ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

รอดูวันที่ ๑๑ ของเดือนต่อๆไปครับ ว่ามันจะโดนทุบแบบที่เทิร์ดสังเกตพฤติกรรมการทุบราคาที่ผ่านๆมาไว้หรือเปล่า

มีข้อมูลเดิมมั้ยครับ จำรายละเอียดไม่ได้ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีข้อมูลเดิมมั้ยครับ จำรายละเอียดไม่ได้ครับ

 

ตามลิงค์นี้เลยครับ

http://www.thaigold.info/Board/index.php?/topic/383-%e0%b9%82%e0%b8%ad%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-%e0%b8%88%e0%b8%a3%e0%b8%b4%e0%b8%87%e0%b9%86-safe-heaven/page__view__findpost__p__497723

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ตามลิงค์นี้เลยครับ

http://www.thaigold....post__p__497723

ดูแล้วสงสัยว่าทำไมต้องเป็นวันที่11คะ ไม่ใช่ปลายเดือนหรือคะ :38

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดูแล้วสงสัยว่าทำไมต้องเป็นวันที่11คะ ไม่ใช่ปลายเดือนหรือคะ :38

 

จากที่เทิร์ดเขียน ...

 

ส่งมอบเดือน ต.ค. ยืนโนติสได้ตั้งแต่สิ้นเดือน ก.ย. จนถึงสิ้นเดือน ต.ค.

การทุบช่วงวันที่ ๑๑ (ประมาณกลางๆเดือน) เป็นจังหวะทุบที่เทิร์ดสังเกตุเห็นเท่านั้นเองครับ

 

ป.ล. ถ้าจำไม่ผิด ส่งมอบเฉพาะเดือนคู่เท่านั้นนะครับ

 

...

This same process occurred back in September for the October12 contract. First Notice Day was at the end of September and deliveries took place through October. The price of gold peaked at $1796 on October 5 but managed to hang in there for another week or so. But then look what happened and note the exact date:

...

So, what do we see here? Near the middle of the delivery month, price began to drop rather steeply and a little bit of gold was shaken out of the GLD "inventory". Then, after a decent rally in November, price began to decline again once we flipped the calendar to the delivery month of December. Look what happened and, again, note the date:

...

http://www.tfmetalsr...nd-ten-days-ago

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:uu

 

แมกซ์ ไคเซอร์ เปรียบเทียบไว้ได้อย่างเห็นภาพ

 

คิวอี = บัตรอีบีที (คูปองอาหารอิเล็กทรอนิคส์)

วอลล์สตรีท = ประชาชนที่ต้องพึ่งคูปองอาหาร

 

http://www.maxkeiser...ts-sugar-daddy/

 

ป.ล. ต้นเรื่องคือ ... ในมลรัฐลุยเซียนา ระบบอีบีทีผิดพลาด ทำให้ "วงเงิน" ของผู้ถือบัตรเพิ่มเป็นแบบ "ไม่อั้น" ทำให้ผู้ถือบัตรกวาดของจากชั้นวางของลงรถเข็นเพื่อซื้อของ แต่พอระบบแก้ไขแล้วก็ซื้อของไม่ได้ เลยต้องทิ้งรถเข็นไว้ที่ร้าน ... วอลล์สตรีท ก็มี คิวอี แบบไม่อั้นเหมือนกัน เลยอิ่มหมีพีมัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บัตรรูดไม่ได้ ก็คงต้องมีการเทกระจาดเกิดขึ้น

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เงินหยวนเทียบดอลล์แข็งค่าที่สุดในรอบ 20 ปี blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 ตุลาคม 2556 13:52 น.

 

 

 

blank.gif 556000013688001.JPEG ภาพไชน่า เดลี blank.gif ไชน่าเดลี - อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นทะลุ 6.10 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี หลังจากที่ธนาคารกลางจีนปรับเพิ่มอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงประจำวันเกือบสูง ที่สุดเป็นประวัติการณ์ และนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการที่จะเพิ่มการหมุนเวียนของเงินหยวนในระบบ เศรษฐกิจโลก

 

สถิติจากระบบการค้าเงินตราต่างประเทศของจีนแสดงให้เห็นว่า เงินหยวนแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง 3 วันติดต่อกัน จนปิดที่สถิติสูงที่สุดคือ 6.0995 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ ในตลาดเซี่ยงไฮ้เมื่อวันพุธ (16 ต.ค.) ที่ผ่านมา ระหว่างการเจรจาผ่าทางตันปัญหาหนี้สาธารณะของนักการเมืองในสหรัฐฯ

 

ก่อนที่ตลาดจะปิด ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นไปแตะ 6.0965 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าที่สุดในรอบ 20 ปี นับจากที่รัฐบาลจีนควบรวมอัตราแลกเปลี่ยนภาครัฐและอัตราแลกเปลี่ยนในตลาด เมื่อปี 2536 (ค.ศ.1993) โดยก่อนหน้านี้เงินหยวนเคยแข็งค่าขึ้นไปอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 6.1 หยวนต่อเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2536 โดยแข็งขึ้นไปถึงระดับ 5.8245 ก่อนที่จะอ่อนค่าลงมาที่ 8.7217 เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2537 หลังจากจีนประกาศใช้กลไกอัตราแลกเปลี่ยนระบบใหม่

 

นับตั้งแต่นั้นมาค่าเงินจีนก็แข็งค่าขึ้นถึงร้อยละ 43 โดยธนาคารประชาชนจีน (ธนาคารกลางจีน) ควบคุมให้ค่าเงินหยวนเคลื่อนไหวในกรอบไม่เกินร้อยละ 1 ทั้งสองด้านของอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง

 

นักวิเคราะห์ระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยนเหรียญสหรัฐฯ ต่อหยวนอาจมีความผันผวน เพราะตลาดต้องย่อยข้อมูลผลกระทบหลักสองด้านคือ การเจรจาเรื่องหนี้ของสหรัฐฯ และแนวโน้มที่ค่าเงินหยวนจะแข็งค่าขึ้นอีก

 

“ตอนนี้ ผลกระทบหลายด้านส่งผลต่อตลาดอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงนโยบายของภาครัฐต่อการแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ” โจว ยุ่นเสีย นักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนจากจงชิ่ง โกลด์ อินเวสต์เมนต์ระบุ

 

ขณะที่นิค เวอร์ดิ นักวิเคราะห์อัตราแลกเปลี่ยนจากบาร์เคลย์ รีเสิร์ชก็ระบุว่า ตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนมีแนวโน้มในเชิงบวก ในบริบทที่มีความเป็นไปได้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลงอีก นั่นช่วยสนับสนุนให้เกิดการไหลเข้าของเงินทุนเพื่อรองรับกับการแข็งค่าขึ้น ของเงินหยวนในปีนี้

 

ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาภาครัฐของจีน ก็ช่วยส่งเสริมการใช้เงินหยวนในระบบการค้าต่างประเทศ โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (16) จีนและสหราชอาณาจักรบรรลุข้อตกลงในการสร้างลอนดอนให้กลายเป็นศูนย์กลางใหญ่ ในการแลกเปลี่ยนเงินหยวนนอกประเทศจีน ซึ่งจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างสองประเทศให้มีความแน้นแฟ้น ขึ้นอีก

 

blank.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การก่อเกิด‘โลกที่อเมริกันไม่ใช่มหาอำนาจสำคัญที่สุด’ blank.gif โดย เปเป้ เอสโคบาร์ 19 ตุลาคม 2556 18:35 น.

 

 

 

blank.gif

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

 

The birth of the 'de-Americanized' world

By Pepe Escobar

15/10/2013

 

จีนประกาศออกมาแล้วว่าพอกันที บทบรรณาธิการของสำนักข่าวซินหวาพูดตรงไปตรงมาแบบถอดหน้ากากความสุภาพเรียบ ร้อยทางการทูตว่า ถึงเวลาที่จะต้องสร้างโลก “ที่อเมริกันไม่ใช่มหาอำนาจสำคัญที่สุด” อีกต่อไป โดยที่มี “สกุลเงินตราสำรองระหว่างประเทศสกุลใหม่” ใช้แทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับ “ฟางเส้นสุดท้าย” ที่ทำให้ “มังกร” หลังหัก จนต้องออกมาประกาศโผงผางเช่นนี้ ก็คือ “วิกฤตชัตดาวน์ของสหรัฐฯ” ซึ่งเป็นภาพอันโดดเด่นคมชัดที่แสดงให้เห็นว่าความเสื่อมโทรมถดถอยของสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขทัดทานได้ ในขณะที่จีนกำลังสยายปีกของตนเพื่อก้าวขึ้นเป็นนายใหญ่ในยุคโพสต์โมเดิร์น แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 21

 

เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้แหละ จีนประกาศออกมาแล้วว่าพอกันที หน้ากากความสุภาพเรียบร้อยแบบนักการทูตถูกถอดโยนทิ้ง มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้างโลก “ที่อเมริกันไม่ใช่มหาอำนาจสำคัญที่สุด” ('de-Americanized' world) อีกต่อไป มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องมี “สกุลเงินตราสำรองระหว่างประเทศสกุลใหม่” ใช้แทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ

 

ทั้งหมดอยู่ในนี้ ในบทบรรณาธิการของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน (อ่านบทบรรณาธิการชิ้นนี้ได้ที่ http://news.xinhuanet.com/english/indepth/2013-10/13/c_132794246.htm ) เป็นคำพูดโดยตรงจากปากของ “มังกร” เองทีเดียว และปีนี้ก็เพิ่งจะปี 2013 เท่านั้น รัดเข็มขัดที่นั่งของพวกคุณเอาไว้ให้แน่นเถอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชนชั้นนำในวอชิงตันทั้งหมด มันจะต้องเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยการปะทะการกระแทกพุ่งชนกันโครม ครามอย่างแน่นอน

 

ยุคสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้เตือนให้แดนมังกรต้อง “คอยก้มตัวต่ำ คอยระมัดระวังตัวเอาไว้” ได้ผ่านพ้นไปแล้ว บทบรรณาธิการของซินหวาชิ้นนี้สามารถสรุปความได้ว่า “ฟางเส้นสุดท้ายได้ทำให้มังกรหลังหักเสียแล้ว” และ “ฟางเส้นสุดท้าย” นี้ก็คือ วิกฤตหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯต้องพากันปิดตัวลง เนื่องจากไม่มีงบประมาณใช้จ่าย เมื่อรัฐสภาอเมริกันตกลงผ่านร่างงบประมาณแผ่นดินกันไม่ได้ วิกฤตชัตดาวน์นี้ปรากฏขึ้นมา หลังจากที่ได้เกิดวิกฤตภาคการเงินโดยที่มีวอลล์สตรีทเป็นตัวการ, หลังจากที่ได้เกิดสงครามในอิรัก, และ “โลกกำลังปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด” อย่างที่ถูกระบุเอาไว้ในบทบรรณาธิการชิ้นนี้ ดังนั้น จึงถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลง และไม่ใช่แต่เฉพาะจีนเท่านั้นหรอกที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง

 

ย่อหน้าต่อไปนี้ในบทบรรณาธิการของซินหวา วาดภาพออกมาอย่างชัดเจนกระจะตามากว่า “แทนที่จะยึดมั่นกระทำหน้าที่ของตนในฐานะที่เป็นมหาอำนาจชั้นนำที่มีความรับ ผิดชอบของโลก วอชิงตันที่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองกลับใช้อำนาจในฐานะที่เป็นอภิมหา อำนาจของตนไปในทางมิชอบ และนำเอาความวุ่นวายโกลาหลหนักข้อยิ่งขึ้นเข้ามาสู่โลก ทั้งด้วยการโยกเอาความเสี่ยงทางการเงินต่างๆ ไปไว้ในต่างแดน, ด้วยการยุแหย่กระตุ้นให้เกิดความตึงเครียดในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งมีกรณีพิพาททางดินแดนกันอยู่, และด้วยการเข้าสู้รบในสงครามที่ไร้ความชอบธรรมแต่ฉาบบังปกปิดด้วยคำโกหกพกลม โดยสิ้นเชิง”

 

หนทางออกสำหรับสภาวการณ์เช่นนี้นะรึ ปักกิ่งเสนอว่า จะต้อง “ถอดอเมริกันออกจากความเป็นมหาอำนาจสำคัญที่สุด” ในสมการภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน เริ่มต้นด้วยการทำให้พวกชาติเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และชาติกำลังพัฒนามีสิทธิ มีเสียงมากขึ้นในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก เพื่อนำไปสู่ “การสร้างสกุลเงินตราสำรองระหว่างประเทศสกุลใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะเข้าแทนที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อยู่ในฐานะครอบงำโลกอยู่ในตอนนี้”

 

มีข้อน่าสังเกตว่า ปักกิ่งไม่ได้กำลังป่าวร้องให้ทำลายทุบทิ้งระบบแบรตตันวู้ดส์ (Bretton Woods system) ให้แหลกลาญ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทุบทิ้งกันในตอนนี้ หากแต่เรียกร้องให้ได้รับอำนาจในการตัดสินใจเพิ่มมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน ข้อเรียกร้องเช่นนี้สมเหตุสมผล เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ภายในโครงสร้างไอเอ็มเอฟขณะนี้ จีนมีคะแนนเสียงมากกว่าอิตาลีเพียงนิดเดียวเท่านั้น อันที่จริงแล้วมีการเรียกร้องให้ดำเนิน “การปฏิรูป” ไอเอ็มเอฟกันอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี 2010 ทว่าวอชิงตันคอยใช้อำนาจวีโต้ทัดทานการเปลี่ยนแปลงที่เป็นสาระสำคัญทุกสิ่ง อัน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร

 

แล้วสำหรับการปรับเปลี่ยนยุติการอิงอาศัยเงินดอลลาร์สหรัฐฯนั้น แท้ที่จริงก็มีความเคลื่อนไหวเช่นนั้นอยู่แล้วในหลายๆ อาณาบริเวณ โดยที่มีระดับอัตราความเร็วแตกต่างกันไป แต่ที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ ย่อมได้แก่การค้าในระหว่างชาติสมาชิกของกลุ่มบริกส์ (BRICS ซึ่งได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็น 5 ชาติเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่รายใหญ่ของโลก) ด้วยกัน ซึ่งเวลานี้มีการใช้สกุลเงินตราของพวกเขาเองกันอย่างคึกคัก เงินดอลลาร์สหรัฐฯจึงกำลังถูกแทนที่ด้วยตะกร้าของเงินตราหลายๆ สกุล มันเป็นการแทนที่ซึ่งดำเนินไปอย่างช้าๆ ทว่าแน่นอน

 

“กระบวนการถอดอเมริกาออกจากการเป็นมหาอำนาจสำคัญที่สุด” ("De-Americanization") ก็กำลังบังเกิดขึ้นอยู่แล้วเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้ซึ่งแดนมังกรเปิดฉากรุกโปรยเสน่ห์ทางการ ค้าไปทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่ภูมิภาคนี้ก็กำลังมีแนวโน้มอันฉลาดหลักแหลม ในทิศทางของการมีปฏิบัติการเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกกับหุ้นส่วนทางการค้าราย สำคัญที่สุดของพวกตน ซึ่งก็คือ จีน ดังจะเห็นได้ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของแดนมังกร สามารถที่จะบรรลุข้อตกลงจำนวนมากกับอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ตลอดจนออสเตรเลีย ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่บรรลุข้อตกลงจำนวนมากกับพวกประเทศที่มี ชื่อลงท้ายด้วย “สถาน” ทั้งหลายในเอเชียกลาง

 

ความมุ่งมั่นของฝ่ายจีนที่จะปรับปรุงยกระดับเครือข่าย “เส้นทางสายไหมเหล็กกล้า” (Iron Silk Road) กำลังโหมแรงอย่างที่สุด โดยที่ราคาหุ้นของพวกบริษัทรถไฟจีนกำลังพุ่งทะยานทะลุหลังคา ท่ามกลางโอกาสความเป็นไปได้ที่จะมีการสร้างโครงข่ายรางรถไฟไฮสปีดที่เชื่อม โยงและตัดผ่านประเทศไทย ส่วนในเวียดนาม นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียง ประสบความสำเร็จในการสร้างความเข้าใจว่าการทะเลาะพิพาทชิงดินแดนในทะเลจีน ใต้ของประเทศทั้งสองนั้น จะไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องการค้าการทำธุรกิจระหว่างกัน การค้าและการทำธุรกิจกันมีแต่จะเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป ความเคลื่อนไหวต่างๆ เช่นนี้แหละจึงค่อยสมควรที่จะเรียกขานว่า “การปักหลุด” (pivoting) ในเอเชีย

 

**บทบาทของเงินหยวน**

 

ทุกๆ คนต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าปักกิ่งถือครองพันธบัตรกระทรวงการคลังสหรัฐฯเอา ไว้อย่างมหาศาลชนิดสามารถนำมากองกันให้สูงเป็นภูเขาหิมาลัยทีเดียว ทั้งนี้ต้องขอบคุณการได้เปรียบดุลการค้าอันมโหฬารซึ่งสะสมเพิ่มพูนมาเรื่อยๆ ตลอด 3 ทศวรรษหลังนี้ และบวกด้วยนโยบายของทางการแดนมังกรที่มุ่งรักษาให้เงินหยวนค่อยๆ ปรับค่าเพิ่มขึ้นอย่างช้ามากๆ ทว่าแน่นอนมั่นคงมาก

 

ในเวลาเดียวกันนั้น ปักกิ่งก็กำลังมีการลงมือปฏิบัติการด้วย ดังจะเห็นได้ว่าเงินหยวนกำลังค่อยๆ กลายเป็นสกุลเงินตราที่สามารถแลกเปลี่ยนในตลาดระหว่างประเทศได้อย่างช้าๆ แต่แน่นอนขึ้นทุกที (เพียงเมื่อต้นเดือนตุลาคมนี้เอง ธนาคารกลางของยุโรป และธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน ซึ่งก็คือแบงก์ชาติของแดนมังกร ได้ตกลงกันตั้งวงเงินสว็อปเงินตราระหว่างกันที่มีมูลค่า 45,000 – 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันจะเป็นการเพิ่มเสริมความแข็งแกร่งในทางระหว่างประเทศให้แก่เงินหยวน และเวลาเดียวกันก็ทำให้สามารถเข้าถึงเงินหยวนได้ง่ายขึ้นมากเมื่อจะใช้เงิน ตราสกุลนี้เพื่อสนับสนุนการค้าในพื้นที่ของสกุลเงินยูโร)

 

กำหนดเวลาอย่างไม่เป็นทางการที่สกุลเงินหยวนจะสามารถแลกเปลี่ยนกับ สกุลเงินตราอื่นได้ทุกหนทุกแห่งนั้น คาดหมายกันว่าน่าจะอยู่ในระหว่างปี 2017 ถึงปี 2020 ขณะที่เป้าหมายของปักกิ่งก็มีความชัดเจนมาก นั่นคือการถอยออกมาจากการสะสมถือครองตราสารหนี้สหรัฐฯ ซึ่งนี่ย่อมมีนัยต่อไปว่า มองกันในระยะยาว ปักกิ่งกำลังถอยตัวเองออกจากตลาดตราสารหนี้รัฐบาลสหรัฐฯมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมเปิดทางให้บังเกิดสถานการณ์ที่สหรัฐฯจะต้อง เสียดอกเบี้ยแพงขึ้นในเวลาที่จะกู้ยืมในอนาคต ทั้งนี้คณะผู้นำร่วมในปักกิ่งได้ตัดสินใจอย่างแน่นอนแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ และกำลังดำเนินการให้เป็นไปตามนั้น

 

ความเคลื่อนไหวในทิศทางสู่การทำให้เงินหยวนกลายเป็นสกุลเงินตราที่ สามารถแลกเปลี่ยนได้อย่างสมบูรณ์ เป็นเรื่องที่ไม่มีทางยับยั้งทัดทานได้ พอๆ กับแนวโน้วที่กลุ่มบริกส์เคลื่อนตัวไปสู่การใช้ระบบตะกร้าเงินตราหลายๆ สกุลกันมากขึ้นๆ เพื่อให้เป็นสกุลเงินตราในทุนสำรองระหว่างประเทศของพวกตนสืบแทนเงินดอลลาร์ สหรัฐฯ เราสามารถคาดหมายต่อไปอีกว่า ด้วยทิศทางแนวโน้มเช่นนี้ ในที่สุดก็จะเกิดเหตุการณ์ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันและ รุนแรง กล่าวคือ “หยวนน้ำมัน” (petroyuan) จะขยายตัวจนแซงหน้า “ดอลลาร์น้ำมัน” (petrodollar) ในทันทีที่พวกราชอาณาจักรร่ำรวยน้ำมันในอ่าวเปอร์เซียทั้งหลาย มองเห็นแล้วว่าลมแห่งประวัติศาสตร์กำลังโบกพัดไปในทิศทางไหนกันแน่ หลังจากนั้นเราก็จะก้าวเข้าสู่เกมแห่งภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งแตกต่างไปจากเดิม อย่างสิ้นเชิง

 

เราอาจจะยังต้องเดินกันไปอีกไกลกว่าจะถึงจุดดังกล่าว ทว่าสิ่งที่แน่นอนแล้วก็คือคำชี้แนะอันมีชื่อเสียงของเติ้ง เสี่ยวผิง กำลังค่อยๆ ถูกทอดทิ้งไปเรื่อยๆ ทั้งนี้คำชี้แนะดังกล่าวบอกให้พวกผู้นำจีน “รักษาที่มั่นของเราเอาไว้อย่างมั่นคง, รับมือกับกิจการต่างๆ ด้วยความสงบ, เก็บงำซุกซ่อนศักยภาพของเราและรอคอยโอกาสของเรา, ต้องมีความชำนาญในการคอยก้มตัวให้ต่ำคอยระมัดระวังเอาไว้อย่าให้เป็นที่จับ ตา, และไม่อวดอ้างที่จะเป็นผู้นำ”

 

คำชี้แนะนี้เป็นส่วนผสมระหว่างการระมัดระวังตัวกับการลวงพราง ซึ่งมีพื้นฐานอิงอยู่กับความเชื่อมั่นต่อประวัติศาสตร์ของจีน และก็คำนึงถึงความมุ่งมาดปรารถนาในระยะยาวของตนเองด้วย นี่คือการปฏิบัติตามหลักพิชัยสงครามของ “ซุนวู” โดยแท้ จวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ ปักกิ่งยังคงกำลังก้มตัวให้ต่ำ ปล่อยให้ปรปักษ์กระทำความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงถึงชีวิต (และก็ดูเอาเถิด ความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทำมาเมื่อรวมกันก็มีมูลค่าระดับหลายล้าน ล้านดอลลาร์แล้ว...) และทำการสั่งสม “เงินทุน”

 

บัดนี้ จังหวะเวลาที่สมควรใช้สอยหาประโยชน์จากสิ่งที่สะสมเอาไว้ กำลังมาถึงแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่เมื่อราวปี 2009 หลังจากเกิดวิกฤตทางการเงินที่ก่อขึ้นโดยวอลล์สตรีทแล้ว ก็มีเสียงไม่พอใจอึงคะนึงจากฝ่ายจีนแล้ว เกี่ยวกับ “การที่โมเดลแบบตะวันตกไม่สามารถทำงานให้ถูกต้องเป็นปกติ” และในที่สุดก็กลายเป็นการวิพากษ์ “การที่วัฒนธรรมตะวันตกไม่สามารถทำงานให้ถูกต้องเป็นปกติ”

 

ปักกิ่งจะต้องเคยฟังเพลง “The Times They Are a-Changin” ของ บ็อบ ดิแลน (Bob Dylan) และลงความเห็นว่า เนื้อหาของเพลงนี้กล่าวไว้ถูกต้องแล้ว เวลาคือสิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ในขณะที่สหรัฐฯไม่มีความก้าวหน้าทั้งทางสังคม, เศรษฐกิจ, และการเมืองใดๆ เลยในอนาคตอันใกล้นี้ วิกฤตชัตดาวน์จึงเป็นเพียงการสะท้อนภาพอันชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่า การไหลรูดลงของสหรัฐฯคือสิ่งที่ไม่อาจขัดขืนทัดทาน เช่นเดียวกับการที่จีนค่อยๆ สยายปีกของตนเพื่อก้าวขึ้นเป็นนายใหญ่ในยุคโพสต์โมเดิร์นแห่งคริสต์ศตวรรษ ที่ 21

 

ทั้งนี้อย่าได้ผิดพลาดจนถึงกับไม่เข้าใจว่า ถึงอย่างไรชนชั้นนำในวอชิงตันก็จะต้องต่อสู้ต้านทานสภาวการณ์เช่นนี้อย่าสุด ฤทธิ์ แต่กระนั้น คำกล่าวอันลึกซึ้งคมคายของ อันโตนิโอ กรัมซี (Antonio Gramsci) ที่ว่า “วิกฤตนั้นย่อมประกอบขึ้นมาอย่างแยบยลด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า ฝ่ายเก่ากำลังตายจากไป ส่วนฝ่ายใหม่ก็ยังไม่สามารถถือกำเนิดขึ้นมา” เห็นทีจะต้องอัปเกรดให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยพูดเสียใหม่ว่า “ระเบียบใหม่เพิ่งตายจากไป และระเบียบใหม่ก็ขยับใกล้เข้ามาอีกก้าวหนึ่งก่อนที่จะถือกำเนิดขึ้นมา”

 

เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Globalistan: How the Globalized World is Dissolving into Liquid War (Nimble Books, 2007), Red Zone Blues: a snapshot of Baghdad during the surge (Nimble Books, 2007), และ Obama does Globalistan (Nimble Books, 2009) ทั้งนี้สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

‘เจพีมอร์แกน’ควักกว่า4แสนล.บาท ‘จ่ายค่าปรับ’รบ.USคดียุค‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2556 22:29 น.

 

 

 

blank.gif 556000013768701.JPEG blank.gif

เอเจนซีส์ – เจพี มอร์แกน วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่จะยอมจ่ายค่าปรับ 13,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 406,250 ล้านบาท) ให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เพื่อยุติคดีการขายหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อบ้านความเสี่ยงสูง ซึ่งถูกระบุว่า เป็นต้นเหตุทำให้ระบบการธนาคารเกือบล่มเมื่อปี 2007 และนำไปสู่วิกฤตการเงินโลก ซึ่งเรียกขานกันว่า “วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์” ในปีถัดมา

 

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานโดยอ้างเจ้าหน้าที่วงในว่า ข้อตกลงเบื้องต้นในการจ่ายค่ายอมความ 13,000 ล้านดอลลาร์ให้แก่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เกิดขึ้นระหว่างการหารือเมื่อคืนวันศุกร์ (18) ระหว่างทีมนักกฎหมายของเจพี มอร์แกน กับอิริก โฮลเดอร์ รัฐมนตรียุติธรรม และโทนี เวสต์ รัฐมนตรีช่วยยุติธรรม

 

ด้านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานเพียงว่า วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯแห่งนี้ใกล้บรรลุข้อตกลงดังกล่าว โดยอยู่ระหว่างการหารือรายละเอียดขั้นสุดท้าย ขณะที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเองยังไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

 

ทั้งนี้หากรายงานข่าวนี้เป็นความจริง จะถือเป็นข้อตกลงยอมความมูลค่าสูงสุดเท่าที่บริษัทอเมริกันเคยจ่ายมา

 

รายงานระบุว่า เงินจำนวน 13,000 ล้านดอลลาร์นี้ แบ่งเป็นค่าปรับ 9,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 4,000 ล้านดอลลาร์เป็นค่าชดเชยสำหรับเจ้าของบ้านที่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมยังคาดหวังให้เจพี มอร์แกนให้ความร่วมมือในการสอบสวนคดีอาญาเกี่ยวกับการออกหลักทรัพย์ที่ค้ำ ประกันด้วยสินเชื่อบ้านระหว่างปี 2005-2007 อีกด้วย

 

ทั้งนี้ ก่อนที่จะเกิดวิกฤตภาคการเงินในปี 2008 วาณิชธนกิจหลายแห่งได้ออกผลิตภัณฑ์การเงินที่มีความซับซ้อนมาก โดยที่เรียกว่า หลักทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อบ้าน

 

บีบีซีนิวส์แจกแจงว่า ในทางเป็นจริงแล้ว ตราสารหนี้เหล่านี้ประกอบด้วยเครื่องมือการลงทุนหลายประเภทผสมคลุกเคล้าเข้า ด้วยกัน โดยเครื่องมือสำคัญที่สุดคือสินเชื่อบ้านซึ่งถูกโฆษณาว่าปลอดความเสี่ยง

 

ทว่า เจพี มอร์แกนถูกกล่าวหาว่า ขายหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกันดังกล่าว ทั้งที่รู้ว่า สินเชื่อเหล่านั้นมีความเสี่ยงสูงมาก และในที่สุดแล้วพวกหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อบ้านค้ำประกันเหล่านี้เอง ถูกมองว่ามีบทบาทสำคัญยิ่งที่ทำให้ระบบการธนาคารของสหรัฐฯเกือบล่มในปี 2007 เมื่อธนาคารต่างๆ ตระหนักว่า สินทรัพย์จำนวนมากที่ครอบครองอยู่มีมูลค่าเพียงแค่เศษเสี้ยวของมูลค่าตาม บัญชีอย่างเป็นทางการ และพวกเขาขาดทุนกันเป็นเรือนหมื่นล้านแสนล้านดอลลาร์

 

บีบีซีนิวส์ชี้ว่า ค่ายอมความครั้งนี้ครอบคลุมเฉพาะคดีแพ่งทั้งหมดที่อาจมีการฟ้องร้องเจพี มอร์แกนในอนาคตเท่านั้น ไม่รวมคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของแบงก์แห่งนี้แต่อย่างใด

 

เดิมนั้นเจพี มอร์แกนตั้งใจว่า จะโน้มน้าวให้กระทรวงยุติธรรมยอมยกเลิกการสอบสวนคดีอาญา แต่กระทรวงยุติธรรมไม่เล่นด้วย

 

ก่อนหน้านี้แบงก์ใหญ่มากมาย รวมถึงเจพี มอร์แกน, โกลด์แมน แซคส์ และซิตี้กรุ๊ป ล้วนถูกกล่าวหาว่ามีความผิดจากการขายหลักทรัพย์ที่เกี่ยวโยงกับสินเชื่อบ้าน ความเสี่ยงสูงอันนำไปสู่วิกฤตการเงินโลกปี 2008 และมีการจ่ายค่าปรับในคดีแพ่งที่มีคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (เอสอีซี) เป็นโจทก์ฟ้องร้อง รวมหลายร้อยล้านดอลลาร์

 

สำหรับเจพี มอร์แกนที่เคยเป็น “คนโปรด” ของวอชิงตันและวอลล์สตรีทนั้นเพิ่งถูกปรับเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์เมื่อเดือนที่แล้ว จากกรณีอื้อฉาว “ลอนดอน เวล” ที่อดีตพนักงานที่ชื่อ บรูโน อิกซิล วางเดิมพันสูงกับตลาดการเงินและทำให้เกิดความเสียหายมโหฬาร

 

แม้อยู่รอดปลอดภัยจากวิกฤตการเงินเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่ขณะนี้เจพี มอร์แกนกำลังตกเป็นเป้าหมายการตรวจสอบกว่า 10 คดีทั่วโลก ตั้งแต่การติดสินบนในจีนจนถึงความเป็นไปได้ในการมีบทบาทในการปั่นอัตราดอก เบี้ยไลบอร์ของตลาดลอนดอน

 

สองสัปดาห์ก่อน วาณิชธนกิจแห่งนี้ยังรายงานว่า ขาดทุนในไตรมาสที่ผ่านมา 380 ล้านดอลลาร์ จากที่มีกำไร 5,700 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว สาเหตุหลักคือค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายรวม 9,200 ล้านดอลลาร์

 

เจพี มอร์แกนระบุว่า ได้เตรียมเงินไว้ 23,000 ล้านดอลลาร์เป็นค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ11 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Bangkok ·

 

 

Good Morning News จาก กองทุนบัวหลวง

21 ตุลาคม 2556

 

General News

----------------

 

• สัดส่วนหนี้เสียของ ธ.พาณิชย์ในสเปน ขึ้นสู่ระดับสูงสุดใหม่ที่ 12.12% ในเดือน ส.ค. จาก 11.97% ในเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปีที่สัดส่วนหนี้เสียสูงกว่า 12%

 

• มาริโอ ดรากิ ประธาน ธ.กลางยุโรป (ECB) เรียกร้องยุโรปให้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ให้ความช่วยเหลือแก่ภาคธนาคาร โดยเห็นว่า ธ.พาณิชย์ควรจะเข้าถึงความช่วยเหลือจากสาธารณะได้โดยไม่จำเป็นต้องตัดผล ประโยชน์ของผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ หากเจ้าหน้าที่กำกับกฎระเบียบอนุมัติให้ธนาคารเพิ่มทุนและไม่ได้อยู่ในช่วง ที่ขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง

 

• นายกรัฐมนตรีมาริอาโน ราฮอย ของสเปน เชื่อว่า สเปนกำลังก้าวออกจากวิกฤตเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากการปฏิรูปโครงสร้างในเชิงลึกซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุง เศรษฐกิจให้ดีขึ้น หลังจากวางรากฐานสำหรับศักยภาพด้านการแข่งขันและความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ

 

• FED คาดว่า อาจต้องรอถึงต้นปีหน้าก่อนที่เศรษฐกิจสหรัฐจะแข็งแกร่งพอที่จะลดวงเงินใน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ได้ หลังจากความขัดแย้งในประเด็นงบประมาณระหว่างนักการเมืองสหรัฐได้ส่งผลกระทบ ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

 

แต่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าตัวเลขจ้างงานที่ออกมาอาจไม่ต่างจากตัวเลขที FED เคยเห็นในเดือน ก.ย. มากนัก ซึ่งจะส่งผลให้ตัดสินใจได้ยาก ว่าจะลดขนาด QE ลงในเดือน ธ.ค. หรือไม่

 

• จำนวนผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ ลดลง 15,000 ราย มาอยู่ที่ 358,000 ราย หลังการปิดหน่วยงานภาครัฐยังไม่ส่งผลต่อตลาดแรงงานมากนัก

 

• GDP ของจีนไตรมาส 3 ปีนี้ขยายตัว 7.8% ดีขึ้นจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 7.5% ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 10.2% และยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 13.3%

 

สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนายกรัฐมนตรี หลี่ เค่อเฉียง ที่คาดว่า GDP 9 เดือนแรกปีนี้จะขยายตัวได้สูงกว่าระดับ 7.5% และคาดว่าการขยายตัวทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าหมาย 7.5%

 

• ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของจีนในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 0.9 จุด มาอยู่ที่ 121.5 จุด สะท้อนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจเอกชนที่ดีขึ้นและความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจ จีนผ่านจุดชะลอตัวมาแล้ว

 

• การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของจีนช่วง 9 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 20.2% มาอยู่ที่ 5.04 ล้านล้านดอลล์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วง 8 เดือนแรกของปี

 

• นครเซี่ยงไฮ้ เตรียมพิจารณาจะเก็บภาษีการใช้ถนนตามเป้าหมายที่จะลดมลภาวะลงให้ได้ 20% ในปี 2017 เพื่อแก้ปัญหาจราจรและปัญหามลพิษซึ่งอยู่ในระดับมีอันตรายร้ายแรง

 

• จีนมีแนวโน้มจะขยายเวลาให้มาตรการจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ เพื่อยกระดับการควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงกำหนดกลไกในระยะยาวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

• เจ้าหน้าที่การทูตของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น เตรียมจัดประชุมในประเด็นความมั่นคงร่วมกันครั้งแรกในรอบ 3 ปี ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างทั้งสองประเทศ

 

• การผลิตเหล็กดิบของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยได้แรงหนุนจากความต้องการในระดับสูงของภาคก่อสร้าง ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของรัฐบาล และการรีบเร่งสร้างบ้านก่อนการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในปีหน้า

 

• สถาบันวิจัยยานยนต์ของเกาหลี ซึ่งอยู่ในเครือของฮุนได มอเตอร์ กรุ๊ป แจ้งว่า ยอดขายรถยนต์ยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปีหน้าเป็นครั้งแรกใน 7 ปี โดยเพิ่มขึ้น 2.5% สู่ 13.87 ล้านคัน ขณะที่ยอดขายรถยนต์สหรัฐจะชะลอลงในปี 2014 โดยจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.2% สู่ 16.1 ล้านคัน เมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น 7.6% ในปีนี้ ซึ่งเป็นผลจากการที่ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ส่วนอุปสงค์ของจีนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน

 

• ภาคเอกชนของเกาหลีใต้มีศักยภาพทำกำไรต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในปีก่อน เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ยอดขายลดลง ทำให้สัดส่วนกำไรก่อนหักภาษีต่อยอดขายโดยเฉลี่ยลดลงมาอยู่ที่ 3.4% ในปี 2012

 

• องค์การการท่องเที่ยวโลก รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้สูงถึง 747 ล้านคน ซึ่งมากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 38 ล้านคน ส่งผลให้ธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยยุโรปได้ประโยชน์มากที่สุดเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 20 ล้านคน ส่วนเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้น 10 ล้านคน

 

• สศค. มองว่า การแก้ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ ในครั้งนี้เป็นเพียงการประวิงเวลาออกไป ทำให้ต้องติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หลังจากจะครบกำหนดขอเพิ่มเพดานหนี้อีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า โดยเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานดีและมีเสถียรภาพ มีดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุล และมีความสามารถในการควบคุมค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวน

 

• ก.พาณิชย์ มั่นใจว่าการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 4% ตามคาดการณ์ เนื่องจากการขยายเพดานหนี้ และการปิดทำการหน่วยงานรัฐของอเมริกาไม่น่าจะกระทบกับการส่งออกไทย เพราะสัดส่วนการส่งออกไปสหรัฐได้ลดลงอย่างต่อเนื่องมาก่อนหน้าแล้ว โดยต่อจากนี้ไปทิศทางการส่งออกจะมุ่งไปยังตลาดในที่มีศักยภาพและมีอัตราขยาย ตัวทางเศรษฐกิจที่ดี เช่น เอเชีย และอาเซียน 9 ประเทศ ซึ่งมีข้อตกลงการเป็นประชาคมเศรษฐกิจ หรือ AEC ร่วมกันอยู่

 

Equity Market

---------------

 

• SET Index ปิดที่ 1,484.72 จุด เพิ่มขึ้น 15.63 จุด (+1.06%) ด้วยมูลค่าซื้อขาย 38,844 ล้านบาท โดยดัชนีในวันศุกร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มผ่อนคลาย จากการที่สหรัฐขยายเวลาการชำระหนี้ได้ชั่วคราวประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจของ จีนออกมาดี

 

ส่วนปัจจัยภายในประเทศที่ต้องติดตามคือ การปรับประมาณการ GDP ไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งนักลงทุนบางส่วนคาดหวังว่าจะดีขึ้นตามสัญญาณของตัวเลขส่งออกไทยที่ดี ขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว

 

ทั้งนี้ ต้องจับตาดูปัจจัยลบจากความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงขึ้นจากร่าง พรบ.นิรโทษกรรมไปกินความถึงคดีความการทุจริตคอร์รัปชั่น และระบุชัดถึงการล้มล้างคดีความทุกคดีที่มีที่มาจาก คตส. และยังสงวนสิทธิ์ให้ผู้ที่ถูกยึดทรัพย์มีสิทธิในการเรียกร้องทรัพย์คืนอีก ด้วย

 

ล้านบาท

---------

นักลงทุนสถาบัน -815.13

บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ +1,074.41

นักลงทุนต่างชาติ +994.80

นักลงทุนทั่วไป -1,254.08

 

Fixed Income Market

------------------------

 

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงในช่วง -0.04% ถึง 0.00% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรรัฐบาลอายุ 1 เดือน และพันธบัตรธปท. อายุ 3 เดือน และ 6 เดือน มูลค่ารวม 78,000 ล้านบาท

 

Gold Corner

-------------

 

• HSBC คาดว่า ความต้องการทองคำในภูมิภาคเอเชียจะยังคงขยายตัวเนื่องเพราะอัตราเงินเฟ้อมี แนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการบริโภคที่ขยายตัว ทำให้สัดส่วนความต้องการทองคำของเอเชียจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ความต้องการเครื่องประดับทองคำ ทองคำแท่ง และเหรียญทองคำ ในอินเดีย จีน อินโดนีเซีย และเวียดนาม จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 60% ของความต้องการทองคำของโลกจากที่มีสัดส่วนเพียง 35% ในปี 2004

 

Guru Quote

-------------

 

• Peter Schiff “QE ก็คือยาเสพย์ติดดีๆ นี่เอง ยิ่งเสพย์ก็ยิ่งต้องการมากขึ้น FED รู้ว่าสิ่งเดียวที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐดีจนหลอกคนได้ก็คือ QE ที่ไม่มีวันลด มีแต่จะเพิ่ม ถ้าขายทองคำไปแล้วให้รีบซื้อกลับก่อนที่มันจะแพงจนซื้อไม่ไหว”

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

การตามราคาตลาดห่างๆ นี่ดีเหมือนกันนะครับ หากเราวางแผนระยะไหนไว้แล้ว จะเข้ามาดูราคาตลอดโดยคิดว่าไม่ทำให้แผนการลงทุนเสียนี่เป็นเรื่องยากมาก จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของความอยากในจิตใจแท้ๆ ที่ทำให้ห่างจอไม่ได้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

9 ชั่วโมงที่แล้ว

 

 

 

บริษัทจีนซื้อสำนักงานใหญ๋ของ JP Morgan ที่นิวยอร์ค

 

Fosun International, ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน ทำธุรกิจตั้งแต่สินค้าบริโภคภัณฑ์ อสังหาฯ ไปจนถึงยา ได้ประกาศตัวเองแล้วว่าเป็นผู้ซื้อตึกChase Manhattan Plaza หรือสำนักงานใหญ่ของ JP Morgan ที่นิวยอร์คไปแล้ว ด้วยราคา$725ล้าน

 

การซื้อสำนักงานใหญ่ของ JP Morgan โดยบิรษัทจีนครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนถ่ายทางสัญลักษณ์ที่สำคัญ เพราะว่าดูคล้ายกับว่าจีนได้ปักธงชัยที่Wall Street ได้เรียบร้อยแล้ว David Rockefeller เป็นคนสร้างตึก JP Morgan ซึ่งถือได้ว่าเป็นแบงค์ที่ทรงอิทธิพลและใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯในขณะนี้ เพราะว่าเป็นผู้ถือหุ้นของFederal Reserve มาแต่ต้น พ่อของ David Rockefeller คือJohn D Rockefeller มีส่วนสำคัญในการตั้งเฟด ตึกที่ทำการของสหประชาชาติก็ตั้งบนที่ดินของRockefeller

 

แต่ที่ผ่านมาJP Morgan ดูเหมือนว่าจะเป็นเป้าของการกวาดล้าง และมีข่าวแปลกๆออกมาเนื่องๆ นับจากข่าวที่ออกมาว่าตู้นิรภัยเก็บทองใต้ดิตของ JP Morgan ถูกไฟไหม้ และข่าวฉาวเกี่ยวกับคดีนับเป็นโหลที่JP Morgan กำลังโดนเล่นงาน และล่าสุดWall Street Journal รายงานว่าJP Morgan ได้บรรลุข้อตกลงกับกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่จะจ่ายเงิน$13,000ล้าน เพื่อไกล่เกลี่ยนอกศาล จากคดีที่เกี่ยวพันกับการทำธุรกรรม mortgage backed securities หรือตราสารการเงินที่อิงอสังหาฯที่JP Morganเอาไปขายให้นักลงทุน ก่อนปี2007 ต่อมาตราสารเหล่านี้กลายเป็นจังค์ไปหลังจากวิกฤตซับไพร์ม และการพังทะลายของLehman Brothers ในปี2008

 

ประเด็นที่น่าคิดคือพวกRockefeller ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน แต่ทำไมถึงประกาศขายตึกสำนักงานใหญ่ของตัวเอง และทำไมถึงโดนเล่นงานทางคดีความหนักเหมือนกับว่าจะเอาให้ล้ม ทั้งที่ตระกูลนี้เส้นใหญ่คับฟ้า

 

thanong

21/10/2013

 

 

 

 

http://www.zerohedge.com/news/2013-10-18/chinas-largest-conglomerate-buys-building-houses-jpmorgans-gold-vault

 

http://www.marketwatch.com/story/jp-morgan-in-tentative-13-billion-probe-deal-2013-10-19?siteid=YAHOOB

 

 

 

1382432_167883640074685_232934708_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:Announce

 

เห็ดอาจจะไม่เริ่มลดการพิมพ์เงินไปอีกหลายเดือน เพราะว่าที่คณะตลกได้ประกาศให้รัฐบานหยุดทำงาน ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจไม่ชัดเจน

- ชาร์ลส เอแวน, ประธานเห็ดสาขาชิคาโก

 

http://www.cnbc.com/id/101128155

 

ป.ล. ขาใหญ่ผู้กำหนดนโยบายเห็ดมีกำหนดการที่จะประชุมในสัปดาห์หน้า เพื่อที่จะพิจารณาว่าเมื่อไหร่ควรจะลดการพิมพ์เงิน

 

:53 :53 :53

 

ดิ๊ก ฟิชเชอร์ ประธานเห็ด สาขาดัลลัส ออกมาแสดงความคิดเห็น หลังจากคณะตลกหยุดการแสดง

  • ปัญหาเรื่องงบประมาณ ทำให้ต้องปัดโอกาสที่จะลดการพิมพ์เงินในตอนนี้
  • ตอนนี้เป็นเรื่องยากที่จะกลับลำ เปลี่ยนนโยบายทางการเงินในตอนนี้
  • ก่อนหน้านี้ เขาสนับสนุนให้เห็ดลดการพิมพ์เงินในแต่ละเดือน
  • เขาย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเห็ดในตอนนี้คือการลุยต่อเหมือนเดิม และพิมพ์เงิน ในการประชุมเดือน ต.ค

http://www.zerohedge...apering-goodbye

 

....

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Monkey Trader · 22,687 คนถูกใจสิ่งนี้8 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Bang Rak ·

 

 

มี พูดกันเยอะเลยว่าทองจะลงยาว ต่ำ $1,000 ว่าหากมีทองต้องขายทิ้งออกไปให้หมด. หรือทองจะเป็น Downtrend ไปอีก 10-20 ปีจากนี้.... ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมมองทองคำเลวร้ายขนาดนั้น. ทองคำถือว่าวัตถุมีค่ามาตั้งแต่สมัยโบราณ ตั้งแต่ยังไม่มีระบบการเงิน เป็นวัตถุที่ทุกชาติ-ทุกอารยธรรมถือว่ามีค่า เศรษฐีไทยในยุคก่อนยังมีพูดกันเลยว่าถ้าไม่เก็บเป็นที่ ก็ให้เก็บเป็นทอง. ชัดเจนอยู่ว่าทองถูก "เก็งกำไร" ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วิ่งจาก $300 มาเกือบ $2,000 และถูก "ทำกำไร" ลงมาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แต่ภาพหนึ่งที่ต้องเข้าใจก็คือ ตอนนี้ทุกประเทศทุนนิยมทั่วโลกปั๊มเงินออกมาอย่างบ้าคลั่ง เพียงเพราะทาง FED จะลด QE ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดปั๊มเงิน FED ก็ยังซื้อ Gov bond ต่อไปเหมือนเดิม. "เงิน" จะยังเป็น Commodities ที่มีแต่จะเพิ่ม และเพิ่มในอัตราเร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้นทองคำ (แม้ปัจจุบันอยู่ในช่วงพักฐาน) ในระยะยาวจะไม่สามารถลดมูลค่าตรา/ราคาลงไปได้เลยครับ. ทองคำเทรดยากมากขึ้น, Trade vol ลดน้อยลง แต่นั่นคือเรื่องปกติในช่วงพักฐานครับ.

Monkey Trader เรา ต้องชัดเจนกันก่อนว่าเราใช้ทองคำเพื่อวัตถุประสงค์ด้านการลงทุน/การออมอย่าง ไร. ถ้าซื้อเพื่อเก็งกำไรสำหรับทองที่อยู่ในช่วงพักฐานใหญ่แบบนี้ก็เทรดยากหน่อย เทรดได้แต่เทรดทำกำไรจาก Trend ยาวๆ สวยๆ ก็จะมีจังหวะน้อยครั้งหน่อย Hot money มันถูกโยกไปฝั่ง Equity ก่อน ในช่วงนี้. แต่ถ้าสำหรับการออม ซึ่งคำว่าออมในมุมมองคือ TF คือ 30 ปีอย่างน้อย ผมยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์เพื่อการออมชั้นเยี่ยม. สภาพคล่องสูง ในภาพใหญ่ไม่ลดมูลค่าเป็น 0 แน่นอน. (สำหรับหุ้นไม่แน่) จะมองว่าดี/ไม่ดีอย่างไร ผมว่าเราต้องดูวัตถุประสงค์ที่ต้องการด้วย

- เทรดตามรอบ → ดี

- เก็งกำไรหน้า L ภาพใหญ่ → ไม่ดี

- ออมระยะยาว → ดี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub · 23,477 คนถูกใจสิ่งนี้22 นาทีที่แล้ว ·

 

 

ต่างชาติเริ่มเมินพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

 

1. ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีขนาด$11.6ล้านล้าน ขณะนี้เริ่มฉายแววหมองสุดนับตั้งแต่ปี2001 โดนนักลงทุนขายทิ้งเพราะปัญหาการปิดรัฐบาลและเพดานหนี้ที่ผ่านมา

 

2. ดอกเบี้ยพันธฐบัตรรัฐบาลสหรัฐฯมีแนวโน้มสูงขึ้น

 

3. แต่ละเปอร์เซ็นต์ของดอกเบี้ยที่เพิ่ม จะทำให้ภาระดอกเบี้ยรัฐบาลเพิ่ม $20,000ล้านต่อปี

 

4. Steve Major แห่ง HSBC บอกว่า ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะผิดหรือไม่ผิดชำระหนี้ นักการเมืองเตะกระป๋องไปตามถนนแบบทองไม่รู้ร้อน >>>“Default or no default, the damage is already done,” Steve Major, the London-based global head of rates strategy at HSBC Holdings Plc, Europe’s largest bank, said in a telephone interview. “Politicians are kicking the can down the road

 

4. HSBC คาดการว่า ตลาดจะต้องการได้ดอกเบี้ยพันธบัตร30ปีเพิ่มจาก 1.06% อาทิตย์ที่แล้วเป็น1.2% วันที่3กันยายน ดอกเบี้ยนี้อยู่ที่0.87% >>HSBC forecast the extra yield that investors demand to hold 30-year Treasuries instead of 10-year (USGG10YR) securities will rise to 1.2 percentage points from 1.06 percentage points last week and 0.87 point on Sept. 3, the lowest in three years.

 

5. ต่างชาติถือประมาณครึ่งหนึ่งของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ช่วง4เดือนมาถึงกรกฎาคม ต่างชาติขายพันธบัตรสหรัฐฯ$132,000ล้าน

 

thanong

22/10/2013

 

http://www.bloomberg.com/news/2013-10-20/treasuries-losing-cachet-with-weakest-foreign-demand-since-2001.html

-PAXP-deijE.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณAnakin Netwalker รวบรวมบทความต่างๆของอาจารย์ทนงเป็นPDFไฟล์ ความยาว73หน้าครับ

https://www.dropbox.com/s/yy8u3a99dap6oba/ThanongFC_v1.4.pdf

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...