ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ที่มาร์ตินพูดแล้วผมงงๆ ผมถึงไม่เอามาโพสต่อในเฟซผม อ่านแล้วผมไม่เข้าใจสิ่งที่บอก แต่ที่ปีเตอร์ ชิฟฟ์พูดอันนี้ตรงกับความเข้าใจผม มีเพื่อนในเฟซผมมาcopyข้อความส่วนนี้ไปลงในเฟซผมแล้ว

 

ตามที่ผมเข้าใจมาร์ตินเป็นตามนี้ครับ

  1. ลุงแซมใช้เงินเกินตัว เลยเป็นหนี้
  2. สมัยก่อนใช้วิธีพิมพ์เงิน (คิวอี) เพื่อให้ลุงแซมมีเงินใช้ ลุงแซมเลยดูใจดี สปอร์ต ยูเอสเอ (ทำให้สภาพเศรษฐกิจดูดี)
  3. หลัง พ.ย. ปีที่แล้ว ลุงแซมเบื่อที่จะหลีสาวๆแล้ว (ไม่ต้องลุ้นตำแหน่งปธน.แล้ว) เลยไม่จำเป็นต้อง ใจดี สปอร์ต ยูเอสเอ
    อีกต่อไป (เศรษฐกิจพัง บริษัทเจ๊ง ช่างหัวมัน) แต่อย่างไรก็ตาม ลุงแซมยังมีอาการใช้เงินเกินตัวอยู่เหมือนเดิม (สรุปก็มือเติบสร้างหนี้ต่อ)
  4. ถ้าลุงแซมสร้างหนี้เพิ่มไม่ได้ ลุงแซมก็จะไม่มีเงินมาถลุง และไม่มีเงินมาจ่ายดอก จ่ายต้น ของหนี้ที่สร้างไว้ตั้งแต่แรกๆ
  5. ถ้าไม่มีตังจ่ายหนี้ ไม่พิมพ์เงิน คราวนี้ก็ต้องไปกู้อาแปะหน้าปากซอยที่ปล่อยกู้นอกระบบ (ในเมื่อไม่พิมพ์เงินมาปล่อยกู้ให้กับตัวเอง ก็ต้องไปกู้คนอื่น ทำให้ดอกสูงขึ้น แถมหนี้เก่าปรับดอกตามหนี้ใหม่อีก -- ดอกสูง = เงินเฟ้อ)
  6. ลุงแซมดูท่าแล้ว เงินเฟ้อก็ไม่อยากได้, พิมพ์เงินเองก็ไม่อยากทำ, ประหยัดเงินก็ไม่อยากประหยัด คราวนี้ทำไงดีหล่ะ
  7. นึกได้ว่าที่บ้านมีเมีย มีลูก มีทาสอยู่ (ประชาชน) เลยบังคับให้เมีย ลูก และทาส ที่บ้าน แบ่งรายได้จากการทำงาน และทำไร่ไถนา มาให้ลุงแซมเพิ่ม ลุงแซมจะได้มีเงินถลุงต่อ (ขึ้นภาษี ทางตรง ทางอ้อม ฯลฯ)
  8. ถ้าลุงแซมสามารถรีดเงินจากทาสที่บ้านได้ถึงในระดับที่ทำให้เกิดสมดุล ลุงแซมก็ไม่ต้องพิมพ์เงิน และไม่ต้องกู้อาแปะ นั่นเอง

มาร์ตินบอกว่า เพราะข้อ ๗ และ ข้อ ๘ ลุงแซมจึงไม่ต้องง้อการพิมพ์เงินต่อไป และเชื่อว่าเฟดจะลดปริมาณคิวอีในปีนี้

 

ส่วนตัวผมมองว่า ถ้ามองทางทฤษฏีนั้นพอเป็นไปได้

แต่พอมองกราฟที่มีคนทำมาให้ดู ปริมาณเงินที่ลุงแซมใช้เกินตัว

มันเยอะมากๆๆๆๆๆ เมื่อเทียบกับปริมาณเงินที่ลุงแซมรีดมาจากทาสที่บ้าน

รีดเก่งเท่าไหร่ก็ไม่พอกับการใช้เงินมือเติบ เหมือนคนติดยา ของลุงแซมหรอก

 

ส่วนในค่ายลุงจิม / ปีเตอร์ ชิฟฟ์ บอกว่า ลุงแซมไม่มีทางหยุดพิมพ์เงินได้

ไม่งั้นลุงแซมเจ๊งล้มหัวทิ่มในตอนนี้แน่ๆ (ซึ่งยังไงก็ต้องล้ม แต่ลุงแซมบอกว่าขอเอากระดาษไปแลกนา แลกไร่ แลกของจริงๆ มาเก็บไว้ก่อน ตราบใดที่ยังมีคนยอมให้แลก)

สรุป : ที่ออกมาพูดดูดีว่าจะเลิกพิมพ์เงินนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ และเป็นเพียงการสับขา หลอกชาวบ้านไปวันๆ

 

 

ส่วน SILVER EAGLE ยอดเป็นศูนย์ คงยังไม่เปิดจำหน่ายเหรียญSILVER เหตุใดจึงไม่จำหน่าย น่ามีนัยแอบแฝง

เจมส์ เถิก เขาบอกแบบนี้ครับว่าที่ไม่ขายเพราะ :Announce

1 ไม่มีของที่จะมาทำเหรียญ :57 หรือ

2 ไม่อยากขายของที่ราคาถูกเกินไป :gd

 

http://kingworldnews..._%26_Chaos.html

 

คุณหมอตั้งนามสกุลไทยให้เจมส์ เถิก ได้เจ๋งมาก อ่านไปขำไป คิดได้ไงเนี่ย 555

:uu

 

เรื่องซิลเวอร์อีเกิล (ของปี ๒๐๑๒) ขอเสริมข้อมูล ตามนี้ครับ

  1. ก่อนหน้านี้ กฏหมายสั่งให้โรงกษาปณ์ของลุงแซม ปั๊มเหรียญเงินออกมาขาย ตราบที่ยังมีความต้องการซื้ออยู่
  2. หลังๆ โรงกษาปณ์ เริ่มมีเบี้ยว นึกอยากปั๊มก็ปั๊ม ไม่อยากก็ไม่ปั๊ม
  3. เลยมีหลานๆของลุงแซม (หนึ่งในนั้นคือ บิกซ์ เวียร์) เขียนจดหมายไปเตือนอยู่หลายฉบับ ว่านี้มันกฏหมายนะจ๊ะ ทำไมไม่ปั๊มเพิ่ม
  4. ลุงแซมหัวหมอ เลยแก้กฏหมาย เพิ่มกฏเข้าไปว่า สามารถหยุดปั๊มได้ ตามดุลยพินิจ ของเลขาธิการ กระทรวงการคลัง
  5. เมื่อปลายปี ๒๐๑๒ ฯพณฯ ทิม ไกท์เนอร์ ซึ่งสวมหัวโขนนั้นอยู่พอดี เลยสั่งให้โรงกษาปณ์หยุดปั๊มเหรียญ โดยไม่มีใครทราบเหตุผลอย่างเป็นทางการ
  6. เข้าใจว่า จนบัดนี้ ยังไม่ได้กลับมาเริ่มปั๊มเหรียญใหม่
  7. ทิม ไกท์เนอร์ ประกาศจะลาออกเดือนนี้แล้ว (ก่อนที่จะมีการถกกันเรื่องหน้าผาอีกครั้งปลายเดือน ก.พ.)

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

น่าจะตอบถูกทุกข้อนะครับ ^^

 

เอาทั้งพิมพ์เงิน และไถเงินจากเมีย/ลูก/ทาส ที่บ้านเลยเหรอครับ :_10

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

นิทานจากลุงจิม ใครมีเวลาว่างๆ ลองอ่านตรงกลางๆกับท้ายๆครับ ต้องอ่านต้นฉบับถีงจะฮา

  • แกเทียบสถานการตอนนี้กับการที่มีคนตะโกน "ไฟไหม้!!!!" ในโรงหนัง (จะเลิกพิมพ์เงิน)
  • ทุกคนก็พยายามวิ่งหนีตาย เหยียบกันตาย หนีออกจากโรงหนัง (ขายทองคำทิ้ง)
  • ในระหว่างนั้น ก็มี "นาย อ." (เข้าใจว่าเป็น มาร์ติน) เสียงทุ้มนุ่มลึก ออกมาประกาศว่า จากที่เขาศึกษาประวัติศาสตร์มา ๑๔๐๐ ปี และปฏิทินมายัน และจากการคำนวณของเขา วันนี้ไฟจะต้องไหม้โรงหนัง!!!! ประวัติศาสตร์มันจะต้องซ้ำรอย ทุกคนจงวิ่งออกไปจากโรงหนังเดี๋ยวนี้ ก่อนที่จะถูกไฟไหม้เป็นจุล ใครที่ไม่ใส่ใจในสิ่งที่เขาพูด จะโดนแบนจากงานสัมนาราคาแพงของเขา
  • ในขณะที่นาย "กระทิงนั่ง" หันซ้ายหันขวา ก็ยังไม่เห็นไฟไหม้ ไม่มีควันไฟ ทุกอย่างเป็นปกติ เลยนั่งกระดิกเท้าอยู่ในโรงหนังต่อไป (เก็บทองคำไว้)
  • ผ่านไปได้แป๊ปเดียว คนก็วิ่งออกนอกโรงหนัง และยังไม่โดนเหยียบตาย ก็วิ่งกลับเข้ามาในโรงหนัง (ต่ายห่ะ ขายทองไปแล้ว ทำไมมันขึ้นวะ ต้องรีบซื้อคืน)
  • น่าเสียดายที่ตอนเกิดเรื่อง เก้าอี้พังไปหลายตัวอยู่ คนที่วิ่งกลับเข้ามา แทนที่จะได้นั่งเก้าอี้สบายๆ ต้องเสียเงินเพิ่มซื้อเสื่อผืนเล็กๆมาปูนั่งแทนอีก (ซื้อคืน แพงกว่าราคาที่ขายไปตอนหนีตาย ได้ของน้อยลง)
  • หนังที่ฉายในโรงชื่อ "ชีวิต ของ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์"

ที่มา http://www.jsmineset...s-mailbox-1142/

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ที่มา http://www.jsmineset...ews-today-1416/

post-2564-0-80314800-1357449890_thumb.png

ถูกแก้ไข โดย wcg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทวิช จิตรสมบูรณ์2 ชั่วโมงที่แล้ว ·

 

 

Fiscal Hell Thailand น่ากลัวกว่า Fiscal Cliff USA

 

หนี้สาธารณะประเทศไทยเราขณะนี้ประมาณ ๔๕ % ของรายได้มวลรวมประชาชาติ (หรือ จีดีพี) เข้าไปแล้ว ...ซึ่งผมได้เตือนมาแต่สองปีก่อนแล้วว่า มันเป็นหนี้ที่สูงเกินขีดอันตรายไปมากแล้ว แต่ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สำเหนียก ยังอ้างทฤษฎีฝรั่งว่ายังไม่เกิน ๕๐% ยังไม่อันตราย

 

ท่านผู้ทรงฯ เหล่านี้ลืมคิดไปว่าทฤษฎีของฝรั่งนั้น มีสมมติฐานโดยปริยายว่ารายได้รัฐบาลคือประมาณ ๓๐% ของจีดีพี (มาจากการเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ) แต่ผู้ทรงฯ ก็คงไม่ทราบอีกว่าของเราเพียง ๑๕% เท่านั้น (ผมไปขุดหามาเอง) ดังนั้นภาระหนี้สินของเราที่แท้จริงนั้นมันต้องคูณสอง เพื่อปรับให้สอดคล้องกับทฤษฎีฝรั่ง ดังนั้นหนี้ของเราก็เทียบเท่า ๙๐% เข้าไปแล้ว

 

ส่วนรัฐบาลไทยก็มีแผนกู้เงินอีกกว่าสองล้านล้านบาท เพื่อเอามาหาเสียงประชานิยม เพื่อหวังได้รับคะแนนเสียงเป็นรัฐบาลกันต่อไปอีกหลายสมัย โดยอ้างว่าผู้ทรงฯ บอกว่ายังไม่อันตราย

 

พร้อมนี้รัฐบาลก็ลดรายได้ลงด้วยการลดภาษีนิติบุคคลให้นักธุรกิจที่ร่ำรวย (ที่หลายต่อหลายรายเป็นญาติสนิทมิตรสหายกับคนในรัฐบาล) ทำให้รายได้ของไทยเราลดจากประมาณ ๑๗% จีดีพี เหลือเพียงประมาณ ๑๕% จีดีพี...ซึ่งต่ำที่สุดในโลก (ท่านผู้ทรงฯ ก็คงไม่รับทราบอีกตามเคย)

 

สรุปคือรัฐบาลไทยเรากำลังจะเพิ่มรายจ่ายด้วยโครงการประชานิยมต่างๆ จนต้องกู้เงินมาใช้ในการนี้อย่างมโหฬาร ในขณะที่รายได้ของตัวเองกลับลดลง ทั้งหมดนี้ท่ามกลางสภาวะหนึ้เงินกู้มากถึง ๙๐% จีดีพี (เทียบเท่า)

 

แล้วถ้ากู้อีกสองล้านล้านตามแผน จะมีหนี้ ๖๕% พอคูณสองก็กลายเป็น ๑๓๐% ก็ประมาณเท่าๆกับประเทศกรีซที่กำลังล้มละลายนั่นแหละแต่เราไม่มีกลุ่มอียู ที่ร่ำรวยคอยอุ้มแบบกรีซนะ ถ้าล้มแล้วคงมีแต่อีแร้งไอเอ็มเอ็ฟหน้าเก่ามาจิกกินเนื้อเน่าราคาถูกอีก เหมือนเคย แล้วคราวนี้จะหนักกว่าต้มยำกุ้ง ๒๕๔๐ สิบเท่า ถึงระดับสิ้นชาติได้เลย

 

ขณะนี้อเมริกาเขามีหนี้ประมาณ ๑๐๐% จีดีพี ส่วนรายได้ก็ประมาณ ๓๐% จีดีพี เขาก็ตกใจมาก เล็งเห็นหายนะรออยู่ รัฐบาลเขาเลยมีมาตรการมโหฬารที่จะลดรายจ่าย และ เพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มภาษีคนรวย (แต่คนจนเสียเท่าเดิม) เรียกขานกันก้องโลกว่าเป็นมาตรการ “หน้าผางบประมาณ” (fiscal cliff)

 

ตรงข้ามกับไทยเราเลยที่จะเพิ่มหนี้จาก ๙๐ ให้เป็น ๑๓๐% ในขณะที่ลดภาษีให้คนรวยแบบนี้น่าเรียกว่า “หุบเหวนรกตกหน้าผางบประมาณ” (fiscal hell)

 

อเมริกาเป็นครูใหญ่ทุนนิยม มีนักเศรษฐศาสตร์เก่งระดับโนเบลเต็มประเทศ แต่เขายังกลัวหนี้กันตัวสั่นงันงกปานนี้ แล้วเราเป็นเพียงกวางน้อย..ที่ไม่รู้รอยตีนเสืออีกต่างหาก จึงได้แต่กระดิกหางเดินตามเสือหิวไปเซื่องๆ อย่างนั้นหรือ

 

ซ้ำร้ายรายได้ประเทศส่วนใหญ่ก็พึงการส่งออก (๗๐%...สูงที่สุดในโลก) ซึ่งในจำนวนนี้ ๙๐% เป็นรายได้ของบริษัทต่างชาติอีกต่างหาก ซึ่งตลาดโลกที่ส่งออกอยู่ในสภาพซบเซาถึงง่อนแง่น การส่งออกน่าจะมีแนวโน้มลดลงถึงพังทลาย ซึ่งหากเป็นในกรณีหลังนี้จะส่งผลให้ไทยเราล่มสลายไปด้วย เพราะจะถูกขายทอดตลาดกันหมด

 

นอกจากข่าวร้ายด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังได้ยินข่าวจากนักวิจารณ์สังคม (เช่น ดร. สุขุม นวลสกุล) ว่า การเมืองเราพัฒนาไม่ทันเศรษฐกิจ ซึ่งน่ารับฟังมากแต่ผมขอมองต่างมุมว่า เพราะ “การเมืองเรามันผิด...เศรษฐกิจเลยเพี้ยน” เสียมากกว่า

 

ทังนี้เพราะมันเป็นการเมืองปชต. ที่ไปลอกรูปแบบฝรั่งมาทั้งดุ้นแบบผิดฝาผิดตัวที่เข้ากันไม่ได้เลยกับลักษณะ สังคมไทย ทำให้ขาดดุลอำนาจ ขาดภูมิคุ้มกัน จนนำพาเชื้อเศรษฐกิจแดกด่วนเข้ามาแทะกินชาติเราด้วยระบบผูกขาด และการไหลเทของทุนต่างชาติอย่างบ้าคลั่ง เป็นระยะเวลาประมาณ ๔๕ ปีสืบมาจนวันนี้

 

การเมืองผิดฝายังทำลายระบบภูมิคุ้มกันทางปัญญาของชาติเราให้บกพร่อง จนปล่อยให้อัศวินควายดำกำมะลอเพียงคนเดียวสามารถมาเขย่าชาติที่เก่าแก่มี พลเมือง ๖๕ ล้านคนให้โยกซ้ายย้ายขวาได้ง่ายๆ ถึงเพียงนี้ (ผมเตือนเรื่องนี้แต่กลางปี ๒๕๔๓ ก่อนแต่อัศวินฯจะเกิด ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเพื่อนนักวิชาการ)

 

ชาติไทยเราวันนี้เป็นขี้ข้าฝรั่งอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้วในทุกระดับ โดยระดับล่างก็เป็นขี้ข้าแรงงาน (แม้สามร้อยก็ยังถูกเหมือนได้เปล่า) ระดับกลางก็ขี้ข้าซื้อสินค้า ระดับสูงก็ขี้ข้าทางความรู้และปัญญา (คิดไม่ออก ลอกฝรั่ง)

 

ลองคิดดู แม้คนหมู่บ้านเสื้อแดงที่อ้างว่าเป็นไพร่ยากจนวันนี้ ส่วนใหญ่มีเศรษฐกิจดีพอควร มีทีวีดู (น้ำเน่า) ตู้เย็น บ้านปูน ส้วมชักโครก แต่กลับยอมรับเงินเพียง ๕๐๐ บาท เพื่อขายเสียงเลือกตั้ง และหรือ มาร่วมเดินขบวน..เพื่อส่ง สส. ที่ซื้อเสียงเหล่านั้น เข้าไปกำหนดชะตากรรมประเทศชาติอีกระลอก

 

ต้องขอบคุณระบบการเมืองห่วยๆ ที่เราลอกฝรัง่มาแบบชุ่ยๆ ที่ได้นำพาเศรษฐกิจและจิตวิญญาณสังคมชาติไทยให้มายืนอยู่ริมขอบเหวนรกทำให้ เราได้มีโอกาสมองวิวในมุมสูงที่น่าตื่นเต้นปานนี้

 

ผมเพียงแค่ชี้ให้ดูวิว อย่ามามองนิ้วผมนะ.....สวัสดีปีใหม่นะตายแลนด์ที่แสนคิดถึง

 

....คนถางทาง (๖ มค. ๕๖)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทวิช จิตรสมบูรณ์2 ชั่วโมงที่แล้ว ·

 

 

Fiscal Hell Thailand น่ากลัวกว่า Fiscal Cliff USA

 

หนี้สาธารณะประเทศไทยเราขณะนี้ประมาณ ๔๕ % ของรายได้มวลรวมประชาชาติ (หรือ จีดีพี) เข้าไปแล้ว ...ซึ่งผมได้เตือนมาแต่สองปีก่อนแล้วว่า มันเป็นหนี้ที่สูงเกินขีดอันตรายไปมากแล้ว แต่ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สำเหนียก ยังอ้างทฤษฎีฝรั่งว่ายังไม่เกิน ๕๐% ยังไม่อันตราย

 

ท่านผู้ทรงฯ เหล่านี้ลืมคิดไปว่าทฤษฎีของฝรั่งนั้น มีสมมติฐานโดยปริยายว่ารายได้รัฐบาลคือประมาณ ๓๐% ของจีดีพี (มาจากการเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ) แต่ผู้ทรงฯ ก็คงไม่ทราบอีกว่าของเราเพียง ๑๕% เท่านั้น (ผมไปขุดหามาเอง) ดังนั้นภาระหนี้สินของเราที่แท้จริงนั้นมันต้องคูณสอง เพื่อปรับให้สอดคล้องกับทฤษฎีฝรั่ง ดังนั้นหนี้ของเราก็เทียบเท่า ๙๐% เข้าไปแล้ว

 

ส่วนรัฐบาลไทยก็มีแผนกู้เงินอีกกว่าสองล้านล้านบาท เพื่อเอามาหาเสียงประชานิยม เพื่อหวังได้รับคะแนนเสียงเป็นรัฐบาลกันต่อไปอีกหลายสมัย โดยอ้างว่าผู้ทรงฯ บอกว่ายังไม่อันตราย

 

พร้อมนี้รัฐบาลก็ลดรายได้ลงด้วยการลดภาษีนิติบุคคลให้นักธุรกิจที่ร่ำรวย (ที่หลายต่อหลายรายเป็นญาติสนิทมิตรสหายกับคนในรัฐบาล) ทำให้รายได้ของไทยเราลดจากประมาณ ๑๗% จีดีพี เหลือเพียงประมาณ ๑๕% จีดีพี...ซึ่งต่ำที่สุดในโลก (ท่านผู้ทรงฯ ก็คงไม่รับทราบอีกตามเคย)

 

สรุปคือรัฐบาลไทยเรากำลังจะเพิ่มรายจ่ายด้วยโครงการประชานิยมต่างๆ จนต้องกู้เงินมาใช้ในการนี้อย่างมโหฬาร ในขณะที่รายได้ของตัวเองกลับลดลง ทั้งหมดนี้ท่ามกลางสภาวะหนึ้เงินกู้มากถึง ๙๐% จีดีพี (เทียบเท่า)

 

แล้วถ้ากู้อีกสองล้านล้านตามแผน จะมีหนี้ ๖๕% พอคูณสองก็กลายเป็น ๑๓๐% ก็ประมาณเท่าๆกับประเทศกรีซที่กำลังล้มละลายนั่นแหละแต่เราไม่มีกลุ่มอียู ที่ร่ำรวยคอยอุ้มแบบกรีซนะ ถ้าล้มแล้วคงมีแต่อีแร้งไอเอ็มเอ็ฟหน้าเก่ามาจิกกินเนื้อเน่าราคาถูกอีก เหมือนเคย แล้วคราวนี้จะหนักกว่าต้มยำกุ้ง ๒๕๔๐ สิบเท่า ถึงระดับสิ้นชาติได้เลย

 

ขณะนี้อเมริกาเขามีหนี้ประมาณ ๑๐๐% จีดีพี ส่วนรายได้ก็ประมาณ ๓๐% จีดีพี เขาก็ตกใจมาก เล็งเห็นหายนะรออยู่ รัฐบาลเขาเลยมีมาตรการมโหฬารที่จะลดรายจ่าย และ เพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มภาษีคนรวย (แต่คนจนเสียเท่าเดิม) เรียกขานกันก้องโลกว่าเป็นมาตรการ “หน้าผางบประมาณ” (fiscal cliff)

 

ตรงข้ามกับไทยเราเลยที่จะเพิ่มหนี้จาก ๙๐ ให้เป็น ๑๓๐% ในขณะที่ลดภาษีให้คนรวยแบบนี้น่าเรียกว่า “หุบเหวนรกตกหน้าผางบประมาณ” (fiscal hell)

 

อเมริกาเป็นครูใหญ่ทุนนิยม มีนักเศรษฐศาสตร์เก่งระดับโนเบลเต็มประเทศ แต่เขายังกลัวหนี้กันตัวสั่นงันงกปานนี้ แล้วเราเป็นเพียงกวางน้อย..ที่ไม่รู้รอยตีนเสืออีกต่างหาก จึงได้แต่กระดิกหางเดินตามเสือหิวไปเซื่องๆ อย่างนั้นหรือ

 

ซ้ำร้ายรายได้ประเทศส่วนใหญ่ก็พึงการส่งออก (๗๐%...สูงที่สุดในโลก) ซึ่งในจำนวนนี้ ๙๐% เป็นรายได้ของบริษัทต่างชาติอีกต่างหาก ซึ่งตลาดโลกที่ส่งออกอยู่ในสภาพซบเซาถึงง่อนแง่น การส่งออกน่าจะมีแนวโน้มลดลงถึงพังทลาย ซึ่งหากเป็นในกรณีหลังนี้จะส่งผลให้ไทยเราล่มสลายไปด้วย เพราะจะถูกขายทอดตลาดกันหมด

 

นอกจากข่าวร้ายด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังได้ยินข่าวจากนักวิจารณ์สังคม (เช่น ดร. สุขุม นวลสกุล) ว่า การเมืองเราพัฒนาไม่ทันเศรษฐกิจ ซึ่งน่ารับฟังมากแต่ผมขอมองต่างมุมว่า เพราะ “การเมืองเรามันผิด...เศรษฐกิจเลยเพี้ยน” เสียมากกว่า

 

ทังนี้เพราะมันเป็นการเมืองปชต. ที่ไปลอกรูปแบบฝรั่งมาทั้งดุ้นแบบผิดฝาผิดตัวที่เข้ากันไม่ได้เลยกับลักษณะ สังคมไทย ทำให้ขาดดุลอำนาจ ขาดภูมิคุ้มกัน จนนำพาเชื้อเศรษฐกิจแดกด่วนเข้ามาแทะกินชาติเราด้วยระบบผูกขาด และการไหลเทของทุนต่างชาติอย่างบ้าคลั่ง เป็นระยะเวลาประมาณ ๔๕ ปีสืบมาจนวันนี้

 

การเมืองผิดฝายังทำลายระบบภูมิคุ้มกันทางปัญญาของชาติเราให้บกพร่อง จนปล่อยให้อัศวินควายดำกำมะลอเพียงคนเดียวสามารถมาเขย่าชาติที่เก่าแก่มี พลเมือง ๖๕ ล้านคนให้โยกซ้ายย้ายขวาได้ง่ายๆ ถึงเพียงนี้ (ผมเตือนเรื่องนี้แต่กลางปี ๒๕๔๓ ก่อนแต่อัศวินฯจะเกิด ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเพื่อนนักวิชาการ)

 

ชาติไทยเราวันนี้เป็นขี้ข้าฝรั่งอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้วในทุกระดับ โดยระดับล่างก็เป็นขี้ข้าแรงงาน (แม้สามร้อยก็ยังถูกเหมือนได้เปล่า) ระดับกลางก็ขี้ข้าซื้อสินค้า ระดับสูงก็ขี้ข้าทางความรู้และปัญญา (คิดไม่ออก ลอกฝรั่ง)

 

ลองคิดดู แม้คนหมู่บ้านเสื้อแดงที่อ้างว่าเป็นไพร่ยากจนวันนี้ ส่วนใหญ่มีเศรษฐกิจดีพอควร มีทีวีดู (น้ำเน่า) ตู้เย็น บ้านปูน ส้วมชักโครก แต่กลับยอมรับเงินเพียง ๕๐๐ บาท เพื่อขายเสียงเลือกตั้ง และหรือ มาร่วมเดินขบวน..เพื่อส่ง สส. ที่ซื้อเสียงเหล่านั้น เข้าไปกำหนดชะตากรรมประเทศชาติอีกระลอก

 

ต้องขอบคุณระบบการเมืองห่วยๆ ที่เราลอกฝรัง่มาแบบชุ่ยๆ ที่ได้นำพาเศรษฐกิจและจิตวิญญาณสังคมชาติไทยให้มายืนอยู่ริมขอบเหวนรกทำให้ เราได้มีโอกาสมองวิวในมุมสูงที่น่าตื่นเต้นปานนี้

 

ผมเพียงแค่ชี้ให้ดูวิว อย่ามามองนิ้วผมนะ.....สวัสดีปีใหม่นะตายแลนด์ที่แสนคิดถึง

 

....คนถางทาง (๖ มค. ๕๖)

 

มาลุ้นกันดีกว่าว่าไทยกะเมกาใครจะไปก่อนกัน :_cd

แงๆ ชวนเล่นเอามันเฉยๆนะครับ เพราะอ่านแล้วมันละเหี่ยใจเหลือเกิน :_10

ใครที่มีเงินฝากไว้เยอะๆ ถ้าไทยเดี้ยงแบบสมัย IMF ละก็ค่าเงินจะหายไปครึ่งนึงเลย(สมัยก่อนที่เจ๊งจากดอล์ละ 25บาท กลายเป็นดอลล์ละ50บาท) :ghost

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออนุญาตใช้สิทธิ์พาดพิงคุณหมอเล็ก เพื่อจั่วหัวเข้าเรื่อง

 

ยาวแบบพี่หมอเล็กอ่ะ "ข้ามชาติ" 555++++ แกถือทองตั้งแต่บาทละ 4000 ตอนนี้ยังไม่ยอมขายเลย ประเภทเดียวกับ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว อะไรประมาณนี้อ่ะ คิดดูว่านานแค่ไหน เกิดหรือยังคะ ตอนที่ทองบาทละ 4000 บาท :53

 

ผมพยายามหาว่าทองบาทละ ๔๐๐๐ น่ะ มันตอนไหน เลยไปเจอบทสัมภาษณ์เจ้าของร้านทอง โต๊ะกัง (เมื่อปี ๕๑) ที่มีประเด็นน่าสนใจหลายประเด็น โดยเฉพาะช่วงราคาขึ้นทะลุเพดานตอนวิกฤต ๔๐ ... คลิกที่ลิ๊งข้างล่าง เพื่ออ่านบทความเต็มๆนะครับ

  • ตอนหลังวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ตอนนั้นจากบาทละ 4,000 เป็นบาทละ 7,000-8,000 ซึ่งทุกคนก็แตกตื่นกันมาก
  • คุณจะสังเกตได้ว่าในปี 2540 ถึงปี 2543 คนไม่มีเงินเลยนะ เงินนี่หายจากตลาดเลยไม่มีเงินเลย กลายเป็นว่าทองเป็นพระเอกธุรกิจสะดุด ทำอะไรไม่ได้ ต้องการได้เงินมาก็ต้องขายทองกันอย่างเดียว ทองก็เลยส่งออกนอกตลอดเลย คนเอามาขายราคาซื้อจาก 4 พันเป็น 8 พันเป็นช่วงที่พลิกผันเรื่องราคาทองมากที่สุด ช่วงนั้นหาคนซื้อไม่ได้เลย มีแต่คนขาย
  • แล้วร้านทองจะทำอย่างไร ต้องรับซื้อในราคาที่แพง ทั้งๆก่อนหน้านั้นราคาขายถูกมาก? -- ร้านทองอยู่รอดได้เพราะเอาทองพวกนี้ไปส่งเมืองนอกซึ่งมันมีส่วนต่างพอที่จะแบกรับไหว
  • คนเข้ามาขายมากๆเราไม่รับซื้อได้หรือเปล่า? -- ไม่ได้สิ ทำอย่างนั้นเราก็เสียชื่อ อย่างสมมุติคุณเป็นลูกค้าผมซื้อทองไปแล้ววันหลังมาขาย ผมไม่รับก็ไม่ถูก ในช่วงนั้นร้านทองหลายร้านก็ปิดกิจการไปเหมือนกันนะเพราะหาที่ปล่อยต่อไม่ได้
  • อย่างคนที่โทรมาหาผมเมื่อกี๊เขาโอนเงินมาซื้อทอง 400 บาทก็เท่ากับประมาณ 6 ล้านบาท ไม่เอาทองเลย แล้วบอกว่าเก็บไว้ด้วยนะเมื่อไหร่ขายจะโทรมาบอก พอเขาได้ราคาเขาขายผมก็โอนเงินกำไรบวกเงินต้น ให้เขา เพราะผมต้องเอาเงินไปซื้อทองเก็บไว้ พอขายผมก็ต้องเอาไปขาย ผมน่ะเสี่ยง นะครับ แต่มันเป็นเรื่องจำเป็นต้องที่ต้องปรับกลยุทธ์ในการขายเพื่อให้เรามีงานทำ ไม่อย่างนั้นก็นั่งเฝ้าทองเฉยๆก็เบื่อ
  • ถ้าเช่นนั้นร้านทองรวยจากอะไร? -- รวยจาก อะไรนี่ผมบอกไม่ได้เพราะแต่ละคนๆ มาจากไหนก็ไม่รู้ เอาเงินมาจากไหนก็ไม่รู้แต่สุดท้ายมาเปิดร้านทอง เพราะเขามองว่าเป็นหลักทรัพย์ที่มั่นคง คุณคิดว่าแบงก์มั่นคงไม๊ เราก้ต้องบอกว่ามั่นคง แต่ถามนะวันนี้มั่นคงไหม ก็ไม่แน่ใจแล้วใช่ไหม แบงก์ยังถูกเทคโอเวอร์ เลแมนบราเธอร์สยังล้ม
     
    งั้นคนที่เขาเปิดร้านทองเขาก็คิดว่าแม้มาร์จิ้นน้อยฉันก็กินไปเรื่อยๆ มีกินตลอด บางครั้งร้านทองที่เจ๊งเพราะเก็งกำไรเสียเอง ไม่ว่าทองจะขึ้นหรือลงอย่างไรเจ้าของร้านต้องทำให้สต็อกคงเดิมให้เร็วที่สุดรับซื้อมามากก็ต้องปล่อยออกไปเร็ว ถ้าคุณไม่ทำแสดงว่าคุณกำลังเก็งกำไรเสียเอง นี่คือจุดอันตรายของร้านทอง

 

ที่มา http://www.marketeer.co.th/inside_detail.php?inside_id=6993

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

555 ไม่นานขนาดน๊าน เริ่มซื้อราวๆปี 2000 เอ๊ง ราคาตอนนั้นมัน ไม่ถึง 300$ แต่เงินบาทอ่อนมากๆ(40กว่าต่อดอลล์)

ก้อนแรกเลยซื้อที่ราคา 5500บาท เก็บไว้ 12ปี กลายเป็น 24000-25000 หยวน อิอิ ไม่มีกำไร แต่มีเงินซื้อก๋วยเตี่ยวได้จำนวนชามเท่าเดิม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออนุญาตใช้สิทธิ์พาดพิงคุณหมอเล็ก เพื่อจั่วหัวเข้าเรื่อง

 

 

 

ผมพยายามหาว่าทองบาทละ ๔๐๐๐ น่ะ มันตอนไหน เลยไปเจอบทสัมภาษณ์เจ้าของร้านทอง โต๊ะกัง (เมื่อปี ๕๑) ที่มีประเด็นน่าสนใจหลายประเด็น โดยเฉพาะช่วงราคาขึ้นทะลุเพดานตอนวิกฤต ๔๐ ... คลิกที่ลิ๊งข้างล่าง เพื่ออ่านบทความเต็มๆนะครับ

  • ตอนหลังวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ตอนนั้นจากบาทละ 4,000 เป็นบาทละ 7,000-8,000 ซึ่งทุกคนก็แตกตื่นกันมาก
  • คุณจะสังเกตได้ว่าในปี 2540 ถึงปี 2543 คนไม่มีเงินเลยนะ เงินนี่หายจากตลาดเลยไม่มีเงินเลย กลายเป็นว่าทองเป็นพระเอกธุรกิจสะดุด ทำอะไรไม่ได้ ต้องการได้เงินมาก็ต้องขายทองกันอย่างเดียว ทองก็เลยส่งออกนอกตลอดเลย คนเอามาขายราคาซื้อจาก 4 พันเป็น 8 พันเป็นช่วงที่พลิกผันเรื่องราคาทองมากที่สุด ช่วงนั้นหาคนซื้อไม่ได้เลย มีแต่คนขาย
  • แล้วร้านทองจะทำอย่างไร ต้องรับซื้อในราคาที่แพง ทั้งๆก่อนหน้านั้นราคาขายถูกมาก? -- ร้านทองอยู่รอดได้เพราะเอาทองพวกนี้ไปส่งเมืองนอกซึ่งมันมีส่วนต่างพอที่จะแบกรับไหว
  • คนเข้ามาขายมากๆเราไม่รับซื้อได้หรือเปล่า? -- ไม่ได้สิ ทำอย่างนั้นเราก็เสียชื่อ อย่างสมมุติคุณเป็นลูกค้าผมซื้อทองไปแล้ววันหลังมาขาย ผมไม่รับก็ไม่ถูก ในช่วงนั้นร้านทองหลายร้านก็ปิดกิจการไปเหมือนกันนะเพราะหาที่ปล่อยต่อไม่ได้
  • อย่างคนที่โทรมาหาผมเมื่อกี๊เขาโอนเงินมาซื้อทอง 400 บาทก็เท่ากับประมาณ 6 ล้านบาท ไม่เอาทองเลย แล้วบอกว่าเก็บไว้ด้วยนะเมื่อไหร่ขายจะโทรมาบอก พอเขาได้ราคาเขาขายผมก็โอนเงินกำไรบวกเงินต้น ให้เขา เพราะผมต้องเอาเงินไปซื้อทองเก็บไว้ พอขายผมก็ต้องเอาไปขาย ผมน่ะเสี่ยง นะครับ แต่มันเป็นเรื่องจำเป็นต้องที่ต้องปรับกลยุทธ์ในการขายเพื่อให้เรามีงานทำ ไม่อย่างนั้นก็นั่งเฝ้าทองเฉยๆก็เบื่อ
  • ถ้าเช่นนั้นร้านทองรวยจากอะไร? -- รวยจาก อะไรนี่ผมบอกไม่ได้เพราะแต่ละคนๆ มาจากไหนก็ไม่รู้ เอาเงินมาจากไหนก็ไม่รู้แต่สุดท้ายมาเปิดร้านทอง เพราะเขามองว่าเป็นหลักทรัพย์ที่มั่นคง คุณคิดว่าแบงก์มั่นคงไม๊ เราก้ต้องบอกว่ามั่นคง แต่ถามนะวันนี้มั่นคงไหม ก็ไม่แน่ใจแล้วใช่ไหม แบงก์ยังถูกเทคโอเวอร์ เลแมนบราเธอร์สยังล้ม
     
    งั้นคนที่เขาเปิดร้านทองเขาก็คิดว่าแม้มาร์จิ้นน้อยฉันก็กินไปเรื่อยๆ มีกินตลอด บางครั้งร้านทองที่เจ๊งเพราะเก็งกำไรเสียเอง ไม่ว่าทองจะขึ้นหรือลงอย่างไรเจ้าของร้านต้องทำให้สต็อกคงเดิมให้เร็วที่สุดรับซื้อมามากก็ต้องปล่อยออกไปเร็ว ถ้าคุณไม่ทำแสดงว่าคุณกำลังเก็งกำไรเสียเอง นี่คือจุดอันตรายของร้านทอง

ที่มา http://www.marketeer...?inside_id=6993

ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ ทำตามที่ลุงมาร์ค เวเฟอร์ เอ๊ย เฟเบอร์บอก ง่ายดี มีตังค์ก็ซื้อไปเรื่อยๆทุกๆเดือนหรือ 2 เดือน

โง่ๆแบบผม ไม่รู้กราฟ (ไม่ยอมเรียน ไม่ยอมอ่าน อิอิ) แต่อำนาจในการซื้อของผมยังมีอยู่ครบถ้วนเท่าเดิม(ที่จริงแล้วมากกว่านิดหน่อย)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Seam Arsenalการลงทุนด้วยระบบ

2 นาทีที่แล้ว

 

ทองคำอาจจะจบการ corection เเล้ว major wave 2 ที่ประมาณ $1,630-$1,640 ตามราคาเเละเวลาที่กำหนด

386653_484728231573762_1789345785_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ ทำตามที่ลุงมาร์ค เวเฟอร์ เอ๊ย เฟเบอร์บอก ง่ายดี มีตังค์ก็ซื้อไปเรื่อยๆทุกๆเดือนหรือ 2 เดือน

โง่ๆแบบผม ไม่รู้กราฟ (ไม่ยอมเรียน ไม่ยอมอ่าน อิอิ) แต่อำนาจในการซื้อของผมยังมีอยู่ครบถ้วนเท่าเดิม(ที่จริงแล้วมากกว่านิดหน่อย)

 

เห็นด้วยครับ กราฟผมพยายามอยู่ แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก เลยซื้อเก็บไปเท่าที่พอมีกระดาษเหลือ

 

แต่ประเด็นร้านทองโต๊ะกังให้สัมภาษณ์นี่ อยากจะนำเสนอว่าสมัยก่อนก็มีร้านทองเจ๊งเพราะราคาทองคำขึ้น

และในช่วงนั้น ร้านทองก็เจอปัญหามีแต่คนเอาของมาปล่อยครับ (นึกไม่ออกว่าถ้ามันคูณ ๒ จาก สองหมื่นห้า เป็นห้าหมื่น จะเป็นอย่างไร)

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เห็นด้วยครับ กราฟผมพยายามอยู่ แต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก เลยซื้อเก็บไปเท่าที่พอมีกระดาษเหลือ

 

แต่ประเด็นร้านทองโต๊ะกังให้สัมภาษณ์นี่ อยากจะนำเสนอว่าสมัยก่อนก็มีร้านทองเจ๊งเพราะราคาทองคำขึ้น

และในช่วงนั้น ร้านทองก็เจอปัญหามีแต่คนเอาของมาปล่อยครับ (นึกไม่ออกว่าถ้ามันคูณ ๒ จาก สองหมื่นห้า เป็นห้าหมื่น จะเป็นอย่างไร)

สมัยก่อนการค้าขายระหว่างประเทศมันไม่ได้ออนไลน์แบบสมัยนี้

ปัจจุบันผมเชื่อว่ายิ่งขึ้นหรือยิ่งลงเขาก็ยังรับซื้อครับ เพราะ

วันที่ขึ้นแรงๆ สมาคมจะกั้กราคาสุดๆ(ราคาต่ำกว่าสปอตมาก) เพราะรู้ว่าวันนี้คนเอามาขายแน่ๆ รับซื้อแล้วเคาะขายทันทีกำไรเห็นๆ

ส่วนวันใหนที่ราคาลงแรงๆ ราคาสมาคมก็กั้กสุดๆอีกเหมือนกัน(สูงกว่าสปอต)เพราะรู้ว่าวันนี้คนมาซื้อแน่ๆ ขายปั้บ เคาะซื้อทันทีตามจำนวนที่ขายไป

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Seam Arsenalการลงทุนด้วยระบบ

2 นาทีที่แล้ว

 

ทองคำอาจจะจบการ corection เเล้ว major wave 2 ที่ประมาณ $1,630-$1,640 ตามราคาเเละเวลาที่กำหนด

386653_484728231573762_1789345785_n.jpg

Seam Arsenalการลงทุนด้วยระบบ

2 นาทีที่แล้ว

 

ทองคำอาจจะจบการ corection เเล้ว major wave 2 ที่ประมาณ $1,630-$1,640 ตามราคาเเละเวลาที่กำหนด

386653_484728231573762_1789345785_n.jpg

อยากให้น้องทองขึ้นไปลับลงจากดอยแล้วค่ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดอกอะไรเอ่ย บาน 365 วันต่อปี

 

Dreamscat|Saturday, January 5, 2013

 

 

 

1_4.png

ดอกอะไรเอ่ย บาน 365 วันต่อปี

1_8.png

ข้อ ตกลง Fiscal Cliff ของอเมริกา ไม่มีอะไรที่เป็นการแก้ปัญหาเกี่ยวกับหนี้สินภาครัฐและการขาดดุลย์การค้าของ ประเทศอเมริกาเลย เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นที่อนุญาตให้รัฐบาลสร้างหนี้เพิ่มได้อีก ไม่มีการเพิ่มภาษี ไม่มีการตัดงบประมาณรัฐสวัสดิการและงบประมาณของกองทัพ ตลาดรับรู้ข่าวดีเพียงเรื่องที่ว่ารัฐสภาสามารถตกลงกันได้และไม่มีการเพิ่ม ภาษี แต่มีปัญหาที่จะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกมากมาย นั่นคือปัญหาหนี้สินภาครัฐและการขาดดุลย์การค้าของประเทศ แน่นอนที่สุด ปี 2013 นี้ โลกจะได้เห็นอเมริกาพิมพ์ธนบัตรเพิ่มขึ้นอีกอย่างไม่มีขีดจำกัด สิ่งที่จะตามมาแน่นอนที่สุดคือการเสื่อมค่าของ Bond การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย และ Hyper Inflation

 

2_7.png

กว่า 30 ปี จากปี 1981 ที่อัตราดอกเบี้ยของอเมริกา (และอัตราดอกเบี้ยของทั้งโลก) ลดลง ด้วยการพิมพ์ธนบัตรมาซื้อพันธบัตรของตัวเอง เมื่อขายพันธบัตรได้ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ก็คุมอัตราดอกเบี้ยของการธนาคารทั้งหมดได้ รัฐบาลกู้เงินประชาชน แล้วจ่ายด้วยเงินของประชาชนเอง จะกู้เท่าไหร่ก็ได้ พิมพ์เงินออกมาอีกเท่าไหร่ก็ได้ ผลคืออัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมากว่า 30 ปี ทั้งนี้เพื่อป้องกัน Inflation ซึ่งมีผลเสียทางการเมืองนั่นเอง แต่ประเทศชาติจะพังพินาศน์อย่างไรพวกนักการเมืองไม่เคยสนใจ ประชาชนส่วนใหญ่ก็เห็นแก่ตัว ขอให้ตัวเองได้ประโยชน์ก็พอแล้ว ยอมรับนโยบายประชานิยมอย่างไม่ลืมหูลืมตา

 

3_5.png

วันนี้มีสัญญาณ Reversal ของตลาดอัตราดอกเบี้ย Treasury Yield 30 Years ชัดเจนแล้ว จากจุดต่ำสุดที่ 2.45% วันนี้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นไปเป็น 3.11% เป้าหมาย 61.8% อยู่ที่ 10.0% plus และ 161.8% อยู่ที่ 23.0% ปี 2013 นี้ เราจะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน

 

4_6.png

ตั้งแต่ ปี 2008 ธนาคารและกิจการต่างๆของประเทศได้ถูกต่างชาติยึดไปหมดแล้ว ในโลกของ Inflation และ double digits interest rate หุ้นธนาคารน่าสนใจมาก Bank Sector Index ขึ้นจาก 23% จาก 125 ไปเป็น 550 และจะขึ้นต่อไปอีกมากกกก ... อีกยาวววว ...

 

ใครยากจน เป็นหนี้ เตรียมตัวยากจนเพิ่มขึ้นอีก ดอกเบี้ยกำลังจะเบ่งบาน บานตลอดปี 365 วันไม่มีวันหยุดราชการ เตรียมตัวเป็นหนี้เพิ่มขึ้นอีก ระบบทาสกำลังจะเริ่มต้น ทาสน้ำเงิน ทาสที่ควบคุมด้วยเงิน เงินรัฐสวัสดิการที่มาจาดเงินของพวกทาสนั้นเอง

 

พวกเราชาว CDC ก็อดทน รวยกันอย่าง “พอเพียง” ตามระบบต่อไป

http://chaloke.com/article/%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%A2-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%99-365-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%9B%E0%B8%B5

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...