ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

citizen-citizen-gold-pills.jpg

 

 

โอกาส"ทอง"(จริงๆ):ปริมาณเงิน(Monetary Base)

 

ในคราวก่อน ได้เปรยเกี่ยวกับตัวเลข ของราคาทองคำในอนาคตเอาไว้

ไล่ตั้งแต่ 2000$ / 5000$ / 7500$ หรือถึงขนาด 10,000$ !

ทำเอาเพื่อนๆสมาชิกบางคน เกิดคำถามในใจว่ามันจะเป็นไปได้ยังไง?

 

ก่อนอื่นอยากจะบอกอย่างนี้ครับว่า “เหรียญมีสองด้าน”

ตัวเลขเหล่านี้ จริงอยู่ มันบอกถึงราคาทองที่จะแพงขึ้น แต่ผมอยากให้คุณมองไปที่อีกด้านนึงของเหรียญ

คุณจะพบว่ามันกำลังสื่อถึงในอนาคต “ดอลล่าห์”จะอ่อนค่าลงอย่างมากต่างหาก

 

นั่นทำให้ ในอนาคต การจะซื้อทองคำ 1 ออนซ์เท่าเดิมจะใช้ดอลล่าห์เท่าเดิมไม่ได้

หากจำกันได้ในคราวที่แล้ว ผมบอกไว้ -ทองคำนั้นมันนอนของมันอยู่เฉยๆ เงินต่างหากที่จะอ่อนค่าลงไป-

และสำหรับเงินที่มีชื่อสกุลว่า “ดอลล่าห์” แล้ว

 

มันกำลังจะอ่อนค่าลงอย่างมากครับ !!!

 

......................................................................

 

เช่นเคยครับ ย้ำอีกครั้งว่า “มันไม่มีอะไรซับซ้อน” ที่มันอ่อนค่าลงอย่างมาก

ก็เพราะเค้า “พิมพ์ออกมามาก”

 

เรื่องของเรื่องมันก็มีแค่นั้นจริงๆ

 

หลายร้อยเหตุผลตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือในทีวี ที่วิเคราะห์ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ

อย่างนั้นอย่างนี้ ลืมมันไปก่อนนะครับ

 

เรามามองกันอย่างตรงไปตรงมา อะไรที่มันมากเกินไป มันก็ไร้ค่า

เมื่อเค้าพิมพ์เพิ่มออกมามากๆ ค่าของดอลล่าห์ก็ย่อมจะลดลง

(หลักฐานคือ ดอลล่าห์อินเด็กซ์ (USDX) ที่อ่อนค่าลงทุกปี)

ทีนี้เรามาดูกันว่า มากขนาดไหน ???

 

 

moneybase.jpg

 

 

ผมจะค่อยๆอธิบายนะครับ

กราฟนี้เป็นกราฟ ปริมาณเงินดอลล่าห์ (Monetary Base)ที่ถูกพิมพ์ออกสู่ระบบ

ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา กราฟเริ่มจากเรี่ยติดดิน

ในช่วงแรกหลังจากนั้นก็ขยับตัวสูงขึ้นบ้างแต่ใช้เวลาพอสมควร

สังเกตให้ดีคุณจะเห็นว่า

 

กราฟมาเริ่มยกตัวเอาจริงๆก็ใน ปี1971

 

ใครอ่านบทความผมมาตั้งแต่ต้น ต้องจำปีนี้ได้ครับ

ปี1971 ปีที่ ริชาร์ด นิกสัน ประกาศยกเลิกระบบ เบรตตัน วู้ด ตัดโซ่ที่พันธนาการเงินดอลล่าห์ไว้กับทองคำ

หลังจากนั้นดอลล่าห์ก็เริ่มจะโบยบินและเป็นอิสระ ไม่ต้องถูกจำกัดปริมาณการพิมพ์ด้วยจำนวนทองคำที่เป็นทุนสำรองอีกต่อไป

 

ปริมาณเงินดอลล่าห์ พุ่งแตะระดับ 800,000,000,000 $ (800 Billion)เป็นครั้งแรก

ในปี 2005 ด้วยฝีมือของ จอช บุช (George W. Bush)

เป็นการอัดฉีดเข้าแก้ไข วิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐ(Dot-com Bubble)

 

แต่เค้าก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น

 

เพียง 3 ปีต่อมาปริมาณเงินเพิ่มขึ้นอีกแตะระดับ900,000,000,000 $ (900 Billion)

จนมาถึงตุลาคมปี2008(Hamburger Crisis , Subprime Crisis , หรือ Housing Bubble แล้วแต่จะเรียก)

ฟองสบู่ อสังหาริมทรัพย์แตกกระจาย

 

ธนาคารกลางสหรัฐ ทำสิ่งที่ ไม่มีใครคาดคิด ปริมาณเงินดอลล่าห์ถูกอัดฉีดเข้าระบบในปริมาณมหาศาล

อย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อน (จากกราฟจะเห็นว่ากราฟหักขึ้นเหมือนติดจรวด)

 

จากระดับ 900 Billion เพิ่มขึ้นถึงระดับเกือบ 1,800 Billion(เท่าตัว)

 

คำว่า Billion กลายเป็นอดีต ประชาชนชาวอเมริกันได้รู้จักคำศัพท์ใหม่คือคำว่า

“Trillion” (1,000 Billion = 1 Trillion)

 

คำว่า Trillion ถูกเขียนถึงตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือใช้พูดกันผ่านทางข่าวเศรษฐกิจใน

CNN, CNBC, Bloomberg อยู่ตลอดในเวลานั้น

 

............................................................

 

เรามารู้จักคำว่าTrillionกันครับ :rolleyes:

 

ที่มา:Pagetutor.com

 

:excl: นี่คือรูปของเงิน 1 Million (1 ล้าน)

พกใส่กระเป๋าย่าม เดินไปไหนมาไหน ได้ไม่ยาก(เป็นธนบัตรชนิดราคา 100$)

ขนาดนี้คงพอจะเคยเห็นกันนะครับ โออิชิก็เคยแจก 1 ล้าน

ยิ่งหากคุณลงทุนในทองคำแท่ง ปึกเงินไทย1ล้าน

เดี๋ยวนี้ซื้อได้ประมาณ 50 บาททองคำครับ

 

pile.jpg

 

 

:excl: นี่คือ 1 Billion (1 พันล้าน)

 

pallet_x_10.jpg

 

 

 

:excl: นี่คือ 1 Trillion (1 ล้านล้าน)

 

pallet_x_10000.jpg

 

 

 

 

อืมม...คนยังยืนอยู่ที่เดิมนะครับ แล้วสังเกตดีๆภาพสุดท้ายนี้จะเห็นว่า

เงินมันซ้อนกันอยู่ 2 ชั้น !

(หากเป็นเงินบาทไทยใช้แบงค์พันเรียงแทนก็ คูณ 3 เข้าไปอีก)

 

- เงิน 1 Trillion มีศูนย์ต่อข้างหลัง 12 ตัว

 

- เงิน 1 Trillion หากหยอดกระปุกทุกวินาที วินาทีละ 1$

จะต้องใช้เวลา 32000 ปีถึงจะหยอดครบ

 

- เงิน 1 Trillion หากเอาไปซื้อ กาแฟสตาบัคแก้วละ 3$ ดื่มทุกวัน

จะสามารถซื้อดื่มได้ 900 ล้านปี

 

- เงิน 1 Trillion หากเอามาเรียงต่อกันจะสูงทะลุทุกชั้นบรรยากาศเลยไปจนถึง “อวกาศ”

 

การพิมพ์เงินเพิ่มออกมา 1 Trillion ในปีนั้น มากกว่าการพิมพ์สะสมมาทั้งหมด ตลอด 200 ปี

ของประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ภายหลังถูกเรียกว่า

นโยบาย Quatitative easing 1 (QE1)

 

หนำซ้ำทุกวันนี้ก็ยังไม่หยุดพิมพ์

 

เร็วๆนี้เราก็เพิ่งได้ยินข่าวเรื่อง

QE2ประกาศอัดฉีดเพิ่มในปีนี้ (0.6 Trillion)

ทำให้ปริมาณเงินแตะระดับ 2 Trillion ในปี 2010

 

คงพอเห็นภาพแล้วใช่มั๊ยครับว่า มากกก ขนาดไหน

 

อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะไม่มีผลตามมา อย่าคิดว่าจะสามารถทำแบบนี้ได้ตลอดไป

ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นใคร ยิ่งใหญ่มาจากไหน หากทำแบบนี้ จบแบบไม่สวยทุกครั้ง

(อาณาจักรโรมัน, เยอรมันนี, ยูโกสลาเวีย, ซิมบับเว ฯลฯ)

 

ยาสีฟันหากคุณบีบออกมาแล้วมันยากกมากที่จะใส่กลับคืน

เช่นกัน เงินนั้นลองได้พิมพ์ออกมาสู่ระบบแล้ว ยากกกที่จะดูดออก เมื่อมันไหลเวียนเข้าสู่ระบบ

เมื่อนั้น ประชาชน ชาวอเมริกัน จะได้เผชิญกับ อภิมหาเงินเฟ้อ (Hyperinflation)

ไม่ต่างจากซิมบับเว

 

..............................................................

 

 

ย้อนมาว่ากันต่อเรื่อง “ทองคำ”

ในโอกาส”ทอง”(จริงๆ)ครั้งที่ 1 ผมเคยอธิบายไปแล้วว่าสาเหตุที่

ทองคำปรับตัวสูงขึ้นกว่า 20 เท่าตัวในตอนนั้น เกิดจาก ”ความเสื่อมศรัทธาในดอลล่าห์”

ทองคำจึงปรับมูลค่าของตัวเองให้เทียบเท่ากับ “ปริมาณดอลล่าห์” ที่พิมพ์ออกมาในระบบ

 

ในช่วงเวลานั้น ดอลล่าห์ทุกใบจึงกลับมาหนุนหลังด้วยทองคำอีกครั้ง

(แต่ไม่ใช่ที่ราคา 35$/oz แต่เป็น 850$/oz ถึงจะพอดีกับปริมาณทองคำที่มี)

 

 

gold-metrics-2.jpg

 

เส้น100%คือเส้นที่บอกว่า ดอลล่าห์ทุกใบถูกหนุนด้วยทองคำเต็มจำนวน

ปี 1980 ทองคำปรับมูลค่าสูงขึ้นไปถึง 125% ทำไมถึงเกิน? เดี๋ยวอธิบายครับ

 

โอกาส“ทอง”(จริงๆ)ที่กำลังจะมาถึง ก็พอเดาได้ว่าจะมีลักษณะ ไม่ต่างกัน

 

 

gold-metrics-2_edited-1.jpg

 

 

 

:huh: อารมณ์ ของตลาดการเงินในตอนนี้ ทัศนะคติที่มีต่อดอลล่าห์ เปลี่ยนไปในแง่ลบ มากขึ้นๆ

 

:huh: ประธานธนาคารโลก ออกมาส่งสัญญาณ ถึง “ระบบเบรตตัน 2”

(หนุนดอลล่าห์ทุกใบด้วยทองคำอีกครั้ง) เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

 

:huh: จีน จับมือ รัสเซีย ทำการซื้อขายระหว่างกัน โดยไม่ใช้เงิน “สกุลดอลล่าห์”

 

:huh: ล่าสุดปริมาณการนำเข้าทองคำของจีน (Gold Import) เพิ่มถึง 500%

ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับปี 2009

 

ผมไม่ต้องการ สัญญาณ อะไรเพิ่มเติมอีกแล้วครับ ทุกอย่างมัน “ชัดเจน”มากเหลือเกิน

ว่าอะไรกำลังจะเกิดอะไรขึ้น

 

หากดอลล่าห์ทุกใบจะต้องกลับมาหนุนด้วยทองคำอีกครั้ง

 

มันจะเป็นยังไง??? เรามาดูกัน

 

imag0037_edited-1.jpg

 

เส้นล่าง - ปริมาณทองคำ

 

เส้นกลาง - ปริมาณเงิน (Monetary Base)

 

เส้นบน - ปริมาณเงิน + เครดิต (Revolving Credit & Monetary Base)

 

สาเหตุที่ต้องรวม เครดิต เข้าไปด้วยก็เพราะในยุคสมัยใหม่นั้น “เงิน”ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปของ

ธนบัตรและเหรียญเท่านั้น ยังมี “เงินดิจิตอล”

เช่น(การใช้บัตรเครดิต) ที่เป็นตัวเลขทางบัญชีในคอมพิวเตอร์ด้วย

 

เงินประเภทนี้มีปริมาณมหาศาล เพราะการเพิ่มปริมาณนั้นง่ายกว่าพิมพ์ เช่น

ถ้าจะเพิ่มปริมาณเงินจาก 1 ล้านเป็น 10 ล้านอาจจะต้องเพิ่มปริมาณการพิมพ์ขึ้น 10 เท่า

แต่ สำหรับเงินดิจิตอลนั้น แค่ “เคาะเลขศูนย์”เพิ่มไปตัวนึงก็พอ

จึงต้องนับ เงินดิจิตอล ว่าเป็นเงินรวมเข้าไปด้วย

 

ในปี 1980 ทองปรับมูลค่าของตัวเองขึ้น ทะลุเลย Monetary Base (100%)

ไปชนกับเส้นบน Revolving Credit & Monetary Base (125%)

นั่นทำให้หาก เกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีกครั้งราคาทองจะปรับมูลค่าตัวเองขึ้นไปตามกราฟ

 

imag0037_edited-1copy.jpg

 

วงกลมคือเป้าหมาย ลูกศรสีแดงคือ ลู่วิ่ง(Upside)ของราคาทองที่จะขึ้นได้

แต่ ยังไม่จบแค่นั้น เพราะหากคุณสังเกตกราฟให้ดีๆ จะพบว่ากราฟนี้ ทำขึ้นเมื่อปี2008

ก่อนที่ QE1-QE2 จะมา

เพราะฉะนั้นปริมาณเงินและเครดิตในตอนนี้นั้นมากกว่า ในปี 2008อีกกว่าเท่าตัว

 

imag0037_edited-2copy.jpg

 

ลู่วิ่งของเราจึง ยังยาวต่อขึ้นได้อีก

 

ไม่ลีลาแล้วครับ เคาะราคากันไปเลย หากราคาทองคำปรับมูลค่าขึ้นไปถึงจุดดังกล่าว

มีสิทธิ์ที่ราคาจะไปอยู่ที่ 15000$/oz!!!!

 

ตัวเลขนี้เป็นแค่ตัวเลขประมาณการ อาจจะน้อยกว่านี้หรือ “มากกว่านี้” ไม่มีใครรู้

แต่มันเป็นตัวเลขที่ฟ้องให้เราเห็นว่า

ปริมาณเงินมีมากขนาดไหน? เมื่อเทียบกับปริมาณทองคำ

 

แล้วหากคุณเชื่อเหมือนที่ผมเชื่อว่า

ทองคำนั่นต่างหากคือเงินที่แท้จริง ข้อมูลเหล่านี้ก็ ไม่ได้เพ้อเจ้อหรือว่าเกินเลย

 

:excl: ผมเป็นผม ผมจึงเชื่อในทุกถ้อยคำที่ผมเขียนในบทความนี้

พอร์ทสินทรัพย์ของผมจึงเป็น “ทองคำ” ถึง 70-80%มานานแล้ว

 

:excl: แต่หากผมเป็นคุณ ผมจะ “ยังไม่เชื่อ” ในสิ่งที่ได้อ่าน

เพราะผมไม่ได้เป็นคนที่เชื่ออะไรง่ายๆ

 

:excl: หากผมเป็นคุณ ผมจะเกิด “ความสงสัย” ขึ้นในใจ

แล้วพยายามที่จะ ศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลเพิ่มเติม ให้มากที่สุด

 

หากผมหาข้อมูล มาโต้แย้ง หักล้างข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ ผมถึง “ค่อยเชื่อ”

 

นี่คือการบ้านที่ผมอยากมอบให้คุณทำครับ ศึกษาเพิ่มเติมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หากคุณเคยต้องทนเบื่อหน่ายกับการศึกษา ค้นคว้าอ่านหนังสือ เรียนมาแล้วไม่ได้ใช้ ก็ยังทำไปได้

คราวนี้ลองอีกซักครั้งนะครับ

 

-ครั้งนี้รับรองไม่เหมือนทุกครั้ง

 

-ครั้งนี้คุ้มค่าที่จะศึกษา

 

-ครั้งนี้รับรองว่าได้ใช้และในอนาคตคุณจะภูมิใจในตัวเองครับที่ทำอย่างนั้น

 

................................................................

 

<_< สิ่งที่ติดค้างในใจอีกอย่างก็คือ เมื่อรู้แล้วว่าราคาทองคำจะขึ้น คำถามคือ “เมื่อไหร่ ??”(When)

 

หากเป็นเมื่อก่อน ผมคงบอกว่า 5-10 ปี แต่จากการติดตามข่าวทุกวัน

มันทำให้ผมรู้สึกว่า มันอาจจะเร็วกว่านั้นก็ได้ เพราะ สถาณะการณ์หลายๆอย่าง เริ่มจะงวดเข้ามาเรื่อยๆเร็วกว่าที่คาด

 

2,000$ 5,000$ 7,500$ หรือ 10,000$

คุณอาจจะคิดว่าเป็นไปได้ยาก

เพราะ “ตัวเลขมันสูง” ภายในระยะเวลาที่ “สั้น” แต่เชื่อผมเถอะครับ ความเชื่อมั่นในระบบ

หากมันเสื่อมลงเมื่อไหร่ มันจะเสื่อมลงเร็วมากครับ

การเสื่อมค่าของดอลล่าห์ ในคราวนี้จะไม่ได้ค่อยๆเสื่อมเหมือนการลงบรรได แต่จะเป็นการเดินตกเหวซะมากกว่า

ก่อนหน้าที่คุณจะได้อ่านบทความ โอกาส“ทอง”(จริงๆ)กับตอนนี้

ผมก็เชื่อว่า มุมมองต่อโลกการเงินของคุณ

ก็คงเปลี่ยนไปมากแล้ว(เว้นเสียแต่ว่าผมทำหน้าที่สื่อสารออกไปได้ไม่ดีพอ)

 

การเตรียมพร้อมเป็นสิ่งสำคัญครับ ราคาทองคำพร้อมจะระเบิดเมื่อไหร่วันไหนก็ได้ ไม่มีใครรู้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าวันไหน

รู้เพียงว่าวันนั้นมันจะมา ผมจึงทำได้แค่รอและเมื่อวันนั้นมาถึง ขอให้ผม “พร้อม”

และมีของอยู่กับตัวให้มากที่สุด

 

จีนมีความสามารถทำให้ดอลล่าห์ ล่มสลายได้ภายในชั่วข้ามคืน ไม่รู้ว่าจีนจะเหลืออดวันไหน รู้แค่ว่าตอนนี้

เมื่อจีนขยับ ทั่วโลกจะหยุดเพื่อ “ดู”

เมื่อจีนพูด ทั่วทั้งโลกจะหยุดเพื่อ “ฟัง”

โลกทั้งโลกกำลังรอ “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญอยู่

 

ยุง ถึงแม้มันจะตัวเล็ก หากมันกัดเราถูกที่ ก็ทำให้เราต้องขยับไปทั้งตัวได้

ฉันใดก็ฉันนั้น จุดเปลี่ยนเพียงเล็กๆ ก็จะก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไปทั่วทั้งโลกได้เช่นกัน

 

<_< สิ่งที่ติดค้างในใจอีกอย่างนึงก็คือ 2,000$ 5,000$ 7,500$ หรือ 10,000$ มันคือราคา ในสกุลเงิน ดอลล่าห์

แล้ว หากแปลงเป็นเงินบาทละ ราคามันจะ“บาทละเท่าไหร่?”

 

ในช่วงที่ผ่านมา การแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วของเงินบาท

รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%อย่างผิดคาด จาก กนง.

บอกถึงทิศทางในอนาคตว่า เงินบาทจะแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่บางที 25 บาทต่อเหรียญ

อาจจะวนกลับมาให้ได้เห็นกันอีกครั้ง

เราจึงไม่สามารถนำค่าเงินบาทในตอนนี้ไปคำนวณราคาทองคำในอนาคตได้

 

ค่าเงินบาทจะเป็นเท่าไหร่? ในตอนที่ทองขึ้น ? ผมขอคาดการณ์เอาอย่างง่ายๆแบบนี้ครับ

ฟังขึ้นไม่ขึ้นแล้วแต่ท่านจะพิจารณา :lol: :lol:

 

คุณคงเคยได้ยินคำว่า ทองบาทละ “400” สมัยอากง อาม่า คุณตา คุณยาย เล่าให้ฟังใช่มั๊ยครับ ?

ทองเคยบาทละ 400 จริงๆนะครับตอนนั้น เพราะค่าของเงินนั้นสูงมาก หรือที่ชาวบ้านชอบพูดกันว่า “เงินมันใหญ่”

 

แต่เมื่อ ประตูแห่ง โอกาส “ทอง” ครั้งที่ 1 เปิด

จากทองบาทละ 400 ในปี 2513 พุ่งทะยานฟ้าขึ้นไปถึง บาทละ 6000 ภายในเวลาแค่ 10 ปี !

 

แต่นั่นเป็นเรื่องของคนยุคก่อนครับ

 

คนยุคผมนั้น ทองบาทละ 4000 ก็ถือว่าถูกแล้ว (เงินมันเล็กลง)

หากประตูแห่ง โอกาส “ทอง” จะเปิดอีกครั้ง

 

จากที่เคย 400 ยังขึ้นเป็น 6,000 ได้

 

จาก 4,000 ก็ขึ้นเป็นบาทละ 60,000 ได้เช่นกัน !!

 

เมื่อถึงตอนนั้น ให้ลองนึกภาพ คุณตื่นเต้นที่เห็นทองขึ้นขนาดนั้นแล้ววิ่งไปบอกอาม่า

อาม่าคงจะพูดกลับมาว่า

 

“แบบนี้อั๊วเคยเหงมาแล้ว”

 

ไม่ได้ฟันธงนะครับเพราะ

ผมเองไม่ใช่ หมอลักษณ์

แต่ ผมเองก็ไม่ใช่ นาธาน ที่จะมาหลอกคุณเช่นกัน

 

บทความของผมมีอายุขัยของมันครับ เวลานับจากนี้ไปไม่กี่ปี มันจะฟ้องตัวมันเอง ว่าถูกหรือไม่ถูก แม่นหรือไม่แม่น

ผมเฝ้ารอวันนั้นให้มาถึงครับ

 

เพราะผมเองก็อยากจะรู้ !

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จริงๆด้วย ตอนนี้ ทอง 24,xxx ฿ แค่8-9 เดือนเอง ขึ้นมา เกือบ 5,000฿ แต่มะมีตังซื้ออ่ะ T_T'

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

+1 ครับผม กดในมือถือ พลาดลบเลย ขอโทษคร้าบ ..ได้อ่านอีกครั้ง ม่ันใจขึ้นเยอะเลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ติดดอยทอง รอไม่นาน ก็หลุดดอยได้ อันนี้ไม่น่ากลัวครับ :P

แต่ติดดอยหุ้นนี่ซิ มันน่ากลัวมาก ไม่รู้อนาคตจะเป้นอย่างไร :wacko:!!!

ว่าแล้ว เมื่อไหร่คุณnext จะเปิดกระทู้ " โอกาสของหุ้น " บ้างครับ แหะแหะ

ขอบคุณครับคุณnext :)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เวลาซื้อก็คิดหนักครับ

 

ว่าทำไมไม่เก็บตังไว้ซื้อให้มากกว่านี้ laugh.giflaugh.giflaugh.gif

 

ตอนนี้โครงการใช้จ่ายเงินที่ไม่จำเป็นจริงๆ ตัดออกหมดครับ หยอดกระปุกไว้ซื้อของเข้าอย่างเดียว

 

ผมซื้อจนหมดหน้าตักแล้วครับ (นานแล้วด้วย) ตอนนี้กำลังเข้าโปรแกรมออมทอง เพราะเก็บเงินซื้อจะไล่ราคาไม่ทัน ฉะนั้นเข้าโปรแกรมไปเลยเค้าจะซื้อให้เราทุกวันทำการในราคาปิดของสมาคมเวลาสี่โมงเย็น ได้ผลครับมีทองเพิ่มทุกวันไม่ว่าจะราคาเท่าไรก็ซื้อทุกวัน เฉลี่ยทั้งเดือนแล้วเทียบกับราคาปัจจุบันก็โอเค

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณกุ้งครับโลหะเงิน สัญญาณดีขึ้นยังครับ ขอบคุณครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอาเนื้อหาดีดีที่มีคนแปลคำพูดของคุณตาวอร์เรน บัฟเฟต มาฝากค่ะ คนอเมริกันได้ฟัง น่าจะซึ้งใจ !10

buff2.jpg?w=260&h=194

 

หยุดเอาใจมหาเศรษฐีเสียที :excl:

สารจาก “วอร์เรน บัฟเฟตต์” วันที่ 14 สิงหาคม 2011

 

ผู้นำประเทศของเรา ได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชน “เสียสละร่วมกัน” แต่ในคำขอนั้น พวกเขากลับยกเว้นตัวผมเอาไว้ ผมได้สอบถามไปยังเพื่อนมหาเศรษฐีหลายคนว่าพวกเขาคิดว่าตัวเองจะต้องเสียอะไรบ้างจากคำขอดังกล่าว แต่ปรากฏว่า ไม่มีใครไปแตะต้องพวกเขาเช่นกัน

 

ในขณะที่คนจนและคนชั้นกลางออกไปสู้รบในอัฟกานิสถาน และคนอเมริกันส่วนใหญ่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มหาเศรษฐีอย่างพวกเรากลับได้รับยกเว้นภาษีเป็นกรณีพิเศษ

 

พวกเราบางคนเป็นผู้จัดการกองทุนซึ่งทำรายได้หลายพันล้านเหรียญจากหยาดเหงื่อของผู้ใช้แรงงานมากมาย แต่กลับได้รับอนุญาตให้จัดประเภทรายได้ของเราเป็น “รายได้ที่ได้รับการยกเว้น” ซึ่งช่วยให้ลดภาษีได้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ พวกเราหลายคนถือหุ้นไว้เพียง 10 นาที และทำกำไรได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ โดยเสียภาษีเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ ราวกับเป็นนักลงทุนระยะยาว

 

สิ่งเหล่านี้คือพรที่เราได้รับ จากพวกที่ออกกฎหมายในวอชิงตัน ซึ่งรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเรา ราวกับพวกเราเป็นนกฮูกที่กำลังถูกไล่ล่าหรือสัตว์อะไรบางอย่างที่กำลังจะสูญพันธุ์

 

ปีที่แล้ว ใบเสร็จภาษีทั้งหมดของผม ประกอบด้วยภาษีเงินได้ และภาษีอื่นๆ ที่เสียในนามของผม รวมแล้วเป็นจำนวน 6,938,744 ดอลล่าร์ ฟังดูเหมือนเป็นเงินมากมาย แต่อัตราภาษีที่ผมจ่ายไปนั้นอยู่ในระดับ 17.4 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับลูกน้องอีก 20 คนที่นั่งอยู่ในสำนักงานของผม ซึ่งเสียภาษีในอัตรา 33 ถึง 41 เปอร์เซ็นต์ เฉลี่ยแล้ว 36 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

 

ถ้าคุณใช้เงินทำเงิน แบบที่เพื่อนมหาเศรษฐีของผมทำ อัตราภาษีที่คุณต้องจ่ายจะยิ่งน้อยกว่านี้เสียอีก แต่ถ้าคุณทำงานเป็นลูกจ้าง คุณกลับต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าผม โดยมากแล้วจะสูงกว่ามากทีเดียว

 

การจะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ คุณต้องวิเคราะห์ที่มาของรายได้ของรัฐบาลเสียก่อน ในปีที่แล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ของรัฐบาลมาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินประกันสังคม เหล่ามหาเศรษฐีจ่ายภาษีแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด แต่แทบไม่ต้องจ่ายประกันสังคมเลย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับคนชั้นกลาง ที่โดยส่วนใหญ่แล้ว อยู่ในกลุ่มที่ต้องเสียภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังต้องรับกรรมด้วยการเสียภาษี ประกันสังคมจำนวนมาก

 

ย้อนหลังกลับไปในทศวรรษที่ 1980 และ 1990 อัตราภาษีสำหรับคนรวยยังสูงกว่านี้มาก เปอร์เซ็นต์ของภาษีที่ผมต้องเสียถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับคนทั้งหมด บางทฤษฎีถึงกับบอกว่าผมควรเลิกลงทุน เพราะยิ่งลงทุนมากก็ยิ่งต้องเสียภาษีมากขึ้นในอัตราก้าวหน้า ทั้งภาษีจากกำไรในการขายหุ้น และภาษีเงินปันผล

 

ผมอยู่ในแวดวงการลงทุนมามากกว่า 60 ปี ไม่ว่าตัวผมเองหรือใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พวกเรายังไม่เคยเห็นใคร แม้แต่ในช่วงที่กำไรจากการขายหุ้นถูกหักภาษีถึง 39.9 เปอร์เซ็นต์ในปี 1976-77 เลิกลงทุนเพียงเพราะต้องจ่ายภาษีจากกำไรที่ทำได้ คนเราลงทุนเพื่อให้ได้เงิน และภาษีก็ไม่เคยทำให้พวกเขาถอยหนี

 

พวกที่เถียงว่าภาษีที่สูงขึ้นจะทำให้การจ้างงานลดลง ผมจะบอกให้ว่า มีตำแหน่งงานเกือบ 40 ล้านตำแหน่ง ถูกว่าจ้างระหว่างปี 1980 ถึงปี 2000 ซึ่งคุณก็คงรู้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นระหว่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ อัตราภาษีที่ต่ำลง และการจ้างงานที่ลดลง

 

ตั้งแต่ปี 1992 กรมสรรพากรได้รวบรวมข้อมูลของคนอเมริกัน 400 คนที่เสียภาษีสูงสุด ในปี 1992 ปีเดียว คน 400 คนนี้มีรายได้รวมกัน 16,900 ล้านเหรียญ และจ่ายภาษีคิดเป็น 29.2 เปอร์เซ็นต์ของเงินจำนวนดังกล่าว ในปี 2008 รายได้รวมของ 400 คนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 90,900 ล้านเหรียญ เฉลี่ยแล้ว 227.4 ล้านเหรียญต่อคน แต่อัตราภาษีที่พวกเขาต้องเสียกลับลดลงเหลือ 21.5 เปอร์เซ็นต์

 

ภาษีที่ผมอ้างถึงในที่นี้ หมายถึงภาษีที่ต้องจ่ายให้กับรัฐบาลกลาง แต่เชื่อได้เลยว่าภาษีประกันสังคมของ 400 คนนี้ ไม่ได้มากเหมือนกับรายได้ของพวกเขาอย่างแน่นอน ที่จริงแล้ว 88 จาก 400 คนที่ว่า ไม่ได้รับค่าจ้างเลย แต่พวกเขามีรายได้จากกำไรในการลงทุน พี่ๆ น้องๆ ของผมบางคน อาจไม่ชอบทำงาน แต่พวกเขาชอบที่จะลงทุน (ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น)

 

ผมรู้จักมหาเศรษฐีจำนวนมาก พวกเขาส่วนใหญ่ เป็นคนที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย พวกเขารักอเมริกา และซาบซึ้งในโอกาสที่ประเทศนี้ให้กับเขา หลายคนได้มาร่วมโครงการ “สัญญาว่าจะให้” ของผม โดยรับปากว่าจะบริจาคเงินส่วนใหญ่ของพวกเขาให้กับการกุศล พวกเขาส่วนใหญ่แทบไม่สนใจหากจะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่เพื่อนร่วมชาติกำลังเดือดร้อน

 

สมาชิกสภาคองเกรส 12 คน กำลังจะทำหน้าที่อันสำคัญยิ่ง คือจัดระเบียบการเงินของประเทศนี้เสียใหม่ พวกเขาได้รับคำแนะนำให้เขียนแผนระยะยาว ซึ่งจะช่วยลดภาระการใช้จ่ายของชาติเราใน 10 ปีข้างหน้า ให้เหลือ 1.5 ล้านล้านเหรียญ แต่พวกเขาจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกแผนลดภาษีให้ได้มากกว่านั้น

 

คนอเมริกันกำลังสูญเสียความเชื่อมั่นในความสามารถของคองเกรสในการจัดการกับปัญหาการใช้จ่ายของชาติ มีแต่การกระทำที่เร่งด่วน จริงแท้ และยั่งยืนเท่านั้น ที่จะขจัดความระแวงสงสัยหรือความสิ้นหวังออกไปจากจิตใจของอเมริกันชน ความรู้สึกเชื่อมั่นเท่านั้น ที่จะสร้างความจริงขึ้นมาได้

 

งานแรกของสมาชิกสภาฯ 12 คน คือให้คำมั่นสัญญาในสิ่งที่แม้แต่คนรวยก็ทำไม่ได้ คือสัญญากว่าจะประหยัดเงินให้ได้มากๆ จากนั้น สมาชิกสภาฯ ทั้ง 12 คน จึงควรหันไปพิจารณาประเด็นเกี่ยวกับรายได้ ผมอยากให้ อัตราภาษีที่คนอเมริกัน 99.7 เปอร์เซ็นต์ ต้องจ่ายยังคงเดิม แต่ควรลดเปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่ลูกจ้างต้องจ่ายเป็นภาษีประกันสังคมลง 2 เปอร์เซ็นต์ การลดลงนี้จะเป็นการช่วยเหลือคนจนและคนชั้นกลาง ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างยิ่ง

 

แต่สำหรับคนที่รายได้เกิน 1 ล้านเหรียญ ซึ่งมีอยู่ 236,883 ครัวเรือนในปี 2009 ผมเสนอให้ขึ้นภาษีทันที ในส่วนของรายได้ที่เกิน 1 ล้านเหรียญ ซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมภาษีจากกำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผลด้วย และสำหรับคนที่รายได้เกิน 10 ล้านเหรียญ ซึ่งมีอยู่ 8,274 คนในปี 2009 ผมแนะนำให้ขึ้นอัตราภาษีขึ้นไปอีก

เพื่อนๆ ของผมและตัวผมได้รับการเอาอกเอาใจมากพอแล้วจากสภาคองเกรสที่แสนจะเป็นมิตรกับมหาเศรษฐีมาโดยตลอด ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลของเราจะต้องทำให้เกิดการ “เสียสละร่วมกัน” อย่างแท้จริงเสียที

วอร์เรน อี บัฟเฟตต์ ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารของ เบิร์คไชร์ แฮธาเวย์

ถูกแก้ไข โดย serenade

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหตุการณ์แบบคงไม่เกิดขึ้นในเมืองไทยแน่นอนฟันธง!!!!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหตุการณ์แบบคงไม่เกิดขึ้นในเมืองไทยแน่นอนฟันธง!!!!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ป๋าบัฟเฟตต์ นี่ลูกผู้ชายตัวจริงๆ !gd

 

ถ้ามหาเศรษฐีทั่วโลก คิดและทำได้แบบนี้จะดีมากๆ เลย (แต่คนจนกับคนชนชั้นกลาง ก็ต้องพยายามถีบตัวขึ้นไปเป็นมหาเศาษฐีด้วยนะ จะได้ช่วยเหลือกันเป็นทอดๆ ไป ตลอด)

 

ขอบคุณ คุณ serenade ด้วยนะครับ สำหรับบทความดีๆ !01 !01

 

ปล. เอามาจากที่ไหนเหรอ แล้วมีบทความอื่นๆ อีกหรือเปล่า เพราะผมว่าเค้าแปลได้ดีมากๆ เลย อยากอ่านเพิ่ม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แต่เมืองไทย....ยังแยกคนจน...เศรษฐี...ไม่ออกเลย... :mellow:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณกุ้งครับโลหะเงิน สัญญาณดีขึ้นยังครับ ขอบคุณครับ

 

มีสัญญาณซื้อมาได้ 2 วันแล้วค่ะ น่าจะ OK แต่ยังติด neckline เยอะเลย มันเลยไม่ค่อยวิ่งเท่าไร แถมยังโดนสะกัดราคาด้วย algo อีกต่างหาก (ถ้าไม่สะกัดอาจไป $100 เหรียญแล้วมั๊ง 555+++) ตอนนี้คนแห่ไปเล่นทองกันเยอะ แถม CNN ก็ช่วยโฆษณาให้ด้วย พูดถึงการลงทุนในทองคำทุกวัน เป็น talk of the town มีตู้ขายทอง และ website ทีสามารถหาซื้อได้ gold mania อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ (ให้หวั่นๆ อยู่เหมือนกัน ว่ากระแสมันแรงเกินไป อยากให้มันแอบขึ้นเงียบๆ ไปเรื่อยๆ มากกว่า จะได้ขึ้นได้นานๆ และมั่นคง ถ้าขึ้นแบบนี้เวลาลงก็....เฮ้อ...roller coaster ล่ะค่ะ)

 

Silver ถือๆ ไปเถอะค่ะ เวลาเจ้าจิ๋วมันพุ่ง มันพุ่งแรง คนก็จะหันมาสนใจมันเอง ใจเย็นๆ ค่ะ !La

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...