การลงทุนด้วยระบบ

[moshi 9]

บทความอุปมาอุปมัยดีทำให้เห็นภาพชัดเจนเข้าใจง่าย เนื้อหาก็น่าสนใจมากครับ .... ขอบคุณครับคุณส้มโอมือ

[reeping 138]

!Hi !Hi !Hi !Hi !Hi

[mrballz 0]

ชอบบทความนี้ครับ ^^

[Aekasin 20]

:unsure:

[PLAYBOY9999 25]

ขอบคุณคุณส้มโอมือครับ !01 !01 !01 !01 !01

[goldgold 29]

ขอบคุณค่ะคุณส้มโอมือ

[goldmember 87]

คุณเสม set50 เป็นอย่างไรบ้างครับแดงหรือยัง.....ไหลปรูดดเลย !_18

[hammaki 6]

!thk !thk !thk

[Yai Carmungwed 104]

ใครกลัวขายทิ้งครับ ผมเชื่อมั่นในระบบอาจารย์เสม

ไม่ขายยังอยู่ครบ รอขายที่1600พร้อมอาจารย์เสมและเพื่อนๆครับ

[CorScorpii 1]

แวะมาเที่ยวและทักทายครับ.......สบายดีนะครับคุณเสม........

[Yai Carmungwed 104]

[ส้มโอมือ 4,910]

กษ.สรุปพืชไร่เสียหายจากอุทกภัย-วาตภัยเกือบ 8 ล้านไร่

 

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 พฤศจิกายน 2553 17:11 น.

 

 

 

 

 

ศูนย์ป้องกันและแก้ไขภัยธรรมชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า ตัวเลขความเสียหายจากน้ำท่วมและลมพายุทางภาคใต้ ใน 11 จังหวัด ล่าสุด มีจำนวนทั้งสิ้น 857,737 ไร่ พืชสวนเสียหายมากที่สุดถึง 752,072 ไร่ เป็นสวนยาง 441,443 ไร่ รองลงมาเป็นนาข้าว 378,273 ไร่ ที่เหลือเป็นพืชไร่ 38,022 ไร่ ซึ่งขณะนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาตัวเลขที่จะชดเชยให้กับชาวสวนยาง

ส่วนความเสียหายในภาคอื่นๆ รวม 48 จังหวัด ขณะนี้ กรมส่งเสริมการเกษตรกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบความเสียหาย ก่อนจะจ่ายเงินชดเชยตามหลักเกณฑ์คณะรัฐมนตรี คาดว่าจะจ่ายให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน

 

[ส้มโอมือ 4,910]

มาตรการผ่อนคลายทางการเงินพิเศษกับผลกระทบอีกรอบ

ดร.อาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร กรุงเทพธุรกิจ วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

 

ในวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาประกาศมาตรการผ่อนคลายการเงินพิเศษรอบที่สอง (quantitative easing : QE II) จำนวนวงเงิน 600,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด จำนวน 500,000 ล้านดอลลาร์อยู่เล็กน้อย และมีแผนจะซื้อสินทรัพย์ที่เป็นพันธบัตรระยะยาวไปจนถึงกลางเดือนมิถุนายน 2011 ที่คิดเป็นการซื้อพันธบัตรเฉลี่ย 75,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน พร้อมทั้งประกาศว่ามีความพร้อมที่จะซื้อพันธบัตรเพิ่มอีกตามความจำเป็นหลังเดือนมิถุนายน 2011 มาตรการดังกล่าวเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด ดังนั้น ตลาดจึงขานรับประกาศมาตรการดังกล่าวของธนาคารกลางสหรัฐค่อนข้างดี

 

แม้ว่าจำนวนเงินดังกล่าวจะน้อยกว่ามาตรการผ่อนคลายการเงินรอบแรก ที่มีมูลค่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ใช้ในปี 2008-2009 ทั้งนี้ ความจำเป็นต้องใช้เงินจะน้อยกว่า เพราะในช่วง 2008-2009 นั้นเศรษฐกิจทั่วโลกตกอยู่ในภาวะตกต่ำสุดที่ต้องการกำลังฉุดที่แรง แต่ในปัจจุบันนั้นเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว เพียงเป็นการพยุงให้การฟื้นตัวเกิดขึ้นได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น

 

การประกาศเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาดังกล่าวหมายถึงการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจซึ่งที่มาของเงินนั้นคาดว่าจะมาจากการพิมพ์ธนบัตรใหม่ การเพิ่มจำนวนเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเป็นความตั้งใจของธนาคารที่จะให้ประชาชนมีเงินในมือมากขึ้น และกระตุ้นให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย ทำให้ธุรกิจขยายการจ้างผลิตการจ้างงาน สะท้อนว่าธนาคารกลางสหรัฐจะทำทุกวิถีทางในการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐไม่กลับเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอีกรอบ (เศรษฐกิจสหรัฐเจริญเติบโตในอัตรา 3.7% ในไตรมาสที่หนึ่ง 1.7% ในไตรมาสที่สอง และ 2.0% ในไตรมาสที่สาม) มาตรการพิเศษเพิ่มเติมนี้สร้างความมั่นใจต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเป็นผลดีต่อผลประกอบการของธุรกิจ ดังนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐจึงขยายตัวเป็นบวกมาอย่างต่อเนื่องในเดือนกันยายน-ตุลาคมที่ผ่านมา และเป็นการปรับรองรับมาตรการการเงินพิเศษนี้ล่วงหน้า

 

การพิมพ์เงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง จึงทำให้ราคาสินค้าประเภทต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น จึงไม่น่าประหลาดใจว่าจะทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ราคาหุ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตร ราคาอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนสินค้าโภคภัณฑ์ที่ราคาอ้างอิงอยู่กับค่าเงินดอลลาร์ นับตั้งแต่น้ำมัน ทองคำ และโลหะเพื่อการผลิตอุตสาหกรรมต่างปรับตัวสูงขึ้นเกือบทั้งหมด สะท้อนว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกามีความเป็นห่วงต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (และการจ้างงาน) มากกว่าความกลัวต่อปัญหาเงินเฟ้อ

 

สำหรับผลกระทบต่อตลาดการเงินของโลกนั้น ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นจำนวนดังกล่าวผนวกกับสภาพคล่องล้นที่มีอยู่เดิมแล้ว ก็จะยิ่งทำให้มีการเคลื่อนย้ายของเงินทุนในการแสวงหาผลตอบแทนมากขึ้น ดังนั้น จึงเห็นเงินทุนเคลื่อนย้ายไปยังประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง ก็คือ กลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ (emerging market) โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ละตินอเมริกาและเอเชีย ซึ่งมีเงินทุนไหลเข้าจำนวนมาก ทั้งๆ ไม่ได้มีความต้องการเงินทุนต่างประเทศ เพราะมีเงินตราต่างประเทศอยู่มากเกินความต้องการอยู่แล้ว ก็จะยิ่งกดดันให้เงินตราของกลุ่มประเทศเหล่านั้นมีค่าเงินที่แข็งขึ้น และเพิ่มปัญหาให้กับธนาคารกลางของประเทศเหล่านั้น ที่กำลังปวดหัวกับปัญหาค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วมากเกินไปในปัจจุบัน

 

ประเทศเศรษฐกิจใหม่เผชิญกับปัญหาค่าเงินแข็งที่ดูเหมือนที่จะไม่มีทางออกมากนัก แม้จะมีการหยิบยกประเด็นมาหารือในเวทีการประชุมระหว่างประเทศหลายเวที จึงมีแนวโน้มที่จะเห็นปรากฏการณ์ 4 อย่างขึ้น คือ 1. อาจมีการพิจารณาใช้มาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างประเทศมากขึ้น ประเทศในกลุ่มนี้ ได้แก่ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย มาเลเซีย และอินเดีย ยกเว้นสิงคโปร์ เพราะสิงคโปร์มีกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ (sovereign wealth fund) ที่มีการนำเอาเงินทุนของประเทศไปลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว 2. การขัดแย้งทางการค้าที่จะมีมากขึ้น อันเนื่องมาจากการที่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนได้ และ 3. การจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ เพื่อนำเอาเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่มีมากเกินความจำเป็นไปลงทุนในต่างประเทศ ในหลายประเทศรวมทั้งจีนและญี่ปุ่นก็มีแนวคิดในเรื่องนี้เช่นกัน 4. แรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อและราคาหลักทรัพย์ในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่จะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางของประเทศกลุ่มนี้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้น เพื่อต่อสู้ป้องกันอัตราเงินเฟ้อ

 

การที่มีปริมาณจำนวนมากไปแสวงหาผลตอบแทน นอกจากจะทำให้ราคาของสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นแล้ว ยังจะมีผลทำให้ความผันผวนของราคาจะมีมากขึ้นตามไปด้วย หมายถึงความเสี่ยงในการลงทุนประเภทต่างๆ จะพลอยสูงขึ้นตามไปด้วย และในขณะเดียวกัน ที่เงินทุนมีการเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี ก็จะทำให้วัฏจักรหรือวงจรทางเศรษฐกิจต่างๆ ก็มีรอบที่สั้นลงด้วย

[Pete 15,187]

ขอบคุณมากครับ สำหรับข่าวคราวความเป็นไปในแวดวง

ต่างๆ จาก คุณส้มโอมือ ครับ/color]

[moshi 9]

 

ล่อตะเข้มากๆ .. ไม่กลัว "โปนจ้น" หรอคับคุณใหญ่