล้ว โดยคาดว่าจะกำหนดราคาขาย และจะเสนอขายครั้งแรก(IPO) ในเดือน ก.พ.

 

1

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับทุกคน สวัสดีตอนบ่ายของวันที่ 15/1/2556 เวลา 13.52 น.

 

เมื่อวานราคาทองคำเปิดตลาดมาที่ 1659.37 เหรียญ มีราคาสูงสุดที่ 1674.62 เหรียญ

 

มีราคาต่ำสุดที่ 1659.37 เหรียญ มีราคาปิดตลาดที่ 1667.22 เหรียญ

 

มี Volume การซื้อ-ขาย 44390 สัญญา ลดลงจากวันศุกร์ 4145 สัญญา

 

รวมทั้งวันวิ่งรวมทั้งหมด 15 เหรียญ การเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะ Side Ways Up ขึ้นทดสอบแนวต้าน ไม่ผ่านจึงถูกแรงขายออกมา

 

ส่งผลทำให้วันนี้ราคาทองคำมีโอกาศสะสมกำลังดีดขึ้นทดสอบแนวต้าน อยู่อีกต่อไป จนกว่าจะผ่านไปได้หรือไม่ ก็อาจจะถูกแรงขายทิ้งลงมาแรง ๆ อีกครั้ง

 

แต่เท่าที่ทราบมา ราคาทองคำในประเทศไทยกลับได้ผลกระทบจากเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น ทำให้ราคาทองคำวันนี้ เมื่อเทียบกับเมื่อวาน

 

ณ ระดับราคา Spot เท่ากัน ราคาทองคำในประเทศไทย มีราคาถูกลงกว่าเมื่อวาน ครับ

 

ส่งผลทำให้นักลงทุนที่จะขายทำกำไร ไม่สามารถขายทำกำไรได้ตามที่ต้องการครับ

 

แต่ถ้าจะซือ้เข้าไปก็จะได้ราคาที่ถูกลงแต่ ราคา Spot ก็ยังไม่ใช่จุดสมควรซื้อเท่าไหร่

 

เพราะว่าราคาทองคำยังเป็นแนวต้านของเมื่อวานและวันนี้อยู่ครับ ต้องรอให้ผ่าน1680 เหรียญและยืนเหนือ 1670 เหรียญให้ได้ก่อนถึงจะสามารถซือ้ตามได้ครับ

 

และถึงแม้แนวโน้มระยะสั้นจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นขาขึ้นก็ตาม แต่ภาพรวมระยะกลาง-ระยะยาว ผมยังขอให้น้ำหนักกรอบขาขึ้นอยู่ค่อนข้างจำกัดครับ

 

และแนะนำให้ ระวังแรงขาย ณ ระดับ แนวต้าน 1670-1680-1700 เหรียญ เสมอ ครับ หากไม่สามารถยืนเหนือ 1700 เหรียญ

 

แนะนำให้ระวังแรงขายเอาไว้ด้วย ครับ

 

แนวต้านแนวรับ

 

แนวต้าน 1675-1677 เหรียญ ***** 1684 **** ไม่ผ่านระวังแรงขาย *** 1696-1700 ******* ระวังโดน ทุบ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆผ่านได้ ลุ้นยืนเหนือ 1700 เหรียญก่อน

 

สรุป แนวต้าน ระยะนี้ราคาขยับขึ้นมาทดสอบแนวต้าน และต้องรอติดตามว่าระดับราคาปัจจุบันนี้ จะสามารถยืนเหนือ 1670 เหรียญและผ่าน1680 ได้หรือไม่

 

ถ้าไม่ดังนั้นระวังแรงขายเอาไว้ก่อนถึงแม้ราคาจะขยับทดสอบแนวต้านต่าง ๆ ได้ก็ตาม

 

(แนวโน้มระยะสัน้ Side Ways Up ขึ้นทดสอบแนวต้าน ไม่ผ่านระวังแรงขาย ไม่สมควรซือ้ตาม แต่อาจจะถือรอขายทำกำไรมากกว่าครับ)

 

แนวรับ 1672 ถ้าหลุดระวัง ******* 1666 **** 1653 *** 1640 *****

 

สรุป แนวรับ ระยะนี้ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มขึ้นทดสอบแนวต้าน ระยะสั้นทำให้กรอบการขึ้นนั้น ตอนนี้เริ่มมีค่อนข้างจำกัด

 

แต่กรอบขาลงยังคงเปิดกว้างอยู่เช่นเดิมครับ ตอนนี้ติดตามต่อไปหากราคาทองคำสามารถยืนเหนือ 1670-1650 เหรียญ

 

ได้ในระยะสั้นแล้ว ราคาทองคำเริ่มจะมีแนวโน้มเปลี่ยนกรอบระยะกลาง-ระยะยาว จาก Side Ways Down เป็น Side ways Up แทนครับ

 

(ถ้าดูจากกกราฟ ณ ราคาระดับ 1670-1680 นี้ ราคาทองคำเริ่มจะสามารถผ่านกรอบแนวต้านระยะสั้น ระดับ กราฟราย 15 นาที - 4 HR ได้แล้ว

 

แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะสามารถปรับตัวกลับขึ้นเป็นขาขึ้นระยะยาวได้ในอนาคต ครับต้องรอเวลาพิสูจน์อีกทีครับ)

 

กรอบเล็ก 1650-1680 = 30 เหรียญ

 

กรอบใหญ่ 1630-1680 = 50 เหรียญ

 

กรอบ side ways 1670-1690 = 20 เหรียญ

 

แนวโน้มระยะสั้น Side Ways Up ขึ้นทดสอบแนวต้าน ไม่ผ่านระวังแรงขายครับ :21 ใจเย็น อย่าเพิ่งตกใจ ซือ้ ตาม ไปนะครับ

 

แนวโน้มระยะกลาง-ระยะยาว Side Ways Down รอการทดสอบ 1650-1630 อีกครั้ง เพื่อยืนยันการกลับตัวขาขึ้นและรอผ่าน 1700 เหรียญ เพื่อยืนยันการกลับตัวเป็นขาขึ้นครับ

 

เพราะกราฟ เวลาจะขึ้นจะค่อย ๆ ขยับกลับตัวเป็นขาขึ้นแบบขึ่นบันได้ :sidewayup: แต่เวลาลงละก็ :downstrong: ลงแบบน่าใจหายมากกว่าครับ :0eeeff42:

 

วันนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญดังนี้ครับ

 

1.เวลา 20.30 น.ยอดค้าปลีก คาดการณ์ส่งผลลบต่อราคาทองคำเล็กน้อย

 

2.เวลา 20.30 น. ดัชนีราคาผู้ผลิต คาดการณ์ส่งผลลบต่อราคาทองคำเล็กน้อย

 

3.เวลา20.30 น. ดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม คาดการณ์ส่งผลลบต่อราคาทองคำเล็กน้อย

 

4.เวลา 22.00 น. ยอดสตอดสินค้าคงคลัง คาดการณ์ส่งผลลบต่อราคาทองคำเล็กน้อย

 

KdOuj4.gif

 

 

โชคชะตาฟ้าลิขิต ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน

 

การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ต่อไปไม่รู้จบ :031

กลยุทธ์การเทรด แนะนำให้ถือลุ้นทำกำไรสำหรับใครที่มีของแต่ถ้าใครยังไม่ รอดูแนวต้าน ว่าจะสามารถผ่านไปได้หรือไม่ ถ้าไม่ แนะนำให้ขายทำกำไรครับ

 

แล้วรอซือ้อีกครั้งเมื่อราคาลงมาถึงแนวรับครับ

 

และที่สำคัญนักลงทุนในประเทศไทย ระวังเงินบาทที่มีแนวโน้มจะแข็งค่า อีกต่อไปในอนาคต ทำให้เวลา Spot ขึ้น แต่ราคาบาทขายไทย จะลดลงครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

14981_317899608329610_283705402_n.jpg

image-15B6_50F6122B.jpgimage-0B0A_50F6122B.jpg

Good Morning News 16 มกราคม 2556 - วรวรรณ ธาราภูมิ

โดย
เมื่อ 16 มกราคม 2013 เวลา 13:30 น. ·

 

 

734139_3683118896457_36725761_n.jpg

 

24444_3683119416470_245204329_n.jpg

  • ตัวเลขหนี้สินที่ธนาคารพาณิชย์สเปนกู้ยืมจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในเดือน ธ.ค.55 ลดลง 8.13% จากเดือน พ.ย.มาอยู่ที่ 3.13 แสนล้านยูโร ลดติดต่อกัน 4 เดือนแล้วโดยหนี้สินที่ธนาคารสเปนกู้ยืมจาก ECB ในปัจจุบันเป็น 35.6% ของตัวเลขหนี้สินทั้งหมดในยูโรโซน

  • ดัชนีราคาบ้านของอังกฤษเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0 จุด จากระดับ -9 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับดีที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง เพราะติดลบมาตลอดตั้งแต่ปี 2010 อาจเป็นสัญญาณการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้การสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์

  • ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.เป็นผลมาจากราคาอาหารและพลังงานที่ปรับขึ้น โดยเศรษฐกิจขยายตัว 0.7% ในปี 2555 ลดลงมากจากปี 2554 ที่เป็น 3% (แต่ก็ยังสูงกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มยูโรโซนที่กำลังถดถอย) โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกไปสหรัฐและจีน ขณะที่ความต้องการภายในประเทศยังวิกฤต

  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอิตาลีเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย. และเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อันเป็นผลของราคาพลังงานที่ลดลง

  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษเดือน ธ.ค. ทรงตัวที่ 2.7% โดยค่าไฟฟ้าและแก๊สเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนเชื้อเพลิงลดลง ทั้งนี้ ธนาคารกลางอังกฤษได้กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อไว้ที่2% ซึ่งดัชนีก็สามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ตั้งแต่เดือน พ.ย.52

  • ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐเดือน ธ.ค.ลดลง 0.2% หลังจากที่ลดลง 0.8% ในเดือน พ.ย. เป็นผลจากราคาอาหารและพลังงานที่ลดลง ส่วนยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค.เพิ่มขึ้น 0.5% สู่ 4.15 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นในช่วงสิ้นปีแม้จะยังเผชิญปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเกี่ยวกับนโยบายการปรับเพิ่มภาษีและลดรายจ่าย

  • ประธาน FED เตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความเสี่ยงหากไม่รีบแก้ปัญหาการเมืองแม้สภาคองเกรสได้ยืดอายุมาตรการภาษีออกไปเพื่อแก้ปัญหาหน้าผาการคลังไปได้ แต่ก็เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวเพราะยังมีปัญหาทางการคลังอีกหลายประการที่รอการแก้ไข

  • ธ.กลางสหรัฐ (FED) และสนง.คลังสหรัฐ (OCC) สั่งให้ เจพีมอร์แกน เชส เพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมความเสี่ยงและการตรวจสอบบัญชี หลังจากเจพีมอร์แกนสาขาลอนดอนขาดทุนกว่า 6 พันล้านดอลลาร์จากการซื้อขายตราสารอนุพันธ์เมื่อปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุมาจากการเก็งกำไรที่ผิดพลาด ความประมาท และการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง

  • IMF เตือนว่า ภาระหนี้สาธารณะของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมากจนน่ากังวล หลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 10.3 ล้านล้านเยนเพื่อแก้ปัญหาเงินฝืด ส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินในการออกพันธบัตรเพิ่มขึ้น

  • ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ประกาศว่า จะยังคงเดินหน้าใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงรุก เนื่องจากภาคการผลิตและการส่งออกยังหดตัวจากความต้องการในประเทศที่ชะลอตัวรวมถึงภาพรวมของเศรษฐกิจในปีนี้ยังอ่อนแอ โดยส่วนหนึ่งมาจากความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่ย่ำแย่

  • ก.คลัง อินโดนีเซีย คาดการณ์ว่า GDP ปีนี้จะเติบโต 6.6% - 6.8% โดยการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยหลักในการขยายตัว ส่วนผลกระทบจากสหรัฐและยุโรปยังคงมีอยู่

  • ธปท. เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าในขณะนี้เป็นไปตามทิศทางค่าเงินในภูมิภาคและเงินสกุลหลักของโลก เพราะดอลลาร์อ่อนค่าลงและมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนตลาดหุ้นและพันธบัตรของไทย ซึ่งขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใดๆ เข้ามาดูแลเป็นพิเศษ แต่ยังติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ได้ยืนยันว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายยังมีทั้งสองขา เพราะยังมีผู้นำเข้าที่ต้องการซื้อดอลลาร์ตามปกติ แต่อาจจะมีแรงเทขายดอลลาร์เพื่อซื้อเงินบาทมากขึ้น

  • อดีตผู้ว่า ธปท. เตือนว่า การเคลี่อนย้านเงินทุน (Capital Flow) เป็นปัจจัยที่ต้องจับตามองใน 1-2 ปีข้างหน้า เพราะว่าไทยยังน่าสนใจและยังดึงดูดเงินทุนไหลเข้าได้มาก ทำให้ความผันผวนทางการเงินและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเงินทุนยังมีอยู่เสมอ จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเงินทุนที่กำลังจะไหลเข้าปริมาณมหาศาลให้ดี

  • พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มั่นใจว่า ไทยจะถูกถอดออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยการสกัดการฟอกเงินและสนับสนุนการก่อการร้าย เพราะวุฒิสภาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย ตามเกณฑ์ของ FATF แล้ว

321378_3683119776479_577199507_n.jpg

  • SET Index ปิดตลาดที่1,422.86 จุด ลดลง 2.21 จุด หรือ 0.16% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 56,767.96 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 502.99 ล้านบาท ทั้งนี้ ในระหว่างวันดัชนีเคลื่อนไหวไปทดสอบที่จุดสูงสุดเดิมของสัปดาห์ที่แล้ว แต่ปิดตลาดโดยปรับตัวลดลงตามตลาดในภูมิภาคโดยหลักทรัพย์กลุ่มพลังงานและธนาคารลดลงมากกว่าตลาด

23359_3683119976484_224967127_n.jpg

  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง -0.04% ถึง 0.00% โดยวันนี้มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี วงเงิน 14,500ล้านบาท และอายุ 48 ปี วงเงิน 6,000 ล้านบาท

  • สมาคมตราสารหนี้ไทย (TBMA) มีความกังวลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อของประเทศที่มีอัตราสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศมีการเติบโตและถูกขับเคลื่อนจากนโยบายภาครัฐ รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน ทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้นจึงแนะนำว่า ธปท. ควรกลับมาสนใจและดูแลกรอบเงินเฟ้อ และทบทวนดอกเบี้ยเชิงนโยบายให้มากขึ้น

 

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีวันครูค่ะ Rจานอั๋น

ขอบคุณที่ให้ความรู้กราฟราคาทองและเรื่องที่เกี่ยวข้องค่ะ :gd

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีครับทุกคน สวัสดีตอนเที่ยงของวันที่ 16/1/2556 เวลา 11.29 น.

 

เมื่อวานราคาทองคำเปิดตลาดมาที่ 1667.75 เหรียญ มีราคาสูงสุดที่ 1685.67 เหรียญ

 

มีราคาต่ำสุดที 1666.36 เหรียญ ปิดตลาดที่ 1679.06 เหรียญ

 

รวมทั้งวันวิ่งรวมทั้งหมด 19 เหรียญ มี volume การซื้อ-ขายตอลดวัน 53599 สัญญา

 

เพิ่มขึ้นจากเมื่อวาน 9209 สัญญา การเคลื่อนไหวของราคาทองคำเมื่อวานมีเเนวโน้ม เป็นไปในลักษณะ Side ways Up

 

ขึ้นทดสอบแนวต้าน แต่ก็ยังไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวไปได้

 

ทำให้มุมมองราคาทองคำวันนี้ แนะนำให้ติดตามการยืนเหนือ 1670-1680 เหรียญ ให้ได้ก่อนถ้าราคาทองคำจะขึ้นทดสอบแนวต้านหลักที่

 

เคยเป็นจุดสูงสุดประจำปีนี้ 2013 ที่ 1694.79 เหรียญ หากไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวไปได้ ราคาทองคำอาจจะมีแรงขาย

 

ระยะสั้นออกมาลงไปทดสอบแนวรับ ก่อนที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้นระยะสั้นอีกครั้ง เพื่อรอผ่าน 1700 เหรียญ

 

ขึ้นไปทดสอบแนวต้านหลักถัดไป (ประมาณ 1730-1750 เหรียญ) ในอนาคต อันใกล้นี้ก่อนปรับตัวลงระยะยาวอีกครั้งครับ

 

ดังนั้นนักลงทุนระมัดระวัง แรงขาย ณ ระดับ 1680-1700 เหรียญซึ่งเคยเป็นแนวต้านหลักในระยะนี้ไว้ด้วยนะครับ

 

และแนะนำให้รอซือ้ ณ ระดับ แนวรับ 1660-1640 อีกครั้ง (หากไม่หลุดลงไป) ราคาทองคำจะสะสมกำลังและมีแนวโน้ม Up Trend

 

ว่าจะสามารถผ่านแนวต้านหลักที่เป็นแนวต้านจิตวิทยา 1700 เหรียญขึ้นไปทดสอบแนวต้านหลัก แถวโซน 1730-1750 เหรียญอีกครั้งครับ

 

(ตรงนี้เป็นคาดการณ์คาดเดาจากกราฟ มุมมองความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณา)

 

แนวต้านแนวรับ

 

แนวต้าน 1685-1688 ระวังแรงขาย****1693-1700 ไม่ผ่านระโดนทุบ***ผ่านได้ลุ้นยืนเหนือ 1703 เหรียญให้ได้******

 

สรุป แนวต้านระยะนี้ราคาทองคำกำลังขึ้นมาทดสอบแนวต้านและต้องติดตามดูต่อไปว่าแนวต้านระยะนี้ จะยืนเหนือ 1670-1680 ได้นานแค่ไหน

 

แต่โดยภาพรวมแล้วแนะนำให้เริ่มระวังระวังแรงขาย ณ ระดับแนวต้าน 1680-1700 เป็นต้นไปครับ ผ่านได้ถึงจะปลอดภัยน่าซื้อตาม ***

 

แนวรับ 1672 ระวัง *** 1666 ดูว่าจะรีบาวด์ได้หรือไม่ ****1655-1653 น่าจะรับอยู่และไม่สมควรหลุด *******

 

สรุป แนวรับระยะนี้ เนื่องจากราคาตอนนี้ มีแนวโน้มเป็น Side Ways Up ขึ้นทดสอบแนวต้าน ดังนั้น หากจะรอซื้อแนะนำให้ รอซือ้ตามแนวรับ

 

จะปลอดภัยมากกว่า และที่สำคัญตอนนี้ต้องรอราคาลงมาทดสอบแนวรับที่สำคัญอีกครั้งก่อนจะกลับตัวเป็นขาขึ้นระยะสั้น

 

ว่าราคาทองคำ ณ ระดับแนวรับ 1660-1640 เหรียญนั้นจะรับอยู่หรือไม่ ถ้ารับอยู่แนะนำให้นักลงทุน เข้าไปซือ้เก็งกำไรตามแนวโน้มต่อไปครับ

 

กรอบเล็ก 1670-1700 = 30 เหรียญ

 

กรอบใหญ่ 1650-1700 = 50 เหรียญ

 

กรอบ Side Ways 1670-1690 = 20 เหรียญ

 

วันนี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญดังนี้

 

1. เวลา 20.30 น. ดัชนีราคาผู้บริโภค คาดการณ์ส่งผลดีต่อราคาทองคำ

 

2. เวลา 21.00 น. ข้อมูลลงทุนระยะยาว ส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ

 

3. เวลา 21.15 น. ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม คาดการณ์ส่งผลลบต่อ สกุลเงินดอลล่าร์เล็กน้อย

 

4. เวลา 21.15 น. อัตราการใช้กำลังผลิต คาดการณ์ไม่ส่งผลต่อราคาทองคำ

 

5. เวลา 22.00 น. ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย คาดการณ์ส่งผลต่อราคาทองคำ

 

6. เวลา 22.30 น. สต๊อคน้ำมัน คาดการณ์ส่งผลลบต่อราคาทองคำ

 

7. เวลา 02.00 น. รายงานมุมมองทางเศรษฐกิจของคณะกรรมการ กำหนดนโยบายการเงิน รอติดตามผลการรายงาน

 

BcjlSS.gif

 

โชคชะตาฟ้าลิขิต ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน

 

การให้ที่ยิ่งใหญ่ คือการให้ต่อไปไม่รู้จบ

 

กลยุทธ์การลงใน แนะนำให้ รอขายทำกำไร หากราคาทองคำยังไม่สามารถผ่านแนวต้าน ณ ระดับ แนวต้าน 1680-1700 เหรียญไปได้

 

หรือหากใครตอ้งการจะทำการ Short ก็รอราคาทองคำขึ้นไปทดสอบแนวต้าน หลังจากนัน้ถ้าไม่ผ่านแนวต้านก็สามารถทำการ Short ระยะสั้น

 

และปิดทำกำไร ระยะสั้นเมื่อราคาลงมาถึงแนวรับ แต่ต้องคำนึง ถึง เงินบาทไทย ด้วยว่า

 

ขณะนี้ เงินบาทได้ หลุด แนวรับที่สำคัญ 30.00 ลง มาทดสอบแนวรับ แถว 29.80 บาท แนวรับถัดไป 29.60 -29.40 บาท

 

ซึ่งถ้าหลุด 29.40 ลงไปเนี้ยต้องติดตามต่อไปแล้วครับ ว่าจะมี ธปท เข้ามาแทรกแซงค่าเงินบาทไทย หรือไม่

 

เพราะว่าถ้าไม่ ราคาเงินบาทอาจจะเเข็งค่าและมีแนวโน้มหลุด 29.00 บาทลงไป ครับ

 

ซึ่ง ดูจากสถิติที่ผ่านมา ราคาเงินบาทไทย ไม่ค่อยหลุด 29.00 บาท ลงไปเท่าไหร่ครับ

 

ดังนั้น ระยะนี้ ระวัง เรื่องค่าเงินบาทไทย ไว้ด้วย หากจะทำการซือ้-ขาย ทองคำในประเทศไทย ครับ :_00

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

image-AA4E_50F75A2D.gif

 

 

Good Morning News 17 มกราคม 2556 - วรวรรณ ธาราภูมิ

 

 

 

582584_3686108291190_564431588_n.jpg

 

582283_3686108651199_1766938472_n.jpg

  • ธนาคารโลกลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกประจำปีนี้ลงสู่ 2.4% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมิ.ย.ที่ 3.0% (อัตราการเติบโนในปี 2012 คือ 2.3%) นอกจากนี้ ได้ระบุว่า เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วอาจเติบโตเพียง 1.3% ในปีนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากการตัดงบรายจ่าย อัตราการว่างงานในระดับสูง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอ และความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่ลดลง แต่เศรษฐกิจประเทศดังกล่าวอาจขยายตัวราว 2.0%-2.3% ในปี 2015 ส่วนประเทศกำลังพัฒนานั้นอาจขยายตัว 5.5% ในปีนี้ โดยปรับลดลงจากระดับ 5.9% ที่เคยคาดการณ์ไว้

  • เงินเฟ้อกลุ่มยูโรโซนในเดือน ธ.ค. ทรงตัวที่ 2.2% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี แต่ยังสูงกว่าเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารกลางยุโรปที่เป็น 2.0%

  • ยอดขายรถยนต์ในยุโรปเดือน ธ.ค.ร่วงลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 ปี เนื่องจากเศรษฐกิจถด ถอยในยุโรปตอนใต้ทำให้ความต้องการหดตัวลง ทั้งนี้ ยอดจดทะเบียนรถใหม่ร่วงลง16% สู่ 838,428 คัน จาก 997,842 คันในปีก่อนหน้า ขณะที่ยอดขายทั้งปีลดลง 7.8% สู่ 12.5 ล้านคัน นอกจากนี้ บรรดาค่ายรถก็ได้ประกาศลดพนักงานลง 30,000 คน และปิดโรงงานในยุโรปอีก 5 แห่งนับตั้งแต่เดือน ก.ค.ปีที่แล้ว โดยเรโนลต์ พีเอสเอ เปอโยต์ ซีตรอง วางแผนที่จะลดพนักงาน 17% ในฝรั่งเศส

  • Fitch Rating ระบุว่า สเปนจะยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือที่ BBB ในปัจจุบัน จากปัจจัยเสี่ยงซึ่งได้แก่ ความสามารถของสเปนในการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณ ต้นทุนในการเพิ่มทุนภาคธนาคาร และภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสเปน

  • Fitch Rating ระบุว่า หากทำเนียบขาวและสภาคองเกรสไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ได้ทันเวลา จะพิจารณาทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ และอาจจะมีการปรับลดแนวโน้มเชิงลบของอันดับเครดิต AAA ในปัจจุบัน

  • การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเดือน ธ.ค.ขยายตัว 0.3% เนื่องจากความต้องการทางด้านอุปกรณ์เพื่อการทำธุรกิจฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งผลผลิตจากเหมืองแร่ที่ขยายตัวขึ้น

  • ดัชนีความเชื่อมั่นภาคครัวเรือนทั่วไปของญี่ปุ่นย่ำแย่ลงในเดือน ธ.ค.ไปอยู่ที่ 39.2 ลดลงจาก 39.4 ในเดือน พ.ย.เป็นการปรับตัวลง 4 เดือนติดต่อกัน บ่งชี้ว่าผู้บริโภคยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ

  • ธนาคารโลกแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับแผนกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% เพื่อจัดการกับภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยระบุว่า เป็นเรื่องยากที่ญี่ปุ่นจะสามารถควบคุมเงินเฟ้อได้ เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้น

  • ปริมาณการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของจีนร่วงลง 3.7% สู่ 1.117 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2012 จาก 1.16 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2011 โดยลดลงเป็นครั้งแรกเมื่อเทียบเป็นรายปีนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลก และมูลค่า FDI ทั้งปีก็ต่ำกว่าเป้าหมายที่ก.พาณิชย์กำหนดไว้ที่ 1.20 แสนล้านดอลลาร์ในแต่ละปี นับตั้งแต่ปี 2012-2015

  • ผลสำรวจของรอยเตอร์ คาดว่า GDP ไตรมาส 4 ปีก่อนที่จีนจะประกาศในวันที่ 18 ม.ค.อาจขยายตัว 7.8% เทียบกับ 7.4% ในไตรมาส 3 ซึ่งจะหยุดสถิติการชะลอตัว 7 ไตรมาสติดต่อกัน แต่การฟื้นตัวอาจจะเป็นไปอย่างช้าๆ และจีนอาจต้องการนโยบายหนุนอย่างต่อเนื่อง

  • เหลียง ชุนหยิง หัวหน้าคณะผู้บริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง กล่าวว่า จะเพิ่มจำนวนที่อยู่อาศัยที่ได้รับเงินอุดหนุนของภาครัฐ เพื่อจัดการกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ร้อนแรงของฮ่องกง โดยจะจัดโซนที่ดินใหม่เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และบุกเบิกพื้นที่ใหม่ๆ เพื่อการพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยส่วนบุคคลออกสู่ตลาด 67,000 ยูนิตในอีก 3-4 ปีข้างหน้า และตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างที่อยู่อาศัยของรัฐแบบให้เงินอุดหนุน 100,000 ยูนิต ในเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2018

  • ศาลฎีกาปากีสถานมีคำสั่งจับกุมนายกรัฐมนตรี ราชา เปอร์เวซ อัชราฟ พร้อมเจ้าหน้าที่ระดับสูง 15 คน ฐานทุจริตคอร์รัปชั่นโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าปี 2010ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประปาและพลังงาน โดยนัดให้ขึ้นศาลวันที่ 17 ม.ค.นี้

19191_3686108811203_1268851119_n.jpg

  • SET Index ปิดตลาดที่1,416.14 จุด ลดลง 6.72 จุด หรือ 0.47% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 61,571 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 603 ล้านบาททั้งนี้ ตลาดหุ้นปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคเนื่องจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่หุ้นปรับขึ้นมามาก ซึ่งในระยะสั้นนักลงทุนจะต้องติดตามผลประกอบการในงวดปี 2012 ของสถาบันการเงินที่ทยอยประกาศออกมา กับทิศทางของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อันเป็นปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้

  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)กล่าวถึงแผนงานในปีนี้ ว่าจะให้ความสำคัญกับการขยายฐานผู้ลงทุนบุคคลกลุ่มใหม่ การเพิ่มมูลค่าตลาดรวม การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมยกระดับการกำกับดูแลกิจการที่ดี และความรับผิดชอบต่อสังคมของ บจ. รวมถึงตั้งเป้าที่จะมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 1 แสนล้านบาท และต้องการที่จะผลักดันให้มาร์เก็ตแคปของตลาดปรับตัวขึ้นไปสูงสุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ สภาพคล่องของตลาดหุ้นไทย ในปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อขายได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ได้ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตลาดรวมจากหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ 1.2 แสนล้านบาท โดยมาจากบริษัทที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมในประเทศ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์

  • เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค รายงานว่า มีกำไรในไตรมาส 4 ปี 2012 เกินคาดเพราะพุ่งสูงถึง 53% จากกำไรด้านการปล่อยกู้จำนองที่พุ่งสูงขึ้น ประกอบกับค่าใช้จ่ายหนี้เสียลดลง

555394_3686109211213_381061768_n.jpg

  • อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวค่อนข้างทรงตัว โดยมีเพียงบางช่วงอายุคือช่วง 3 ปีและ 6-8 ปีที่ลดลง -0.01% เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบันไปอีกสักระยะ รวมถึงตลาดกำลังจับตาดูกระแสเงินทุนไหลเข้า (Fund Flow) ในช่วงนี้ ที่ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

 

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

431183_317899524996285_1386003618_n.jpg

แนวโน้ม ราคาทองคำปี 2013

 

ปีที่แล้วทองคำสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนค่อนข้างน่าผิดหวัง คำถามก็คือ แล้วปีนี้ ผลตอบแทนจากทองจำจะเป็นอย่างไร นักลงทุนจะสามารถฝากความหวังต่อไปได้อีกหรือไม่ และถ้าได้ราคาทองคำจะขึ้นได้อีกกี่ปีก่อนเป็นวัฏจักรขาลง

 

ปี 2012 ที่ผ่านมา นักลงทุนในทองคำคงรู้สึกผิดหวังกับผลตอบแทนที่ได้ปริมาณ 10 - 15% ต่อปีอยู่พอสมควร เพราะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลัง ที่ระดับ 20% ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาทองคำเป็นขาขึ้น (ทองคำให้ผลตอบแทนต่อปีเป็นบวกมาตั้งแต่ 2001 กว่าครึ่ง)

 

สาเหตุเป็นเพราะสินทรัพย์เสี่ยงส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นดี หลังธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจชั้นนำทั้ง ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น จีนและสหรัฐอเมริกา อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างมหาศาลชนิดที่เรียกว่าไม่จำกัดวงเงิน ซึ่งทำให้ความกังวลที่เกิดขึ้นในฝั่งยุโรปคลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว

 

ดังจะเห็นได้จากการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสเปนและอิตาลี ที่อ่อนตัวลงเหลืองเพียง 5.5% และ 4.5% จากที่เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดในช่วงกลางปีที่ 7.5% และ 6.5% ตามลำดับ กระแสเงินส่วนใหญ่จึงหันเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นแทน โดยตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เยอรมัน และญี่ปุ่น ให้ผลตอบแทน 7%, 25%, และ 12% ตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ย10 ปีย้อนหลัง ที่ให้ผลตอบแทนในระดับต่ำเพียง 4%, 6%, และ1% ตามลำดับ

 

และอีกเหตุผลหนึ่งเป็นเรื่องของอุปสงค์จริงจากอินเดียผู้นำเข้าทองคำเบอร์ 1 ของโลกที่ขาดหายไป หลังภาครัฐฯ ปรับเพิ่มภาษี นำเข้าทองคำเป็น 4% จากเดิมเป็น 1% โดย World Gold Council รายงานอุปสงค์ทองคำ อินเดียงวดไตรมาส 3 ปี 2011-ไตรมาส 3 ปี 2012 ลดลงถึง 28% เหลือเพียง 793 ตัน ใกล้เคียงกับจีนที่เป็นเบอร์ 2 ของโลก ซึ่งซื้อทองคำในช่วงเวลาเดียวกัน 773 ตัน และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้โครงสร้างตลาดทองพลิกกลับมาเป็นอุปทานส่วนเกินตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2012

 

อย่างไรก็ตาม ถ้าเทียบกับผลตอบแทนปีที่แล้วที่ระดับ 10% เหมือนกัน และการถือครองเงินสดได้ผลตอบแทนเพียง 3 - 5% ก็ถือว่าไม่แย่เกินไป ขณะที่การเคลื่อนไหวช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีข้อสังเกตบางประการตรงที่ทองคำให้ผลตอบแทนต่ำ 2 ปีติดต่อกัน ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้มักตามมาด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีในปีถัดไป หากพฤติกรรมการซื้อขายยังไม่เปลี่ยน ก็น่ามีลุ้นที่ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในปีหน้า

 

ผมยังเชื่อว่าราคาทองคำจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง เพราะปัจจัยด้านปริมาณเงินโดยเฉพาะการอัดฉีดเงินอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ ยังเอื้อต่อบรรยากาศการเก็งกำไร โดยตราบใดที่เงินยังไม่ถูกดูดกลับ ราคาทองคำก็ไม่ควรทรุดตัวลงแรง

 

อีกทั้ง การเพิ่มสถานะถือครองทองคำของธนาคารกลางต่างๆ ยังซึมซับกับการลดลงของอุปสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องประดับได้ดี นอกจากนี้การจบรอบขาขึ้นในอดีตที่ผ่านมา มักจบลงด้วยการเก็งกำไรในทองคำด้วยความกังวลด้านภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้นและหลายประเทศยังกลัวเงินฝืด

 

 

3ReasonstoGoBull.1107.jpg

รายละเอียดต่างๆ ในเชิงของการวิเคราะห์ ผมขอแยกไว้ดังนี้

 

1.โครงสร้างตลาดเป็นอุปทานส่วนเกิน แต่มีลุ้นพลิกกลับเป็นอุปสงค์ส่วนเกินจากความต้องการของจีน

 

รายงานโครงสร้างตลาดทองคำ 9 เดือนแรกปี 2012 ของ World Gold Council ระบุอุปสงค์ทองคำที่ 2,677 ตัน ลดลง 13% ส่วนอุปทานทองคำอยู่ที่ 2,952 ตัน ลดลง -2% ทำให้โครงสร้างตลาดพลิกกลับมาเป็นอุปทานส่วนเกินจากปีก่อนที่เป็นอุปสงค์ส่วนเกิน

 

โดยอุปสงค์ที่ลดลงแรงมากที่สุดคือ ความต้องการเพื่อการลงทุน -20% มาอยู่ที่ 997 ตัน แต่ด้วยความที่ธนาคารกลางทั่วโลกยืนยันข้างซื้อเป็นหลัก และจีนมีแนวโน้มซื้อทองคำมากขึ้นหลังภาครัฐปรับเพิ่มโควตาการนำเข้า

 

ซึ่งถ้าพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่มีพัฒนาการดีขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุด HSBC รายงาน Flash PMI ภาคการผลิตเพิ่มขึ้นยืนเหนือระดับ 50 จุดในเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็น่าจะเป็นบวกกับ GDP ที่น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งน่าจะเกื้อหนุนยอดซื้อทองคำของจีน ทะยานขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกแทนอินเดียได้ เพราะฉะนั้น โครงสร้างตลาดยังมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นอุปสงค์ส่วนเกินอีกครั้งในปีนี้

 

2.วัฏจักรขาขึ้นของราคาทองคำยังไม่จบ เหลือ Upside อีก 1 ปีเป็นอย่างน้อย

 

อดีต 100 ปีที่ผ่านมา รอบขาขึ้นของราคาทองคำจะกินระยะเวลาประมาณ 12-20 ปี ปัจจุบันราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาแล้ว 11 ปี เหลือช่องว่างให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี เป็นอย่างน้อย ซึ่งถ้าพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันโดยเฉพาะปริมาณเงินก็ถือว่าเป็นไปได้ และถึงแม้ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมามากจนบั่นทอนกำลังซื้อเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ แต่ด้วยความที่ปริมาณเงินเดิม (QE1+QE2) เคยหนุนให้ราคาทองคำปรับขึ้นแตะระดับ 1,900 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์มาแล้ว หากยังไม่มีการดูดเงินกลับ ทองคำก็น่าจะได้รับความน่าสนใจในการเข้าเก็งกำไรจากกองทุนต่างๆ ต่อไป

 

3. Dollar Index ยังอยู่ในแนวโน้มขาลงในระยะกลาง

 

แม้ Dollar Index จะฟื้นกลับได้ดีในระยะหลัง ด้วยความเสี่ยงที่สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่ายูโรโซน แต่เพราะธนาคารกลางสหรัฐประกาศทำ QE3 แบบไม่จำกัดวงเงิน ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการกดดันให้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจนไปหนุนให้ดุลการค้าและดุลบัญชีแฝดติดลบน้อยลงที่สุด

 

เมื่อผนวกกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุน้อยกว่า 20 ปีของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ไม่จูงใจให้นักลงทุนถือครองดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลานาน ตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเอเชียที่ยังทรงตัวในระดับสูง ธุรกรรม Dollar Carry Trade จึงยังมีโอกาสเกิดขึ้นต่อไป ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้ Dollar Index เคลื่อนไหวแบบ Sideway down ในระยะกลาง

 

4.ปัจจัยทางเทคนิคเริ่มฟอร์มตัวคล้ายภาพในอดีตก่อนช่วงที่ราคากระชากตัวขึ้น

 

รูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำคล้ายคลึงกับภาพในอดีต ซึ่งเป็นลักษณะของการพักตัวก่อนกระชากขึ้นแรง โดยชุดแรกเกิดขึ้นกลางปี 2006 ราคาแกว่งออกด้านในกรอบ 560 - 720 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ใช้เวลาประมาณ 15 เดือน (พ.ค. 2006 - ส.ค. 2007) ก่อนกระชากตัวขึ้น 51% จาก 680 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ไปหา 1,030 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่วนชุดที่สองเกิดขึ้นต้นปี 2008 ราคาแกว่งออกด้านในกรอบ 680 - 1,030 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ใช้เวลาประมาณ 18 เดือน ( มี.ค. 2008 - ก.ย. 2009 ) ก่อนกระชากตัวขึ้น 29% จาก 950 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ไปหา 1,225 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

 

ชุดปัจจุบัน ราคาแกว่งออกด้านในกรอบ 1,520 - 1,920 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ใช้เวลาประมาณ 15 เดือน ( ก.ย. 2011 - พ.ย. 2012) หากพฤติกรรมในอดีตยังไม่เปลี่ยนและราคาสามารถกระชากขึ้นยืนเหนือแนวเส้นกดที่ 1,780 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้ คาดว่า Upside จะเปิดกว้างหาระดับ 1,960 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์เป็นอย่างน้อย คิดเป็นอัตราการปรับขึ้นหลังทะลุผ่าน ประมาณ 10% ทั้งนี้ หากสมมุติฐานให้อัตราผลตอบแทนหลังกระชากขึ้นเป็น 10 - 50% จะได้กรอบการปรับขึ้นที่ 1,960 - 2,670 เหรียญสหรัฐต่ออนซ์

 

โดยในมุมมองของผมเชื่อได้ว่าในระดับ 1,960 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะขึ้นทดสอบ เพราะปริมาณเงินเท่าเดิมตอน QE1 + 2 เคยขึ้นไปถึง 1,920 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ปัจจุบันปริมาณเงินมีแต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ในเชิงของ Liquidity Drive จึงมีความเป็นไปได้

 

5.SPDR ซื้อทองคำต่อเนื่อง และรายงานสถานะ Gold Futures ของ CFTC ส่งสัญญาณเชิงบวก

 

กองทุน SPDR Gold Trust ที่เป็น EFT ทองคำเบอร์ 1 ของโลกกลับมาเพิ่มสถานะ ถือครองทองคำปีนี้ประมาณ 92 ตัน หรือ 7% ( ถึงวันที่ 30 พ.ย. 2012 ) จากปีก่อนที่ขายสุทธิออกไป 26 ตัน ซึ่งถือเป็นจิตวิทยาการลงทุนเชิงบวกที่น่าจะอนุมานได้ว่ายังมีแรงซื้อเข้ามาในทองคำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอัตราการเพิ่มสถานะของ SPDR ที่ใกล้เคียงกับอัตราการปรับขึ้นของราคาทองคำมักทำให้ราคา ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีในปีถัดไป

 

ส่วนรายงานสถานะ Gold Futures ที่ COMEX ของ CFTC ก็สะท้อนให้เห็นถึงจิตวิทยาการลงทุนเชิงบวกเช่นกัน โดยกองทุนต่าง ( รวมถึง Hedge Fund ) กลับมาเพิ่มสถานะ Long และลดสถานะ Short ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2012 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้จำนวนสถานะ Long กลับมามากกว่าจำนวนสถานะ Short อีกครั้ง จากช่วงเดือน พ.ค. - ก.ค. 2012 ที่จำนวนสถานะ Short มีมากกว่าสถานะ Long ซึ่งแสดงว่านักลงทุนเหล่านี้มีมุมมองเชิงบวกกับราคามองมากขึ้น

 

ราคาทองคำปี 2013

 

เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีประโยชน์ในการถือครองหรือไม่มีกระแสเงินสด และไม่สัมพันธ์กับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งอย่างชัดเจน จึงไม่สามารถประเมินหามูลค่าที่เหมาะสมตามแบบจำลองทางการเงินได้ ผมจึงเลี่ยงไปใช้วิธีการคำนวนตามอัตราผลตอบแทนในอดีตเพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของ Upside และ Downside ที่จะเกิดขึ้น

 

โดยในส่วนของ Upside จะพิจารณาจากส่วนต่างระหว่างจุดสูงสุดปีนี้กับจุดต่ำสุดปีก่อนหน้า ส่วน Downside จะพิจารณาจากส่วนต่างระหว่างจุดต่ำสุดปีนี้กับจุดสูงสุดปีก่อนหน้า ซึ่งจะได้ค่าเฉลี่ย ค่ามากสุด และค่าน้อยสุดของอัตราการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลา ที่เฉลี่ยย้อนหลังตามตารางด้านล่างนี้

 

ด้านขาขึ้น กรณีดีสุดคือ ราคาทองคำเคยปรับตัวขึ้นประมาณ 79% จากจุดต่ำสุดปีก่อนหน้า ซึ่งถ้าหากอิงต่ำสุดปีนี้ที่ 1,526 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จะได้เป้าการปรับตัวขึ้นปี 2013 ที่ 2,748 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ส่วนกรณีต่ำสุดจะได้เป้าการปรับขึ้นที่ 2,098 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

 

ด้านขาลง กรณีแย่สุด คือ ราคาทองคำเคยปรับตัวประมาณ 19% จากจุดสูงสุดปีก่อนหน้า ซึ่งถ้าหากอิงจุดสูงสุดปีนี้ที่ 1,795 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ จะได้เป้าการปรับลงปี 2013 ที่ 1,446 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์

 

ซึ่งถ้าประเมินตามหลักอนุรักษ์นิยม โดยใช้กรณีแย่สุดของทั้งเป้าการปรับขึ้นและเป้าการปรับลง จะได้กรอบการเคลื่อนไหวปี 2013 ที่ 1,446 - 2,098 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ราคาปัจจุบันแถว 1,730 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ มี Upside 21% มากกว่า Downside ที่ -16% เมื่อผนวกกับตัวแปรเกี่ยวข้องที่ยังส่งผลกระทบเชิงบวก จึงแนะนำให้ยืนข้างซื้อทองคำในปี 2013

 

ที่มา : นิตยสาร Money & Wealth ฉบับเดือนมกราคม 2556

ขอบคุณ Maruey Knowledge and Resource Center

 

 

 

 

clear.gif

ถูกแก้ไข โดย กระต่ายทอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...