ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

Chantima

ขาใหญ่
  • จำนวนเนื้อหา

    110
  • เข้าร่วม

  • เข้ามาล่าสุด

ทุกๆอย่างที่โพสต์โดย Chantima

  1. โรคหัวใจ เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ซึ่งแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค ไม่ว่าจะเป็น โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคกล้ามเนื้อหัวใจ, โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคลิ้นหัวใจ, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น ปัจจุบันโรคหัวใจและหลอดเลือดมีอัตราการเสียชีวิตสูง และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ สัญญาณเตือนอาการโรคหัวใจ จะมีอาการเหนื่อยง่ายเวลาออกกําลังกาย หรือเดินเร็วๆ หายใจเข้าได้ลำบาก อาจจะเป็นตลอดเวลา หรือเป็นขณะออกกำลังกาย หรือตอนที่ใช้แรงมาก ซึ่งอาการโรคหัวใจจะเจ็บหน้าอก หรือแน่นบริเวณกลางหน้าอก ด้านซ้าย หรือทั้ง 2 ด้าน ไม่สามารถนอนราบได้ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจ และอึดอัดตรงหน้าอก นอกจากนี้อาจมีอาการหอบจนต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึก เป็นลมหมดสติไม่ทราบสาเหตุ ขา และเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีลักษณะเขียวคล้ำ เป็นต้นค่ะ การป้องกันโรคหัวใจเบื้องต้น ในทางป้องกันขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจ สำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจแม้ไม่มีสาเหตุเฉพาะเจาะจงชัดเจน แต่ก็มีปัจจัยสิ่งหลายอย่างที่หากเราควบคุมได้ดีจะช่วยลดโอกาสโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้ดังนี้ · หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ · ควบคุมความดันโลหิตไม่ให้สูงเกินมาตรฐาน ควบคุมคอเลสเตอรอล และเบาหวาน · ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน · รับประทานอาหารที่มีเกลือและไขมันอิ่มตัวต่ำ · ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน · ลดความเครียด ในส่วนด้านการรักษาโรคหัวใจสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การใช้ยา เช่นยาลดความดันโลหิต, ยาลดคอเลสเตอรอล, ยาป้องกันเกล็ดเลือด ,การผ่าตัด อย่างการทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจ, การติดตั้งสแตนต์ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต อย่างเช่น ควบคุมอาหาร หมั่นออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ รวมถึงต้องรู้จักผ่อนคลาย อย่าปล่อยให้ตนเองมีความเครียดมากจนเกินไปค่ะ
  2. ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการตรวจสุขภาพสำหรับผู้หญิงก่อนตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะสุขภาพของพ่อแม่สามารถส่งถึงลูกน้อยได้โดยตรง หากคุณพ่อคุณแม่แข็งแรง มีสุขภาพดี ลูกน้อยก็มักจะแข็งแรงดี แต่ก็มีคุณพ่อคุณแม่หลายคู่ที่ฝ่ายหญิงตั้งครรภ์โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองหรือสามีมีโรคแฝงหรือเป็นพาหะโรคทางพันธุกรรม ทำให้ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงนี้ เด็กที่เกิดมาจึงมีร่างกายไม่สมบูรณ์ พิการ หรือมีโรคทางพันธุกรรมบางอย่างเกิดขึ้นได้ ดังนั้นการวางแผนก่อนตั้งครรภ์ หรือการตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์จึงสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ ตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์จำเป็นต้องตรวจอะไรบ้าง 1.แพทย์จะทำการซักประวัติตัวคุณพ่อ คุณแม่ เบื้องต้นดังนี้ · ประวัติการคุมกำเนิด เคยคุมกำเนิดแบบไหน ยังคุมอยู่หรือไม่ ประจำเดือนมาปกติหรือไม่ · ประวัติการเจ็บป่วย การผ่าตัด หรือการรักษาทางการแพทย์อื่นๆ · ประวัติการตั้งครรภ์ก่อนหน้านี้ เช่น เคยตั้งครรภ์มาก่อนไหม มีประวัติการแท้งหรือไม่ · ประวัติครอบครัว เพื่อให้ทราบไปถึงโรคทางพันธุกรรมที่อาจเกิดขึ้น เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ธาลัสซีเมีย · ประวัติการฉีดวัคซีน เช่น วัคซีนหัดเยอรมัน ไวรัสตับอักเสบ อีสุกอีใส · ประวัติการใช้ยา การใช้ยารักษาโรคประจำตัว รวมไปถึงการแพ้ยา · ประวัติส่วนตัว เช่น การทำฟัน ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่หรือไม่ การออกกำลังกาย การนอน สภาพแวดล้อมในบ้าน การเลี้ยงสัตว์ 2. ทำการตรวจร่างกายทั่วไป เพื่อดูความสมบูรณ์ของร่างกาย เช่น วัดส่วนสูง, ชั่งน้ำหนัก, วัดความดันโลหิต, ตรวจระบบหายใจ, ตรวจระบบหัวใจ, ตรวจเต้านม, ตรวจหน้าท้อง, เอกซ์เรย์, ตรวจมะเร็งปากมดลูก หากตรวจว่าพบความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด ทั้งแพทย์เฉพาะทางและสูตินรีแพทย์ ซึ่งจะต้องพิจารณาร่วมกันว่าสมควรให้มีการตั้งครรภ์ได้หรือไม่ · ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และเอกซเรย์ปอด ในขั้นตอนนี้โดยรวมแล้วจะเป็นการตรวจเพื่อดูความเข้มข้นของเลือด โรคเลือด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงโรคติดต่อทางพันธุกรรม และหาภูมิคุ้มกันโรคบางอย่าง เช่น ความเข้มข้นของเม็ดเลือด ตรวจหาภูมิหัดเยอรมัน ระดับน้ำตาลในเลือด โรคทางพันธุกรรมแฝง รวมไปถึงการตรวจเชื้อ HIV (เอดส์) หากพบว่าทั้งพ่อและแม่ต่างก็มีโรคทางพันธุกรรมแฝงอยู่ในตัว จะมีโอกาสถ่ายทอดไปยังลูกได้ 1 ใน 4 คน เลยทีเดียว · การตรวจภายในสำหรับคุณแม่ เพื่อตรวจว่ามดลูกและรังไข่ปกติดีหรือไม่ ตรวจอุ้งเชิงกรานและช่องคลอด เพราะมีผลโดยตรงต่อการตั้งครรภ์และการคลอด เช่น อาจมีการอักเสบ มีเนื้องอกของมดลูกหรือรังไข่ มีพังผืดหรือมีถุงน้ำในรังไข่ เป็นต้น แถมการตรวจภายในยังถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ตรวจมะเร็งปากมดลูกไปด้วย · ตรวจพิเศษก่อนตั้งครรภ์ กรณีนี้จะตรวจเพิ่มเติมก็ต่อเมื่อแพทย์ตรวจร่างกายตามปกติแล้วพบความผิดปกติ ก็อาจต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติมด้วย เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์ในช่องท้อง หรือส่องกล้องตรวจในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น นอกจากการตรวจสุขภาพก่อนตั้งท้องแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ไม่ควรจะละเลยคือ ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, กินอาหารที่มีประโยชน์, งดดื่มแอลกอฮอล์, งดสูบบุหรี่ เพราะจะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงในการตั้งครรภ์อย่างเต็มที่ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจที่จะส่งผลดีต่อเจ้าตัวน้อยที่สุดค่ะ
  3. น้ำยาล้างจานถือเป็นของใช้จำเป็นที่ต้องมีใช้กันแทบจะทุกบ้าน ทุกหลังคาเรือน เพราะเราจำเป็นที่จะต้องใช้ภาชนะต่าง ๆ ในการใส่ของกิน ไม่ว่าจะเป็นช้อน แก้ว จาน ชาม เป็นต้น ดังนั้นการล้างจานจึงเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำแทบทุกวัน หากใช้น้ำยาล้างจานที่ไม่มีคุณภาพอาจจะกัดมือ และทำร้ายผิวของเราได้ ดังนั้นเราจึงควรใช้น้ำยาล้างจานที่ปลอดสารเคมี ถึงจะดีกับสุขภาพของเรามากที่สุด ยิ่งในปัจจุบันมีน้ำยาล้างจานให้เลือกมากมายหลายสูตรหลายกลิ่น ซึ่งเราสามารถเลือกได้ตามความชอบเลย แต่สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ควรใส่ใจเลือกน้ำยาล้างจานที่ช่วยถนอมมือ อ่อนโยนต่อผิว ไม่ก่อให้เกิดอาการะคายเคืองจะดีที่สุด ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีดี ๆ ในการเลือกน้ำยาล้างจานถนอมมือเอามาฝากด้วยพร้อมแล้วมาดูกันเลยค่ะ วิธีเลือกซื้อน้ำยาล้างจานถนอมมือ อ่อนโยนต่อผิว • ดูจากค่า pH ของน้ำยาล้างจาน โดยน้ำยาล้างจานส่วนใหญ่จะมีค่า pH 8-11 มีคุณสมบัติช่วยขจัดคราบอาหาร คราบน้ำมัน และสิ่งสกปรกได้สะอาดหมดจด แต่น้ำยาล้างจานที่อ่อนโยนต่อผิวควรมีค่า pH อยู่ที่ 3-6 หรือเลือกค่า pH เป็นกลางที่ 6-8 • เลิอกน้ำยาล้างจานที่มีส่วนผสมให้ความชุ่มชื่น เพื่อกักเก็บและเติมเต็มความชุ่มชื่นบนผิวมือ บำรุงผิวไม่ให้แห้งกร้านจากการใช้น้ำยาล้างจาน • เลือกน้ำยาล้างจานที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ เช่น สับปะรด ตะไคร้ มะกรูด มะนาว เพื่อลดสารเคมีรุนแรงที่อาจจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ • เลือกน้ำยาล้างจานที่ลดปริมาณสารแรงตึงผิว โดยสามารถสังเกตได้จากฟองที่ออกมาขณะใช้ล้างจาน หากมีฟองน้อยแสดงว่ามีปริมาณสารแรงตึงผิวน้อย • เลือกน้ำยาล้างจานที่ลดการสะสมของแบคทีเรียบนฟองน้ำ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกาย ห่างไกลจากเชื้อโรค ดังนั้นหากใครที่เป็นผิวแพ้ง่าย หรือไวต่อสารเคมี และกำลังหาผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจานดี ๆ ที่ปลอดสารเคมี เราขอแนะนำ น้ำยาล้างจานของแบรนด์ pipperstandard เลยค่ะ ทั้งอ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวแห้ง ผ่านการทดสอบ การระคายเคืองจากสหรัฐอเมริกา สามารถตอบโจทย์กับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายได้เป็นอย่างดี ปราศจากส่วนผสมที่เป็นสารเคมีอันตราย คุณสามารถล้างจานได้อย่างมั่นใจ ไม่ทิ้งสารตกค้างที่จะปนเปื้อนเข้าสู่อาหาร จัดว่าเป็นอีกหนึ่งน้ำยาล้างจานถนอมมือที่คุณไม่ควรพลาดค่ะ
  4. โรคหัวใจ เป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ ซึ่งสามารถแบ่งย่อยออกมาได้หลายกลุ่ม เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ,โรคกล้ามเนื้อหัวใจ, โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ, โรคลิ้นหัวใจ, โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น โดยปัจจุบันโรคหัวใจและหลอดเลือดมีอัตราการเสียชีวิตสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นควรรู้จักโรคหัวใจแต่ละประเภทให้ดี ๆ เพื่อให้พร้อมรับมือได้อย่างถูกวิธีและดีที่สุด รวมอาการโรคหัวใจแต่ละประเภท 1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ สาเหตุ เกิดจากผนังหลอดเลือดหัวใจเสื่อมสภาพ หรือหนาตัวขึ้นจากการอุดตันของไขมันและเนื้อเยื่อ เป็นเหตุให้หลอดเลือดตีบ การไหลเวียนเลือดไปสู่หัวใจลดน้อยลงและหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ จนอาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ ผู้ที่มีอายุมาก สูบบุหรี่จัด มีภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และไม่ออกกำลังกาย มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้สูง อาการ เหนื่อยง่าย จุก แน่น เจ็บแน่นหน้าอก โดยมักเป็นขณะออกแรง เสียดหรือแสบร้อนในบริเวณทรวงอก เหงื่อออก ใจสั่น เป็นลม อาจเป็นแบบฉับพลันและรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจวายได้ 2. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ สาเหตุ เกิดจากการกำเนิดกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติในบางตำแหน่งในหัวใจ หรือมีจุดวงจรลัดไฟฟ้าเล็กๆ โดยสาเหตุมีทั้งจากความเสื่อมสภาพของร่างกายในผู้สูงอายุ ที่ทำให้หัวใจเต้นช้าลง กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง เบาหวาน และต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคหวัด ยาขยายหลอดลม ยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจ อาการ หัวใจเต้นช้าผิดปกติ อัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่า 60 ครั้ง/นาที จะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มึนงง ใจหวิว วูบ ความดันโลหิตต่ำและอาจเป็นลมหมดสติ และขณะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ จะมีอัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 100 ครั้ง/นาที หากเป็นเพียงเล็กน้อยจะเหนื่อยง่ายและหัวใจเต้นเร็วเท่านั้น แต่หากมีอาการวูบ เป็นลม หมดสติ มีอาการใจสั่นอย่างรุนแรงหรือเหนื่อยมากควรพบแพทย์โดยเร็ว 3. โรคลิ้นหัวใจตีบและโรคลิ้นหัวใจรั่ว มีสาเหตุมาจาก ลิ้นหัวใจพิการแต่กำเนิด จากโรคลิ้นหัวใจอักเสบรูห์มาติค ติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ หรือเป็นหินปูนเกาะที่ลิ้นหัวใจจนลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว โดยจะมีอาการ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ บางรายอาจมีอาการแน่นหน้าอกเวลาออกแรง คล้ายกับ ผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ มีขาบวมทั้ง 2 ข้าง นอนราบไม่ได้ ต้องนอนศีรษะสูง มีท้องอืดบวม หรือมีวูบหน้ามืด จากลิ้นหัวใจตีบ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ 4. โรคหัวใจล้มเหลว สาเหตุ มีทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง โดยสาเหตุเฉียบพลัน มักเกิดจาก เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน มีหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง หรือ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรง ส่วนกรณีแบบเรื้อรังนั้น เป็นได้จากเส้นเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ โรคลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ที่ไม่ได้รับการรักษา การได้รับยาหรือสารเสพย์ติดบางชนิด เช่น ดื่มสุราต่อเนื่องในปริมาณมาก หรือ ยาเคมีบำบัดบางชนิด เป็นต้น อาการ เหนื่อยง่ายตอนออกแรง ขาบวม นอนราบไม่ได้ มีตื่นมาหอบเหนื่อยตอนกลางคืน อาจตรวจพบหัวใจโตและน้ำท่วมปอดร่วมด้วย 5. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด สาเหตุ อาจมีสาเหตุมาจากทางพันธุกรรมร่วมกับสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติได้ตั้งแต่ขณะอยู่ในครรภ์มารดา ด้วยการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiogram) โดยสูติแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารก ซึ่งความผิดปกตินี้เกิดจากการเจริญเติบโตของหัวใจขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเกิดจากการมีรูรั่ว ที่ผนังกั้นภายในห้องหัวใจ ลิ้นหัวใจตีบตันหรือรั่ว เป็นต้น อาการ ในเด็กเล็ก อาการที่สำคัญ คือ เหงื่อออกมากบริเวณศีรษะโดยอากาศไม่ร้อน ดูดนมนานกว่าปกติ ตัวเล็ก เลี้ยงไม่โต น้ำหนักไม่ค่อยขึ้น เด็กโตมักมีอาการเหมือนผู้ใหญ่ เช่น หายใจหอบ เหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกาย หรือต้องนอนศีรษะสูง เขียวบริเวณเยื่อบุบริเวณริมฝีปาก ลิ้น เยื่อบุตา หรือใต้เล็บ ใจสั่น เจ็บหน้าอก จะเป็นลม อย่างไรก็ตาม โรคหัวใจ บางประเภทก็สามารถหลีกเลี่ยงได้ บางประเภทก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อย่างโรคหัวใจขาดเลือด เราสามารถเลี่ยงได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเรา อย่างเช่น หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน หรืออย่างน้อย 5 ครั้ง/สัปดาห์ รับประทานอาหารที่มีไขมัน และคอเลสเตอรอลอย่างเหมาะสม ระวังควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดโรคอ้วน ลดหรือเลี่ยงการสูบบุหรี่ รวมทั้งทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เครียด และหมั่นไปตรวจสุขภาพหัวใจประจำปีเพียงเท่านี้ก็สามารถช่วยให้เราห่างไกลจากการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดได้แล้วค่ะ ที่สำคัญอย่าลืมไปตรวจสุขภาพหัวใจประจำปีกันด้วยนะคะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคหัวใจได้ที่ : https://www.nonthavej.co.th/heart-attack-early-diagnosis.php
  5. ร้านขายยา หรือร้านเวชภัณฑ์ เป็นหนึ่งในธุรกิจที่เราคุ้นเคยกันมาเป็นอย่างดี เวลาเจ็บป่วย หรือเป็นไข้ เล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถหาซื้อยามาทานได้ โดยที่ไม่ต้องไปโรงพยาบาล แต่หากทานยาแล้วไม่หายจึงค่อยไปคลินิก หรือไปหาหมอที่โรงพยาบาลแทน ซึ่งการไปหาหมอที่โรงพยาบาล หรือที่คลินิกนั้น หากไม่ใช่โรงบาลเอกชลก็จะต้องรอคิวค่อนข้างนาน ดังนั้นการมีร้านเวชภัณฑ์อยู่ตามชุมชนจึงเป็นสิ่งที่ดี และตอบโจทย์กับผู้อยู่อาศัยแถวๆ นั้น เพราะช่วยประหยัดทั้งเวลา และเงิน ให้กับผู้ป่วยได้เยอะ ปัจจุบันร้านเวชภัณฑ์ในชุมชนล้วนได้รับการตอบรับที่ดีมาก จึงทำให้หลาย ๆ คนหันมาสนใจธุรกิจประเภทนี้กันมากขึ้น ดังนั้นเราจึงได้จัดทำข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาในการลงทุนเปิดร้านขายยาเบื้องต้นเอามาฝาก เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่สนใจจะทำธุรกิจนี้กันว่าแล้วก็ตามมาดูกันเลยค่ะ 1. ร้านขายยาเปิดโดยเภสัชกร การเปิดร้านขายยาโดยที่ผู้ประกอบการเป็นเภสัชกร จะมีข้อได้เปรียบอย่างมากทั้งในเรื่องความรู้เรื่องยาและความพร้อมในการดูแลร้าน เพราะไม่ต้องไปจ้างเภสัชกร เพื่อมาประจำร้าน ในทางกฎหมายการเปิดร้านขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๕๖ ต้องมีเภสัชกรปฏิบัติหน้าที่ในร้าน จะเปิดร้านขายยาไม่มีเภสัชไม่ได้ ดังนั้นเมื่อมีความพร้อมในด้านบุคลากรแล้วก็เตรียมพร้อมในส่วนของเงินทุนและทำเลได้เลย 2. เปิดร้านขายยาบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้จบเภสัช สำหรับผู้ที่ต้องการประกอบร้านขายยาเป็นบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้จบทางด้านเภสัชกรมาโดยตรง ก็สามารถที่จะทำธุรกิจร้านขายยานี้ได้เช่นกัน แต่ต้องทำให้ถูกต้องระเบียบ และกฎหมาย คือจะต้องมีเภสัชกรประจำร้าน มีงบประมาณและทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม เพียงเท่านี้ก็สามารถเริ่มต้นธุรกิจร้านขายยาโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเรียนจบหมอ จบเภสัชฯ ได้ค่ะ ขั้นตอนการขออนุญาตเปิดร้านเวชภัณฑ์ • จดทะเบียนพาณิชย์ให้เรียบร้อย สำหรับกรุงเทพฯ สามารถติดต่อได้ที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังหรือสำนักงานเขตทุกพื้นที่ สำหรับต่างจังหวัดสามารถติดต่อได้ที่ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบลใกล้บ้าน • จัดเตรียมเอกสารให้พร้อมและนำไปยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขประจำจังหวัด เมื่อจัดทำการจดทะเบียนร้านขายเวชภัณฑ์เสร็จแล้วก็ต้องเตรียมตัวทำสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้เพื่อที่จะเปิดร้านขายยา 1. อันดับแรกเลย คือต้องเตรียมเงินทุนให้พร้อม งบประมาณในการลุงทุนเปิดร้านขายยาและค่าใช้จ่ายอื่นๆประมาณ 2 – 3 แสนบาท ขึ้นอยู่กับขนาดของร้าน ทำเลที่ตั้ง แต่จำนวนยาและอาหารเสริมที่วางขายมากน้อยเพียงใด 2. หาทำเลที่ตั้งเหมาะสม ดูตำแหน่งที่จะเปิดร้านขายยาที่มีคนผ่านไปมาจำนวนมาก ย่านชุมชน มีผู้คนพลุกพล่าน ศึกษาร้านคู่แข่งในระยะใกล้เคียง 3. ในกรณีที่คุณไม่ได้เป็นเภสัชกรเองจำเป็นจะต้องจ้างเภสัชกรเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายในการดำเนินธุรกิจร้านขายยาจะต้องมีเภสัชกรประจำร้าน 4. หาข้อมูลเกี่ยวกับตัวแทนจำหน่ายยาหรือดีลเลอร์ที่ไว้ใจได้ ก่อนตัดสินใจซื้อยาจากตัวแทนจำหน่ายให้ติดต่อจากหลายๆ รายเพื่อเปรียบเทียบข้อเสนอขอแต่ละราย อย่าหลงเชื่อคำโน้มน้าวหรือการเชียร์ขายจนเกินไป เพราะอาจได้สินค้าไม่ตรงตามความต้องการ เนื่องจากร้านขายยา เป็นธุรกิจที่มีกฎหมายควบคุม ดังนั้น หากใครต้องการเปิดร้านเวชภัณฑ์ หรือร้านขายยาต้องขอใบอนุญาตขายยาก่อน และผู้ขอใบอนุญาตจะต้องมีเภสัชกรที่มีใบประกอบโรคศิลปะเป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการด้วย ส่วนการดำเนินกิจการสามารถทำในนามบุคคลธรรมดาได้ หรือจะ จดบริษัทร้านขายยา เป็นนิติบุคคลก็ได้เช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบมีเงื่อนไขและข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะของ กิจการว่าแบบไหนเหมาะกับตัวของผู้ขายมากที่สุดค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้านเวชภัณฑ์ได้ที่ : https://www.klungyaminburi.com/ร้านขายอุปกรณ์การแพทย์-เวชภัณฑ์/
  6. การตั้งครรภ์เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สำคัญ และน่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของผู้หญิงหลาย ๆ คน ดังนั้นการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรต้องทำก่อนที่จะตัดสินใจมีบุตร การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์จึงมีบทบาทสำคัญมาก เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีบุตรที่แข็งแรงและลดโอกาสในการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ค่ะ โปรแกรมตรวจสุขภาพก่อนมีบุตรการตรวจแบบนี้เหมาะกับใครบ้าง · ผู้ที่อายุไม่ถึง 35 ปี ยังไม่เกิดการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว 12 เดือน โดยไม่ได้คุมกำเนิด · ผู้ที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ยังไม่เกิดการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว 6 เดือน โดยไม่ได้คุมกำเนิด ขั้นตอนการตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ 1. การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเจริญพันธุ์ การปรึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนการตั้งครรภ์และการปรับแต่งวิถีชีวิตเพื่อเตรียมความพร้อมในการมีบุตร 2. การตรวจร่างกาย และดูประวัติสุขภาพของคนไข้ การดูประวัติสุขภาพของคนไข้ที่ผ่านมารวมถึงประวัติสุขภาพของครอบครัวคนไข้ ถือว่ามีความสำคัญต่อการนำไปพิจารณาอย่างมาก เช่น ประวัติของโรคทางพันธุกรรม เป็นต้น 3. การทดสอบและการตรวจวินิจฉัย อาจรวมถึงการตรวจเลือดเพื่อตรวจหาโรคที่สามารถส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ เช่น โรคธาลัสซีเมีย และการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อโรคต่างๆ เช่น หัด คางทูม และอีสุกอีใส 4. การอัปเดตวัคซีน การได้รับวัคซีนที่จำเป็นก่อนการตั้งครรภ์เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวแม่และทารกในครรภ์ติดเชื้อ 5. การปรับปรุงสุขภาพทั่วไปและการดูแลสุขภาพจิต รวมถึงการแนะนำการกินอาหารที่สมดุล การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และการหลีกเลี่ยงสารอันตราย เช่น แอลกอฮอล์ และยาสูบ 6. การจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่มีอยู่ ถ้ามีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง ควรได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมก่อนการตั้งครรภ์ 7. การให้คำแนะนำเรื่องการเสริมสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมธาตุเหล็กและกรดโฟลิกซึ่งมีความสำคัญในการป้องกันภาวะขาดสารอาหารและปัญหาทางพันธุกรรมในทารก การตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ถือเป็นการลงทุนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเจริญพันธุ์เพื่อวางแผนและเตรียมความพร้อมอย่างดีที่สุดสำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคตด้วยก็จะดีมาก ๆ ค่ะ สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ได้ที่ : https://www.nonthavej.co.th/health-check-up-wedding.php
  7. ปัจจุบันการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบเดิมๆ ตามแผงขายลอตเตอรี่ อาจจะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไรนัก โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่ที่ชอบการซื้อ ขาย ผ่านออนไลน์ จึงทำให้การขายลอตเตอรี่แค่ตามแผงจะต้องปรับตัว โดยการหันมาขายกันในออนไลน์ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ซื้อ ซึ่งวิธีซื้อสลากออนไลน์ นั้นสามารถทำได้ง่ายมาก ๆ เพียงแค่ไม่กี่ขึ้นตอน คุณก็สามารถซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลได้แล้วค่ะ วิธีซื้อสลากออนไลน์อย่างไรให้ปลอดภัย 1. เลือกเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ มีเว็บไซต์หลายเว็บที่ให้บริการซื้อสลากออนไลน์ ผู้ซื้อควรเลือกเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ รีวิวดี และมีการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 2. ตรวจสอบในเรื่องการสมัครสมาชิกให้ดี ๆ เมื่อได้เว็บไซต์ที่ต้องการจะซื้อแล้ว ก็ต้องทำการสมัครเป็นสมาชิกให้เรียบร้อย อย่างการกรอกข้อมูลส่วนตัว ที่อยู่สำหรับการจัดส่ง และข้อมูลติดต่อ ลงไป 3. ตรวจสอบการชำระเงินให้ดี ๆ เว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ มักจะมีหลากหลายวิธีในการชำระเงิน เช่น บัตรเครดิต, การโอนเงินผ่านธนาคาร, หรือการชำระเงินผ่าน E-Wallet เป็นต้น 4. การเลือกสลาก บางเว็บไซต์อาจจะมีตัวเลือกให้ผู้ซื้อเลือกหมายเลขสลากเอง ในขณะที่บางเว็บจะมีการจัดส่งสลากแบบสุ่ม 5. การตรวจสอบและรับสลาก หลังจากการชำระเงินเรียบร้อย เว็บไซต์จะส่งสลากมายังที่อยู่ที่ผู้ซื้อได้ระบุไว้ ซึ่งควรตรวจสอบสลากว่าตรงตามที่สั่งซื้อหรือไม่ 6. ตรวจสอบด้านความปลอดภัย ควรใช้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัย โดยการเข้าแบบ https เพื่อทำการซื้อสลากออนไลน์ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ Wi-Fi สาธารณะเพื่อป้องกันการถูกแฮก นอกจากนี้หากใครที่เป็นสายเสี่ยงโชคที่ชอบเล่นแบบเป็นชุด ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ ซึ่งวิธีซื้อสลากออนไลน์เป็นชุด ถ้าเป็นเว็บอื่น ๆ เราไม่ค่อยแน่ใจว่าในเว็บจะมีตัวเลือกให้เลือกไหม แต่ถ้าเป็นเว็บของ hongthongofficial มีอย่างแน่นอนเพียงแค่คุณกรอกตัวเลขที่ต้องการลงไปแล้วกดเลือกที่เป็นแบบชุดได้เลย ว่าต้องการแบบไหนต้องการเลขชุด 2 ใบ, เลขชุด 3 ใบ, เลขชุด 4 ใบ, เลขชุด 5 ใบ หรือจะเป็นเลขชุดใหญ่ไปเลยก็ได้ทั้งหมดค่ะ สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.hongthongofficial.com/วิธีซื้อลอตเตอรี่ออนไลน์
  8. ข้อเข่าเป็นอวัยวะสำคัญส่วนหนึ่งในร่างกายของเรา ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักและการเคลื่อนไหวของเราทุกอย่างในทุก ๆ วัน หากข้อเข่าของเรามีสุขภาพไม่ดี ก็จะส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันของเราในหลาย ๆ อย่าง ทำให้เราจำเป็นต้องดูแลข้อเข่าของเราให้ดี ๆ อย่างการเลือกทานอาหารที่มีแร่ธาตุบำรุงข้อเข่ามาทาน อย่างเช่น พวกแคลเซียมบำรุงข้อเข่า เป็นต้น ซึ่งตัวแคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญมากของกระดูก และข้อ หากร่างกายของเราได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอร่างกายจะดึงแคลเซียมที่สะสมอยู่ในกระดูกออกมาใช้ ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงจึงเกิดโอกาสแตกหัก หรือกระดูกพรุนและเปราะได้ง่ายขึ้น แหล่งอาหารที่มีแคลเซียมบำรุงข้อเข่าสูง · นมและผลิตภัณฑ์นม เป็นแหล่งของแคลเซียมที่ดี เนื่องจากนมมีปริมาณแคลเซียมสูงและร่างกายนำไปใช้ได้มาก นม 1 กล่อง (250 ซีซี) ให้แคลเซียม 300 มิลลิกรัม ฉะนั้นการดื่มนม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย หรือไขมันต่ำวันละ 2 กล่อง จะได้แคลเซียมถึง 2ใน 3 ที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน · ปลาและสัตว์เล็กอื่น ๆ ที่สามารถกินได้ทั้งกระดูกหรือเปลือก เช่น ปลาซิว ปลาเกร็ดขาว ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีนกระป๋อง กุ้งฝอย กุ้งแห้ง ฯลฯ · ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเป็นแหล่งของแคลเซียม เช่น เต้าหู้แข็ง เต้าฮวย (ไม่ใช่เต้าหู้หลอดไข่) ฯลฯ · ผักใบเขียว ผักที่มีแคลเซียมสูงและร่างกายนำไปใช้ได้มาก เช่น ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า ฯลฯ อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหากไม่อยากข้อเข่าเสื่อมไว 1. อาหารเสริมและวิตามินแบบสำเร็จรูป หากคุณต้องการกินควรที่จะต้องปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยให้เองว่าผู้ป่วยขาดวิตามินชนิดใดหรือไม่ และจะกำหนดให้กินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากทานมากเกินไปจะเป็นโทษมากกว่ามีประโยชน์ 2. อาหารที่มีรสเค็มจัดหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง ซึ่งเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการใช้เครื่องปรุงอาหารให้น้อยลง อย่าง เกลือ ซีอิ้ว น้ำปลา ซอสปรุงรส รวมถึงการไม่กินอาหารที่มีรสชาติเค็มจัด อย่างอาหารแปรรูป หมัก ดอง รวมถึงขนมถุงกรุบกรอบ เป็นต้น เพราะอาหารเหล่านี้มีโซเดียมสูง 3. อาหารหวานหรืออาหารที่มีน้ำตาลมาก เพราะอาจกระทบต่อการตอบสนองของภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้แผลหรือกล้ามเนื้อบริเวณหัวเข่าเกิดอักเสบได้ง่ายขึ้น 4. แป้งขัดขาว เช่น ขนมปังข้าว พาสต้า ซีเรียล ธัญพืชขัดขาว อาจกระตุ้นการอักเสบของข้อต่อกระดูก 5. อาหารทอด หรืออาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากนอกจากทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มแล้ว อาจเพิ่มการอักเสบได้ จึงควรหลีกเลี่ยง เช่น หมูทอด ไก่ทอด ทอดมัน ลูกชิ้นทอด กล้วยแขก เฟรนซ์ฟราย เค้ก ไอศกรีม 6. ไม่ควรปรุงเนื้อสัตว์ด้วยอุณหภูมิสูงนานๆ เพราะอาจเสียคุณค่าทางอาหารแล้ว จะทำให้เกิดสาร AGEs (Advanced Glycation End Products) ที่อาจทำให้เกิดการอักเสบตามข้อต่อต่างๆ ได้ค่ะ 7. ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันอาจไปกระตุ้นอาการต่างๆ ให้รุนแรงขึ้น และอาจเกิดปฏิกิริยากับยาที่กินอยู่ ทำให้ยาออกฤทธิ์ไม่ได้ผลเท่าที่ควร และส่งผลกระทบอื่นๆ ตามมาค่ะ 8. กาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนจะทําให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะ จนอาจทำให้แคลเซียมในร่างกายเสียสมดุล หากได้รับในปริมาณมากๆ เป็นประจำอาจทำให้มวลกระดูกบางลงด้วย การดูแลสุขภาพข้อเข่า และกระดูกให้แข็งแรง นอกจากการทานแร่ธาตุบำรุงข้อเข่า อย่างแคลเซียมแล้ว ก็ควรออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพราะการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เรามีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การเดิน, วิ่ง, ยกน้ำหนัก หรือโยคะ ล้วนเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้แคลเซียมบำรุงข้อเข่า ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคลเซียมบำรุงข้อเข่าได้ที่ : https://www.cal-t.com/ผลิตภัณฑ์แคล-ที/แคลเซียมบำรุงข้อเข่า/
  9. อาการเจ็บคอเป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงฝนตก หรือเข้าสู่หน้าหนาว หรือไม่ก็ในช่วงที่อากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อาการนี้ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตรายมากนัก แต่มักก่อให้เกิดความไม่สะดวกใน พูดคุย หรือทานอาหารได้ไม่สะดวก ถ้าสำหรับคนที่มีอาการไม่หนักก็อาจจะมีความไม่สบายตัวเล็กน้อย แต่หากว่าเป็นคนที่มีอาการหนักก็จะส่งผลให้เกิดความเจ็บปวด และทรมาน ดังนั้นหากมีอาการเจ็บคอจึงไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ ควรรีบรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งวิธีรักษาอาการเจ็บคอนั้นมีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการทานยาอมแก้เจ็บคอ หรือยาอมแก้ไอ เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตนเอง ซึ่งยาอมสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้อีกหลายแบบดังนี้ ประเภทของยาอมแก้เจ็บคอ 1. ยาอมละลายในปาก (Lozenges): มักมีรสชาติหวานและสามารถช่วยลดอาการเจ็บคอได้โดยตรง ซึ่งปกติแล้วจะมีส่วนประกอบที่ช่วยบรรเทาการระคายเสมหะ หรือช่วยให้ความชุ่มคอ ยาอมแก้เจ็บคอแบบนี้มักมีส่วนประกอบของ Benzocaine, Menthol, หรือ Pectin 2. ยาฉีดพ่นคอ (Throat Spray): ยาฉีดพ่นคอจะมีความเข้มข้นของยาสูงขึ้น และช่วยบรรเทาการเจ็บคอได้อย่างรวดเร็ว การใช้ยาฉีดพ่นคอมักทำได้ง่ายและสะดวก และมีส่วนประกอบที่ช่วยลดการระคายเสมหะ และช่วยให้ชุ่มคอ 3. ยาแคปซูล (Capsules): ตัวยาแคปซูลนี้มีส่วนประกอบที่ช่วยลดการอักเสบของคอได้ โดยปกติจะต้องกินเป็นแคปซูลหรือเม็ดยา ซึ่งตัวยาที่เป็นแบบแคปซูลหรือเม็ดนั้นจะออกฤทธิ์แรง ดังนั้นถ้าเจ็บคอเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงไม่แนะนำให้ทาน ให้ทานยาอมแก้เจ็บคอ หรือยาอมแก้ไอก่อน ตัวยาแคปซูลควรเป็นตัวเลือกสุดท้าย ทั้งนี้การทานยาอมแก้เจ็บคอ หรือยาอมแก้ไอที่ถูกต้องควรที่จะต้องปล่อยให้ยาละลายในปากอย่างช้า ๆ ไม่ควรเคี้ยวยา และห้ามกลืนยาลงไปทั้งเม็ดเป็นอันขาด รวมถึงทำตามคำแนะนำของฉลากยาอย่างเคร่งครัด ห้ามรับประทานเกินปริมาณที่กำหนด แหละสุดท้ายอย่าลืมเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิที่เหมาะสมอย่างอุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงความร้อนและความชื้นด้วยนะคะ
  10. การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยแม้แต่น้อย ซึ่งในด้านการรักษาและการดูแลสุขภาพนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่มันยังต้องขึ้นอยู่กับอุปกรณ์การแพทย์ด้วย เพราะอุปกรณ์การแพทย์ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อการวินิจฉัย รักษา และดูแลสุขภาพของเรา อย่างเช่น ร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ ที่ถือว่าเป็นสถานที่ที่คุณสามารถค้นหาและซื้ออุปกรณ์การแพทย์คุณภาพสูงได้ และเป็นที่พึ่งของผู้ใช้บริการทางการแพทย์ทั่วไปและผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ต่างๆ ที่ต้องมีความรับผิดชอบในการดูแลรักษาสุขภาพของคนอื่นๆ ซึ่งอุปกรณ์การแพทย์นั้นมีเยอะมาก ๆ แต่วันนี้เราจะยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่สำคัญ ๆ เอามาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกันค่ะ พร้อมแล้วมาดูกันเลย รวมอุปกรณ์การแพทย์ในร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ที่ควรมี · เครื่องวัดความดันโลหิต: เครื่องมือที่ใช้ตรวจวัดค่าความดัน ของกระแสเลือด ภายในหลอดเลือดแดง · สเต็ทโตสโคป (Stethoscope): ถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่แพทย์จะต้องพกติดตัวไว้แทบจะตลอดเวลา และเมื่อผู้ป่วยมาตรวจหรือรักษาโรค แพทย์ก็มักจะนำหูฟังแพทย์มาตรวจและฟังเสียงบริเวณหน้าอกหรือหลังของเราอยู่เสมอ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าหูฟังทางการแพทย์นั้น มีความสามารถในฟังเสียงของอวัยวะภายในร่างกายได้ เพื่อตรวจเช็คว่ามีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้นภายในร่างกายหรือไม่ · เครื่องส่องหูและหูอักเสบ: อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบการทำงานของหูและหูอักเสบ ช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรคหู · เครื่องมือวัดอุณหภูมิ: เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิของร่างกาย เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการตรวจสอบสุขภาพและวินิจฉัยโรค · เครื่องเอกซเรย์: เครื่องที่ใช้ในการถ่ายรูปภาพภายในร่างกาย เช่น การถ่ายรูปเอกซเรย์ของกระดูกหรืออวัยวะภายใน · เครื่องตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด: อุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นสิ่งสำคัญในการตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวาน · เครื่องช่วยหายใจ: อุปกรณ์ที่ช่วยในการหายใจสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาในการหายใจ เช่น เครื่องช่วยหายใจบุคลากรทางการแพทย์ในกรณีฉุกเฉิน · เครื่องฟอกเลือด: เครื่องที่ใช้ในการกรองเลือดเพื่อล้างสารพิษ หรือส่งเลือดกลับให้ผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉินหรือในการรักษาโรคไต · เครื่องมือผ่าตัด: อุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผ่าตัด เช่น มีดผ่าตัด กรรไกรผ่าตัด และเครื่องมือผ่าตัดทางไฟฟ้า · เครื่องช่วยฟัง: อุปกรณ์ที่ช่วยในการฟังสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการได้ยิน มีหลายรูปแบบและขนาดต่างกัน ปัจจุบันทุกๆ คน สามารถเข้าถึงร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ได้ง่ายมากขึ้น เพราะร้านขายอุปกรณ์แพทย์เดี๋ยวนี้หันมาเปิดเป็นร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ออนไลน์กันมากขึ้น ทำให้ง่ายต่อการสั่งซื้อ ทั้งนี้อุปกรณ์การแพทย์ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องมือในการประกอบอาชีพ และรักษาผู้ป่วยของแพทย์เท่านั้น เพราะอุปกรณ์การแพทย์บางชนิดก็จำเป็นกับการดูแลรักษาสุขภาพของบุคคลทั่วไป และกลุ่มบุคคลที่ต้องรักษาตัวที่บ้านเช่นกันค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้านขายอุปกรณ์การแพทย์ได้ที่ : https://www.klungyaminburi.com/ร้านขายอุปกรณ์การแพทย์-เวชภัณฑ์/
  11. ข้อเข่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ทำหน้าที่รองรับน้ำหนักของเรา และช่วยในการเคลื่อนไหวต่างๆ อย่างการเดิน, นั่ง, ยืน หรือกระโดด ดังนั้นการดูแลสุขภาพข้อเข่าให้มีสุขภาพดีแข็งแรงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่เราห้ามละเลย โดยการดูแลข้อเข่าให้แข็งแรงเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากการทานแคลเซียมให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ เพราะหากได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอร่างกายจะดึงแคลเซียมที่สะสมอยู่ในกระดูกออกมาใช้ เมื่อเกิดขึ้นเป็นประจำแคลเซียมในกระดูกจะถูกดึงออกมามาก จนทำให้กระดูกพรุนและเปราะได้ ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงจึงเกิดโอกาสแตกหักได้ง่ายแม้ว่าได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย ซึ่งการทานแคลเซียมบำรุงข้อเข่าถ้าจะให้ได้ผลรับที่ดีควรต้องทานควบคู่กับวิตามินต่าง ๆ ดังนี้ ปัจจัยที่ส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมบํารุงข้อ กระดูกผู้สูงอายุให้ได้ผลรับที่ดีขึ้น · วิตามินดี เป็นตัวเร่งให้มีการสังเคราะห์โปรตีนในชั้นเยื่อมูกของผนังลำไส้ ซึ่งแคลเซียมจะเกาะติดและถูกลำเลียงผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสโลหิต ดังนั้นเมื่อมีวิตามินดี การดูดซึมแคลเซียมที่ลำไส้เกิดได้ดีกว่า วิตามินดีได้จาก 2 แหล่ง คือ จากแสงแดดและอาหารจำพวกปลา ไข่แดง ตับ เนย เป็นต้น · แคลเซียมจะละลายได้ง่ายในอาหารที่เป็นกรดอ่อน ๆ · แลคโตส ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น 15 – 50% ดังนั้นนมสดจึงเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับแหล่งแคลเซียม นอกจากการทานแคลเซียมบำรุงข้อเข่าแล้ว ก็ควรที่จะต้องหลีกเลี่ยง หรืองดบริโภคสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ด้วยเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน อย่างการหลีกเลี่ยงการทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะการที่ทานโปรตีนมากแล้วทานแคลเซียมได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการสูญเสียแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นได้ ,หลีกเลี่ยงหรืองดรับประทานอาหารรสเค็มจัด, หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น น้ำชา กาแฟ เพราะคาเฟอีนจะทำให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น, หลีกเลี่ยงหรืองดดื่มน้ำอัดลม, หลีกเลี่ยงหรืองดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงหรืองดสูบบุหรี่ เนื่องจากนิโคตินในบุหรี่ขัดขวางการนำแคลเซียมไปใช้ ทำให้ร่างกายนำแคลเซียมไปใช้ได้ลดลง เพราะฉะนั้นถ้าจะให้การทานแคลเซียมบํารุงข้อ กระดูกผู้สูงอายุ หรือกับทุก ๆ ช่วงวัยให้ได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดก็อย่าลืมทำตามที่บอกไปด้วยนะคะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคลเซียมบำรุงข้อเข่าได้ที่ : https://www.cal-t.com/ผลิตภัณฑ์แคล-ที/แคลเซียมบำรุงข้อเข่า/
  12. ชุดชั้นใน เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับร่างกายของเรามากที่สุด แม้จะไม่ได้แสดงต่อสายตาคนอื่นหรือไม่มีการซื้อบ่อยเท่าเสื้อผ้าชั้นนอก แต่ชุดชั้นในก็มีบทบาทสำคัญในการเสริมความเชื่อมั่น และสร้างความรู้สึกสบายใจให้กับผู้ใส่ได้ ดังนั้นเราจึงควรใส่ใจในการดูแลชุดชั้นในให้ดี ๆ เพื่อให้เสื้อผ้าชุดชั้นในของคุณสะอาด และใช้งานได้ในระยะยาว ดังนั้นเราจะเอาเคล็ดลับการดูแล และวิธีเลือกน้ำยาซักชุดชั้นในที่ดีและปลอดภัยเอามาฝาก พร้อมแล้วตามมาทางนี้เลยค่ะ วิธีดูแล และเลือกน้ำยาซักชุดชั้นในให้ได้ประสิทธิภาพ 1. ดูประเภทของเสื้อผ้าว่ามีคำแนะนำเกี่ยวกับการซักยังไง สามารถซักเครื่องได้ไหม หรือต้องซักมือ เป็นต้น 2. การใช้น้ำยาซักชุดชั้นใน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติ เพราะจะไม่เป็นอันตรายต่อผิวอย่างเช่น น้ำยาซักชุดชั้นใน pipperstandard ที่ผลิตด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติจากน้ำหมักสับปะรด ใช้ได้ทั้งเสื้อผ้าเด็กและผู้ใหญ่ และผ้าที่บอบบาง ผ่านการทดสอบการแพ้และการระคายเคือง ปราศจากสารภูมิแพ้ อ่อนโยน ไม่ทำลายเส้นใยผ้า ฟองน้อย ล้างออกง่าย 3. การดูแลเครื่องซักผ้า ปรับตั้งค่าตามคำแนะนำบนป้ายกำกับของเสื้อผ้าชุดชั้นใน และควรคัดแยกเสื้อผ้าชั้นในจากเสื้อผ้าอื่น ๆ ที่มีสีเข้มต่าง ๆ เพื่อป้องกันสีตกใส่เสื้อผ้าตัวอื่น ๆ 4. ในการซักชุดชั้นใน ถ้าจะให้ดีที่สุดควรซักด้วยมือใช้น้ำอุ่นซัก และใช้น้ำยาซักชุดชั้นในโดยเฉพาะ เพื่อรักษาคุณภาพของเสื้อผ้า ทั้งนี้ในการที่เราใช้น้ำยาซักชุดชั้นในที่ทำมาจากธรรมชาตินอกจากจะดีต่อตัวเราแล้วยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ส่วนในการซักชุดชั้นในถ้าเป็นไปได้อยากจะให้ซักมือ เพราะการซักมือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยถนอมเนื้อผ้า และรูปทรงของชุดชั้นใน การซักด้วยมือให้ขยำเบาๆ ไม่ต้องขยี้หรือบิดแรงเกินไปทั้งบริเวณเต้าและบริเวณสาย หรือถ้าจะซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าควรนำชุดชั้นในใส่ถุงตาข่าย ติดตาของชุดชั้นในให้เรียบร้อย ปั่นในโหมดถนอมเสื้อผ้าเพื่อป้องกันใยผ้ายืด หรือทำให้เสื้อผ้าเสียหายค่ะ สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับน้ำยาซักชุดชั้นในได้ที่ : www.pipperstandard.com/category/laundry-care
  13. ทุกวันนี้เทคโนโลยีเกี่ยวกับการรักษาทันตกรรมมีความก้าวหน้า ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการรักษาทันตกรรม โดยทันตแพทย์สามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาผู้ที่มีปัญหาสุขภาพช่องปากในด้านต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น โดยเฉพาะพวกเครื่องเครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ อย่างเช่น เครื่องสแกนฟัน 3D หรือที่เรียกว่า Cone Beam Computed Tomography (CBCT) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยแพทย์ทันตกรรมได้เยอะมาก ๆ เพราะช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นรายละเอียดของกระดูก และฟัน ได้อย่างชัดเจน จากภาพสแกนฟัน 3D และสามารถนำมาวางแผนในการรักษาได้ นอกจากนี้ก็ยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมายดังต่อไปนี้ ประโยชน์ที่ได้รับจากเครื่องสแกนฟัน 3 มิติ 1. ช่วยในเรื่องของการวางแผนการฝังฟัน สแกนฟัน 3D ช่วยให้ทันตแพทย์เห็นภาพกระดูกและเนื้อเยื่อรอบ ๆ แนวที่จะฝังฟัน ทำให้วางแผนการฝังฟันได้เฉพาะเจาะจงและแม่นยำมากขึ้น 2. วินิจฉัยโรคได้ ในการตรวจสอบโครงสร้างภายในที่ซับซ้อน อาทิ การตรวจหาโรคที่เกี่ยวกับกระดูก, รากฟัน, และโรคที่ซ่อนอยู่ภายในเนื้อเยื่อ 3. การวินิจฉัย และการรักษาทางศัลยกรรมทันตกรรม เช่น การเอาฟันคุดออก, การแก้ไขปัญหาฟันซ้อน, หรือการตรวจหาแหล่งเลือดออกภายในช่องปาก 4. การวางแผนการจัดฟัน เพื่อวางแผนการจัดฟันให้เหมาะสมที่สุด โดยมีข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายฟัน 5. การตรวจสอบการรักษาในอดีต เช่น การตรวจสอบการฝังรากฟันหลังจากการรักษา 6. การวินิจฉัยโรคฟันสึก เมื่อมีความสงสัยว่ารากฟันอาจมีการแตกหัก หรือมีการอักเสบ 7. การตรวจสอบโครงสร้างส่วนในของฟัน เช่น การตรวจสอบแนวช่องฟัน, การวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับส่วนในของฟัน 8. การตรวจสอบผลกระทบจากการบาดเจ็บ ในกรณีที่มีการบาดเจ็บในพื้นที่ช่องปากการสแกนฟัน 3 มิติ ช่วยในการตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้เครื่องสแกนฟัน 3 มิติ ไม่เพียงแต่ปรับปรุงความแม่นยำในการวินิจฉัย และการรักษาฟันเท่านั้น แต่ยังช่วยในการเพิ่มความมั่นใจของผู้ป่วย และทันตแพทย์ในการตัดสินใจด้านการรักษา หากคุณกำลังพิจารณาการรักษาฟัน การใช้เทคโนโลยีสแกนฟัน 3D ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีที่น่าลองค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://pixamed.co.th/products/dentiiscan-2-0/
  14. กระดูกจัดว่าเป็นอะไรที่สำคัญมาก ๆ ต่อร่างกายของเรา เพราะเป็นโครงสร้างหลักที่สนับสนุนร่างกาย ทำให้เราสามารถยืน, นั่ง, และเคลื่อนไหวได้ และยังทำหน้าที่ปกป้องอวัยวะภายในร่างกายของเราได้ด้วย อย่าง กระโหลกปกป้องสมอง, กระดูกหลังปกป้องไขสันหลัง, และกระดูกริบปกป้องหัวใจและปอด เป็นต้น นอกจากนี้กระดูกยังเป็นที่เก็บแร่ธาตุที่สำคัญต่างๆ เอาไว้มากมาย เช่น แคลเซียม,ฟอสฟอรัส และสามารถปล่อยเข้าสู่กระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกายได้เมื่อจำเป็น และกระดูกยังทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมในการเจริญเติบโตให้กับร่างกายอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรที่จะต้องดูแลสุขภาพของกระดูกให้ดี ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีอายุ 60 ปีขึ้นไปควรไปตรวจมวลกระดูก ว่ามีปัญหาในด้านใด หรือไม่ เพื่อที่จะได้ทำการรักษาและดูแลได้อย่างทันท่วงที และถูกจุดค่ะ การตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูก เพื่อใช้วินิจฉัยถึงความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน ซึ่งค่าความหนาแน่นมวลกระดูก ที่วัดได้จะต้องนำไปเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยปกติในกลุ่มคนเฉลี่ยที่ อายุ 30 – 40 ปี ที่มีเชื้อชาติเดียวกัน หรือเชื้อชาติที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งมันจะเป็นเป็นจำนวนของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ที่เรียกว่า T- score (T) ซึ่งใช้เป็นค่าในการวินิจฉัยโรค ดังนี้ · ค่า T score มากกว่า -1 = ความหนาแน่นกระดูกปกติ (Normal bone) · ค่า T score ที่อยู่ต่ำกว่า -1 แต่สูงกว่า -2.5 = กระดูกบาง (Osteopenia) · ค่า T score ต่ำกว่า -2.5 = โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ช่วงวัยที่ควรเข้ารับการตรวจมวลกระดูก โดยช่วงอายุของผู้หญิงที่ควรเข้ารับการตรวจมวลกระดูก อายุควรเริ่มตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และผู้ชายควรเริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 70 ปีขึ้นไป โดยการตรวจจะใช้เครื่องตรวจที่เรียกว่า Bone densitometer เป็นเครื่องมือการตรวจทางรังสีชนิดหนึ่งซึ่ง เครื่อง Bone densitometer มีหลายแบบ แต่ที่นิยมใช้คือแบบที่เรียกว่า Dual Energy X-ray Absorptiometry scanner หรือ DEXA scanner โดยตำแหน่งที่จะตรวจ คือ บริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก เนื่องจากบริเวณเหล่านี้มักพบว่ามีการแตกหักของกระดูกจากภาวะกระดูกพรุนได้บ่อยค่ะ วิธีป้องกันโรคกระดูกพรุน 1. ควรสะสมมวลกระดูกให้มากที่สุดตั้งแต่วัยเด็ก แนะนำให้รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่และรับประทานอาหารที่ให้แคลเซียมมาก เช่น ผลิตภัณฑ์จากนม, กุ้งแห้ง, ปลาตัวเล็กๆ, งาดำ, ผักใบเขียว เช่น ผักกวางตุ้ง ผักคะน้า ผักบร็อคโคลี่ (เป็นกลุ่มผักที่มีแคลเซียมสูง) 2. ควรออกกำลังกายเป็นประจำ และสม่ำเสมอ 3. งดการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การตรวจมวลกระดูก หรือการวัดความหนาแน่นของกระดูก ช่วยให้สามารถรู้ได้ว่า กระดูกของเรามีปัญหาหรือไม่ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนรึเปล่า เพื่อที่จะได้ทำการดูแล และรักษาให้ไวที่สุด ก่อนที่จะส่งผลกระทบต่อร่างกายจนเกิดความเสียหายในด้านอื่น ๆ ตามมาค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.nonthavej.co.th/How-to-take-care-osteoporosis.php
  15. ร่มเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันอย่างมาก และมีประโยชน์ในหลาย ๆ อย่าง ใช้ในการป้องกันฝนและกันแดด ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร ร่มก็เป็นสิ่งที่จำเป็น และมีหลาย ๆ คนต้องการ ทำให้มีโรงงานผลิตร่มเกิดขึ้นใหม่เยอะ ซึ่งการผลิตร่มของโรงงานในยุคนี้มีรูปแบบให้เลือกหลากหลายขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะมาก ทำให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี กระบวนการรับผลิตร่มขั้นต้น โรงงานผลิตร่มมีกระบวนการผลิตที่ค่อนข้างซับซ้อน ตั้งแต่การเลือกวัสดุ การตัดและประกอบ จนถึงการทดสอบคุณภาพ ทุกขั้นตอนต้องผ่านการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวดเพื่อให้ได้ร่มที่มีคุณภาพ ทนทานต่อการใช้งานให้ได้มากที่สุด เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตร่ม การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต ทำให้โรงงานสามารถผลิตร่มที่มีคุณสมบัติพิเศษออกมาได้ดีขึ้น เช่น ร่มทนลม, ร่มกัน UV และร่มที่สามารถปรับพับเก็บได้ง่าย นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีมาใช้ยังช่วยลดการใช้แรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้อีกด้วย สามารถกำหนดความหลากหลายของแบบร่มได้ตามความต้องการ โรงงานผลิตร่มของ บริษัท ตองหนึ่ง เทรดดิ้ง จำกัด มักจะผลิตร่มในหลายรูปแบบและหลาย ๆ ขนาดแตกต่างกันออกไป เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่สั่งผลิต บางโรงงานยังมีบริการออกแบบ และผลิตร่มตามความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะอย่างการทำโฆษณาและการส่งเสริมทางการตลาด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในหลายองค์กรและหลาย ๆ ธุรกิจ ที่ต้องการโปรโมทให้เป็นที่รู้จักกับคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำร่มที่มีโลโก้ หรือข้อความทางการตลาดที่จะช่วยสร้างความประทับใจ และเพิ่มความตระหนักต่อแบรนด์ได้ อีกทั้งยังส่งผลดีต่อด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย สร้างการมองเห็นที่มีประสิทธิภาพ ร่มที่มีขนาดใหญ่ทำให้โลโก้และข้อความโฆษณามองเห็นได้ชัดเจน และเนื่องจากร่มเป็นสิ่งของที่ใช้ซ้ำ จึงทำให้ข้อความโฆษณาถูกเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ความคุ้มค่าในทุนลงทุน เมื่อเทียบกับวิธีโฆษณาอื่นๆ การใช้ร่มในการเป็นสื่อโฆษณามีความคุ้มค่ากว่าการลงทุนแบบอื่น ๆ เนื่องจากมีราคาที่ไม่สูงมาก และสามารถใช้งานได้เป็นเวลานาน สรุป จะเห็นได้ว่าโรงงานผลิตร่มมีประโยชน์หลายอย่างมากกว่าที่ทุกคนคิด ทั้งต่อผู้บริโภค, ธุรกิจ, และเศรษฐกิจของประเทศ โดยประโยชน์หลัก ๆ ก็จะมี การสร้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการส่งออกร่มทำให้เกิดรายได้ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งนี้ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย และการที่มีแรงงานที่มีคุณภาพล้วนเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้โรงงานสามารถผลิตร่มที่มีคุณภาพดีออกมาได้ค่ะ สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : www.tongnuengtrading.com/สินค้าร่ม
  16. เมื่อฝนตกหนักร่มพับจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่หลาย ๆ คน ขาดไปไม่ได้ เพราะต้องใช้เพื่อปกป้องตนเองไม่ให้เปียกฝน รวมถึงปกป้องสิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการให้เปียกได้ด้วย ซึ่งร่มพับ 3 ตอน ถือเป็นร่มที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีขนาดเล็ก กะทัดรัด พกพาสะดวก สามารถนำใส่กระเป๋าไปยันที่ต่าง ๆ ได้สบาย ๆ นอกจากนี้หลายหน่วยงานยังนิยมนำร่มพับ 3 ตอน มาทำการตลาดด้วยการแจกเป็นของสมนาคุณ, แจกให้กับพนักงานบริษัท หรือแจกจ่ายตามงานต่าง ๆ ของบริษัท เพื่อให้แบรน์เป็นที่จดจำกับผู้ที่ได้พบเห็น ซึ่งต้องบอกเลยว่าการตลาดแบบนี้ถือว่าได้ผลรับที่ดีมาก ทำให้หลายบริษัทนิยมทำกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นโรงงานรับผลิตร่มพับ 3 ตอน เยอะมาก ๆ ในปัจจุบัน ดังนั้นหากใครที่กำลังคิดที่จะทำการตลาดแนวนี้อยู่ แต่ยังไม่รู้ว่าควรที่จะต้องเลือกโรงงานรับผลิตร่มพับ 3 ตอน ที่ไหนถึงจะดี เราแนะนำให้ลองเลือกตามวิธีดังต่อไปนี้ วิธีเลือกโรงงานรับผลิตร่มพับ 3 ตอน 1. ประวัติและความน่าเชื่อถือของบริษัท · เลือกบริษัทที่มีประวัติที่ดีในการผลิตร่ม · ตรวจสอบรีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้าก่อนหน้า · สอบถามเกี่ยวกับลูกค้ารายใหญ่หรือโครงการที่บริษัทเคยรับผิดชอบ 2. คุณภาพของสินค้า · ขอดูตัวอย่างสินค้าเพื่อทดสอบคุณภาพ · สอบถามเกี่ยวกับวัสดุที่ใช้ในการผลิตร่ม ว่าเป็นวัสดุที่มีคุณภาพและทนทานหรือไม่ 3. ราคาและเงื่อนไข · เปรียบเทียบราคากับบริษัทอื่นๆ และสำรวจความเหมาะสมระหว่างราคาและคุณภาพ · ยืนยันเกี่ยวกับเงื่อนไขการผลิต รวมถึงการส่งมอบสินค้า 4. การบริการและการสนับสนุน · หากมีปัญหาเกิดขึ้น บริษัทนั้นสามารถให้การรับประกันและการสนับสนุนได้หรือไม่ · การสื่อสารของทีมงาน ว่าตอบทุกคำถามและให้บริการดีหรือไม่ 5. การออกแบบ หากต้องการออกแบบร่มพับ 3 ตอน เป็นแบบพิเศษกว่าแบบธรรมดา บริษัทมีการรองรับการออกแบบที่เป็นแบบพิเศษไหม 6. ที่อยู่และโลจิสติกส์ การส่งสินค้า หรือการดูงานบนโรงงาน เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาเพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อและตรวจสอบความก้าวหน้า หากเลือกบริษัทรับผลิตร่มพับ 3 ตอน ตามที่เราได้แนะนำมานี้จะช่วยให้คุณได้บริษัทที่ดี มีคุณภาพไม่ต้องแบกรับความเสี่ยง และยิ่งถ้าเป็นการสั่งผลิตเป็นจำนวนมาก ควรมีการวางแผนล่วงหน้าและการสืบค้นข้อมูลต่างๆ ตามสเต็ปต่าง ๆ ที่เราบอกมานี้ให้ละเอียด เพื่อที่จะช่วยทำให้คุณเลือกบริษัทที่เหมาะสมสำหรับการผลิตร่มได้ดีที่สุดค่ะ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทรับผลิตร่มได้ที่ : www.tongnuengtrading.com/สินค้าร่ม/ร่มพับ/ร่มพับ-3-ตอน/
  17. ร่มถือเป็นสิ่งของที่เรามักใช้กันอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน ไม่ว่าจะใช้สำหรับกันแสงแดด หรือกันฝน หากใครที่ใช้ร่มเป็นประจำและไม่ชอบที่จะเปลี่ยนร่มบ่อย ๆ เราแนะนำให้ใช้ร่มแบบพรีเมี่ยมไปเลย เพราะร่มพรีเมี่ยมนั้นจะเน้นในเรื่องของคุณภาพของสินค้ามาก ๆ ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับวัสดุที่จะนำมาผลิตร่มพรีเมี่ยมอย่างมาก วัสดุที่ใช้จึงเป็นเกรดที่ดีที่สุด จึงทำให้ร่มพรีเมี่ยมจะมีราคาแพงกว่าร่มแบบธรรมดา นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ และมีความหมายมากมายในเชิงการตลาดอีกด้วย ด้วยเหตุนี้การรับผลิตร่มพรีเมี่ยมนั้นจึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับองค์กรที่ต้องการส่งเสริมภาพลักษณ์และเสริมสร้างการตลาดให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างได้ ปัจจัยที่ควรนำมาพิจารณาในการเลือกโรงงานรับผลิตร่มพรีเมี่ยม 1. ดูจากประสบการณ์และชื่อเสียงของโรงงาน : เลือกโรงงานที่มีประสบการณ์ยาวนาน มีชื่อเสียงดีในอุตสาหกรรม และมีประวัติการผลิตร่มคุณภาพสูง 2. ตรวจสอบคุณภาพ : ตรวจสอบว่าโรงงานมีกระบวนการตรวจคุณภาพที่เข้มงวด และมีมาตราฐาน ตามที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่กำหนดไว้หรือไม่ 3. วัสดุ และเทคโนโลยี : สอบถามเกี่ยวกับวัสดุ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ว่าทันสมัย และมีคุณภาพหรือไม่ 4. เครื่องมือ และเทคโนโลยี : ตรวจสอบว่าโรงงานมีเครื่องมือ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้การผลิตมีความแม่นยำ และเป็นมาตราฐานหรือไม่ 5. รายงานตัวอย่าง : ขอให้โรงงานผลิตตัวอย่างสินค้าออกมาให้ดูก่อนสั่งผลิตจริง เพื่อประเมินว่าได้ตามมาตราฐานที่ต้องการไหม ก่อนสั่งผลิตจริงจำนวนมาก ๆ 6. การสื่อสาร : ต้องมีการสื่อสารที่ดี เพราะการทำธุรกิจการสื่อสารสำคัญมากต้องมีความเข้าใจที่ตรงกันก่อนถึงจะผลิตสินค้าให้ออกมาตอบสนองต่อผู้สั่งผลิตได้ และต้องสามารถให้ข้อมูลลูกค้าได้อย่างรวดเร็วหากลุกค้าเกิดข้อสงสัย 7. เงื่อนไขการสั่งผลิต : ละเอียดเกี่ยวกับการสั่งผลิต เช่น ขั้นต่ำของการสั่งผลิต, ระยะเวลาในการผลิต, ราคา, และเงื่อนไขอื่น ๆ 8. รีวิว และแนะนำ : ดูความคิดเห็นของลูกค้าเก่า รวมถึงการสอบถามเพื่อนฝูงหรือธุรกิจอื่น ๆ ที่มีประสบการณ์กับโรงงานที่เราสนใจ 9. การเยี่ยมชมโรงงาน : หากเป็นไปได้ ควรไปเยี่ยมชมโรงงานด้วยตนเอง เพื่อให้เห็นถึงกระบวนการผลิต และวัสดุที่ใช้จริง ๆ ว่าได้มาตราฐานตามที่ได้คุยกันไว้ไหม เป็นต้นค่ะ ทั้งนี้ในการเลือกโรงงานรับผลิตร่มพรีเมี่ยมให้ได้ดี จะต้องพิจารณาหลายปัจจัยต่าง ๆ หลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น ด้านคุณภาพ, การออกแบบ, ราคา เพื่อให้การลงทุนนั้นมีความคุ้มค่าและตอบสนองต่อความต้องการขององค์กรและลูกค้าให้ได้มากที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้คุณได้รับร่มที่มีคุณภาพสูง และตรงกับความต้องการของคุณ หรือองค์กรของคุณ ในการบรรลุเป้าหมายการตลาดที่องค์กรวางไว้ได้ค่ะ สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.tongnuengtrading.com/สินค้าร่ม/
  18. ร่มเป็นสิ่งของที่เราใช้กันอยู่บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นฝนตก หรือแดดออก และถ้าอยู่ประเทศไทยร่มเป็นสิ่งของที่ต้องพกพาติดไว้เสมอ ๆ เลย เพราะด้วยสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนเดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก และแดดที่ไทยนี่คือร้อนมาก ๆ ดังนั้นการมีร่มติดตัวไว้คุณได้ใช้แน่นอน แหละด้วยความที่เป็นของใช้จำเป็นจึงทำให้ในปัจจุบันมีการนำร่มมาทำเป็นของแจก หรือของสมนาคุณ กันเยอะมาก ๆ ซึ่งถ้าเป็นของสมนาคุณส่วนใหญ่ร่มที่จะให้กับผู้รับนั้นจะเน้นในเรื่องคุณภาพสูง และจะมีความเป็นพรีเมี่ยมมาก ๆ ดังนั้นเวลาที่จะสั่งผลิตร่มพรีเมี่ยมเพื่อเอามาเป็นของสมนาคุณจะต้องดูโรงงานที่รับผลิตร่มพรีเมี่ยมให้ดี ๆ ตรวจสอบรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ที่สำคัญให้เรียบร้อย เพื่อให้ได้รับร่มพรีเมี่ยมที่ดีที่สุดก่อนนำมาแจกเป็นของสมนาคุณให้กับลูกค้าค่ะ 9 สิ่งที่ควรต้องนำมาพิจารณาในการเลือกโรงงานผลิตร่มพรีเมี่ยม 1. ประสบการณ์ของโรงงาน: เราต้องดูว่าโรงงานที่เราจะเลือกนั้นมีประสบการณ์การผลิตร่มมานานไหม เพราะถ้ามีระยะการผลิตมาอย่างยาวนาน ก็จะสามารถรับประกันได้ถึงความเชี่ยวชาญในการผลิตและความพึงพอใจของลูกค้า 2. การรับรองคุณภาพ: โรงงานที่มีมาตราฐานต้องผ่านการรับรองในหลาย ๆ ด้าน อย่างบริษัท ตองหนึ่ง เทรดดิ้ง จำกัด ที่ผ่านมาตราฐานISO (เป็นมาตรฐานการวัดคุณภาพองค์กรต่างๆ เพื่อรับรองระบบการบริหารและการดำเนินงานขององค์กรในแต่ละประเทศเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก) หรือมาตรฐานอื่น ๆ เพราะมันสามารถรับประกันคุณภาพสินค้าของโรงงานที่จะผลิตออกมาได้ 3. รีวิวและคำแนะนำ: การดูรีวิวของลูกค้าที่เคยใช้บริการโรงงาน เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจ 4. ความยืดหยุ่นในการออกแบบ: ควรตรวจสอบว่าโรงงานสามารถปรับแก้การออกแบบร่มให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้ในระดับไหนบ้าง 5. วัสดุที่ใช้: ควรตรวจสอบวัสดุที่โรงงานใช้ในการผลิต เช่น วัสดุของโครงร่ม, ผ้า, และวัสดุอื่น ๆ เพื่อรับประกันความทนทานและคุณภาพ 6. เทคโนโลยีการผลิต: การมีเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยสามารถทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ 7. การสื่อสาร: การติดต่อและการสื่อสารกับโรงงานควรจะต้องชัดเจน และโรงงานต้องตอบคำถามให้กับลูกค้าได้อย่างชัดเจน และดำเนินการในเรื่องที่สำคัญ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว 8. การจัดส่ง: ต้องตรวจสอบเวลาที่โรงงานส่งมอบผลิตภัณฑ์ และวิธีการจัดส่งว่าจะสามารถส่งตรงตามเวลาที่ลูกค้ากำหนดไว้ได้ไหม ทันไหม เป็นต้น 9. ราคา: ควรที่จะต้องไปศึกษาและเปรียบเทียบราคาของการผลิตร่มที่อื่น ๆ ดูด้วย ว่าคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไหม เพื่อให้ลูกค้าได้รับของที่มีคุณภาพดีเท่ากับที่เสียเงินไป ถึงแม้ว่าการสั่งผลิตร่มพรีเมี่ยมจะมีราคาที่สูงกว่าการสั่งผลิตร่มทั่วไปมากก็จริง แต่ก็ถือว่าเป็นการเสียเงินที่คุ้มค่าอยู่ เพราะใช้วัสดุที่มีคุณภาพดีในการผลิต รวมถึงมีวิธีในการผลิตที่พิถีพิถันกว่าการผลิตร่มแบบธรรมดา ทำให้ร่มที่ได้มีคุณภาพดี แข็งแรง ทนทาน และใช้งานได้นานค่ะ สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.tongnuengtrading.com/สินค้าร่ม
  19. สลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่รัฐบาลใช้เพื่อระดมทุน และเป็นแหล่งรายได้ของรัฐที่จะใช้สำหรับจัดสรรไปยังการพัฒนาสังคมในด้านต่าง ๆ ภายในประเทศ แต่ก่อนสลากกินแบ่งจะมีการขายแบบผ่านตัวแทนจำหน่ายเพียงอย่างเดียวไม่มีขายแบบออนไลน์จึงทำให้ไม่ค่อยสะดวกในการซื้อ ผิดกับตอนนี้ที่ดิจิตอลเข้ามามีบทบาทกับการใช้ชีวิตของผู้คนเยอะมากแทบจะทุกอย่าง จึงทำให้มีการนำสลากกินแบ่งของรัฐบาลมาขายในรูปแบบของออนไลน์เยอะมาก ๆ ซึ่งมีหลายแพลตฟอร์มให้ได้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นเว็บ hongthongofficial ของหงษ์ทอง และแอปเป๋าตังค์ เป็นต้น ซึ่งแอปเป๋าตังค์จะเป็นแอปที่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ ที่เป็นของรัฐบาลโดยตรง ส่วนแอป หรือเว็บอื่น ๆ จะเป็นของเอกชนค่ะ ข้อดีของการซื้อสลากกินแบ่งออนไลน์ · สะดวกสบาย: ผู้ซื้อสามารถซื้อสลากได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องไปเดินหาซื้อตามแผง · การจัดการที่มีประสิทธิภาพของระบบ: ประวัติการซื้อและข้อมูลการซื้อสลากสามารถจัดเก็บได้อย่างเป็นระบบ · ลดความเสี่ยง: การซื้อออนไลน์จะลดโอกาสการซื้อสลากปลอมและการโกง · รักษาสิ่งแวดล้อม: ลดการใช้กระดาษจากการผลิตสลากแบบเดิม ข้อควรระวัง · ความปลอดภัยของข้อมูล: การทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องมีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลให้ดี · การแจ้งเตือน: ผู้ซื้อควรได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับสถานะการซื้อ หรือการถอนรางวัล · การยืนยันตัวตน: ต้องมีระบบการยืนยันตัวตนที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการซื้อสลากโดยไม่ได้รับอนุญาต สลากกินแบ่งออนไลน์ไม่เพียงแต่เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานในการจำหน่ายสลากเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า และยังเป็นการอำนวยความสะดวก สบาย ให้กับทุก ๆ คนในการเลือกซื้อ นอกจากนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้รัฐบาลมีแหล่งรายได้ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อนำไปพัฒนาประเทศค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.hongthongofficial.com/
  20. ห้องน้ำจัดว่าเป็นแหล่งที่รวมเชื้อโรคเอาไว้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่จะสะสมเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่มีคนใช้ห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการล้างมือ อาบน้ำ หรือปลดทุกข์ การดูแลทำความสะอาดก๊อกน้ำ ฝักบัว และโถสุขภัณฑ์ให้ปราศจากเชื้อโรคให้มากที่สุดเท่ากับเป็นการปกป้องสุขภาพของคุณและคนอื่น ๆ ในครอบครัวของคุณได้ดีที่สุด ยิ่งถ้าเลือกใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างห้องน้ำ ฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสูตรออร์แกนิคก็จะยิ่งทำให้ทุกคนในบ้านปลอยภัยมากขึ้น แถมยังทำความสะอาดง่าย และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้เวลาทำความสะอาดอีกด้วย เทคนิคการใช้น้ำยาล้างห้องน้ำทำความสะอาดห้องน้ำให้ประหยัดแรง 1. เตรียมอุปกรณ์และวอร์มอัพห้องน้ำให้พร้อมทำความสะอาด ควรวางแผนที่จะเริ่มทำงานก่อน เพราะมันจะช่วยให้ทำงานสำเร็จลุล่วงได้ง่ายขึ้น ซึ่งในการล้างห้องน้ำควรเริ่มจากการเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม โดยอุปกรณ์สำคัญที่ต้องมีเลย เช่น ถุงมือยาง,น้ำยาล้างห้องน้ำ,แปรงขัดพื้น,ผ้าไมโครไฟเบอร์,แปรงขัดสุขภัณฑ์ เป็นต้น 2. เริ่มทำความสะอาดจากหัวฝักบัวและหัวก๊อกก่อน ทำความสะอาดตรงคราบตะกรันที่อยู่บนหัวฝักบัวและก๊อกน้ำกันก่อน เพราะถ้าหากเราล้างพื้นห้องน้ำก่อน คราบสกปรกจากฝักบัวก็จะไหลลงพื้นและอาจฝังตัวไปยังพื้นห้องน้ำกลายเป็นคราบฝังแน่นที่ต้องเสียเวลาล้างหลายรอบ 3. ควรเคลียร์ชักโครกให้เกลี้ยงก่อนลงมือทำความสะอาด • การเคลียร์ชักโครกให้เกลี้ยงควรกดชักโครก หรือราดน้ำเปล่าลงไปที่ชักโครก 1 ครั้งก่อน • จากนั้นราดน้ำแล้วรอน้ำให้หมาดสัก 3 – 5 นาที จากนั้นจึงค่อย ๆ ราดน้ำยาล้างห้องน้ำสูตรออร์แกนิค หรือน้ำยาล้างชักโครกโดยเฉพาะลงไป และทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที • เมื่อครบเวลาแล้ว ให้ใช้แปรงสุขภัณฑ์ค่อย ๆ ขัดตามด้านนอกของชักโครกให้เรียบร้อย • กลับเข้ามาขัดซอกหลืบของชักโครกให้สะอาดก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ ขัดที่ตรงกลางให้สะอาด และระวังอย่าขัดแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้พื้นผิวชักโครกเสียหายและทำให้เชื้อโรคเข้าไปอาศัยอยู่จนส่งกลิ่นเหม็น และมีคราบเหลืองตามมาได้ • ล้างน้ำด้านนอกให้สะอาด จากนั้นล้างน้ำบริเวณซอกมุมต่าง ๆ แล้วจึงกดชักโครกทิ้ง 2 – 3 ครั้ง เพียงเท่านี้ชักโครกก็จะสะอาดเหมือนใหม่แล้ว 4. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดห้องน้ำให้เหมาะกับคราบ การทำความสะอาดพื้นและผนังของห้องน้ำนั้นไม่ได้เริ่มจากการเทน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำลงไปตรง ๆ ที่พื้นผิว แต่พ่อบ้านและแม่บ้านทุกคนต้องเริ่มจากการดูประเภทคราบต่าง ๆ ก่อน จากนั้นจึงค่อยลงมือเลือกน้ำยาทำความสะอาดให้เหมาะสมกับคราบ เพราะหากลุยเทน้ำยาล้างห้องน้ำไปอย่างเดียว ไม่แน่ว่าพื้นผิวและยาแนวต่าง ๆ ก็อาจหลุดร่อนและเสียหายได้ในอนาคต 5. ขั้นตอนสุดท้ายคือทำความสะอาดกระจก ก๊อก และสายฝักบัว โดยเริ่มจากการล้างทำความสะอาดและเช็ดคราบที่มาจากการล้างมือ แปรงฟัน ตลอดจนคราบสบู่ที่กระเด็นออกมาขณะอาบน้ำให้เรียบร้อย จากนั้นจึงค่อยใช้น้ำยาเช็ดกระจกคู่กับผ้าแห้งสนิท หรือใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เพื่อเช็ดกระจกให้สะอาด เสร็จแล้วก็มาทำความสะอาดส่วนที่เป็นก๊อก และสายฝักบัวใช้น้ำยาขัดทำความสะอาดอเนกประสงค์ทั่วไป หรือใช้น้ำส้มสายชูชุบหมาด ๆ แล้วขัดคราบออกให้หมด เพียงเท่านี้ก๊อกและสายฝักบัวก็กลับมาเงางามเหมือนใหม่ได้แล้ว แหละนี่ก็เป็นวิธีในการทำความสะอาดห้องน้ำที่เราเอามาฝากให้กับ เหล่าคุณพ่อบ้าน และคุณแม่บ้านทุก ๆ ท่านได้ลองเอาไปใช้กันดู รับรองว่าจะสามารถช่วยทุนแรง และประหยัดเวลาในการทำความสะอาดไปได้เยอะเลยละคะ และที่สำคัญต้องไม่ลืมที่จะเลือกใช้น้ำยาล้างห้องน้ำที่เป็นสูตรออร์แกนิคนะคะ เพราะมันไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเราเมื่อสัมผัสโดน ไม่ทำให้เกิดการแพ้ การคัน และยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วยค่ะ
  21. เมื่อพูดถึงดอกกล้วยไม้ รู้หรือไม่คะว่าดอกกล้วยไม้ไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงามอย่างเดียว แต่ดอกกล้วยไม้ยังถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจได้อีกด้วย เพราะดอกกล้วยไม้นั้นเป็นที่นิยมในหลาย ๆ ประเทศ และในประเทศไทยเองก็มีการปลูก แล้วก็ส่งออกกล้วยไม้เป็นจำนวนมากออกสู่ตลาดโลก ซึ่งดอกกล้วยไม้นั้นมีอยู่หลายสายพันธุ์ทำให้ร้านขายส่งกล้วยไม้มีดอกกล้วยไม้สวย ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี ประโยชน์จากการมีร้านขายส่งดอกกล้วยไม้ 1. ทำให้เศรษฐกิจของตลาดกล้วยไม้ใหญ่ขึ้น: การขายส่งช่วยในการจำหน่ายปริมาณสินค้าที่มากกว่าการขายปลีก และเมื่อสามารถขายได้เป็นปริมาณมาก ก็จะสามารถรับรายได้มากขึ้นได้ด้วย 2. ช่วยต่อยอดการขายดอกกล้วยไม้: ร้านขายส่งเป็นแหล่งที่ขายของให้ผู้ประกอบร้านย่อยได้หาซื้อสินค้า เพื่อนำมาขายต่อทำให้มีการขยับขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น 3. เพิ่มความเชี่ยวชาญ: การมีร้านขายส่งกล้วยไม้โดยเฉพาะจะทำให้รู้จักกับกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ เยอะ ทำให้เกิดความรู้ ความเชี่ยวชาญ ที่เกี่ยวกับกล้วยไม้ได้มากขึ้น 4. ลดความเสี่ยง: หากมีการเปลี่ยนแปลงในตลาด การมีร้านขายส่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเก็บสต็อกสินค้าเป็นจำนวนมาก สามารถรับรายการสั่งซื้อและจัดการสต็อกได้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด 5. มีฐานลูกค้าที่แน่นหนา: ลูกค้าของร้านขายส่งมักจะเป็นผู้ประกอบการร้านค้าปลีกหรือองค์กรที่มีความต้องการสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก สร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคง 6. อิสระในการตัดสินใจ: ร้านขายส่งมักจะมีการตัดสินใจที่รวดเร็วและไม่มีข้อจำกัดจากแบรนด์หรือผู้ผลิต ทำให้สามารถเลือกสายพันธุ์กล้วยไม้หรือสินค้าที่ต้องการจำหน่ายได้อย่างอิสระ 7. ทำเงินได้ทั้งปี: บางสายพันธุ์ของกล้วยไม้มีเวลาบานเป็นเวลาที่แน่นอน ร้านขายส่งที่มีหลายสายพันธุ์จึงสามารถมีรายได้ตลอดปีได้ ปัจจุบันร้านขายส่งดอกกล้วยไม้จัดว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง สามารถสร้างรายได้และสร้างชื่อเสียงในตลาดทั่วโลกได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีการจัดการที่ดีด้วย เพื่อรับมือกับความท้าทายที่มาพร้อมกับธุรกิจนี้
  22. โซนบางใหญ่ตั้งอยู่ในเขตของจังหวัดนนทบุรี ติดกับกรุงเทพ ซึ่งย่านบางใหญ่จัดว่าเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่น่าอยู่อาศัยมาก ๆ เพราะมีความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเดินทางเข้า-ออกกรุงเทพฯ ได้ง่าย รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่บางใหญ่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า, สถานศึกษา, โรงพยาบาล และแม้แต่สถานบันเทิงก็มีทั้งหมด แถมยังมีระบบขนส่งสาธารณะ อย่าง รถไฟฟ้า ที่พร้อมต่อการเดินทางไปยันที่ต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว อีกทั้งแถวบางใหญ่ยังเป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติอยู่เยอะ ดังนั้นหากใครที่ต้องการอยู่ในที่เจริญที่ยังมีพื้นที่เป็นธรรมชาติอยู่เยอะ และก็เดินทางไปที่ไหนมาไหนได้สะดวก การซื้อบ้าน บางใหญ่ จึงตอบโจทย์ในเรื่องนี้ได้ดีเลยค่ะ นอกจากนี้การมีบ้านโซน บางใหญ่ ก็ยังดีข้อดีในด้านอื่น ๆ อีกเพียบ ดังนี้ ซื้อบ้านโซน บางใหญ่นั้นดียังไง 1. เรื่องของความสะดวกในการเดินทาง ด้วยทำเลที่ติดกับกรุงเทพฯ ทำให้การเดินทางเข้าออกเป็นเรื่องที่สะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นทางด่วนหรือรถไฟฟ้าภายนอกเมือง 2. การพัฒนาและความทันสมัย โซนบางใหญ่ในปัจจุบันมีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง มีโครงการที่อยู่อาศัยทันสมัยและครบครันจำนวนมากให้ได้เลือก 3. มีราคาที่ดิน และราคาบ้านไม่สูงจนเกินไป โซนบางใหญ่แม้จะอยู่ใกล้กับกรุงเทพ แต่กลับมีราคาที่ดิน และราคาบ้าน ไม่แพงอย่างที่คิดเป็นราคาที่เหมาะสมมากๆ 4. มีสภาพแวดล้อมที่ดี ถึงแม้ว่าบางใหญ่ จะใกล้กับพื้นที่เจริญ ๆ แต่บางใหญ่ยังคงมีบรรยากาศที่เงียบสงบ และมีพื้นที่สีเขียวอยู่เยอะ เหมาะแก่การอยู่อาศัยมาก 5. สิ่งอำนวยความสะดวก มีการจัดหาแหล่งซื้อของประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า, ตลาด, โรงพยาบาล, และโรงเรียนซึ่งอยู่ในระยะทางที่สามารถเดินทางไปถึงได้สะดวก 6. วัฒนธรรมและชุมชน บางใหญ่มีชุมชนแน่นแฟ้นที่ยังคงธรรมเนียมและประเพณีไทยแบบดั้งเดิมไว้ ทำให้ชุมชนมีดูอบอุ่น 7. มีการขยายตัวของเมือง พื้นที่บางใหญ่ อยู่ใกล้กับกรุงเทพ จึงทำให้มีโอกาสที่จะมีการพัฒนา และเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคต จะเห็นว่าการซื้อบ้านโซน บางใหญ่มีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยหรือลงทุนได้เก็บไว้พิจารณากัน ทั้งในเรื่องของความสะดวกสบาย, การลงทุน, และบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัย ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากซื้อบ้านมาก ๆ ค่ะ
  23. กล้วยไม้แวนด้าเป็นพืชเมืองร้อนที่สามารถพบได้ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เติบโตได้ดีหากมีแสงแดดที่เพียงพอ กับความชื้น และอากาศ ที่เหมาะสม สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับบ้าน และสวนได้หลายแบบ ความสวยงามและการที่ดูแลง่ายของกล้วยไม้แวนด้า จึงไม่แปลกเลยที่จะกลายเป็นที่นิยมปลูกกัน จนมีการปลูกกันเป็นสวนกล้วยไม้แวนด้า เพื่อขายโดยเฉพาะเยอะมาก ๆ ขายทั้งในประเทศ และส่งออก กันเลยทีเดียว ในการดูแลสวนกล้วยไม้สายพันธุ์แวนด้า 1. เรื่องความชื้น กล้วยไม้แวนด้าชอบความชื้น ควรรดน้ำบ่อยๆ แต่ต้องป้องกันไม่ให้น้ำขังที่ราก เพราะจะทำให้รากเน่าได้ วิธีที่ดีคือ พ่นน้ำให้เป็นฝอยๆ เพื่อเพิ่มความชื้นให้กับราก และใบในช่วงเช้าจะดีที่สุด 2. เรื่องของแสง กล้วยไม้แวนด้าต้องการแสงแดดในปริมาณที่พอเหมาะ แสงที่เหมาะสำหรับกล้วยไม้แวนด้าคือแสงที่แพร่กระจาย หรือแสงรำไร ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงแสงแดดตรงโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. ค่ะ 3. อาหารและปุ๋ย การให้ปุ๋ยสามารถให้ได้สัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยสามารถให้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15, 8-24-24 ผสมน้ำรด ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร หรือ ปุ๋ยสูตร 10-52-17 ฉีดพ่นทางใบ ปริมาณ 50 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือตามปริมาณบอกข้างกล่องของปุ๋ยแต่ละชนิด ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของใบ ในขณะที่ปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูงจะช่วยเสริมสร้างดอก 4. เรื่องของอุณหภูมิ อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับกล้วยไม้แวนด้าอยู่ระหว่าง 18-30 องศาเซลเซียส ควรป้องกันกล้วยไม้ไม่ให้โดนลมแรง และอยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำเกินไป 5. การตัดตกแต่งกิ่งของกล้วยไม้แวนด้า ในการตัดตกแต่งกิ่งและรากที่เน่าออกเป็นการช่วยให้กล้วยไม้มีการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น การที่ดอกกล้วยไม้แวนด้าจะสวยงามขึ้นได้นั้น อันนี้ก็ต้องขึ้นกับการดูแลเอาใจใส่ของผู้ปลูกเลี้ยงด้วยว่ามีการดูแลเลี้ยงดูที่ถูกต้องรึเปล่า ยิ่งเป็นสวนกล้วยไม้สายพันธุ์แวนด้าก็จะต้องเอาใจใส่และดูแลเป็นพิเศษ เพราะการปลูกเป็นสวนมีไว้เพื่อจัดจำหน่ายการดูแลต่าง ๆ จะต้องดีและทั่วถึงจึงจะได้ดอกกล้วยไม้ที่สวยงามพร้อมในการจำหน่ายค่ะ
  24. ยา ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันของใครหลาย ๆ คน ซึ่งยามีไว้สำหรับการรักษาโรคต่าง ๆ และฟื้นฟูสุขภาพของเราในยามเจ็บป่วยให้กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงเมือนเดิมได้ โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเคยเห็น และคุ้นชินกับร้านที่ขายยาทั่วไปที่เป็นแบบปลีก แล้วทุกคนเคยสงสัยไหมคะว่าแล้วร้านขายยาเหล่านี้เขาไปรับยามาจากร้านขายส่งยาที่ไหนกัน ซึ่งการขายยาแบบส่งจะมุ่งเน้นในการจัดจำหน่ายยาในปริมาณมากจำนวนเยอะ ๆ ให้กับร้านค้าปลีก, โรงพยาบาล, หรือสถาบันการแพทย์ต่าง ๆ เป็นต้นค่ะ ทำไมร้านขายส่งยาถึงสำคัญ? · ด้านการจัดจำหน่าย: หน้าที่หลักของร้านขายส่งยา คือการจัดจำหน่ายยาในปริมาณมากไปยังตัวแทนจำหน่ายต่างๆ ทำให้ยาสามารถกระจายไปได้ทุกที่ และตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้ทุกที่ทุกเวลา · ด้านควบคุมคุณภาพ: ร้านขายส่งยามีหน้าที่ในการตรวจสอบ และควบคุมคุณภาพของยา เพื่อให้แน่ใจว่ายาที่จะส่งไปยังผู้บริโภคมีคุณภาพและปลอดภัย · ด้านการจัดเก็บและขนส่ง: การจัดเก็บ และขนส่งยาต้องใส่ใจถึงสภาพแวดล้อม เพราะบางยาอาจจะต้องการความเย็น หรือการเก็บในสภาพแวดล้อมที่พิเศษกว่ายาตัวอื่นๆ ทำให้ร้านขายส่งยาจะต้องมีระบบการจัดเก็บ และระบบขนส่งที่ดีที่จะไม่ทำให้ยาเกิดความเสียหาย ทั้งนี้หากคุณมีความเข้าใจต่อธุรกิจร้านขายส่งยาที่ดีพอ จะช่วยให้คุณเข้าใจในกระบวนการจัดจำหน่ายยาที่ซับซ้อน รวมถึงความสำคัญในการตรวจสอบคุณภาพและการจัดเก็บยาได้ดี ดังนั้นความสำคัญของการขายยาแบบส่งไม่ได้มุ้งเน้นแค่ปริมาณที่ขายส่งยาเพียงอย่างเดียวแต่ยังต้องมุ้งเน้นถึงการดูแลคุณภาพของตัวยาให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย เพราะฉะนั้นเวลาจะทำการซื้อ ขายยา ในปริมาณมาก ๆ ก็ควรที่จะต้องศึกษาร้านขายส่งยาให้ดี ๆ เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ค่ะ สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมของร้านขายยาได้ที่ : https://www.klungyaminburi.com/
  25. ย่านรามอินทรา ถือเป็นหนึ่งในย่านที่เติบโตและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ของกรุงเทพ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงรักษาลักษณะเฉพาะตัวของย่านนี้ไว้ได้เป็นอย่างดี จึงทำให้แตกต่างกว่าย่านอื่น ๆ โดยจุดเด่นของย่านรามอินทราเลย คือ มีความเงียบสงบ, การออกแบบอาคาร และบ้านที่อยู่อาศัยมีแนวคิดในการออกแบบที่ไม่เน้นสร้างแบบสูง เน้นดูเรียบง่าย และเน้นเรื่องการใช้สร้อยพื้นที่แถว บ้าน รามอินทรา ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งส่วนใหญ่จะมีพื้นที่เป็นสีเขียวอยู่ค่อนข้างเยอะ สงบ และมีระบบการขนส่งสาธารณะที่เพียบพร้อมต่อการใช้งาน เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก รวมจุดเด่นของการมีบ้านแถวรามอินทรา 1. ทำเลที่ตั้ง: รามอินทราตั้งอยู่ในเขตขอบเขตของกรุงเทพฯ เดินทางสะดวกสามารถเดินทางไปในใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วผ่านทางถนนรามอินทราและระบบการขนส่งสาธารณะ 2. สิ่งแวดล้อมธรรมชาติ: ย่านรามอินทรานี้ยังคงมีพื้นที่สีเขียว และสวนสาธารณะในบริเวณใกล้เคียง เช่น สวนวชิรเบญจทัศ เป็นต้น 3. การเชื่อมต่อด้วยระบบขนส่งสาธารณะ: มีรถไฟฟ้าสายสีม่วงซึ่งผ่านย่านนี้ ทำให้สามารถเดินทางไปยังที่อื่น ๆ ได้สะดวกสบายและรวดเร็วขึ้น 4. มีศูนย์การค้าและสถานบันเทิง: ย่านรามอินทรามีศูนย์การค้าที่ใหญ่และครบวงจร เช่น Central Plaza Ramindra, The Promenade ซึ่งเป็นสถานที่ช้อปปิ้งและพักผ่อนสำหรับครอบครัว 5. ชุมชนและสถานศึกษา: มีโรงเรียน มหาวิทยาลัย และสถานศึกษาที่มีคุณภาพในและรอบ ๆ ย่านรามอินทรา 6. มีความหลากหลายของที่พักอาศัย: สามารถเลือกที่พักอาศัยที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม, หรือคอนโดมิเนียม 7. การประกอบการและโซนอุตสาหกรรม: ย่านนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงงานและโซนอุตสาหกรรมบางแห่ง ซึ่งเป็นแหล่งงานและการลงทุนสำหรับธุรกิจ ในยุคปัจจุบันที่ความเจริญเข้ามาทำให้มีสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเยอะขึ้นมาก แต่บ้าน รามอินทรา ก็ยังเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงการรับรู้ และความต้องการที่แท้จริงของการอยู่อาศัย ที่เน้นไปที่ความเรียบง่าย ความสงบ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้เป็นอย่างดีค่ะ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.lalinproperty.com/zone-ramintra/
×
×
  • สร้างใหม่...