ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 3 things that you must know! 1. ราคาหุ้นจะขึ้นลงในลักษณะเป็นคลื่นไม่ใช่เส้นตรง จากรูปจะเห็นว่าราคานั้นจะเป็นคลื่นที่เคลื่อนไหวเป็น Trend ขาขึ้น(สีเขียว) หรือขาลง (สีแดง) ดังนั้นสิ่งที่เราๆ ทำได้คือตาม Trend เมื่อขาขึ้นก็ซื้อขาลงก็ขายทำกำไร คนส่วนมากไม่เข้าใจว่าราคานั้นจะเป็นคลื่นเข้าใจว่าเป็นเส้นตรง ถ้าขาขึ้นซื้อหุ้นแล้วต้องได้กำไรไปเรื่อยๆ แต่ในความจริงอาจจะมีบางช่วงบางตอนที่ขาดทุน แต่ไม่ต้องซีเรียสครับถ้าเราตาม Trend ได้ถูก ช่วงที่ขาดทุนก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นไม่ต้องรู้สึกวิตกว่าทำไมหุ้นตัวที่เราซื้อนั้นไม่วิ่งหรือขาดทุนในระยะแรกๆ ครับ ทนถือต่อไปครับ ^ ^ 2. เราไม่มีทางซื้อที่ราคาถูกสุดและขายที่ราคาสูงสุดได้ จากรูปจะเห็นจุดที่วงกลมไว้จุดนั้นคือราคาต่ำสุดและราคาสูงสุดของรอบนั้นๆ คนส่วนใหญ่ต้องการที่จะซื้อและขายที่จุดนี้ซึ่งเป็นไปได้น้อยมาก คนที่ทำได้ก็อาจจะมีครับแต่อาศัยดวงนะครับ บางคนอาจสงสัยว่าทำไมไม่สามารถทำได้ยังไงลองถามคำถามตัวเองสองข้อนี้ก่อนครับ 1) ทำไมเราถึงรู้ว่าจุดนั้นเป็นจุดต่ำสุด? 2) ทำไมเราถึงรู้ว่าจุดนั้นเป็นจุดสูงสุด? คำตอบก็คือ 1) เพราะว่าราคาได้เลยจุดต่ำสุดมาแล้วจนเปลี่ยนเป็นขาขึ้นอีกรอบ 2) เพราะว่าราคาได้เลยจุดสองสุดมาแล้วจนเปลี่ยนเป็นขาลงอีกรอบ นั่นคือเหตุผลที่เราไม่สามารถซื้อที่จุดต่ำสุดและขายที่จุดสูงสุดได้ครับ สิ่งที่เราทำได้คือซื้อขายในช่วงกรอบสีน้ำเงินในรูปครับ ซึ่งแน่นอนว่าบางคนอาจคิดเสียดายตรงจุดสูงสุดว่าเราน่าจะขายจะได้กำไรสูงสุดก็อย่างว่าครับไม่สามารถทำได้ดังนั้นอย่าไปเสียดายเลยครับกำไรน้อยยังไงก็ยังกำไรนี่ครับ ^ ^ 3. Let profit run and cut lost to protect capital ย้ำอีกครั้งนะครับว่า Let profit run and cut lost ไม่ใช่ Let lost run and cut profit นะครับ คนส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้จริงๆ ครับ เวลาได้กำไรนิดๆ หน่อยๆ แล้วชอบรีบขายกลัวว่าจะขาดทุนแต่พอขาดทุนก็ถือต่อแล้วคิดว่าเดี๋ยวมันก็กลับมาเท่าทุน (ทั้งที่จริงๆ อาจจะเสียหายหนักกว่าเดิมก็ได้ครับ) ฉะนั้นวินัยสำคัญที่สุดครับ การ cut lost ก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคนครับ อาจจะกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ได้ครับอย่างเช่น 10% ถ้าขาดทุนเท่านี้แล้วไม่ว่าจะเป็นยังไงต้องขายก่อนครับเพื่อรักษาเงินทุนไว้ อีกครั้งนะครับอยากได้กำไรในระยะยาวต้องรักษาวินัยครับ 1 hikizume 8th-July-12 15:48 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 สติ ทำให้ความสามารถในการแยกแยะ ถูก-ผิดชัดเจนขึ้น ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 อารมณ์กับสูตรพิชิตการลงทุน อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 การลงทุนมักมี Surprise ! อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 การลงทุน คือ เกม..! อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 เรียนลัดElliott Wave Written by Administrator Article Index เรียนลัดElliott Wave Page 2 All Pages Page 1 of 2 Briefly Elliott Wave Method Thank http://99problems.org for nice picture. ชื่อโีปรเจ็ค Briefly Elliott Wave Method วัตถุประสงค์และเป้าหมาย 1.) เพื่อให้ผู้ที่สนใจแนวคิดทฤษฎี Elliott Wave แต่ไม่ต้องการศึกษาทฤษฎีซึ่งมีความสลับซับซ้อนทั้งหมด ได้ใช้งานและเห็นภาพ Concept ของ Elliott Wave ได้ง่ายขึ้น 2.) เพื่อให้ผู้ที่เริ่มต้นศึกษา Elliott Wave ได้มองเห็นภาพของตัวทฤษฎีได้ชัดเจนขึ้นเพื่อให้ง่ายแก่การศึกษาในอนาคต 3.) เพื่อให้ผู้ที่มีความรู้ในตัวทฤษฎีดีอยู่แล้วแต่ยังไม่สามารถใช้งานในสถานการณ์จริงได้ ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาไอเดียร์ในการใช้งานจริง 4.) เพื่ออธิบายข้อถกเถียงในหลายๆกรณีเช่น อีเลียตเวฟใช้งานจริงไม่ได้ อีเลียตเวฟตรวจสอบไม่ได้ แต่ละคนนับไม่เหมือนกัน เป็นต้น โดยแนวคิดหรือ Concept ของ Briefly Elliott Wave Method นี้จะเป็นเครื่องมืออธิบายข้อถกเถียงเหล่านั้นได้ง่ายและกระชับที่สุด วิธีการนี้เป็นวิธีการหา สภาวะตลาด รวมถึงการตั้งสมมติฐานในทฤษฎี Elliott Wave ด้วย แต่วิธีการของ Elliott Wave นั้นค่อนข้างที่จะมีรายละเอียดและขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่านี้มาก เพราะต้องหารูปแบบที่จบไปแล้วเพื่อที่จะคำนวณหา Effect ของมัน นอกจากนั้นยังต้องหารูปแบบการปรับตัว (Correction) เพื่อคำนวณหา Effect และตรวจสอบการจบ ตรวจสอบความถูกต้องของรูปแบบเพื่อคำนวณหาจุดเข้าออก วิธีการ Briefly Elliott Wave Method นี้ผมตัดขั้นตอนต่างๆออกโดยยังคงกลิ่นอายของความเป็น Elliott Wave เอาใว้ด้วยขั้นตอนการหาระดับของ Degree แบบง่ายๆแต่ทว่ามีประสิทธิภาพ ตามแนวคิดการทำกำไรของ Elliott Wave คือเราจะทำกำไรในช่วงที่แนวโน้มอยู่ในสภาวะแข็งแกร่งคือในช่วงของคลื่น 3 หรือคลื่น C ถ้าใครที่ศึกษา Elliott Wave จะไม่ค่อยมีปัญหาในการยืนยันคลื่น 3 หรือคลื่น C แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ศึกษามาทางนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนยันคลื่นต่างๆได้อย่างถูกต้อง ผมจึงทำแนวทางในการศึกษาแบบง่ายๆให้ลองศึกษากันดูเพื่อเป็นไอเดีย แต่ก่อนจะไปที่หลักการดังว่าให้ศึกษาเรื่อง สภาวะตลาด และ Fibonacci Relationships แบบ Internal Relationships และอย่าลืม Elliott Wave เบื้องต้น ก่อนครับ - ทฤษฎี Briefly Elliott Wave Method นี้มีแบบแผนมาจากทฤษฎี Elliott Wave ก็จริงแต่ก็ยังไม่ใช่ Elliott Wave โดยแท้ เพื่อไม่ให้เป็นการสับสนผมจึงไม่ใช้สัญลักษณ์ที่ใช้ใน Elliott Wave มาอธิบาย - ทฤษฎีนี้ใช้ใด้กับทุก Time Frame ขึ้นอยู่กับว่ารูปแบบเกิดขึ้นที่ Time Frame ไหนเป็นสำคัญ - ผมอธิบายเฉพาะขาขึ้นเท่านั้น ขาลงก็ให้ใช้วิธีส่องกระจกเอาครับ (mirror) - Briefly Elliott Wave Method ถือเป็นทรัพย์สินของ www.advance-elliottwave.com จะดีมากๆหากการนำไปเผยแพร่ต่อนั้นให้เครดิตกับ www.advance-elliottwave.com จักขอบพระคุณมากครับ ขั้นตอน 1. Important High-Low นั้นมีวิธีการดูหลายแบบเช่น ที่จุดสูงเก่า-ต่ำเก่า, ตัวเลข Fibo 38.2% 61.8% หรือเครื่องมือต่างๆที่สามารถบอกแนวรับ-แนวต้านได้ 2. Step 1 ขั้นตอนนี้คุณต้องมองการปรับฐานให้ออก การปรับฐานนั้นมีทั้งการปรับฐานใหญ่และปรับฐานย่อยต้องมองให้ออกก่อน วิธีการก็คือให้ดูที่ขนาดของมันทั้งในแง่ของเวลาและราคาแล้วจับมันเอาใว้เป็นกลุ่มๆ ใหญ่อยู่กลุ่มใหญ่ เล็กอยู่กลุ่มเล็ก ดังรูปปรับฐานย่อยคือเส้นประสีแดง ปรับฐานใหญ่คือในกรอบสีเขียว เมื่อราคาวิ่งลงมาถึงจุดต่ำสุดที่มีนัยสำคัญและเงยหัวขึ้นมากลายเป็น Segment X ให้รอก่อนเพราะคุณจะไม่มีทางรู้ได้ว่าแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นขึ้นจริงหรือไม่ อาจเป็นแค่การปรับฐานของขาลงแล้ววิ่งลงต่อก็ได้ จากนั้นปล่อยให้ราคาปรับตัวตามรูปคือ Retracement B พอราคาจะวิ่งขึ้นไป Break Out ยอด Segment X ให้คุณเปรียบเทียบขนาดของ Retacement B ว่าขนาดของมันใกล้เคียงกับขนาดของ Retacement A หรือไม่ (ทั้งในแง่ของราคาและเวลา) คือดูว่ามันเป็นการปรับฐานเล็กๆหรือปรับฐานใหญ่นั่นเอง หากขนาดของมันมีขนาดเล็กมากๆเมื่อเทียบกับ Retacement A มันจะเป็นแค่การปรับฐานย่อยๆหรือที่เรียกกันว่าคลื่นย่อยนั่นแหร่ะครับเราก็ปล่อยมันและรอต่อไป แต่หากรูปแบบ Retacement B มีขนาดโตกว่าการปรับฐานย่อยอย่างเห็นได้ชัดเจน (เส้นประสีแดง) และใกล้เคียงกับ Retacement A ก็ไป Step ที่ 2 ต่อ (2.1) สาเหตุที่ต้องเปรียบเทียบขนาดของการปรับฐาน (เวลาและราคา) ของ Retracement A และ Retracement B ให้มีขนาดที่ใกล้เคียงกันก็เพื่อเป็นการยืนยันความยาวของส่วนที่มีแนวโน้มใน Time Frame นั้นๆ (Segment Z) อธิบายเพิ่มเติมหากเราใช้การ Break Out ของปรับฐานย่อย (เส้นประสีแดง) ราคาจะไม่สามารถวิ่งยาวได้ถึงตัวเลข 100, 138.2 และ 161.8 ของ Segment X ได้ ฉะนั้นเราต้องเล่นในคลื่นที่มีระดับชั้นเดียวกัน (Degree) จึงจะหาเป้าหมายใน Time Frame นั้นๆได้ 3. Step 2 รอให้การปรับตัว Retacement B จบและราคาวิ่งขึ้นไป Break Out ยอด Segment X ขั้นตอนนี้ให้ระวังเท่านั้นอย่าเพิ่งเข้าซื้อ-ขาย เพราะราคามีโอกาสร่วงกลับไปอีกได้ รอการยืนยันจากการปรับฐานย่อยหรือคลื่นย่อยก่อนครับ 4. Step 3 ปล่อยให้ราคาวิ่งจนเกิดการปรับฐานย่อย โดยเปรียบเทียบขนาดจากคลื่นย่อยเส้นประสีแดงในรูป เมื่อราคา Break Out การปรับฐานย่อย ให้ Buy ที่หลัง Break Out ย้ำว่าหลัง Break Out เผื่อแค่ไหนให้กะระยะตามความเหมาะสมในแต่ละ Time Frame จะดีมากๆหากสามารถตั้ง Buy Stop - Sell Stop ใด้ (4.1) การปรับฐานย่อยนั้นบางครั้งอาจต้องลงไปดูใน Time Frame ที่ต่ำกว่าเช่นเราวิเคราะห์ที่ Time Frame 4 ชม. อาจต้องลงไปดูการปรับฐานย่อยที่ Time Frame 1 ชม. เพื่อให้เห็นการปรับตัวชัดเจนเป็นต้น 5. Step 4 ตั้ง TP ใว้ที่ก่อนระดับ 100%, 138.2% และ161.8% ย้ำว่าก่อนระดับ 100%, 138.2%, 161.8% โดยเปรียบเทียบสัดส่วนแบบ Internal Relationships ระหว่าง Segment X กับ Segment Z อ่าน Internal Relationships อธิบายคือหากราคาทะลุ 100% ไปได้ ให้มองที่ 138.2% และหากทะลุ 138.2% ไปได้อีกเป้าหมายสุดท้ายมองที่ 161.8% ตามลำดับครับ 6. การเล่นหลังระดับ 161.8% ขึ้นไปค่อนข้างที่จะต้องใช้ความรู้ด้าน Elliott Wave เต็มรูปแบบ เพราะเป็นสภาวะที่ตลาดเข้าสู่สภาวะแสดงความอ่อนแอ ซึ่งจากระยะนี้เป็นต้นไปราคาสามารถเป็นไปได้หลากหลาย อาจเปลี่ยนทาง หรือปรับตัวครั้งใหญ่แล้ววิ่งไปตามแนวโน้มเดิมก็ได้ 7. Stop Loss ให้ขีดเส้น Trendline ดังรูปโดยเราจะเรียกเส้นนี้ว่า Trendline 0-Y เส้นนี้จะเป็นเส้นที่เราใช้ Stoploss คือหากราคาลงมาแตะหรือตัดเส้น 0-Y นี้เราจะปิดสถานะทันทีไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุนก็ตาม 8. สิ่งสำคัญอีกประการคือการตรวจสอบสภาวะตลาดว่าอยู่ในช่วงใด คุณต้องรู้ตำแหน่งของตัวเองหากเข้าไปอยู่ในตลาดแล้ว สำคัญกว่าคือคุณต้องรู้และอ่านสภาพตลาดให้ขาดก่อนเข้าทำการซื้อ-ขาย โดยศึกษา สภาวะตลาด ให้เข้าใจก่อนในอันดับแรก ในทฤษฎี Briefly Elliott Wave Method นี้จะบอกสภาวะของการเริ่มสร้างแนวโน้มและสภาวะแนวโน้มแข็งแกร่งให้กับคุณ ให้คุณอนุมานเอาว่าหลังระยะ 161.8% เป็นสภาวะที่ 3 คือการแสดงท่าทีหมดแนวโน้ม (บางทีคุณอาจตรวจสอบสัณญาณ Divergence จาก Indicator ที่ตำแหน่งนี้ร่วมด้วยก็เป็นวิธีการที่ดี) บางครั้งคุณอาจพบว่าตำแหน่งปัจจุบันนี้คือเหนือระดับ 138.2% ซึ่งยังอยู่ในสภาวะที่ 2 (แนวโน้มแข็งแกร่ง) ตำแหน่งนี้สามารถเข้าทำการซื้อขายได้แต่เป็นตำแหน่งที่ใกล้จะสิ้นสุดแนวโน้มแล้ว คุณอาจกำหนดกลยุทธ์แบบวาง Lot Size น้อยๆเก็บระยะสั้นๆโดยลงไปดูใน Time Frame ที่ต่ำกว่าอย่างนี้เป็นต้น หากคุณพบว่าสภาวะอยู่ในตำแหน่งของการเริ่มต้นแนวโน้มสิ่งที่ต้องทำคือรอการปรับตัวใน Retracement B ให้จบก่อนเท่านั้น 9. ในการหาเป้าหมายนั้นให้ระวังแนวรับ-แนวต้านที่เป็นสูงเก่า-ต่ำเก่า (High-Low) และตัวเลขเปอร์เซ็น Retracement 38.2%, 61.8% หากคลื่นปัจจุบันที่คุณเล่นอยู่นี้เป็นคลื่นปรับฐานของคลื่นก่อนหน้า สรุป คุณต้องทราบตำแหน่งของสถานะในปัจจุบันเพื่อที่จะมี Action กับตลาดได้อย่างเหมาะสม หากคุณรู้สึกมึนงงกับสภาพตลาดที่เป็นอยู่ก็แสดงว่านี่ไม่ใช่โอกาสของคุณอย่าฝืนลงไปคลุกฝุ่นกับผู้คนในตลาดให้คุณพักสินทรัพย์ตัวนี้เอาใว้ก่อน แล้วไปสังเกตการณ์สินทรัพย์ตัวอื่นๆแทน ตลาดที่ทำกำไรได้คือตลาดที่คุณมองออก มองอย่างเป็นระเบียบและเห็นเป็นระบบ ตลาดที่ยุ่งเหยิงคือตลาดที่ไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ผู้คนส่วนใหญ่ในตลาดเองก็ยังไม่ทราบว่าจะไปกันทางไหนดีวิ่งชนกันไปมา เหล่านี้จะต้องสะท้อนออกมาทางรูปแบบกราฟราคาทั้งสิ้น.. สิ่งที่ต้องทำคือ "รอ" อย่าลงไปเล่นในเกมที่คุณไม่รู้จักมัน... "เข้าใจสภาวะ มีปฏิกริยาอย่างเหมาะสม" ... หน้า 2 จะเป็นส่วนเสริมที่ช่วยวิเคราะห์ความยาวของคลื่น Z http://www.advance-elliottwave.com/index.php/othertechnical/briefly-elliottwave.html อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 เรียนลัดElliott Wave - Page 2 Written by Administrator Article Index เรียนลัดElliott Wave Page 2 All Pages Page 2 of 2 ส่วนเสริม 1 ใช้ดูว่าคลื่น Z จบได้หรือยัง วิธีการคือให้ขีดเส้นเทรนไลน์ 0-Y เส้นนี้จะเป็น Base Line ต่อมาให้ขีดเส้นผ่านจุด X โดยให้ขนานกับเส้น 0-Y ดังรูป และพิจารณาดังนี้ 1. รูปแบบที่สามารถจบได้ รูปบนแสดงถึงคลื่น Z ที่สามารถจบได้คือคลื่น Z ต้องยืนอยู่เหนือหรือต่ำกว่าเส้นขนาน X แบบอย่างนี้ราคาสามารถจบรูปแบบได้เมื่อมันถึงเป้าหมาย (ตัวเลข Fibonacci Relationship) 2. รูปแบบที่ไม่สามารถจบได้ รูปบนหากคลื่น Z ลงมาหยุดอยู่ที่เส้นขนาน X แล้วปรับตัวขึ้นไปอย่าเพิ่งเปิดสถานะ Buy Position นะครับเพราะว่า Price Action อย่างนี้แสดงถึงรูปแบบที่ยังไม่สามารถจบได้มันจะต้องสร้างรูปแบบเพื่อลงต่อตามทิศทางเดิม สรุปคือหากคลื่น Z มาหยุดอยู่ที่เส้นขนาน X มันจะไม่สามารถจบรูปแบบได้ครับ รูปบนแสดงการไปต่อของคลื่น Z หลังจากวิ่งมาชนเส้นขนาน X แล้วปรับตัวขึ้น จากนั้นก็วิ่งต่อตามทิศทางเดิม รูปบน หากราคาลงมาชนเส้นขนาน X มันจะปรับตัวเต็มที่ไม่เกิน 61.8% ของรูปแบบทั้งหมดแล้ววิ่งลงต่อตามทิศทางเดิม *หลักการนี้ก็เป็นวิธีการตรวจสอบการจบของรูปแบบที่ใช้ในทฤษฎี Elliott Wave ซึ่งใช้ได้ทั้งรูปแบบปรับตัว (Correction) และ Impulsion ครับ ส่วนเสริม 2 ใช้ดูว่าคลื่น Z ควรมีความยาวเท่าไร - วิธีการคือดูรูปแบบของคลื่น Y ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งในทฤษฎี Elliott Wave นั้นค่อนข้างที่จะละเอียดและซับซ้อนเป็นอย่างมากสำหรับเนื้อหาในส่วนนี้อ่านเพิ่มเติมได้ในบทเรียน Elliott Wave เรื่อง Correction - คลื่น Y นั้นภาษา Elliot Wave เราเรียกว่า Correction หรือคลื่นปรับตัว มีอยู่ 3 รูปแบบใหญ่ๆด้วยกันคือ Flat หน้าตามันจะแบนๆ, Zigzag หน้าตาโดยรวมมันจะเป็นมุมแหลมๆ และสุดท้ายคือ Triangle หรือสามเหลี่ยมซึ่งต้องมี 5 คลื่นไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ - ผมจะแยกผลลัพธ์ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ หนึ่งแบบที่คลื่น Z ยาวเต็มที่ 100% ของ X และแบบที่สองคือคลื่น Z มีโอกาสยาวได้ถึง 161.8% ของคลื่น X รูปบนแสดงคลื่น Z ยาวเต็มที่ 100% ของ X วิธีวิเคราะห์ให้ดูที่คลื่น Y ต้องเป็นรูปแบบ Zigzag หรือเป็นมุมแหลมๆดังรูปซ้ายสุด และอีกแบบคือเป็นรูปแบบ Triangle ดังสองรูปที่เหลือซึ่ง Triangle นี้ต้องดูให้แน่ใจว่ามันมี 5 คลื่นต้อง 5 คลื่นเท่านั้นไม่ใช่ 3 คลื่น หากเราพบว่าคลื่น Y เป็นรูปแบบดังภาพประกอบให้เราตั้ง Take Profit ไม่เกิน 100% *หากคลื่น Y เป็นรูปแบบ Triangle และ Zigzag ไม่ได้หมายความว่ามันจะยาวเกิน 100% ไม่ได้ แต่ตามสถิติในทฤษฎี Elliott Wave แล้วมันมีโอกาสยาวเท่ากับคลื่น X หรือ 100% ของคลื่น X เท่านั้น ต่อมาเป็นรูปแบบที่บ่งบอกว่าคลื่น Z ยาวถึง 161.8% ของคลื่น X แน่นอน รูปบน หากคลื่น Y เป็นรูปแบบแบนๆหรือ Flat หรือมองแล้วเป็นไซเวย์ที่ขนานกันดังภาพประกอบ รูปแบบนี้คือ Flat เป็นรูปแบบที่บ่งบอกว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นในแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่นี้สูงมาก ฉะนั้นคลื่น Z มีโอกาสยาวถึง 161.8% ของคลื่น X แน่นอน *ไม่บ่อยครั้งนักที่คลื่น Y เป็นรูปแบบ Flat แล้วคลื่น Z จะยาวไม่ถึง 161.8% ของคลื่น X แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้น แต่ก็เ็ป็นเปอร์เซ็นที่น้อยมาก 80-90% โดยประมาณคลื่น Z ต้องยาวถึง 161.8% ของคลื่น X ให้ลองฝึกฝนดูครับ เมื่อคล่องแคล่วดีแล้วอาจใช้ร่วมกับ Indicator หรือเทคนิคอื่นๆก็ได้แล้วแต่เราจะพัฒนา ขอให้โชคดีในการเทรดทุกท่านครับ Briefly Elliott Wave Method ถือเป็นทรัพย์สินของ www.advance-elliottwave.com http://www.advance-elliottwave.com/index.php/othertechnical/briefly-elliottwave.html?start=1 1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 (มีการแก้ไข) พี่น้องลองดูเองนะฮะ --------- ------- SUNDAY, DECEMBER 16, 2012 YOYO's Value Investing 2006-2010 ] สำหรับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่สอบถามเข้ามา... อยากลงทุน และอยากประสบความสำเร็จในการลงทุน.. ทำอย่างไร..อ่านอะไรดี... ผมทำมาให้แล้วน่ะ!! แจกฟรี eBook ความรู้ในการลงทุน โดย Wizard Kid ครับ โดยเจตนาที่ทำขึ้นมาแจกฟรีๆเพราะ... "เรามีความตั้งใจจะรวบรวม ความรู้ดีๆ ที่ใช้ได้จริง มาแจกฟรีเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้นักลงทุนต้องจ่ายเงินแพงๆเรียนอะไรที่หาเรียนฟรีได้ จะได้เก็บเงินไว้ไปเรียนอะไรที่ควรจ่าย และเหลือเงินไว้ลงทุน" เนื้อหาทั้งหมดนำมาจาก www.yoyoway.com ของคุณ "โยโย่" สันติ สิงหวังชา นักลงทุนผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการลงทุนในตลาดหุ้นเมืองไทย.. ebook นี้จัดทำขึ้นโดยทางผู้รวบรวมต้องการจะสานต่อเจตนาของคุณสันติ สิงหวังชา ที่มีจุดประสงค์เพื่อที่จะแบ่งปันความรู้ในการเล่นหุ้น (ขอใช้คำว่าเล่นหุ้นนะครับ ดูแล้วสนุกกว่าคำว่าลงทุนเยอะเลย) โดยเนื้อหานั้นอาจจะเขียนแนะวิธีการเล่นหุ้น บางบทความอาจจะหาบทความดีๆมาลง บางบทความก็นั่งวิเคราะห์หุ้น บางทีอาจนั่งเขียนระบาย หรือบางทีอาจจะเอาอะไรที่ไม่เกี่ยวเลยมาใส่ก็ได้ . .หวังว่าคงเป็น ebook การลงทุนที่มีประโยชน์อย่างยวดยิ่ง สามารถโหลดได้ที่ http://www.ebooks.in..._Way_2006-2010/ โหลดมาเก็บอ่านในคอมพิวเตอร์ก็ดี อ่านในไอแพดก็ดี...อ่านให้ครบ 400 หน้า.... แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป...! แชร์กันเยอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ Posted by Wizard Kid @ S2M at 1:25 AM ถูกแก้ไข มกราคม 10, 2013 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 Fibonacci Relationships Written by Administrator สิ่งแรกที่ต้องทราบก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา Elliott Wave ก็คือเรื่องของความสัมพันธ์ของคลื่นหรือ Relationships เราจะใช้ตัวเลขสัดส่วนทองคำ Fibonacci เข้ามาช่วยกำหนดสัดส่วนเราเรียกรวมกันว่า Fibonacci Relationships ซึ่งก่อนที่จะใช้เครื่องมือชนิดนี้ได้ จำเป็นที่จะต้องฝึกมองและรู้จัก สูงสุด-ต่ำสุด (High-Low) อย่างดีเสียก่อนครับ (Fibonacci คืออะไรค้นได้จากอินเตอร์เน็ต เพื่อไม่ให้เนื้อหาเยิ่นเย้อมากเกินความจำเป็นผมไม่ขออธิบายส่วนนี้) มาเริ่มกันเลยครับ ตัวเลขสัดส่วน Fibonacci ที่นิยมและมีความแม่นยำแบ่งเป็น 1. พบบ่อย 38.2, 50, 61.8, 100, 161.8 และ 261.8 2. พบบ้างบางครั้งคราว 80, 123.6, 138.2, 150, 200 และ 238.2 ตัวแรกคือการปรับฐานหรือ Retacement, Retract ดังรูปด้านบนเราจะใช้คลื่นแรก(x) เป็นตัวตั้ง (100%) โดยเมื่อจบคลื่นแรกจะเกิดการเปลี่ยนทิศทางดังรูปคือเปลี่ยนจากขึ้นเป็นลง การเปลี่ยนทางเมื่อราคาวิ่งถึงจุดๆหนึ่งอย่างนี้เราเรียกว่า "ปรับฐาน" หรือ Retracement รูปบนเรียกว่าคลื่น X ปรับฐานหรือคลื่น y ปรับฐานคลื่น x อย่างนี้ก็ได้ ความยาวของคลื่น y จะเป็นสัดส่วนกับคลื่น x เสมอๆตามตัวเลข 38.2, 50 และ 61.8% ก่อนที่จะวิ่งตามทิศทางของแนวโน้มเดิมต่อไป (ในที่นี้คือแนวโน้มตามคลื่น x) Internal Relationships คือการเปรียบเทียบสัดส่วนคลื่นที่ไปในทิศทางเดียวกัน (แตกต่างกับการปรับฐานซึ่งเปรียบเทียบคลื่นที่เป็นทิศทางตรงข้ามกัน) คือหลังจากที่คลื่น x ปรับฐานเป็นคลื่น y และเมื่อคลื่น y จบลงราคาได้วิ่งไปตามทิศทางเดิมคือวิ่งขึ้นกลายเป็นคลื่น z ซึ่งคลื่น z นี้จะมีทิศทางเดียวกับคลื่น x ดังรูป และ x กับ z ก็จะมีความสัมพันธ์หรือเป็นสัดส่วนกันตามตัวเลข Fibonacci ที่มักพบได้บ่อยที่สุดคือ 61.8, 100, 161.8 และ 261.8% * รูปบนเป็นการเปรียบเทียบแบบ Internal Relationships โดยใช้คลื่นแรกหรือคลื่น x เป็นตัวตั้ง (100%) คลื่น z ก็เป็นสัดส่วนกับคลื่น x (นิยมใช้มากที่สุด แม้ไม่ใช้ทฤษฎีอีเลียตเวฟก็ตาม) รูปบนนี้แสดง Internal Relationships แต่ให้คลื่นถัดมาเป็นตัวตั้งคือให้ z เป็นตัวตั้ง (100%) ให้ x เป็นสัดส่วนกับ z (นิยมใช้ในอีเลียตเวฟเท่านั้น) External Relationships แนวคิดการเปรียบเทียบสัดส่วนเดียวกับ Internal Relationships ต่างกันที่จุดเริ่มต้นของคลื่นที่สองเท่านั้น ดังรูปด้านบนระยะของคลื่น z จะไม่ใช้จาก y ถึง z เหมือนกับการวัดแบบ Internal Relationships แต่จะใช้จุดสิ้นสุดของ x เป็นจุดเริ่มต้นของ z ดังรูปด้านบน *รูปด้านบนเป็นการเปรียบเทียบโดยให้คลื่น x เป็นตัวตั้ง (100%) คลื่น z เป็นสัดส่วนกับคลื่น x ตามตัวเลขของ Fibanacci รูปบนคือ External Relationships ที่ให้คลื่น z เป็นตัวตั้งและคลื่น x ก็จะเป็นสัดส่วนกับคลื่น z ** - Internal Relationships นิยมใช้ทั่วไป หากเป็นทฤษฎี Elliott Wave ก็จะใช้กับรูปแบบ Standard - External Relationships จะใช้กับทฤษฎี Elliott Wave ที่เป็นรูปแบบ Non-standard ซึ่งวิธีการใช้งานค่อนข้างที่จะซับซ้อนกว่าแบบ Internal ผู้ใช้งานจำเป็นที่จะต้องมีความรู้เรื่อง Elliott Wave เป็นอย่างดีการใช้งานการเปรียบเทียบลักษณะนี้จึงจะมีประสิทธิภาพ สนใจเข้ารับการอบรม Elliott Wave ชั้นสูงกดที่เมนู Contact us หรือติดต่อ i_woottichai@hotmail.com อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 (มีการแก้ไข) ทำไมต้อง Elliott Wave Written by Administrator Article Index ทำไมต้อง Elliott Wave Page2 Page 1 of 2 ทำไมต้อง Elliott wave Thank www.bestknowledgecentre.com for nice picture. การเก็งกำไรนั้นมี "คน" ใด้ก็ต้องมี "คน" เสีย (Zero Sum Game) เงินของคนเสียจะใหลไปให้กับคนที่ใด้ ฉะนั้นการเก็งกำไรไม่ใช่เป็นการสู้กับตัวเองอย่างที่หลายคนเชื่อ แต่มันเป็นการสู้กับคนทั้งตลาด!!!! ใครเก่งกว่าใครมีกลยุทธิ์ที่เหนือชั้นกว่าจะเป็นผู้ชนะมีเงินของผู้อ่อนแอเป็นรางวัล!!!! คุณเข้าใจไหมครับคุณไม่ใด้แพ้ตัวเองแต่คุณแพ้ให้กับคนที่เก่งกว่าในตลาด คนๆนั้นอาจนั่งอยู่ข้างๆคุณหรืออยู่อีกซีกโลกหนึ่งก็ใด้ ถ้าคุณต้องการที่จะชนะในเกมนี้คุณก็ต้องมีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่น มีในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ใด้นั่นแหร่ะคุณถึงจะชนะ คนเก่งที่สุดในโลกก็จะใด้เงินมากที่สุดในโลกเพราะชนะคนทั้งโลก คนเก่งน้อยก็จะใด้เงินน้อยลดหลั่นกันลงมาแต่ไม่ขาดทุน ส่วนคนที่เสียตลอดมันแปลว่าสู้ใครเขาไม่ใด้ไม่มีวิธีการที่เหนือกว่าคนอื่น จึงต้องแพ้โดนปรับเป็นเงินในพอร์ท ลองทบทวนดูอาวุธที่คุณมีอยู่ในมือตอนนี้มันเหนือกว่าคนอื่นหรือเปล่ามันจะ ชนะคนอื่นใด้หรือเปล่าคำตอบหาไม่ยาก เงินในพอร์ทนั่นแหร่ะครับคือคำตอบ ถ้าคุณอยากชนะคุณต้องหนีคำว่าพื้นฐานหรือ Basic คำพวกนี้ฟังดูดีแต่คิดในเชิงตรรกะแล้วมันเป็นไปไม่ใด้ที่จะชนะคนที่มีความ สามารถสูงๆด้วยคำว่า Basic. 1.Market Rhythm: Rhythm ในแง่ของเศรษฐศาสตร์และการวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์แปลว่า แนวโน้ม คลื่นของราคา คลื่นอารมณ์ของมหาชน แต่ผมขอเสริมเข้าไปอีกนิดว่า คือจังหวะ ,จังหวะของการเข้า-ออก และจังหวะที่ควรรอ -แนวโน้ม: สิ่งแรกเลยคือ อีเลียตเวฟจะบอกให้เราทราบถึงแนวโน้มของสินทรัพย์ตัวนั้นๆ การเห็นแนวโน้มคือการเห็น ภาพรวมของตลาดเหมือนกับคุณใด้นั่งเครื่องบินสำรวจภูมิประเทศก่อนลงทุน ในขณะที่คนอื่นๆทำใด้เพียงนั่งรถยนต์หรือเดินเพื่อดูภูมิประเทศ ฉะนั้นเป็นการยากมากที่คุณจะแพ้คนอื่นในสมรภูมิการเก็งกำไร (แนวโน้มมีความสำคัญอย่างไรพวกเราคงทราบกันดีว่าการลงทุนตามแนวโน้มจะช่วยจำกัดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสของความสำเร็จ) -ภาวะของแนวโน้ม: ต่อมาอีเลียตเวฟจะบอกเราใด้ว่าแนวโน้มนั้นๆมีความแข็งแกร่งเพียงใด และเมื่อใดที่แนวโน้มเริ่มอ่อนแอ และเกิดการกลับตัวเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม (Reversal) การลงทุนตามแนวโน้มนั้นเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องตามหลักการที่สุด แต่การลงทุนตามแนวโน้มนั้นความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นสูงจนเกินยอมรับได้ในช่วง ที่กราฟกำลังเปลี่ยนแนวโน้มและเปลี่ยนแนวโน้มในที่สุด ช่วงที่ก่อนจะเปลี่ยนแนวโน้มนั้นกราฟจะเกิดรูปแบบต่างๆที่เป็นไปในลักษณะออก ด้านข้าง (Side Way, Corrective) หรือเปลี่ยนไปโดยแบบฉับพลัน (V-Shape) แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปในแบบไหนการลงทุนแบบตามแนวโน้ม (Trend Follow) ก็เสี่ยงและอันตรายด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งหากเกิดรูปแบบที่ออกด้านข้าง (Side Way)ลักษณะนี้จะทำให้เกิดการขาดทุนสะสมซ้อน (Draw Down) เพราะเรายังคงเชื่ออยู่ว่าแนวโน้มยังมีอยู่ต่อเนื่องจึงลงทุนในทิศทางเดิม เมื่อราคาลงมาตัด SL เราก็จะเข้าตามทิศทางเดิมเพราะยังคงมีความเชื่อ เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดการ Draw Down และการเปลี่ยนทิศทางโดยฉับพลันก็เช่นกันลักษณะนี้จะทำให้นักลงทุน Trend Follow ที่ไม่นิยมตั้ง Stop Loss (เพราะการเล่นแบบ Trend Follow ถ้าติดลบไม่ช้าราคาก็จะกลับมาที่เดิม) เสียหายได้มหาศาลอาจถึงขั้น Margin Call เพราะเรายังคงเชื่อว่าแนวโน้มยังไม่สิ้นสุดในไม่ช้าราคาจะกลับมาที่เดิม ฉะนั้นการเข้าใจว่าแนวโน้มอ่อนแอใกล้ถึงเวลาสิ้นสุดจึงมีประโยชน์มากมายมหาศาล คุณอาจตอบสนองโดยการหยุดดูอยู่นอกสนามหรือเปิด Lot เล็กๆ หรือเก็บ Pips สั้นๆโดยรวมคือคุณจะพร้อมรับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลานั่นเอง ยกตัวอย่างวิกฤติการณ์เศรษฐกิจที่เกิดกับ Greece อีเลียตเวฟมีสัญญาณเตือนเราล่วงหน้าถึงครึ่งปี ดูการวิเคราะห์ Greece Case Study -Rhythm: เข้า-ออก-รอ: เรื่องของจังหวะเข้า-ออก หลายท่านทราบดีแต่ก็ยังมีหลายท่านที่ไม่ค่อยคุ้นกับคำว่าจังหวะของการ "รอ" ทั้งที่การรอคอยนั้นมีความสำคัญมากที่สุดในบรรดาจังหวะทั้ง 3 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการลงทุน ธุรกิจหรือการเก็งกำไร การหยุดรอดูทิศทางและแรงลมถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด การยืนดูอยู่นอกสนามรบเพื่อรอฉกฉวยโอกาสนั้นเป็นสิ่งที่นักล่าในตลาดเก็งกำไรทำได้ดีที่สุด ไม่ใช่หลายคนไม่รู้จักรอ ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าเราไม่รู้ว่าเมื่อไรควรรอเมื่อไรควรเข้าทำกำไรต่างหาก นี่ต่างหากคือต้นตอของปัญหาการอ่านสถานการณ์ไม่ขาดเป็นจุดอ่อนของนักรบเก็งกำไรส่วนมาก ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งของนักลงทุนที่เห็นใด้ชัดหลังจากที่ใด้ศึกษาอีเลียตเวฟชั้นสูงก็คือ นักลงทุนรู้จักจังหวะของการรอมากขึ้น เขาใช้เวลาในการรอมากกว่าเวลาในการถือออเดอร์หลายเท่าตัว ยกตัวอย่างในตลาดที่มีความรุนแรงของการแข่งขันสูงที่สุดอย่าง Forex นั้นบางครั้งนักลงทุนอีเลียตเวฟใช้เวลาในการรอโอกาส 1เดือนเต็มๆเพื่อที่จะเข้าถือออเดอร์เปิด Position เพียงครั้งเดียวเท่านั้นแค่นี้ก็ถือว่าคุ้มเกินคุ้ม 1ออเดอร์กับผลกำไร 20-30% คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม สรุป ก็คืออีเลียตเวฟจะทำให้คุณมีความสามารถในการอ่านเกมว่าเมื่อไรควรออกมายืนอยู่นอกตลาดดูผู้คนห้ำหั่นผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ นี่คือคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของนักลงทุนอีเลียตเวฟ ________________ ทำไมต้อง Elliott Wave - หน้า 2 2.Market Emotion: Market Emotion คืออารมณ์ของตลาดหรือพูดให้ตรงๆตัวก็คืออารมณ์ของคนที่เข้ามาร่วมซื้อขายนั่นเอง ในส่วนของอารมณ์ตลาดนี้จำเป็นต้องเลือกตลาดที่มีขนาดใหญ่มีผู้ร่วมเล่นจำนวนมากๆจนเกิดคลื่นอารมณ์ของมหาชนจำนวนมหาศาล ในตลาดหรือหุ้นตัวเล็กๆจะไม่สามารถวิเคราะห์ Market Emotion ได้เพราะมีผู้ร่วมเล่นไม่กี่คนที่กำหนดทิศทางของตลาด อาจเรียกอีกอย่างว่าราคาเคลื่อนใหวอย่างไม่สมเหตุสมผลหรือมีเจ้ามือ หรือปั่นตลาดด้วยเงินของคนๆเดียวหรือกลุ่มเดียวนั่นเอง เทคนิคอีเลียตเวฟก็หนีไม่พ้นข้อจำกัดนี้เช่นกัน เราจึงนิยมใช้อีเลียตเวฟวิเคราะห์ในตลาดหุ้นใหญ่ๆของโลก ทองคำ น้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยน Commodity วิเคราะห์เศรษฐกิจ วิเคราะห์ราคาสินค้า ยิ่งถ้ามีคำว่าตลาดโลกตามท้ายด้วยก็จะยิ่งดี อีเลียตเวฟสามารถวิเคราะห์อารมณ์ของตลาดพวกนี้ใด้อย่างแม่นยำจนต้องใช้คำว่า มหรรศจรรย์พ่วงท้ายด้วย -อารมณ์ตลาด: อีเลียตเวฟจะทำให้เรามองเห็นอารมณ์ของตลาด โดยตีความรู้สึกของมหาชนออกมาเป็นตัวเลขผ่านทางรูปแบบต่างๆของกราฟทั้งใน Impulse phase และโดยเฉพาะ Correction Phase ที่มีรูปแบบที่สามารถบ่งบอกว่าหลังจากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น คนในตลาดเริ่มอัดอั้นตันใจพร้อมทีจะระเบิดความรู้สึกหรือยัง หรือว่าคนเริ่มกลัวตลาดเพราะขาดทุน หรือพอใจกับผลกำไรจนอยากจะหยุดแล้ว หรือว่าคนในตลาดเริ่มหวาดหวั่นกับปัจจัยทางด้านพื้นฐานบ้างแล้ว อารมณ์เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งหากคุณอ่านข่าวเพียงอย่างเดียวคงต้อง อ่านกันตาลายกว่าจะวิเคราะห์ใด้เป็นฉากๆอย่างอีเลียตเวฟ -ภาวะความเสี่ยง โอกาส: มีกฏอยู่ข้อหนึ่งที่พวกเรามักท่องจำแต่ไม่เคยทำใด้คือ "ต้องมีจิตใจอยู่เหนือตลาด อย่าให้อารมณ์ตลาดควบคุมคุณ" ถ้าคุณไม่สามารถวิเคราะห์ภาวะความเสี่ยงและโอกาสได้คุณจะไม่สามารถตีโจทย์ ข้อนี้แตก นอกจากคนตาถั่วและบอดแล้วไม่มีคนตาดีที่ไหนเดินตกเหว เพราะว่าเราไม่รู้สัดส่วนระหว่างโอกาสและความเสี่ยงเราจึงต้องใช้ความรู้สึก และเพราะว่าเราไม่รู้ว่าตัวเองใช้ความรู้สึกเราจึงต้องใช้ความรู้สึกต่อไป ฉะนั้นถ้าเรารู้สัดส่วนของความเสี่ยงและโอกาสแล้วไม่มีวันที่เราจะใช้ความรู้สึก บรรดานักล่าในตลาดเก็งกำไรล้วนอ่านความรู้สึกของมหาชนแล้วก็ดูดเงินจากคนพวกนั้นมาเข้ากระเป๋าของตัวเอง แต่ถ้าคุณยืนอยู่เหนืออารมณ์ตลาด (Market Emotion) คุณก็ไม่ต้องกลัวนักล่าพวกนี้ แทนที่จะกลัวมาขอแบ่งเค้กจากคนพวกนี้ดีกว่ามั๊ยครับ หนึ่งในคุณสมบัติของอีเลียตเวฟคือการตีค่าความเสี่ยงและโอกาสออกมาเป็นตัวเลขผ่านทางรูปแบบและกฏ (Pattern and Rules) เมื่อคุณฝึกใช้จนชำนาญแค่มองปราดเดียวคุณก็จะเห็นตัวเลขพวกนี้อยู่ในหัว มันดีใช่มั๊ยครับที่เราสามารถควบคุมตัวเองผ่านตัวเลขของความเสี่ยงและโอกาส "อย่าให้ใครอ่านความรู้สึกของคุณ แต่คุณต้องอ่านความรู้สึกของคนอื่นแทน" นี่คือคาถาที่ดีที่สุดของนักรบเก็งกำไร Price Objectives: Price Objectives (เป้าหมายราคา) ความหมายของคำนี้ยิ่งใหญ่จริงๆครับ หลายคนรู้ซึ้งถึงคุณค่าของคำนี้ดี เป้าหมายราคา/แนวรับแนวต้าน พอจะคุ้นไหมครับ สูงสุด ต่ำสุด สูงก่อน ต่ำก่อน เส้นแนวโน้ม เส้นขนาน ฟีโบ้ เหล่านี้คือการหาแนวรับแนวต้าน อาจบอกว่าเป็นเป้าหมายราคาก็ใด้ แต่แนวรับแนวต้านจากพวกนี้มีมากมายเหลือเกินจะรู้ใด้อย่างไรไงว่าควรใช้จุดไหนตัวไหน? อีเลียตเวฟบอกคุณได้ไม่ต้องกังวล แน่นอนว่าอยู่ดีๆแล้วจะรู้ได้ยังไง มันต้องผ่านกระบวนการทางความคิดอีเลียตเวฟเสียก่อนคุณจึงจะเห็นมัน -TP, SL, Cutloss: เหล่านี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก การวิเคราะห์หาแนวรับ-แนวต้านมีความสำคัญกับ TP, SL, Cutloss ในบางครั้งคุณ SL, Cutloss ไปแล้วราคากลับวิ่งกลับทางเก่าความรู้สึกอย่างนี้ยากเกินจะบรรยายครับ หรือบางครั้งราคาวิ่งเลย TP ของคุณออกไปหลายร้อยจุด คุณห้ามความรู้สึกเสียดายไม่ใด้หรอกครับและความรู้สึกเสียดายนี่เองที่จะนำความหายนะมาสู่คุณในภายภาคหน้า อีเลียตเวฟสามารถวิเคราะห์หาแนวรับ-แนวต้านที่มีนัยสำคัญในการวาง TP, SL, Cutloss และในภาวะคับขันอีเลียตเวฟยังหาทางออกให้คุณเสียหายน้อยที่สุดด้วย -กำไรเท่านี้พอแล้วหรือว่ายังสามารถทำกำไรใด้มากกว่านี้อีก: อีเลียตเวฟจะบอกเราว่าเมื่อไรควรหยุดทำกำไรจากภาวะความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น หรือยังสามารถทำกำไรต่อไปใด้เรื่อยๆ คุณคงเคยเจอเหตุการณ์กลัวบวกมาบ้างใช่มั๊ยครับ มันคือการที่คุณกลัวว่าผลกำไรที่ใด้เพียงเล็กน้อยอยู่นี้จะหายไปจึงต้องตัดทำกำไรแต่เพียงเท่านี้ เขาเรียกกันว่าขายหมู ถ้าไม่อยากขายหมูก็เริ่มต้นศึกษาอีเลียตเวฟชั้นสูงซะนี่คือคำแนะนำที่ดีที่สุดจากผม -ข้อสุดท้าย จุดเข้าซื้อ-ขายที่ Safety Strong ที่สุด: กระบวนการตั้งแต่ Market Rhythm, Market Emotion, Price Objectives จะทำให้คุณยากที่จะแพ้นักล่าในเกมเก็งกำไร มีแต่จะขอแบ่งเค้กหรือกินกำไรจากคนพวกนั้น. ถูกแก้ไข มกราคม 10, 2013 โดย ginger อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 -______- จี้อ่ะ 1,000,000pic อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 Dragon Pattern Written by Administrator Article Index Dragon Pattern Page 2 Page 3 All Pages Dragon Pattern ...Dragon Pattern นี้เป็นทฤษฎีของศาสตราจารย์ Suri Duddella ติดตามงานวิจัยของท่านได้ที่นี่ครับwww.surinotes.com ...และขอขอบคุณคุณ Phoomjai แห่งบอร์ด คนรักอีเลียตเวฟ ที่แนะนำทฤษฎีต่างๆให้เราได้ลองศึกษากันครับ ...ศาสตราจารย์ Suri ท่านบอกว่า แม้่ว่าระดับเป้าหมายของราคาอาจจะไม่ตรงกันทุกครั้งแต่รูปแบบนี้ก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำๆกันเสมอๆ รูปแบบมังกรนี้ก็จะเป็นหลักการที่จะคล้ายๆกับ M-Pattern หรือ Double Top และ W-Pattern หรือ Double Bottom จะแตกต่างในเรื่องของการหาระยะเป้าหมายเล็กน้อย ...โดยส่วนตัวแล้วผมเองชอบการวิเคราะห์แนวนี้เพราะมันดูมีชั้นเชิงและเป็นการบริหารสมองทั้งสองซีกซ้ายและขวาไปพร้อมๆกัน มันจะทำให้เราจดจำสิ่งต่างๆไปพร้อมๆกับการวิเคราะห์ทางตรรกะได้รวดเร็วและมีประสิทธภาพมากกว่าการใช้สมองซีกซ้ายซึ่งทำหน้าที่คิดคำนวณเชิงตรรกะเพียงด้านเดียว คำแนะนำก่อนเรียนรู้ 1. รูปแบบมังกร (Dragon Pattern) ถ้ามองในมุมของ Elliott Wave มันก็คือขาปรับตัวของคลื่นสุดท้ายใน Pattern นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น Stadard Impulsion และ Non-standard Impulsion อย่าง Terminal, 5th Wave Failure หรือว่าใช้ในคลื่นปรับตัวของ Correction บางตัวเช่น Weak-b Wave Flat, Truncated Zigzag 2. ท่องใว้อย่าลืมว่าเทคนิคทางด้าน Chart Pattern นั้นมีอยู่ 2 มุมคือ มุมหนึ่งใช้วิเคราะห์หาสภาวะตลาดโดยรวมและอีกมุมคือใช้หาจุดเข้า-ออก การที่จะใช้เทคนิคให้ประสบผลสำเร็จคือคุณต้องหาสภาวะตลาดที่เอื้อต่อการทำกำไรจากนั้นจึงลงไปหาจุดเข้า (อาจเป็น Time Frame เดียวกันหรือ Time Frame ที่ต่ำกว่าก็ได้) หากสภาวะตลาดโดยรวมไม่เอื้อต่อการซื้อ-ขาย จุดเข้า-ออก ก็จะเป็นเหมือนกับดักของนายพรานหรือแสงไฟที่ล่อแมงเม่า หรือว่าโดนมังกรสับขาหลอกนั่นเอง Over Views ลองมาจินตนาการให้เห็นเป็นรูปมังกรกันก่อนครับ (ในรูปบนผมทำให้ดูเฉพาะขาขึ้น ในขาลงก็ใช้วิธีส่องกระจกกลับด้านเอาครับ) มังกรก็จะประกอบไปด้วย - หัวมังกร ก็คือสูงเก่านั่นเอง - ขาหน้า ก็คือจากสูงร่วงลงมาทำต่ำใหม่ - คอ ก็คือระยะจากหัวถึงขาหน้า - หลัง ก็คือระยะปรับฐานนั่นเองต้องอยู่ระหว่าง 38.2-50% ของคอมังกร - ขาหลัง ระยะของขาหลังคือ 61.8-127% ของคอมังกร แปลว่าขาหลังอาจยาวหรือสั้นกว่าก็คอมังกรก็ได้ แต่ผมแนะนำตามทฤษฎี Elliott Wave ว่าถ้าขาหลังสั้นกว่าขาหน้าสัญญาณ Up Trend (การเปลี่ยนแนวโน้ม) จะแรงมาก - สุดท้ายคือหางมังกร ตรงหางนี่เองที่เราใช้ทำกำไร หรือถ้าเกิด หัวมังกร, ขาหน้า, หลังมังกร, ขาหลัง พร้อมสรรพแล้วหางมังกรก็เกิดแน่ๆส่วนจะยาวเท่าไรนั้นก็ดูที่ตัวทฤษฎีในหน้าถัดไปครับ Hump and Leg ขนาดของหลังและขามังกร ระยะแรกที่ถือเป็นส่วนสำคัญของรูปแบบก็คือขนาดของหลังและขามังกร พยายามเทียบสัดส่วนให้ตรงกับทฤษฎีมากที่สุดครับ รูปบนแสดงขนาดของหลังและขามังกรที่ถูกต้องตามทฤษฎี - ขนาดของหลัง (Hump) จะต้องอยู่ระหว่าง 38.2-50% ของคอมังกรหรือระยะ AB นั่นเอง หรือพูดอีกอย่างหลังมังกรก็คือ Retracement 38.2-50% ของแนวโน้มก่อนหน้านั่นเองครับ - ขนาดของขามังกร พอราคาขึ้นมาทำหลังมังกรเราก็จะได้ขาหน้า จากหลังมังกรราคาวิ่งกลับลงมากลายเป็นขาหลัง ตามทฤษฎีกำหนดใว้ว่าขาหลังจะต้องอยู่ระหว่าง 61.8-127% ของคอมังกร(AB) แสดงว่าขาหลังสามารถยาวกว่าคอมังกรได้ แต่ผมแนะนำว่าขาหลังควรจะสั้นกว่าคอหรือถ้าขาหลังสั้นกว่าขาหน้าได้จะยิ่งดีครับเพราะรูปแบบจะไปคล้ายกับ 5 Wave Failure จะยิ่งทำให้ระยะหางของมังกรพุ่งไปไกลและรวดเร็วยิ่งขึ้นครับ จุดเข้าและจุดตัดขาดทุน สำหรับจุดเข้าซื้อขายเพื่อทำกำไรนั้นให้เราขีดเส้นจากหัวมังผ่านไปที่หลังมังกรก็จะได้เส้น AC ดังรูปก่อนหน้าแล้วรอให้ราคา Break เส้น AC นี้ครับ รูปบนเมื่อราคา Breakout เส้น AC ก็เปิดสถานะ Buy จุดตัดขาดทุนตำราบอกว่าที่ Low ของขาหลังแต่ผมแนะนำว่าขาหน้าหรือขาหลังก็ได้เพราะสองตำแหน่งนี้ถือเป็นแนวรับที่ใกล้เคียงกันครับ รูปบนเป็นการเล่นในขาลงบ้างเมื่อราคา Break Down เส้น AC ก็เปิดสถานะ Sell จุดตัดขาดทุนก็คือที่ยอดของขาทั้งสองครับ Take Profit Situation เรื่องของจุดทำกำไรนั้นคุณต้องไม่ลืมว่าต้องเผื่อค่าเบี่ยงเบนให้มันด้วยโดยปิดทำกำไรก่อนถึงระดับ Take Profit จริงๆเล็กน้อยเป็นการเผื่อขาดเผลื่อเหลือครับ... จุดปิดทำกำไรจะมี 3 จุดหลักๆด้วยกันดังนี้ครับ 1. 127% ของ CD รูปบน - e คือจุดเข้า - F คือจุดทำกำไรแรกคือระยะ 127% ของขาหลัง (CD) 2. 90-100% ของ AB รูปบน ระยะนี้ก็คือหัวมังกรนั่นเองหรือสูงเก่า-ต่ำเก่าที่จะเป็นแนวรับแนวต้านนั่นเองครับ - TP ที่สองคือตำแหน่ง G 3. ระยะ TP สุดท้ายก็คือ 127-138.2 ของ AB (คอมังกร) รูปบนคือระยะสุดท้ายที่ราคาจะเป็นไปได้คือระดับ 127-138.2% ของ AB - ตำแหน่ง H คือตำแหน่ง TP สุดท้าย รูปแบบมังกรก็มีรายละเอียดของทฤษฎีตามที่ได้เล่ามาทั้งหมดครับอย่าลืมฝึกฝนให้ชำนาญครับ... สนใจเข้ารับการอบรม Elliott Wave ชั้นสูงกดที่เมนู Contact us หรือติดต่อ i_woottichai@hotmail.com อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
ginger 11,058 โพสต์รายงาน ได้โพสต์เมื่อ มกราคม 10, 2013 อภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค ชุดที่ 1 ตอน 1/1 อ้างถึง แชร์โพสต์นี้ ลิงก์ไปโพสต์ แชร์ไปเว็บไซต์อื่น