ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

มีคนส่งจดหมายมาถามลุงจิม ซึ่งผมก็เคยเอะใจคิดเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไร

สำหรับลุงจิม ดูเหมือนว่าลุงจิมจะมีมุมมองที่ไม่เหมือนกับผม ...

 

* * * * *

 

ถาม : ผมเป็นคนหนึ่งที่มีหนี้อสังหาฯอยู่ ถ้าจะโปะหนี้ให้หมดตอนนี้ จะใช้ทองคำ ๒๐๐๐ ออนซ์ ถ้าราคาไปถึง ๓๕๐๐ เหรียญอย่างที่ลุงจิมว่า จะใช้ทองคำเพียงแค่ ๓๐๐ ออนซ์เท่านั้น ... แต่ลุงกลับแนะนำว่า ให้พยายามล้างหนี้ และนำสินทรัพย์ทั้งหลายออกจากระบบให้หมด ... ซึ่งมันสวนทางกันจากการคำนวณตามข้างบน ลุงมีความเห็นว่าอย่างไร?

 

ตอบ : จากประวัติศาสตร์ เมื่อเงินถูกลดค่า หนี้ก็จะถูกลดค่าไปด้วย (นั่นหมายความว่า "ตัวเลข" ของจำนวนหนี้ ก็จะวิ่งเพิ่มขึ้นตามที่เงินถูกลดค่า) เพราะฉะนั้นแผนที่จะเอาทองคำมาใช้หนี้นั้น จะไม่สามารถใช้ได้ตามประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้น

 

http://www.jsmineset...s-mailbox-1387/

 

ก็คือดอกเบี้ยขึ้นไปก่อนราคาทองไงครับ

ในมุมมองธนาคาร เมื่อเงินต้นลดค่า เราก็ต้องชดเชยด้วยการเพิ่มดอกเบี้ยให้เราไม่ขาดทุนมูลค่าหนี้

เงินเฟ้อ 10% แต่ดอกเบี้ยเท่าเดิม 7% นั้นเป็นไปไม่ได้

หนี้ที่แท้จริง = หนี้เงินต้น +ดอกเบี้ย

เมื่อเกิดวิกฤต หนี้เงินต้นมูลค่าลด แต่ดอกเพิ่ม

 

 

เมื่อถึงตอนเงินเฟ้อขึ้นเป็น 30%ต่อปี ผู้ฝากเงินธนาคารจะฝากที่ 3% ต่อปีหรือเปล่า เอาไปซื้อทองดีกว่า

แต่ถ้าขึ้นดอกเงินฝากเป็น 15% เงินกู้ก็ต้องดอกสูงกว่า 20%

สรุปว่าถ้าเงินเฟ้อขึ้นแรง ดอกก็ต้องขี้นแรง

 

ในมุมคนกู้

ถ้าคุณเงินเดือน 30000 แล้วต้องผ่อน 15000 ต่อเดือน (เงินต้น 5000 ดอก 10000)

ถ้าทองขี้นเร็วจบภายในสามเดือน แต่ดอกขึ้นสองเท่า คุณก็ต้องผ่อนเป็น 25000 คุณรอแค่สามเดือน เทขายทองที่3500 ใช้หนี้บางส่วน คุณมีกำไรทองเต็มๆ ดอกก็เสียแค่สามเดือนที่รอราคาทองขึ้น ตามผู้ถามสงสัย กรณีนี้จะได้ผล

แต่ถ้าทองขึ้นช้าจบภายในหนึ่งปี แต่ดอกขึ้นสองเท่า คุณไม่สามารถประหยัดใช้แค่ 5000ต่อเดือนได้ คุณต้องรินขายทองนิดหน่อยมาใช้หนี้ ที่ 2100 2200 2500 ด้วยซ้ำ คุณก็ขาดทุนเพราะดอกสูงกว่ากำไรทอง

แล้วถ้ากว่าจะจบก็ 3 ปีละ ก็ต้องรินขายไปเรื่อยๆ กำไรทองก็น้อยลง ดอกก็มากขึ้น

 

สรุปควรใช้เงินเย็นเล่น เป็นหลักการที่ดีที่สุด เว้นเสียแต่คุณคิดว่าทองจะขึ้นเสร็จในไม่กี่เดือนจนคุณขายทองได้เร็ว

 

 

ตามที่ผมเข้าใจ QEตอนนี้ยังไม่ถือว่าโกงเต็มตัว แม้เงินจะล้นระบบ ดอลยังน่าเชื่อถือ

เพราะรัฐบาลกู้ fed ยังถือว่าเป็นหนี้ซึ่งต้องใช้คืน fed ซักวัน (ฉันยืม fed ฉันก็ใช้หนี้ fed ซักวัน)

คนอื่นก็คาดว่าเงินในระบบจะลดลงเมื่ออเมริกาคืนเงินใน fed แต่เมื่อไรที่ fed ประกาศยกหนี้ให้อเมริกา ถือว่าโกงเต็มตัว

แสดงว่าเงินในระบบจะไม่มีวันลด(เพราะเงินที่ฉันยืม fed ฉันจะไม่คืน fed)

ถูกแก้ไข โดย happygold

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ เอาเรื่องประเด็นอัตราดอกเบี้ย กับเวลามาดูแล้วเห็นภาพเลย

 

แต่ขอเสริมหน่อยนึงว่าเวลากู้เงินในเมืองลุงแซม เลือกได้ ๒ แบบนะครับ

๑ - แบบฟิกซ์ คือ อัตราดอกเบี้ยไม่ดิ้น คงที่ตลอดอายุเงินกู้

๒ - แบบอาร์ม คือ อัตราดอกเบี้ยดิ้นได้ ตามอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง

 

ถ้าใช้ตรรกะอัตราดอกเบี้ย+เวลามาจับ ... ถ้าคนถามมีเงินกู้แบบแรก จะไม่โดนบีบเวลาดอกเบี้ยขึ้น ในขณะที่ถ้ามีเงินกู้แบบหลัง ก็จะโดนบีบแบบที่คุณแฮปปีโกลด์ว่ามา

 

ส่วนบ้านเราเท่าที่เห็นมีแต่แบบอาร์ม ... อย่าให้ดอกเบี้ยขึ้นแรงๆก็แล้วกัน ราคาคอนโด/บ้าน ระดับกลางหล่นแน่ๆ เพราะคนโดนบีบ ผ่อนกันไม่ไหว ต้องเอามาขายเพื่อลดความเสียหาย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

20 ชั่วโมงที่แล้ว

 

 

 

เฟดต้องการสร้างเงินเฟ้อเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แล้วจะรอดหรือ

 

บทความของThe New York Times รายงานว่าความคิดเรื่องการสร้างเงินเฟ้อ (inflation) ผ่านนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นกระแสหลักของFederal Reserveในขณะนี้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ เพราะว่าเฟดกำลัง บอกว่าเงินฝืด (deflation)เป็นภัยต่อเศรษฐกิจ ทำให้การจ้างงานไม่ดี แก้ปัญหาหนี้ไม่ได้ ธุรกิจไม่กู้เงินมาขยายกิจการ กำไรบริษัทไม่ดี ล่าสุดเดือนสิงหาคมเงินเฟ้อสหรัฐฯอยู่ที่1.2% แต่เป้าหมายของเฟดต้องการให้เงินเฟ้ออยู่ที่2% ทั้งพ่อมดเบนและJanet Yellenว่าที่ประธานเฟดคนใหม่ต่างก็เชื่อในทฤษฎีเงินเฟ้อ เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พ่อมดเบนบอกว่าเงินเฟ้อต่ำไม่ดีต่อเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความเสี่ยงของเงินฝืด Janet Yellenจะรับช่วงพ่อมดเบนปีหน้าด้วยการพิมพ์เงินเพิ่มเพื่อสร้างเงินเฟ้อ

 

แสดงว่าที่บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นแล้วไม่เป็นความจริงเลย เพราะถ้าเศรษฐกิจฟื้น ก็ไม่เห็นว่าพ่อมดเบนมีความจำเป็นจะต้องพิมพ์เงินผ่านQEแบบนี้มา5ปีแล้ว และJanet Yellenจะพิมพ์เงินต่อโดยที่โอกาสจะลดQEไม่มี ในโพสท์ก่อนหน้านี้ SocGenบอกว่ามีความเป็นไปได้10%ในอาทิตย์นี้ที่เฟดจะพิมพ์เงิน เพิ่ม$10,000-$20,000ล้านด้วยซ้ำ

 

Kenneth S. Rogoff, นักเศรษฐศาสตร์จากHarvard บอกว่าเฟดต้องสร้างเงินเฟ้อเพื่อแก้วิกฤตการเงินที่หนักที่สุดในรอบ100ปี ถ้าเงินเฟ้อพุ่งระเบิดขึ้นมาออกมาถึง6%จะเป็นการดี

 

แต่ปู่Alan Greenspan อดีคประธานเฟดเขียนในหนังสือThe Map and the Territory ว่าความพยายามของธนาคารกลางทั้งหลายที่สะสร้างเงินเฟ้อหลังวิกฤต2008ไม่เคย เห็นมาก่อน และความพยายามครั้งนี้จะทำให้เกิดเงินเฟ้อตัวเลข2หลัก

 

เราจะเห็นได้ว่าบทความของNew York Times ออกมาเพื่อหนุนให้มีการสร้างเงินเฟ้อ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประชาชนทั่วไป ในรายงานนี้ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนใหน หรือเฟดคนใหนพูดถึงเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ หรือโครงสร้างเศรษฐกิจหลังวิกฤต2008เลย ในการแก้ปัญหา พูดแต่นโยบายการเงินอย่างเดียวว่าเป็นยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาหลักได้ เป็นธรรมดาที่หลังฟองสบู่แตก ราคาต้องตก เพราะแต่ก่อนราคาเป็นฟองสบู่ พอราคาตกก็ต้องปล่อยให้เศรษฐกิจ หรือธุรกิจมีการปรับตัวเองผ่านการปรับโครงสร้าง ถ้าทำอย่างนั้นมันจะเจ็บปวดสำหรับแบงค์และธุรกิจ อาจโดนจีนtake overได้ cpไม่ยอมจึงให้ใช้ทั้งการคลังและการเงินเข้ามาอุ้มเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องปรับโครงสร้าง ตอนนี้มีการสร้างภาพตลอดว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้น แต่มีความจำเป็นต้องพิมพ์เงินต่อไป ที่จริงการพิมพ์เงินของเฟดเป็นการสร้างเงินเฟ้อ และถ่ายโอนความรวยจากชนชั้นกลางไปสู่ชนชั้น1% ซึ่งเข้าถึงเงิน0%และเอาเงินไปปั่นหุ้นและทรัพย์สินทางการเงินแต่ไม่ได้ ปล่อยกู้เพิ่ม ทำให้หุ้นบูม โดยที่พื้นฐานเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น

 

John Williams บอกว่าเงินเฟ้อสหรัญฯตอนนี้อยู่ที่8-9% อยู่แล้ว ทางการสหรัฐฯใช้ตัวเลขพิศดารเพื่อกดเงินเฟ้อให้ดูต่ำ จะได้สร้างระบบเครดิตให้โตต่อไป

 

ที่ถกกันเรื่องdeflation/inflation ทุกวันนี้โดยสื่อกระแสหลักและพวก็Harvard ถือว่าเป็นเศรษฐศาสตร์วูดูได้ คือหลอกคนจน หลอกชนชั้นกลางต่อไป โดยที่หายนะของเงินเฟ้อและการไม่ยอมรัยดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักรอข้างหน้า เพราะเล่นพิมพ์เงินให้ตัวเลขเงินเฟอ้ไปที่ตัวเลข2 หลัก แล้วใครจะถือดอลล่าร์?

 

thanong

28/10/2013

 

http://mobile.nytimes.com/2013/10/27/business/economy/in-fed-and-out-many-now-think-inflation-helps.html

 

 

 

1376377_169305839932465_258722012_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

เมื่อวานนี้ เวลา 9:00 น.

 

 

 

และไม่มีอะไรโตโดยไม่หยุดได้เรื่อยๆ

 

ในระบบการเงิน หรือระบบเศรษฐกิจ หน้ไม่สามารถจะโตเกินรายได้ไปเรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งมันจะไปต่อไม่ได้และจะต้องพังลงมา

 

นับตั้งแต่ปี1980หนี้เริ่มกลายเป็นปรากฎการณ์ของระบบแบงค์ มีการอัดเครดิตออกมาอย่างมีนัยะสำคัญ เครดิต ในระบบการเงินเริ่มทะยานสูง กว่ารายได้ หรือพื้นฐานของจีดีพี เครดิตโตปีละ8%โดยเฉลี่ยถึงทุกวันนี้ อะไรที่โต8%ต่อปีนับว่าสูงมาก เพราะว่ามันจะทบต้นภายใน9ปี

 

จากชาร์ต จะเห็นได้ว่าเครดิตในระบบการเงินสหรัฐฯโตจากปี1980ในรอบ30ปีที่ผ่านมา เป็น$57ล้านล้านในปีนี้ จวนเกือบจะเท่าจีดีพีของโลกที่ระดับประมาณ$65-$70ล้านล้าน และถ้าเครดิตในระบบการเงินสหรัฐฯยังโตแบบนี้ไปเรื่อยๆ ภายในปี2016-2017 จะมีขนาดใหญ่กว่าจีดีพีโลก และในระยะ30ปีข้างหน้า ในระดับเครดิตที่โต8%นี้ ปริมาณเครดิตในระบบการเงินสหรัฐฯจะพุ่งถึง$573 ล้านล้าน

 

แต่พวกเฟดหรือนักเศรษฐศาสตร์ นักการเงินต้องการเห็นเครดิตโตไปเรื่อยๆ ว่าเป็นทางออกของเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยที่ไม่มีใครออกมาเตือนว่าเครดิตเป็นสิ่งที่โตไปเรื่อยๆไม่ได้ ถึงจุดๆหนึ่งระบบจะพังลงมา เพราะรายได้ไม่สมดุลกับหนี้ที่ก่อ เหมือนกับมนุษย์ที่ไม่สามารถฝืนเพดานโลกได้ ยิ่งขึ้นสูงอากาศให้หายใจยิ่งน้อย ยิ่งขึ้นไปท้าทายไปเรื่อยๆ ถึงจุดๆหนึ่งจะไม่มีอากาศหายใจ ตายไปเลย

 

thanong

28/10/2013

 

http://www.peakprosperity.com/blog/83361/fed-can-only-fail

 

 

 

16273_169310876598628_2109045338_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น · 2,758 คนถูกใจสิ่งนี้17 ตุลาคม เวลา 22:43 น. ·

 

 

เรื่องจิกโก๋ปากซอย

 

ตอนที่1 กำเนิดจิกโก๋

ตอนที่1/1

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่า ทำไมบ้านเมืองเราถึงเละขนาดนี้ ทั้ง เศรษฐกิจ การเมือง

การศึกษา และสังคม

เรารู้จักบ้านเมืองของเรา แบบมักง่าย ผ่านมุมมอง และความคิดของสื่อ ทั้งสื่อไทย และสื่อเทศ

สื่อส่วนใหญ่ ให้ข้อมูลข่าวสาร แบบฟอกย้อม จะโดยตั้งใจเพราะมีใบสั่ง หรือเพราะสมรรถนะต่ำถึงต่ำมาก แทบทั้งนั้น

ข้อมูลอีกหลายส่วน ก็มาจากนักวิชาการ ที่ไม่ต่างกับสื่อ ถ้าไม่ขายตัว ก็ อธิบายแบบท่องจำ จอแคบจอแบนไม่มีมิติ มองมุมเดียว เพราะมันง่ายดี แล้วเราจะได้ความรู้ ความเข้าใจแบบไหนกัน นี่ยังไม่นับข้อมูลที่เกิดจาก การตอแหลของนักการเมือง และบรรดาข้าราชการ ที่ทำหน้าที่ขี้ข้านักการเมือง ซึ่งขอใช้คำว่า บัดซบ จึงจะตรงกับพฤติกรรม

เมื่อเราไม่รู้ปัญหาที่แท้จริง ก็ไม่มีความเข้าใจ แล้วจะหาทางออก จะแก้ปัญหาได้อย่างไร ยิ่งแก้ก็เลยยิ่งเละเหมือนลิงแก้แห

 

ทำไม เราไม่มาทำความเข้าใจ ทำความรู้จักปัญหาของบ้านเมืองอย่างจริงจังก่อน ด้วยการศึกษาขวยขวายด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่อาศัยฟังแต่จากสื่อจอแคบ คำโกหกนักการเมือง หรือนักวิชาการประเภทมีความรู้ เกิน ๆ ขาด ๆ

 

จะเข้าใจปัจจุบัน ก็ต้องรู้จักอดีต หรือประวัติศาสตร์ก่อน ไม่งั้นจะรู้ได้ไง ว่าต้นไม้ต้นไหนออกลูกเป็นพิษ แล้วก็อย่าทำตัวเป็นม้าแข่ง มองเห็นแต่ลู่วิ่งข้างหน้า หัดมองรอบตัว รู้จักเพื่อนบ้าน รู้จักโลกบ้าง ไม่ใช่จะมีแต่ เธอ ฉัน ลูกเรา และน้ำเน่าในทีวีเท่านั้น

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น · 2,760 คนถูกใจสิ่งนี้17 ตุลาคม เวลา 22:44 น. ·

 

 

ตอนที่1/2

ก่อนอื่นควรรู้จักโลกกว้างเสียก่อน ประเทศไทยไม่ใช่ตั้งอยู่โดด ๆ ประเทศเดียวนะ มีเพื่อนบ้านร่วมทวีป ร่วมโลกเยอะแยะ จะอยู่บ้านให้สบายใจต้องรู้จักว่าใครเป็นใครในซอย มีจิกโก๋ยืนเบ่งอยู่ปากซอยหรือเปล่า ถ้ามี ต้องรู้ว่ามันเป็นใคร ฝีไม้ลายมือแค่ไหน ของจริง หรือ ราคาคุย

 

งั้นเริ่มต้นมารู้จักจิกโก๋ปากซอยซะหน่อยดีไหม รู้จักแล้ว จะได้รู้ว่าเราจะอยู่บ้านในซอยนี้อย่างไร ควรดูแลบ้านเราอย่างไร หรือ ควรจัดการอย่างไรกับจิกโก๋

 

และควบคู่กับการรู้จักโลกกว้าง ต้องรู้จักปรัชญาการครองโลก ไม่ว่าโดยใคร และสมัยไหน เสียก่อน จำให้แม่น ถ้าเข้าใจปรัชญานี้ การติดตามอ่านนิทานนี้ หรือ ตามความเป็นไปของโลกนี้ ประเทศนี้และทุกอย่างที่รอบตัวเรามันจะง่ายขึ้น

 

คาถาในการอ่านนิทานนี้ให้สนุก ต้องจำให้ได้ว่า "อำนาจ คือ ทุน" และ

"ทุน คือ อำนาจ" หรือ " ความมั่นคง นำมาซึ่ง ความมั่งคั่ง" และ

"ความมั่งคั่ง ก็นำมา ซึ่งความมั่นคง" เช่นเดียวกัน จำให้แม่น!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

17 ตุลาคม

ตอนที่1/3

สงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเพราะอะไร ประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนให้เราเรียน สมัยเป็นนักเรียน เขาก็เขียนให้เราเข้าใจไปว่า มันเป็นเรื่องของการแผ่อำนาจของประเทศผู้รุกราน และประเทศผู้ถูกรุกรานก็จำต้องสู้ หรือเข้าสู่สงคราม เพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศตน แต่แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรือ กลับไปดูคาถาข้างต้นอีก 10 เที่ยว แล้วจะเข้าใจประวัติศาสตร์ ในมุมมองใหม่

 

สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1934) จบเอาปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) รวมเวลา 6 ปี ตลอดเวลาการสู้รบ ใช้ทวีปยุโรปและเอเซียเป็นสนามประลอง กำลัง ดังนั้นเสร็จสงคราม ฝ่ายผู้แพ้สงครามเช่น เยอรมันและญี่ปุ่นนั้น ถูกน๊อคคาสนามบอบช้ำ ฉ.ห ตามประสาผู้แพ้ ฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ชนะ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ยุโรป รัสเซีย และแม้แต่จีน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ยับ แต่ถึงกับเยิน ดูไม่จืด ยืนพิงเชือกเกือบนับ 10 เหมือนกัน มีแต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่โดนแค่ สอยคาง เรือรบล่มไม่กี่ลำ ที Pearl Harbor ฮาวาย ส่วนทวีปอเมริกาปลอดภัย ไม่มีฟกไม่มีช้ำ แค่นี้ทำเป็นยัวะ ถือโอกาสประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (โอกาสทองมาแล้ว) เมื่อชนะสงครามอเมริกาจึงสถาปนาตนเองเป็นจิกโก๋คุมซอย เป็นพี่เบิ้มดูแลโลกทั้งใบ มันเขาล่ะ (จิกโก๋ปากซอย!)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

17 ตุลาคม

ตอนที่1/4

จากการทำสงครามโลก เศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็ตกต่ำล่มจม ความแตกต่างทางสังคมเห็นชัดขึ้น เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนชัดเจน ไม่ต้องเอาแว่นมาส่อง ระบอบคอมมิวนิสต์จึงเริ่มก่อตัวขึ้น แถวรัสเซียและยุโรปตะวันออก เมื่อปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947)

 

อเมริกาในฐานะพี่เบิ้มจึงกำหนดยุทธศาสตร์ปิดล้อม (Containment) ขึ้นมาและประกาศเป็นนโยบาย เรียกว่า Truman Doctrine โดยประธานาธิบดี Harry S Truman (เคยดูหนังประวัติของแกไหม ดื้อและเหี้ยม !) เป้าหมายของยุทธศสาตร์นี้ หลักใหญ่มี 2 เรื่อง คือสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับอเมริกาและพวก โดยกันไม่ให้สหภาพโซเวียตเสนอหน้าเข้ามาสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจโลก เห็นธาตุแท้พี่เบิ้มหรือยัง ร่วมรบกันมาดี ๆ พอถึงเวลาไม่เป็นประชาธิปไตยตามที่ต้องการก็เหม็นหน้า อย่ามาเสนอหน้านะ เดี๋ยวจะทำให้คนอื่นเขาติดโรคหมด

 

Truman Doctrine นี้ อเมริกาจะใช้คนเดียวก็กลัวเหงา เลยจับประเทศแถวยุโรปมาเข้าร่วมโดย จัดตั้งเป็นองค์กร NATO ขึ้นมา ปัจจุบันมีทั้งหมด 28 ประเทศ กลุ่มประเทศที่ก่อตั้งและ/หรือ เป็นประเทศหลักมี อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม แคนาดา เดนมาร์ก ไอซแลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ กรีซ ตุรกี และ เยอรมัน อเมริกาใช้ NATO เป็นขนมล่อยุโรปให้ผูกติดอยู่กับอเมริกามาจนถึงทุกวันนี้ เริ่มเห็นฝีมือการแบ่งขนม แบ่งค่ายของอเมริกาหรือยัง

 

สูตรยอดนิยมของอเมริกา ที่ใช้มาตลอดคือ ล่อให้เหยื่อมารวมตัวกันก่อนจะได้ดูแลง่าย

 

โดยการสนับสนุนให้มีการรวมตัวของประชาชาติในเรื่องต่าง ๆ แต่อีกด้านอเมริกาก็จะสร้างเรื่อง โดยทางตรงหรือทางอ้อมให้การรวมตัวนั้นมีปัญหา และแตกแยกกันเอง แข่งขันกันเอง ทะเลาะกันเอง ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มบทบาทของพี่เบิ้ม ให้เป็นที่พึ่งพา

ขึ้นเรื่อย ๆ (ต้นตำรับ value added! หรือจะเรียกให้ชัด คือสร้างภาพ)

ลองสังเกตดู

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

17 ตุลาคม

ตอนที่1/5

 

พร้อมกับการอ้างตัวเป็นพี่เบิ้ม อเมริกาก็เริ่มทำตัวเป็นนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ แทนนักล่ารุ่นเก่าที่กำลังนอนเลียแผล

 

ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นักล่าอาณานิคมตัวใหญ่แชมป์เก่า คือ อังกฤษ กร่างถึงขนาดประกาศว่า ดวงอาทิตย์ ไม่มีวันตกที่จักรภพอังกฤษ ตามมาติดๆคือ ฝรั่งเศส คู่แค้นของไทย กะจะขม้ำไทยมาตลอด วางแผนมาต้ังแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ แต่ที่อุกอาจสามานย์ ทำให้ไทยเจ็บช้ำจนกรมหลวงชุมพรฯ ต้องสักพระองค์เตือนความจำไว้

ก็ในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เหตุการณ์ รศ 112 หวังว่ายังคงจำกันได้นะ หรือรู้จักแต่ ม112

นักล่า ที่มาเงียบๆ คอยเสียบ คอยเสี้ยม แล้วหยิบชิ้นปลามัน คือ ฮอลันดา แต่นักล่า รุ่นเก๋าจริง ๆ ต้องยกให้สเปญและโปรตุเกศ แผนลึก อดทน และใจเย็น

 

นักล่ายุคใหม่ไม่ต้องการครอบครองดินแดน แบบนักล่ารุ่นเก่า แต่ต้องการกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ของประเทศที่อุดมทรัพยา กร แต่ ด้อยปัญญา ไม่ทันเหลี่ยมนักล่า ทรัพยากรน้ำมัน และ แร่ธาตุสาระพัด ของหลายประเทศที่ยังไม่พัฒนา โดยเฉพาะแถบอาเซีย และตะวันออกกลางยังอุดมสมบูรณ์อยู่ ในขณะที่แถวยุโรปร่อยหรอ ส่วนอเมริกานั้นยังมีอยู่แยะ แต่งุบงิบแอบเก็บไว้ไม่ให้ใครรู้

 

อย่าเข้าใจผิดว่าการล่าอาณานิคมยุคใหม่ จะใช้วิธียกทัพจับศึก ยึดดืนแดนกันอย่างเมื่อก่อน

รุ่นใหม่ ยุคใหม่นี่้เขาทำกันเนียน

 

เครื่องมือในการล่าอาณานิคมยุคใหม่เขาใช้ตามคาถายอดนิยม อำนาจ คือ ทุน และทุน คือ อำนาจ

รบชนะมาหมาด ๆ อำนาจล้นฟ้าเป็นพี่เบิ้ม จะปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปยังไง ก็ต้องรีบยื่นมือยาวๆ อ้อมไปทั้งโลก โดยใช้วิธีการทั้งหลอก ทั้งล่อ ด้วยการนำเสนอระบอบทุนนิยมเสรี ระบบทุนนิยมโลก เพื่อให้มันล้อมโลกได้ โดยไร้พรมแดน คำว่าโลกาภิวัฒน์ จึงเกิดขึ้น ชอบใช้กันนัก รู้ให้ทันแล้วกันว่าโลกาภิวัฒน์ คืออะไร และเพื่อใคร

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

17 ตุลาคม

ตอนที่1/6

 

ทุนนิยมเสรี มันเดินไปเองได้ที่ไหน ก็ต้องหาเครื่องมือให้ทุนมันเดินไป ทั่วโลกได้ง่าย ๆ เนียน ๆ ดังนั้น หน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UN) ธนาคารโลก (World Bank) IMF WTO ฯลฯ และเหล่าบรรษัทข้ามชาติ ด้านการเงิน การค้า การอุตสาหกรรม ต่าง ๆ จึงเกิดขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ ดังกล่าว มีพี่เบิ้มและสหายเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้กำกับ รู้กันไว้ด้วย

 

สหประชาชาติ (UN) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) จากแนวคิดของพี่เบิ้มผู้ชนะสงคราม คือ อเมริกาและอังกฤษ มีคณะมนตรีถาวร 5 ประเทศ (ไม่บอกก็น่าจะเดาออกนะ ว่าใครบ้าง

ก็ผู้ชนะสงคราม นั่นแหละ) คือ อเมริกา อังกฤษ ผรั่งเศส รัฐเซีย และจีน

 

ผู้ควักกระเป๋าจ่ายเงินสนันสนุนการ ดำเนินงานของ UN ก็คือสมาชิก แล้วพอเดาออกไหมว่าใครจ่ายเงิน สนับสนุน UN สูงสุด ไม่น่าตอบผิดนะ ก็พี่เบิ้มอเมริกานั่นแหละ ไม่งั้นจะเป็นจิกโก๋ปากซอยได้ยังไงกัน

 

ธนาคารโลก (World Bank) ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ IMF (International Monentary Fund) ในปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944) แน่นอนจากแนวคิดของพี่เบิ้ม อเมริกาและอังกฤษ สำนักงานใหญ่ของทั้ง 2 องค์กร ตั้งอยู่ที่วอชิงตัน ดี ซี ของพี่เบิ้ม เงินสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากประเทศสมาชิก แต่ผู้ที่ควักกระเป๋าหนักที่สุดก็ เหมือนเดิมคือพี่เบิ้ม อเมริกา คิดกันต่อแล้วกัน พี่เบิ้มใจดี หรือพี่เบิ้มกำลังท่องคาถา อำนาจ คือ ทุน ทุน คือ อำนาจ 555 ไปเปิดอากู (Google) ดูแล้วกัน ประธานธนาคารโลกตั้งกะก่อต้ังมา จนถึงปัจจุบัน เป็นคนสัญชาติอเมริกันทั้งหมด อืม เริ่ม เห็นภาพลาง ๆ บ้างหรือยัง คนอ่านนิทานทั้งหลาย

 

อันที่จริงระบบทุนนิยมมีมานานแล้ว แต่การขยายตัวทำได้ช้า เพราะต้องพึ่งการคมนาคมและการสื่อสาร ดังนั้นทุนนิยมยุคโบราณจึงเดินทางโดย เรือ รถไฟ ม้า อูฐ และ นกพิราบ (ฮา!) ก็ตอนนั้นยังไม่มีเครื่องบิน โทรเลข โทรศัพท์ มือถือ ดาวเทียม Swift 3จี 4จี Wifi ฯลฯ นี่นะ

 

ทุนนิยมโลกไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขตดินแดน แต่ขึ้นกับศูนย์อำนาจในแต่ละช่วงเวลาน้ัน เช่น ฮอลันดาเป็นศูนย์กลางของทุนนิยม สมัย ศตวรรษที่ 17 ก็เล่นล่าต้ังกะอินโดนีเซียยันไปถึงอาฟริกา ต่อมาศูนย์อำนาจก็อยู่ที่อังกฤษ เจ้าของคำกร่างพระอาทิตย์ไม่ตกดินที่อังกฤษ

จนมาถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เบิ้มอเมริกาถึงได้ขึ้นแท่นเป็น นัมเบอร์วัน ของศูนย์อำนาจ ไชโย! ตาไอแล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

18 ตุลาคม

ตอนที่1/7

 

อเมริกาคิดเรื่องระบบทุนนิยม และกลไก ที่จะทำให้ตนเป็นศูนย์อำนาจ มาต้ังแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

แต่โอกาส ยังไม่อำนวย หวยมาตกก็ตอนศูนย์อำนาจเก่าๆ ฉ ห หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่แหละ อเมริกาถึงเสนอแผนจัดโครงสร้างระเบี ยบโลกเสียใหม่ (New World Order) โดยเน้นที่พลังทุนนิยม ก็เป็นเศรษฐีนี่ มีปัญหาไหม ไม่นิยมทุนแล้วจะให้นิยมอะไร อย่าลืม คาถา ทุน คือ อำนาจ อำนาจคือทุน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา

 

ไม่ว่าจะเรียก New World Order หรือ Pax Americana ทั้งหลายทั้งปวง มันก็คือแผนการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยใช้ระบบทุนนิยม นำหน้านั่นเอง เดี๋ยวก็มาถึงทุนนิยมสามานย์น่า ใจเย็นไว้โยม

 

ทุนจะมี ก็ต้องค้าขาย เงินไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝนนะ จะค้าขายก็ต้องมีสินค้า สินค้ามาจากไหน มาจากการผลิต การผลิตต้องมีอะไรเป็นปัจจัย ต้องมีวัตถุดิบซีจ้ะ วัตถุดิบมาจากไหน ก็มาจากทรัพยากร ทรัพยากรมาจากไหน ก็ปล้น หรือต้มเขาเอา

ซีวุ้ย แหม กว่าจะโยงมาถึง อาตมาเกือบเป็นลม

 

ดังนั้นนักสำรวจทรัพย์ของผู้อื่น ในคราบผู้เชี่ยวชาญ จึงเดินกันว่อน วิ่งกันพล่าน อุ๋ย ประเทศนี้ไอ จองนะ ไอจะไปดูเอง เขาน่าสงสารนะ เห็นมีแต่ช้างเดินเต็มป่า วัวควายเต็มทุ่งนา

ปี ค.ศ. 1946 สงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกหมาด ๆ อเมริกาส่งผู้เชี่ยวชาญ มาทำการสำรวจสถานะประเทศไทยและสรุปว่า ไทยแลนด์ เป็นประเทศที่ยังมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และยังมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจดี ยิ่งอย่างเหลือเชื่อ วรรคเมื่อกี้ ข้าพเจ้าเติมเอง เพราะอ่านแล้วเหลือเชื่อ นี่ขนาดบริหารกันไปแดกกันไป ยังแกร่งอย่างนี้เลยนะ ถ้าต้ังอกต้ังใจบริหาร แม่อีหนูเอ๊ย ลูกหลานเราคงเรียนฟรี ถนนคงปูด้วยทองคำ

อย่างที่ อจ.ศึกฤทธิ์ว่าไว้จริง ๆ นะ

 

รายงานฉบับดังกล่าว ทำให้อเมริกาน้ำลายเยิ้มเมื่อมองประเทศไทย ไม่ต่างกับที่โอบามา

มองนางปูเอ๋อจิงเมื่อตอนมาสำรวจประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2555 นั่นแหละ

 

แล้วทำอย่างไร อเมริกาจะได้กินอาหารจานอร่อยชื่อ ไทยแลนด์ แดนสวรรค์ สยามเมืองยิ้ม

ไม่ยาก อเมริกาใหญ่ผงาดมาขนาดนี้ ไม่ใช่ทำเป็นแค่ขี้ม้าไล่ยิงอินเดียนแดงออกจากถิ่นเก่าของเขานะวุ้ย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

18 ตุลาคม

ตอนที่ 2 จิกโก๋ปากซอย สร้างวินมอไซด์

ตอนที่2/1

 

อเมริกาเป็นนักวางแผนตัวพ่อ อเมริกามีแผนสำหรับทุกประเทศเป้าหมาย ทุกขั้นตอน เขียนแผนอย่างละเอียด มีรายงานทุกเรื่องที่เห็นว่าสำคัญ เก็บเรื่องระบบทุนนิยมไว้ก่อน เด็กมันยังละอ่อนนัก เดี๋ยวมันตกใจ วิ่งหนีรอดตาข่าย จะกินอาหารอร่อยต้องใจเย็นๆ

 

แผนหมายเลข 1 สำหรับการเคี้ยวไทยของอเมริกา ตาม Pax Americana เน้นเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง นำหน้า ดังนั้น ต้องเปลี่ยนประเทศไทยจากที่เป็นประเทศเกษตรกรรม เป็นประเทศอุตสาหกรรมให้ได้ก่อน เรื่องความมั่นคงอย่าเพิ่งถาม เดี๋ยวจะเห็นว่ามาอย่างไร

 

อเมริกาเป็นนักวางแผนที่มีจิตวิทยาสูง คนเราน่ะนะจะให้ทำอะไร มันต้องให้สบายกระเป๋าก่อน มีเงินแล้วมันถึงจะพูดกันรู้เรื่อง แหม! มันเดินตามกันเปี้ยบเลย ใครนะ ที่ใช้เงินเข้าล่อ แบบคุณพ่ออเมริกา

 

ดังนั้น ปี พศ 2501 อเมริกาจึงส่งผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก เป็นของขวัญให้รัฐบาลสฤษดิ์ มาเป็นทีมใหญ่ ไทยแลนด์ดีใจเหมือนได้แก้ว

กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ทำการสำรวจประเทศไทยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ประมาณว่าแทบจะถลกผ้านุ่งคุณยายดูยังงั้นเชียวละ

สำรวจอยู่ 1 ปีจึงเสร็จ เสร็จแล้วก็ทำรายงานสำรวจชุดใหญ่ส่งให้คุณพ่อที่อเมริกา ชุดเล็กก็เสนอให้คุณป๋าผ้าขะม้าไทย

 

ผลสำรวจ สรุปว่า เพื่อทดแทนการนำเข้า ที่ทำให้ไทยแลนด์ขาดดุลย์การค้า ฝรั่งบอกว่าไทยควรเปลี่ยนจากประเทศกสิกรรม ทำการเกษตร มาเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทำการผลิตสินค้าส่งออก เขียนตามโผที่ล๊อกไว้เลย กองสลากเรายังล๊อกโผไม่ได้เท่านี้เลย ฉลาดชั่วมาก

 

รายงานสำรวจดังกล่าวเป็นไปตามใบสั่งคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องการให้ประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย (ตอนนั้นเราก็เป็นประเทศด้อยนะ ไม่ต้องค้อน ) เปิดทางให้ทุนอเมริกัน เข้าไปลงทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรม นอกจากอเมริกาจะได้ประโยชน์ในการขยายการลงทุนแล้ว อเมริกาจะได้ขายเครื่องจักร และสาระพัดอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในขบวนการผลิต เช่น พลังงานไฟ้ฟ้า น้ำมัน เขื่อน อุปกรณ์ เทคนิค อุปกรณ์การขนส่ง ฯลฯ ให้ไทยอีกด้วย

 

สิ่งที่ไทยได้ขายคือวัตถุดิบบางอย่างที่มีในประเทศและแรงงาน แค่นั้นเอง อืมมม คุ้มแสนคุ้ม...

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

18 ตุลาคม

ตอนที่2/2

 

คุณป๋าไทยเมื่อได้รับรายงานสำรวจฯ ก็เนื้อเต้นไปหมด เห็นโอกาสทองทำเงินอยู่ข้างหน้า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข คุณป๋าไทยจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทันที ในปีพ.ศ. 2504 และนั่นคือกำเนิดสภาพัฒน์ฯ ที่เรารู้จัก

สภาพัฒน์ฯ ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทยต้ังแต่ พ.ศ. 2504 ถึง ปัจจุบัน ตามแนวทางที่ฝรั่ง (หลอก) ให้ไทยเดิน

 

ควรรู้ด้วยว่า แผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทย ฉบับที่ 1 ใช้รายงาน ธนาคารโลก ฉบับใบสั่งทั้งฉบับ แปลเป็นไทย ทำเป็นแผนแม่บท

ง่ายดีนะไม่ต้องเสียเวลา ไทยมีส่วนร่วมเพียงในฐานะผู้รับบัญชา ขอรับกระผม

 

นอกจากนี้แผนพัฒนาเศษฐกิจประเทศไทย ต้ังแต่ฉบับที่ 1 ถึง 6 เดินตามแนวทางรายงานธนาคารโลกทั้งสิ้น ปัจจุบันเป็น ฉบับที่ 11 ซึ่งก็ไม่มีแนวทางพัฒนาประเทศ ที่เหมาะสมขึ้น ซ้ำร้ายจะเละไปกว่าเดิม เพราะมีแต่จับฉ่าย

 

ควรรู้อีกด้วยว่า ในรายงานของ ธ โลก ไม่เน้นถึงการพัฒนาการปลูกข้าว ชึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย ตรงกันข้าม ดันมีข้อเสนอให้เก็บพรีเมี่ยมข้าว! เอ! เรื่องนี้จะต้องโยงไปถึงเรื่องการรับจำนำข้าวของรัฐบาลปูเอ๋อจิงไหมเนี่ย

 

พอจะเห็นกันบ้างหรือยังว่า สิ่งที่เรียกว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ของขวัญจากคุณพ่ออเมริกา แท้จริงแล้วเป็นบัวหิมะพันปีเพิ่มพลัง หรือ ยาละลายกระดูกสลายพลัง

 

นักล่าอาณานิคมรุ่นใหม่นี่เยี่ยมจริง ๆ

 

ดังนั้น การพัฒนาประเทศไทยก็เดินตามแนวที่คุณ พ่ออเมริกากำหนด หรือกำกับ ผ่านหน่วยงาน World Bank, IMF, IFC, ADB ฯลฯ ที่เราขยันกู้เขามาตลอด พอมองออกหรือยังทำไม เขาถึงต้องตั้ง World Bank IMF ฯลฯ

 

สัญญาเงินกู้ทุกฉบับของ World Bank, IMF , IFC จะมีข้อกำหนดบังคับเรา ตามที่คุณพ่ออเมริกา ต้องการให้โลกเดินไปในทิศทางที่คุณพ่อและพวกต้องการ คือ ทุนนิยมเสรี นั่นเอง

อเมริกาสามารถควบคุม World Bank, IMF, IFC ได้ในกำมือ เพราะอเมริกาจ่ายเงินสนับสนุนสูงที่สุดมากกว่าประเทศอื่นๆ

พูดให้ชัด World Bank, IMF, IFC ก็เด็กในกระเป๋าอเมริกานั่นแหละ!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

18 ตุลาคม

ตอนที่2/3

 

การพัฒนาประเทศจะเดินตามใบสั่งของคุณพ่ออเมริกาไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการที่จูงง่าย

พร้อมเป็นขี้ข้า ไม่ว่าจะเป็นขี้ข้าฝรั่ง หรือนักการเมืองไทย เห็นๆกันอยู่ ต้ังกะสมัย 50ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง

 

ข้าราชการที่มีความสามารถ แต่พร้อมที่จะถูกฝรั่งหลอกใช้ (เอ๊ะ หรือเต็มใจ!) ที่เรียกกันว่า technocrat (technocrat ต้นแบบก็อย่างนายเกษม จาติกวนิชย์ นายอานันท์ ปันยารชุน นายอำนวย วีรวรรณ นั่นแหละ) ก็เป็นผู้รับแผนคุณพ่อฝรั่งมาดำเนินการ

 

Technocrat เหล่านี้มาจะไหนล่ะ? อ้า! เดี๋ยวต้องหาที่มาแบบ CSI (Crime Scene Investigation สำหรับผู้ไม่ได้ดูหนัง ดูแต่ละคร นึกถึงคุณหมอพรทิพย์หัวฟูคนเก่งของเราแล้วกัน ประเภทสืบจากศพอะไรทำนองนั้นแหละ!)

 

Technocrat เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากอังกฤษและอเมริกา มีความคุ้นเคยกับระบบการศึกษา ตำรับตำรา วิชาการ ความคิด ที่ฝรั่งแป๊ะติดใส่หัวเอาไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนหนังสือ ท่านเหล่านั้นก็มีวิชาความรู้เพิ่มพูน ฝรั่งสอนอะไร ก็จด ฝรั่งพูดอะไร ก็จำ ทำตัวเป็นเครื่องถ่ายเอกสาร (ฮา) กลับมาก็ฟิตเปรียะ เครื่องถ่ายอัดสำเนาไว้เต็ม

 

คิดว่าบ้านเมืองเราจะเจริญได้ ต้องดูจากที่ฝรั่งเขาพัฒนาบ้านเมืองเขา หาได้เคยมีสมองคิดได้ว่า บ้านเขากับบ้านเราน่ะ มันต่างกันขนาดไหน

 

ึดูภูมิประเทศ อากาศ ทรัพยากร ความถนัด ประเพณี ฯลฯ โอ้ยสาระพัด มันเหมือนกันตรงไหน ข้างหนึ่งหัวดำตัวเหลือง อีกข้างหนึ่ง หัวทองตัวขาวเผือด ข้างหนึ่งหนาวหิมะตก ข้างหนึ่งเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตกน้ำท่วม ยังคิดก็อบปี้ตะบี้ตะบันท่าเดียว เพราะถูกทำให้เชื่อว่า ฝรั่งนั้นฉลาดกว่าเรา สิ่งที่เขาคิด ดีกว่าที่เราคิด มันฝังหัว ตั้งกะไปเรียน prep school หรือ public school กับฝรั่งมาแล้ว

 

ดังนั้น เมื่อฝรั่งบอกเดินหน้าเป็นประเทศอุตสาหกรรม ทุกท่านก็ลุย! เฮ้อ! เศร้าใจ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานเรื่องจริง ตำนานการลวง หลอกล่อ ลงหม้อตุ๋น

 

18 ตุลาคม

ตอนที่2/4

 

การพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด มันก็ผิดไปเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แก้ไข คนอะไรเดินใส่เสื้อติดกระดุมเขย่งมาเกือบ 60 ปี ยังไม่รู้ตัว

 

นิคมอุตสาหกรรม จึงผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แล้วดอกเห็ดพวกนี้ไม่รู้เป็นอะไรก็ ชอบขึ้นอยู่ตามที่ลุ่ม ซึ่งเป็นทางเดินของน้ำ ดูนิคมบางชัน นิคมแถวอยุธยา บางปะอิน เป็นตัวอย่างแล้วกัน ยิ่งนานวันดอกเห็ดก็แผ่ขยายบานกินเมืองเข้าไปลึกขวางทางไหลหลากของน้ำ ซึ่งมาประจำปี

 

ดังนั้น ปัญหาน้ำท่วมก็ยังจะมีอยู่ต่อไป ต้องใช้เรือดำน้ำกี่ลำ หญ้าแพรกเท่าไหร่ก็เอาไม่อยู่ ถ้ายังดันทุรังเดินใส่เสื้อกระดุมเขย่งกันอยู่อย่างนี้

 

นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องท่าเรือแหลม ฉบัง ผาแดง แทนทาลั่ม นิคมอุตสาหกรรมระยอง โรงไฟฟ้าบ้านกรูด การวางท่อแก๊ส ฯลฯ ที่ไม่เข้ากับสภาพภูมิประเทศ และความเป็นอยู่ของท้องถิ่นนะ แค่นี้ก็น่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว

 

แหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ทั้งหลายสร้างรายได้ให้กับผู้ถือหุ้น อย่างมหาศาล คนท้องถิ่นได้แต่ค่าแรงวันละไม่กี่บาท แล้วใครเป็นผู้ถือหุ้น ก็คนต่างชาติส่วนใหญ่ บวกกับคนไทยขายชาติที่ถือหุ้นแทนฝรั่งไง คนท้องถิ่นไม่เคยเป็นผู้ถือหุ้น!

 

ประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำกิน และที่สำคัญ สุขอนามัยของชาวบ้าน ไม่เคยเป็นปัจจัยที่ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุนต่างชาติ ให้ความสนใจหรือห่วงใย

ผู้ให้กู้ หรือนักลงทุน ให้ความสนใจแต่ ผลผลิต และผลกำไรของพวกเขาเท่านั้น

 

ส่วนนักการเมืองไทย ก็นึกแต่ค่าหัวคิว ใต้โต๊ะ บนโต๊ะ ที่จะได้รับ รับแล้วเอาไปซุกไว้ที่ไหนดีหนอ หลังบ้าน ใต้เตียง ในตู้เสื้อผ้า หรือซุกไว้กับคนรถ คนใช้ ฯลฯ แล้วประเทศได้อะไร ประชาชนได้อะไร เคยมีนักการเมืองหน้าไหนดูแลเราจริงๆจังๆ บ้าง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...