ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

อย่างไรก็ตาม ... เทคโนโลยีที่พัฒนาอยู่ตลอดนั้น เมื่อถึงเวลาของมัน มักจะเกินจินตนาการของคนทั่วไปเสมอ

 

หากคนทั่วไปจินตนาการได้ ก็เท่ากับคนนั้นเป็นผู้ค้นพบเทคโนโลยีนั้นสิครับ :D

 

ถ้าสมมติผมเป็นเมกา รู้อยู่ว่าหนี้เยอะ คนว่างงาน ค่าแรงแพง จะหาดีอะไรมาชดเชย

ก็เห็นจะมีแต่เทคโนโลยีที่เหนือกว่า

เรื่อง shale นี้ที่เมกาล้ำหน้าคนอื่นก็เพราะกม.เอื้อให้เจ้าของที่ดินสามารถทำสัญญาส่วนแบ่งกับเอกชนได้ โดยไม่ต้องมีสัมปทานอะไรยุ่งยาก

ทำให้การลงทุนสามารถเป็นไปได้ ทั้งยังเอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีไปในตัว

ถูกแก้ไข โดย milo

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub ได้แชร์ลิงก์

10 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Bangkok

ซีอีโอโกลแมนแซ๊คออกมาเตือนแล้ว ว่าเราต้องเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด

 

Lloyd Blankfein, CEO of Goldman Sachs, บอกว่านักลงทุน ต้องเตรียมตัวรับมือกับรูปการที่เลวร้ายที่สุด เพราะว่า มันจะเกิดขึ้น

 

เขาบอกว่าจนากประสบการณ์ทำงานสอนเขาว่า ให้ยอมรับความจริง ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เราพอจะจินตนาการได้ จะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

ขณะนี้การบริหารความเสี่ยงส่วนมากเป็นแค่การวางแผนชั่วคราวล่วงหน้า และการมีวินัยตนเอง โดยเชื่อว่า เวลาผ่านไปสิ่งไม่คาดมีโอกาสเกิดน้อย หรือไม่เกิด แต่จริงๆแล้วมันจะเกิดขึ้น

 

Blanlfein บอกว่าคำจำกัดความของอินฟินีตี้ หรือความไม่มีที่สิ้นสุดคือว่า ถ้าเราคอยนานเพียงพอ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้

 

***********************************************************

 

ความเห็น

 

เขาบอกเป็นลางแล้ว ว่าที่เลวร้ายที่สุดในระบบการเงินกำลังจะเกิดขึ้น ให้เตรียมตัวให้ดี เราเตือนคุณแล้ว

 

อย่าลืมGoldman Sachs เป็นสถาบันการเงินที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก มีอิทธิพลเหนือตลาด

 

Investors should always prepare for the most extreme risk scenario because it will happen, Goldman Sachs CEO Lloyd Blankfein told the Australian Institute of Company Directors at a breakfast briefing on Friday.

 

Blankfein has headed up Goldman Sachs since 2006, steering it through the fallout of the global financial crisis of 2007-2008. He said the experience had taught him to accept the reality that the worst thing you can imagine will inevitably happen.

 

"Most risk management is really just advanced contingency planning and disciplining yourself to realize that, given enough time, very low probability events not only can happen, but they absolutely will happen," said Blankfein.

 

"The definition of infinity is that you wait long enough, everything happens," he added.

 

 

http://www.cnbc.com/id/100915696

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · 5 ชั่วโมงที่แล้ว

 

จีนก็พิมพ์เงินแหลก

 

สืบจากคอมเมนท์ของคุณPeter Eisenmann เรื่องการแทรกแซงทางการเงินของจีน ที่พูดได้น่าสนใจมาก ผมเลยคัดมาให้อ่านอีกครั้ง:

 

Peter Eisenmann "รัฐบาลจีนถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากสหรัฐเรื่อยมาว่าแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และทำให้ค่าเงินของตนอ่อนเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการด้านราคาของสินค้าจีน ทั้งยังผูกค่าเงินไว้กับดอลลาร์ไม่ยอมให้มีการเคลื่อนไหว หรือกล่าวอีกอย่างคือ ไม่ยอมให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นตามกลไกตลาด.

 

ผมคิดว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าข้อวิจารณ์นี้เป็นจริง เพราะถ้าดูจากปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศของรัฐบาลจีนที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลชนิดที่ไม่สอดคล้องกับการการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแล้ว ก็น่าจะคาดเดาได้ไม่ยากว่า ปริมาณทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้เกิดจากการแทรกแซงตลาดอัตราแลกเปลี่ยนของทางการจีน โดยทางการจีนพิมพ์เงินหยวนออกไปไล่ซื้อดอลลาร์มาเก็บไว้เพื่อทำให้เงินหยวนอ่อน ตัวเลขปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนเพิ่มขึ้นจากประมาณ 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสแรก ของปี 2001 ไปเป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรกของปี 2011. ตัวจีนเองถือดอลล่าไว้จำนวนมาก ถ้าดอลล่าด้อยค่าลง ค่าเงินหยวนก้จะถูกดึงลงด้วย อีกทั้งจีนมีเจตนาดำเนินนโยบายหยวนอ่อนอีกด้วย "

 

***************************************************

 

จากตารางช่วงปี2001ถึงต้นปี2013 จีนมีการพิมพ์เงินเพิ่ม557% อังกฤาหนักสุดที่824% สหรัฐฯ404% อีซีบี211% ญี่ปุ่น42%

 

ในขณะที่ทองคำที่ผลิตเพิ่มขึ้นแค่ 17%

 

แต่ราคาช่วงเดียวกันเพิ่ม 449%

 

จีนตรึงหยวนกับดอลล่าร์อย่างหนาแน่น เพื่อช่วยในการส่งออก ล๊อคกุญแจมือไปด้วยกันเลย ดอลล่าร์ที่ได้เข้ามา ธนาคารกลางจีนก็ต้องพิมพ์หยวนเข้าไปแลก ยิ่งมีดอลล่าร์มาก ยิ่งมีหยวนมากในะบบ อันนำไปสู่สภาพคล่องหยวนในระบบธนาคารสูง ผลคือมีการเอาเงินไปลงทุนมากมายมหาศาล อย่างที่เราทราบกันดี

 

แต่ตอนที่สหรัฐทำQE เป็นการก่อสงครามการเงิน เพราะเพิ่มสภาพคล่องดอลล่าร์ในโลก ดอลล่าร์ยิ่งไหลเข้าจีนมากเท่าใด จีนยิ่งต้องพิมพ์หยวนมากเท่านั้นเข้าไปรับ สภาพคล่องสูง เกิดฟองสบู่ สหรัฐฯต้องการให้เกิดฟองสบู่ในจีน

 

พอได้จังหวะจะดึงเงินกลับจากสภาพคล่องทั่วโลก ตลาดการเงินจะโดนทำลาย แล้วจีนจะตอบโต้อย่างไร

 

ที่ทำอยู่ตอนนี้คือตุนทอง7,000ตันแล้วอย่างน้อย พอถึงเวลาอาจจะนัดรัสเซียพร้อมใจกันทิ้งดอลล่าร์ ยอมเจ็บ และอาจจะลอยตัวหยวนด้วยการพิมพ์เงินแข่งกันตาย ใหนๆก็ใหนๆ อาจจะพิมพ์ให้เละไปเลยก็ได้ โดยจะเอาทองหนุนหรือไม่หนุนก็ได้ไม่มีใครทราบในตอนแรก เพราะจีนมีรีเวร์ฟหรือทุนสำรอง$3.4ล้านล้าน

 

แต่ท้ายที่สุดคงต้องเอาทองคำทั้งหมดมาหนุนหยวน เพื่อเข้าสู่ระบบมาตฐานทองคำ

 

แต่จีนตอนนี้กำลังจัดการกับฟองสบู่ภายในอยู่ ขณที่เศรษฐกิจชะลอตัว สงครามการเงินก็ยังคงดำเนินไป และนายโจ ไบเดน รองประธานาธิบดีสหรัฐฯได้มาเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ ส่งสัญญานการเผชิญหน้าที่ตรึงเครียดขึ้น

1000498_147465935449789_1860137101_n.png

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · 5 ชั่วโมงที่แล้ว

 

จีนก็พิมพ์เงินแหลก

 

 

จีนประสบปัญหาพิมพ์ธนบัตรหยวนไม่ทัน blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 มกราคม 2554 13:50 น.

 

 

เอเอฟพี - ธนาคารกลางจีนพิมพ์ธนบัตรหยวนไม่ทันใช้ในภาวะที่มีการปล่อยเงินกู้กันครึก โครมและการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ที่ล้นทะลักแดนมังกร

 

นายหม่า เต๋อหลุน รองผู้ว่าการธนาคารกลางจีนระบุในเว็บไซต์ของธนาคารกลางเมื่อวันอังคาร (11 ม.ค.) ว่า แม้จีนเป็นชาติที่มีการพิมพ์ธนบัตรมากที่สุดในโลก แต่ธนบัตรหยวนก็ยังมีไม่เพียงพอกับความต้องการ ทั้งที่ได้จ้างคนพิมพ์ธนบัตรหยวนกว่า 3 หมื่นคน ซึ่งทำงานล่วงเวลาด้วยซ้ำ โดยความต้องการธนบัตรหยวนโตถึงร้อยละ20ในแต่ละปี นอกจากนั้น ธนาคารกลางยังแบกรับภาระกวาดล้างธนบัตรปลอม ซึ่งปลอมได้แนบเนียนมากขึ้นทุกที

 

ถ้อยแถลงดังกล่าวบ่งชี้ถึงปัญหาท้าทาย ที่รัฐบาลจีนกำลังเผชิญในขณะที่พยายามควบคุมค่าเงินหยวน และลดปริมาณเงิน ที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

 

ทั้งนี้ จีนมีเงินหยวนหมุนเวียนในระบบจำนวน 4.23 ล้านล้านหยวน (640,000 ล้านดอลลาร์) ซึ่งไม่รวมเงินฝากในธนาคารเมื่อสิ้นเดือนพ.ย. ซึ่งเพิ่มเกือบร้อยละ 80 จากจำนวน 2.4 ล้านล้านหยวนเมื่อสิ้นปี 2548 นายหม่าระบุ

 

การขยายตัวของปริมาณเงินเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่การส่งออกของจีนโต ขึ้น การเข้ามาลงทุนโดยตรงของต่างชาติเพิ่มขึ้น รัฐบาลจีนมีการใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาล และธนาคารพาณิชย์ระดมปล่อยกู้ในช่วงวิกฤตการเงินโลก

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเงินสกุลต่างชาติเข้ามาในจีน ธนาคารกลางกำหนดให้ต้องแปลงเป็นเงินหยวนทันที ซึ่งทำให้ควบคุมค่าเงินหยวนได้ แต่ชาติคู่ค้าวิจารณ์ว่าทำให้เงินหยวนอ่อนค่าเกินจริงโดยระเบียบปฏิบัตินี้ ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนเพิ่มสูง และเพิ่มปริมาณเงินหยวนในระบบเศรษฐกิจในประเทศ อันเป็นการเร่งเงินเฟ้อ ซึ่งแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีในขณะนี้

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

 

46 นาทีที่แล้ว

ถือว่าตัวเองพิมพ์เงินกับมือ บรรดาธนาคารกลางทั้งหลายแทบจะไม่มีทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเลย

 

เมื่อตอนเลห์แมน บราเธอรส์ล้มเมื่อปี2008และก่อให้เกิดวิกฤติการเงินสหรัฐฯจนเซมาทุกวันนี้ ปรากฎว่าบริษัทการเงินWall Street นี้มีฐานทุนที่ง่อแง่นมาก โดยทรัพย์สินมีทั้งหมดประมาณ$691,000ล้าน แต่ส่วนของหุ้นมีแค่ $22,000ล้าน หรือเทียบเท่าแค่ 3%

 

หมายความว่า ถ้าทรัพย์สินเกิดเจ้งไปแค่3% ทุนเลห์แมนจะหายไปเกลี้ยงหมด พอคนอื่นรู้เข้าก็ไม่ปล่อยวงเงินช่วยเหลือสภาพคล่อง หรืออยากจะทำธุรกรรมด้วย เลห์แมนเลยล้ม ลากเอาบริษัทอื่นๆล้มไปด้วยเป็นลูกโซ่

 

ถ้าเฟดไม่เข้าไปอุ้มทั้งจะบบ ป่านนี้ทุนนิยมการเงินโลกคงจะจบไปแล้ว

 

ทีนี้มาดูงบดุลของพวกธนาคารกลาง ก็ไม่ได้ดีกว่าเลห์แมนเท่าใด เพราะถือว่าตัวเองพิมพ์เงินมากับมือ ไม่มีเจ้ง ขาดเมื่อใด ก็พิมพ์เมื่อนั้น

 

ทำให้เงินทุนของธนาคารกลางกับสินทรัพย์มีสัดส่วนที่น้อยมาก อย่างเฟดมีทุน$54,000 ล้าน แต่มีทรัพย์สิน$3.57ล้านล้าน หรือสัดส่วน 1.53%

 

ทรัพย์สินที่พองปูดทุกวันนี้ในงบดุลเฟดคือmortgage backed securities ที่เฟดพิมพ์เงินผ่านคิวอีเข้าไปซื้อจากแบงค์และพันธบัตรรัฐบาลที่เฟดซื้อ เพื่อกดดอกเบี้ยระยะยาวให้ต่ำลง และเพื่อเลี้ยงรัฐบาลสหรัฐฯที่ถังแตกไปแล้ว

 

เฟดซื้อตราสารอิงอสังหาฯในราคาบัญชีเพื่ออุ้มแบงค์ แม้ว่าราคาตามตลาดจะตกมากหลังฟองสบู่แตก ถ้าเฟดต้องคายmortgage backed securities ออกมา ใครจะซื้อ และจะขาดทุนมหาศาลในกรณีที่จะใส่เกียร์ถอยหลังคิวอี

 

แต่ส่วนมากคิดว่าคงไม่เห็นวันนั้น เฟดคงต้องทำคิวอีไปเรื่อยๆ เพื่อเลี้ยงสภาพคล่องและกดดอกเบี้ยจนกว่าจะอั้นไม่อยู่ และทุกอย่างระเบิดออกมา

 

และถ้าดอกเบี้ยเอาไม่อยู่ พุ่งขึ้นโดยที่เฟดคุมไม่ได้ เฟดจะขาดทุนพันธบัตรรัฐบาลอีก

 

เจอ2เด้ง เงินทุนที่มีอยู่$54,000ล้านจะไม่พอล้างการขาดทุน แต่เมื่อเฟดพิมพ์เงินเองได้ คำถามคือเฟดพิมพ์เงินเพื่อเพิ่มทุนตัวเองเอาดื้อๆได้หรือเปล่า

 

คิดว่าคงจะทำ เพราะไม่มีอะไรในโลกที่เฟดทำไม่ได้

 

ธนาคารกลางอื่นๆก็แทบไม่มีทุนเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ โดยสัดส่วนนี้ของธนาคารกลางญี่ปุ่นอยู่ที่1.92% อังกฤษ 0.843% แคนาดา0.532%

 

Thanong Fanclub

 

 

Lehman Brothers famously went under in 2008 because they had insufficient capital. They had assets of $691 billion, and equity of just $22 billion… about 3%.

 

This meant that if Lehman’s assets lost more than 3% of their value, the company wouldn’t have sufficient cushion, and they would go under.

 

This is exactly what happened. Their assets tanked and the company failed.

 

So let’s apply the same yardstick to central banks and see how ‘safe’ they really are:

 

US Federal Reserve: $54 billion in capital on $3.57 trillion in assets, roughly 1.53%. This is actually less than the 1.875% capital they had in December. So the trend is getting worse.

European Central Bank: 3.69%

Bank of Japan: 1.92%

Bank of England: 0.843%

Bank of Canada: 0.532%

 

http://www.sovereignman.com/finance/heres-what-happens-when-a-central-bank-goes-bust-12440/

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

เฟดมีทุน$54,000 ล้าน แต่มีทรัพย์สิน$3.57ล้านล้าน หรือสัดส่วน 1.53%

 

 

http://www.sovereign...oes-bust-12440/

 

จากบัญชีพื้นฐาน

สินทรัพย์($3.57ล้านล้าน) = หนี้สิน(ถึงจะพิมพ์เงินแบบไม่มีต้นทุนแต่ก็ต้องลงบัญชี) + ทุน$54,000 ล้าน

 

มีทุนจริงแค่1.53% พิมพ์เงินเพิ่ม98.47%(เอกชนทำไมมีอำนาจล้นฟ้าแบบนี้)

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Poonsub Leenanurak รักในหลวง แต่คนของเราไม่รู้ทัน

 

สมมติ ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัทนึง 100%

ทั้ง 100 หุ้น ที่หุ้นมีมูลค่า 100

เราจะมีทรัพย์สิน 10,000

 

ฝรั่งเข้ามาซื้อหุ้น ทำให้ราคาพุ่งเป็น 150 เลยขายไป 50%

เราจะ มีหุ้น 50x150=7,500 และเงิน 7,500

รวม 15,000 เหมือนเราจะรวยขึ้น ในทางบัญชี ดีใจกันใหญ่

 

แต่จริงๆแล้ว ฝรั่งมันพิมพ์แบงค์

เท่ากับว่า ฝรั่งได้ความเป็นเจ้าของไป 50% จากธาตุอากาศ

แล้วจะมีสิทธิสั่งให้ บ.เรา ดำเนินนโยบายในทางที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเราเอง

และเราต้องยอม เพราะเราต้องถือว่าเค้าเป็นเจ้าของแล้ว ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · 22 นาทีที่แล้ว

 

ดอลล่าร์คือจินตนาการของลุงเบน

 

คนทั่วไปเข้าในว่าดอลล่าร์เป็นเงิน แต่ดอลล่าร์เป็นเงินจริงหรือเปล่า เพราะเงินต้องมีคุณค่าในตัวมันเอง (gold & silver)หรือเป็นตัวแทนของสิ่งมีค่าบางอย่าง (ธนบัตรหนุนด้วยทอง)

 

แต่ดอลล่าร์ทุกวันนี้พิมพ์ออกมาจากกลางอากาศ ไม่มีอะไรหนุน เป็นแค่กระดาษ และมีการใช้ฉากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ สาระพัดจิตวิทยา เพื่อให้คนเชื่อว่าดอลล่าร์คือเงินที่มีค่า ทั้งๆที่โดยสารัตถะแล้ว ไม่ได้มีค่าอะไร

 

ดูขบวนการเกิดของดอลล่าร์ ที่เกิดขึ้นมาจากอากาศเปล่าๆ

 

1. ดอลล่าร์เริ่มเกิดขึ้นมาจากจินตนาการของลุงเบน

 

2. ดอลล่าร์จากไม่มี สู่มี ผ่านจินตนาการ

 

3. คนสร้างดอลล่าร์คือลุงเบน

 

4. ลุงเบ็นมีจินตนาการตัวเลขดอลล่าร์ในหัว

 

5. ลุงเบนตกลงจะพิมพ์$85,000ล้านต่อเดือน เพื่อซื้อตราการสารเงินแบงค์และพันธบัตรรัฐบาล

 

6. ลุงเบนสร้างดอลล่าร์อีเลคโทรนิคส์ที่ไม่มีจริงด้วยการกดแท่นพิมพ์คอมฯบนโต๊ะทำงาน

 

7. ดอลล่าร์อีเลคโทรนิคส์โผล่เข้าบัญชีแบงค์ และแบงค์โอนmortgage backed securities ให้เฟดในบัญชีที่เปิดให้เฟดอย่างทันควัน

 

8.แบงค์ลดภาระหนี้เน่าในmortagebacked securities แล้วโอนดอลล่าร์อีเลคโทรนิคสืจากเฟดกลับไปฝากที่เฟด$1.8ล้านล้าน เพื่อว่าจะไม่เพิ่มปริมาณเงินในระบบ

 

9. เฟดรับเงินดอลล่าร์ที่พิมพ์ไปเมื่อกี้ให้แบงค์ และรับดอลล่าร์กลับมาทันทีในรูปเงินฝากของแบงค์

 

10. ดอลล่าร์ที่กลับมาสู่เฟด แปลงสภาพจากมีสู่ไม่มี

 

11.ลุงเบ็นให้ดอกเบี้ยแบงค์0.25% ด้วยการสร้างดอลล่าร์จากจินตนาการเพิ่ม

 

12. เมื่อแบงค์กินดอกเบี้ยเฟด ดอลล่าร์จากไม่มี จะมีอีกครั้ง สลับไปมา

 

สรุปดอลล่าร์ขณะนี้อยู่ในรูปอิ เลตโทรนิคส์ เป็นนาม เป็นจินตนาการ ยิ่งเป็นอนุพันท์ดอลล่าร์ dollar futures options ยิ่งจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ ยิ่งจะหาค่าที่แท้จริงไม่ได้ เป็นนามเกือบจะล้วนๆ

 

ดอลล่าร์มีค่า เพราะเราให้ค่ามัน ถาเราไม่ให้ค่าดอลล่าร์ มันก็ไม่มีค่า

 

จบด้วยคำพูดของไอสไตน์ : จินตนาการสำคัญกว่าความรู้

 

Albert Einstein: "Imagination is more important than knowledge."

580529_147625455433837_1859463338_n.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
จีนก็พิมพ์เงินแหลก...

พอถึงเวลาอาจจะนัดรัสเซียพร้อมใจกันทิ้งดอลล่าร์ ยอมเจ็บ และอาจจะลอยตัวหยวนด้วยการพิมพ์เงินแข่งกันตาย ใหนๆก็ใหนๆ อาจจะพิมพ์ให้เละไปเลยก็ได้ โดยจะเอาทองหนุนหรือไม่หนุนก็ได้ไม่มีใครทราบในตอนแรก เพราะจีนมีรีเวร์ฟหรือทุนสำรอง$3.4ล้านล้าน

 

แต่ท้ายที่สุดคงต้องเอาทองคำทั้งหมดมาหนุนหยวน เพื่อเข้าสู่ระบบมาตฐานทองคำ

 

ตรงนี้ไม่ค่อยเข้าใจครับ

จีนพิมพ์เงินแหลกตอนนี้ แล้วท้ายสุดจะเข้าสู่ระบบมาตรฐานทองคำได้ด้วยวิธีใด

- หากจะเอาระบบมาตรฐานทองคำมาใช้ ต้องมีการแสดงว่ามีทองอยู่เท่าไร ใครจะตรวจเช็ค แล้วจะมีคน/ประเทศเชื่อถือผลการตรวจหรือไม่ ทองคำประเภทสอดไส้ล่ะ ความเชื่อถือระหว่างประเทศแทบไม่มีแล้ว

 

 

คุณทนง เป็นคนเดียวกับคุณ jimmy siri หรือเปล่าครับ เห็นเขียนเรื่องทฤษฎีสมคบคิด NWO คล้ายๆ กัน วิธีเขียนก็คล้ายกัน

ถูกแก้ไข โดย milo

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

 

คุณทนง เป็นคนเดียวกับคุณ jimmy siri หรือเปล่าครับ เห็นเขียนเรื่องทฤษฎีสมคบคิด NWO คล้ายๆ กัน วิธีเขียนก็คล้ายกัน

 

 

2คนนี้เพิ่งมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นผ่านเฟซบุ๊คประมาณ1เดือนที่ผ่านมา ทั้ง2ท่านไม่เคยรู้จักกันมาก่อนครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub ได้แชร์ลิงก์

10 ชั่วโมงที่แล้ว บริเวณ Bangkok

ซีอีโอโกลแมนแซ๊คออกมาเตือนแล้ว ว่าเราต้องเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด

 

Lloyd Blankfein, CEO of Goldman Sachs, บอกว่านักลงทุน ต้องเตรียมตัวรับมือกับรูปการที่เลวร้ายที่สุด เพราะว่า มันจะเกิดขึ้น

 

เขาบอกว่าจนากประสบการณ์ทำงานสอนเขาว่า ให้ยอมรับความจริง ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เราพอจะจินตนาการได้ จะเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

ขณะนี้การบริหารความเสี่ยงส่วนมากเป็นแค่การวางแผนชั่วคราวล่วงหน้า และการมีวินัยตนเอง โดยเชื่อว่า เวลาผ่านไปสิ่งไม่คาดมีโอกาสเกิดน้อย หรือไม่เกิด แต่จริงๆแล้วมันจะเกิดขึ้น

 

Blanlfein บอกว่าคำจำกัดความของอินฟินีตี้ หรือความไม่มีที่สิ้นสุดคือว่า ถ้าเราคอยนานเพียงพอ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้

 

***********************************************************

 

ความเห็น

 

เขาบอกเป็นลางแล้ว ว่าที่เลวร้ายที่สุดในระบบการเงินกำลังจะเกิดขึ้น ให้เตรียมตัวให้ดี เราเตือนคุณแล้ว

 

อย่าลืมGoldman Sachs เป็นสถาบันการเงินที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก มีอิทธิพลเหนือตลาด

 

Investors should always prepare for the most extreme risk scenario because it will happen, Goldman Sachs CEO Lloyd Blankfein told the Australian Institute of Company Directors at a breakfast briefing on Friday.

 

Blankfein has headed up Goldman Sachs since 2006, steering it through the fallout of the global financial crisis of 2007-2008. He said the experience had taught him to accept the reality that the worst thing you can imagine will inevitably happen.

 

"Most risk management is really just advanced contingency planning and disciplining yourself to realize that, given enough time, very low probability events not only can happen, but they absolutely will happen," said Blankfein.

 

"The definition of infinity is that you wait long enough, everything happens," he added.

 

 

http://www.cnbc.com/id/100915696

 

 

 

Dimon Sees ‘Scary’ World as Interest Rates Return to Normal

 

http://www.bloomberg.com/news/2013-06-06/dimon-predicts-volatility-as-global-liquidity-returns-to-normal.html

 

----Thanong Fanclub jamie Dimonเป็นซ๊อ๊โอของJP Morgan Chase ออกมาพูดคล้ายๆกับGoldman Sachs ว่าโลกน่ากลัว พอดอกเบี้ยขยับขาขึ้น ส่งสัญญานชัดเจน

31 นาทีที่แล้ว · ถูกใจ · 1

----Thanong Fanclub อย่าลืมนะครับ JP Morgan, Goldman Sachs ทั้งคู่เป็นผู้ถือหุ้นของFederal Reserve วงในสุดๆ ออกมาเตือนแล้วว่าฟองสบู่กำลังจะแตก

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Thanong Fanclub

ถูกใจแล้ว · 39 นาทีที่แล้ว

 

กำไรหลักๆของตลาดS&P 500มาจากฟองสบู่ภาคการเงิน ส่วนภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงแทบจะจมน้ำ

 

ตัวเลขกำไรในไตรมาสสองของปีนี้ของตลาดS&P 500 ซึ่งเป็นตลาดหุ้นหลักของสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่กว่าดาวโจนส์มาก แสดงให้เห็นว่าฟองสบู่ภาคการเงิน กำลังอุ้มทั้งตลาดอยู่ ขณะที่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงอ่อนเปลี้ย

 

ดูตารางจะเห็นว่า กำไรต่อหุ้นearnings per shareของตลาดS&P500อยู่ที่ $0.38 แต่หุ้นภาคการเงินอยู่ที่$0.63

 

ดูภาคอื่นๆบ้าง หมวดบริโภค อุตสาหกรรม และเทเคอมฯ มีกำไรต่อหุ้นไม่ถึง$0.10

 

ภาคบริการสาธารณะutilities ของจำเป็นผู้บริโภคconsumer staples พลังงานenergy ไม่โตเลย ติดดิน

 

ส่วนหมวดวัสดุmaterials, การสาธารณะสุขการแพทย์ healthcareและ info tech มีกำไรต่อหุ้นติดลบ

 

ตารางนี้ชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นสหรัฐเป็นฟองสบู่การเงิน โดยที่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงกำลังดิ้น พยายามเอาตัวรอดจากการจมน้ำ

 

1006296_147707222092327_1486480848_n.jpg

http://www.zerohedge.com/news/2013-07-26/visualizing-real-economy-vs-financial-economy

 

 

Thanong Fanclub

 

2 ชั่วโมงที่แล้ว

ไตรมาสสุดท้ายของปี2013นี้ ฟองสบู่ไทยจะเริ่มออกอาการแล้วนะ

 

ตัวเลขเศรษฐกิจไทยทุกตัวเริ่มมีอาการแย่ลงไปเรียงแถวกระดาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกที่โตแค่ 0.95% ในครึ่งปีแรกนี้ ส่งสัญญานว่าเรากำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว ท่ามกลางดอกเบี้ยโลกที่ริ่มขยับขึ้น

 

Goldman Sachsคาดการเมื่อต้นเดือนนี้ว่าดอกเบี้ยพันธบัตร10ปีรัฐบาลสหรัฐฯ จะเริ่มขยับแล้ว โดยจะขึ้นถึง2.75%-3.0% ช่วงปลายปีนี้ และ4%ภายในปี 2014

 

ลำบากกันแล้ว ดูท่าฟองสบู่ไทยแลนด์อาจจะส่ออาการให้เห็นชัดมากขึ้นช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้แล้วนะ

 

ดอกเบี้ยพันธบัตร10ปีสหรัฐฯล่าสุดอยู่ที่ 2.57% ของไทยอยู่ที่3.85% ขึ้นมาในรอบหนึ่งสัปดาห์

 

ถ้าดอกเบี้ยต้องขึ้น1.50%-2.0% ในระยะข้างหน้า ฟองสบู่ไทยแตกแน่ โดยเฉพาะห อสังหาฯและหนี้ภาคครัวเรื่อนจะไปก่อน เพราะแบงค์ก็เริ่มคุมเข้มสินเชื่ออสังหาฯแล้ว

 

ธุรกิจไทย รวมทั้งโครงการใหญ่ๆโตๆของรัฐบาลต้องมาประเมิณcostกันใหม่หมด ที่จะฝันว่ารัฐบาลจะกู้ได้4%กว่าๆในการทำโครงการใหญ่คงจะไม่ได้แล้ว

 

ตัวเลขการผลิตของไทยตก หนี้ภาคครัวเรือนเพิ่มกระฉูด

 

ดุลบัญชีเดินสะพัดก็สามเดือนดี สี่เดือนไข้ เมื่อครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เป็นบวกสามเดือน และเป็นลบสามเดือน

 

ดุลบัญชีเดินสะพัดแสดงออกถึงความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจ เป็นพวกแสดงว่าทั้งภาคการค้าและบริการมีเงินเข้ามามากกว่าเงินไหลออกจากสอง ภาคนี้รวมกัน ถ้าเป็นลบ ก็เป็นเหตุการณ์ตรงข้าม

 

ตัวจีดีพีก็โดนปรับลงมาสาระวันเตี้ยลงเรื้อยๆ ที่คาดการว่าดี กลายเป็นความฝันลมๆแล้ง จะได้4.2%หรือเปล่า หลังจากเก็งกันว่า5%กว่าๆตอนแรก จีนที่จริงอาจจะโตแค่4% ไม่ใช่7%ตามที่นายMarc Faber บอก

 

เครื่องยนต์เศรษฐกิจจีนยังลงแรงอย่างนี้ แล้วเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยจะเหลือหรือ

 

ได้เวลาลดหนี้ เตรียมตัวรับสถานการณ์กันได้แล้ว เพราะดอกเบี้ยกำลังจะขึ้น และเงินอาจไหลออกจากประเทศอย่างรวดเร็ว ขณะที่เศรษฐกิจจะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ กระตุ้นไม่ขึ้นเพราะรั่วไหลเข้ากระเป๋านักการเมืองมาก

 

Goldman Sachs: Treasury Yields Will Hit 4%

July 8, 2013

 

A rise in 10-year Treasury yields above 2.7 percent on Friday for the first time since August 2011 is just the start of a long-term upward trend, Goldman Sachs said, with the investment bank forecasting yields will now enter 2014 at 2.75 - 3 percent and will climb to 4 percent by 2016.

575138_147698382093211_1144875577_n.jpg

 

http://www.cnbc.com/id/100869122

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าวใหญ่ เจพีหม้อแกง จะยุติกิจการด้านโภคภัณท์

 

http://www.zerohedge.com/news/2013-07-26/jpmorgan-exit-physical-commodity-business

 

หลังจากที่ทุบราคาทองจน เฮดฟันรับภาระ short ไปเต็ม ๆ ตัวเองก็ออกมานอกเกมส์ ซะงั้น

ถ้าข่าวนี้เป็นจริง แล้วใครจะขายทอง หรือต่ออายุสัญญาให้เฮดฟัน ในตลาด Comex ละ ทองจะขึ้นเป็นจรวดหรือเปล่า รอดูเดือนหน้า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วรวรรณ ธาราภูมิ

 

ทองคำคือศัตรูสำคัญของชนเผ่าที่เรียกตนเองว่า “ศิวิไลซ์”

-----------------------------------------------------------

 

วรวรรณ ธาราภูมิ CEO กองทุนบัวหลวง

28 กรกฎาคม 2556

 

ในปลายปี 2554 เคยเขียนบทความเล่าเรื่องที่ ฮูโก้ ชาเวซ ประธานาธิบดีเวเนซุเอลลา สั่งถอนทองคำจากสหรัฐและยุโรป โดยสำทับด้วยว่าให้ลำเลียงส่งคืนมาให้เร็วที่สุด

 

ฮูโก้ ชาเวซ เนี่ยะ เป็นผู้มีแนวคิดเสรีนิยมที่พวกตะวันตกเอือมระอาเพราะมองว่า เป็นพวกปากปีที่ 11 ของปีนักกษัตรไทย และเป็นคนขวางโลก .. อ้อ ... ขวางโลกเรอะ ... ใช่สิ ก็ใครคิด พูด หรือทำอะไรที่ค้านแนวคิดและผลประโยชน์ของคนตะวันตก ก็จะถูกพวกตะวันตกที่เรียกตนเองว่าเป็นชาวศิวิไลซ์ (แต่หนี้ท่วมหัว) กล่าวหาอย่างนี้แหละ

 

เป็นที่ทราบกันว่ารัฐบาลเวเนซุเอลลามีทองคำครอบครองมากที่สุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก หรือ 365 ตัน โดยมีทองคำแท่งเก็บไว้ที่อังกฤษ นิวยอร์ค และ ซูริค ใครเคยไปธนาคารกลางที่นิวยอร์คก็จะเห็นหลังคาโค้งใต้ดินที่มีตัวอักษรเบ้อเริ่มสลักแสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนว่า "Venezuela's” แปลง่ายๆ ภาษาบ้านๆ ก็คือ “ทองคำที่อยู่ในนี้เป็น ของกู (นะ เว่ย เฮ่ย)”

 

ฮูโก้ ชาเวซ ได้ส่งคำสั่งถอนทองคำสำรองของรัฐบาลเวเนซูเอลลากว่า 211 ตันที่ฝากเก็บไว้ในธนาคารยุโรปกับสหรัฐกลับคืนประเทศเมื่อปลายเดือน พ.ย. ปี 2554 โดยทองคำชุดแรกที่ธนาคารในยุโรปคืนให้ได้เดินทางไปถึงสนามบินในกรุงคารากัส แล้วเอาไปเก็บไว้ที่ธนาคารกลาเวเนซูเอลา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีพร้อมโบกธงชาติของผู้คนตลอดเส้นทางที่ชื่นชม ฮูโก้ ชาเวซ ที่ประกาศว่า “ทองคำเหล่านี้เป็นของเวเนซูเอลาจึงควรอยู่ในตู้นิรภัยของธนาคารกลางเวเนซูเอลา มากกว่าจะไปเก็บไว้ในกรุงลอนดอนหรือสหรัฐ”

 

มาดูศิวิไลซ์ชน เขาวิจารณ์กันบ้าง มีนักเศรษฐศาสตร์ตะวันตก (และแน่นอนละ ต้องบวกด้วยฝ่ายค้านของรัฐบาลเวเนซุเอลลาที่ต้องค้านมันไปทุกเรื่องตามระเบียบ) บอกว่า “ไม่มีเหตุผลด้านเศรษฐกิจในการขนย้ายทองคำเลย ไม่ว่าทองคำจะถูกเก็บไว้ที่ไหนก็มีค่าเท่ากัน ทุนสำรองของชาติก็ไม่เปลี่ยนแปลงเพราะการย้ายทองคำเหล่านี้ ฮูโก้ ชาเวซ ทำอย่างนี้ก็เพื่อต้องการโชว์พาวให้คนเห็นว่านี่เป็นการกระทำของวีรบุรุษ”

 

การวิจารณ์เช่นนั้น หากไม่มีอะไรอื่นแอบแฝง ก็ต้องบอกว่าน่าจะคิดน้อยไป หรือคิดเอาเองว่าศูนย์กลางความเจริญมั่นคงของโลกอยู่ที่ตะวันตกได้เท่านั้น คนอื่นๆ คือคนป่า คนเถื่อน คนโง่

 

ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะ ฮูโก้ ชาเวซ เขาคิดเรื่อง Settlement Risk หรือความเสี่ยงในการไม่ได้รับทองคำคืนในวันหน้าถ้าจะถอน ซึ่งมีโอกาสสูง เพราะประเทศตะวันตกยังก่อหนี้ไม่หยุดยั้ง

 

สรุปว่า คนป่า คนเถื่อน คนโง่ นำหน้าศิวิไลซ์ชนไปเกือบจะ 2 ปี

 

นำยังไงล่ะ?

 

เอ้า กลับมาดูข้อพิสูจน์ที่ต้นปี 2556 กัน

 

ใครเป็นขาประจำ Good Morning News ของกองทุนบัวหลวง อาจจะมีอย่างน้อยสัก 1-2 คน ที่จำได้ว่าเราเคยสรุปข่าวสั้นๆ ไปเมื่อเดือน มค ปีนี้ ว่าธนาคารกลางเยอรมันขอถอนทองคำแท่งที่ฝากเก็บที่ธนาคารกลางสหรัฐ 300 ตัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4% ของจำนวนทองคำที่สหรัฐบอกโลกว่ามีทั้งหมด 8,000 กว่าตัน แต่สหรัฐกลับบอกเยอรมันว่า “ขอเวลา 7 ปีในการทยอยส่งทองคำคืนให้”

 

นี่ไงล่ะ เดินตามคนป่า เดี๊ยะๆ

 

ลองนึกภาพนะ ถ้าเราเป็นลูกค้าเงินฝากรายใหญ่ที่ไปขอถอนเงินฝากของเราส่วนหนึ่ง แค่ 100 ล้านบาทจากแบงค์ แล้วแบงค์บอกว่า “ครับๆ แต่ขอเวลาทยอยคืน 7 ปีนะครับ” มันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ

 

ก็ลูกค้าทุกราย ทุกขนาดเงินฝาก จะแห่กันไปถอนเงินจากแบงค์ทุกแห่งน่ะสิ

 

นอกจากนี้ ธนาคารกลางเยอรมัน ยังขอถอนทองคำที่ฝากไว้ที่ปารีสอีก 374 ตัน อีกด้วย

 

รวมแล้ว เมื่อเดือน มค ปี2013 ธนาคารกลางเยอรมัน ได้ส่งคำสั่งขอถอนทองคำแท่งที่ฝากเก็บที่ 2 ประเทศนี้ทั้งสิ้น 674 ตันและบอกว่าจะนำทองคำที่นำไปฝากนอกประเทศทั้งหมดกลับเข้ามาเก็บในเยอรมันเอง 50% โดยให้เหตุผลว่า “เป็นการวัดว่าถ้ามีการขอถอนทองคำในกรณีเกิดวิกฤติเงินตรา จะมีปัญหา หรือมีปัญหาในการคืนหรือไม่ และแค่ไหน”

 

ว่ากันไปแล้วก็เป็นการ “ถอนก่อน เสี่ยงน้อยกว่า” นั่นแหละ

 

 

เหลียวไปดูราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมากันบ้าง จะพบว่าราคาทองคำตกลงต่อเนื่องในปี 2555 จนถึง กค.2556แต่รู้ไหมว่าในปี 2555 ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศซื้อทองคำสะสมมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2507 โดยซื้อในปี 2555 ถึง 535 ตัน (31 US Bil)

 

World Gold Council คาดว่า ปี 2556 นี้ ธนาคารกลางทั้งหลายจะซื้อททองคำเพิ่มจากปีก่อนอีก 15 ตัน รวมเป็น 550 ตัน (25 US Bil)

 

คำถามก็คือ "ถ้าธนาคารกลางประเทศต่างๆ (ซึ่งน่าจะเป็นประเทศในตลาดเกิดใหม่หรือ Emerging Market) ไม่กลัวว่าจะมี Currency War ทำไมต้องสะสมทองคำขนาดนี้"

 

ไปดู รัสเซีย กัน

 

รัสเซียเพิ่มทุนสำรองเป็นทองคำ ทุกปี ตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปัจจุบัน โดยเพิ่มไปมากกว่า 2 เท่าใน 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง ธนาคารกลางรัสเซีย ให้เหตุผลว่าเพื่อ “เป็นการกระจายทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของรัสเซียให้ไม่ต้องกระจุกตัวอยู่แต่ในสินทรัพย์ที่เป็นเพียงกระดาษซึ่งมีความเสี่ยง” แม้จะมีข่าวว่าช่วงนี้จะระงับการซื้อทองคำไว้ก่อนด้วยสาเหตุที่ยังปกปิดไว้

 

อีกตัวอย่างคือ จีน

 

จำนวนทองคำที่จีนมีนั้น จีนเก็บไว้เป็นความลับ แต่ดูจากการผลิตในประเทศ (Domestic Production) การนำเข้าจากฮ่องกง กับการนำเข้าอย่างลับๆ (Stealth Import) แล้ว มีผู้ประเมินว่า จะมีจำนวนทองคำในจีนรวมทั้งสิ้น 4,000 ตันในสิ้นปี 2013 นี้

 

เรื่องนี้ Zhang Jianhuo จาก ธนาคารกลางจีน ให้เหตุผลว่า “ไม่มีสินทรัพย์ใดที่ปลอดภัยแล้วในขณะนี้ ทางเลือกเดียวที่มีอยู่เพื่อรับมือกับความเสี่ยงในการถือครองเงินตราต่างประเทศก็คือ ทองคำ”

 

ธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ใน Emerging Market ก็สะสมทองคำเพิ่มเช่นกัน

 

-----------------------------------------------------------------------------

 

ถึงตรงนี้ ขอสรุปเรียบเรียงบทความที่ พี่ทนง ขันทอง เขียนเกี่ยวกับคำถามของ Eric Sprott (เป็นคนที่พี่ตู่เคยมีโอกาสไปพบที่แวนคูเวอร์ คานาดา ปีก่อน) มาประกอบ

 

“Eric Sprott ผู้เป็น CEO กับ CIO ของ Sprott Asset Management GP Inc. ตั้งคำถามว่า ธนาคารกลางยังมีทองคำอยู่ในมืออีกหรือเปล่า เพราะสถานการณ์ในระยะ 8 เดือนที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าทองคำขาดแคลนเป็นอย่างมาก เช่นเรื่องที่ธนาคารกลางเยอรมันขอถอนทองคำที่ฝากไว้กับธนาคารกลางสหรัฐ แต่สหรัฐขอเวลาทยอยส่งคืนถึง 7 ปี หรือในกรณีที่ ABN AMRO บอกลูกค้าที่ขอถอนทองคำว่า “ไม่มีทองคำแล้ว ขอคืนเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐแทนก็แล้วกัน เพราะพวกกองทุน ETF ทองคำที่โดนลูกค้าถอนอย่างหนักไม่มีทองคำเหลือตั้งแต่ต้นปีแล้ว” นี่ขนาดยังไม่นับการถอนหนักๆ ในเดือนเมษายน-ปัจจุบันนะ

 

Eric Sprott บอกว่า “ทองขาดแคลนอย่างหนักจนเห็นได้ชัด พวกที่กุมอำนาจในระบบการเงิน คงจะถามตัวเองว่า จะทำอย่างไรดี จะให้คนรู้ไม่ได้ว่าธนาคารกลางไม่มีทองคำในมือแล้ว เพราะได้ขายไปก่อนเพื่อซื้อคืนกลับในภายหลัง (Repurchase) หรือขายขาดทองคำให้พวกเอเซียไปหมดแล้ว ถ้างั้นก็บอมบ์ตลาด COMEX ไปเลย เพื่อให้คนขายกองทุน ETF ทองคำออกมาจนราคาตก เสร็จแล้วเราค่อยกลับเข้าไปซื้อเพื่อเอาทองคำแท่งจริงๆ ในราคาถูกมาแล้วกัน” (ตรงนี้ พี่ทนง แปลสรุปมาได้โดนใจมาก)

 

Eric Sprott ระบุว่า “จากการที่พวกกองทุน ETF ทองคำโดนบังคับให้ขายขาดทุน เพราะคนกลัวทองคำราคาตก เลยไปเทขาย และแน่นอนพวกที่ปรึกษาการลงทุนที่แนะนำให้ลูกค้าขายทองคำก็คือพวกที่ต้องการได้ทองคำมารองรับการขาย Short ทอง ล่วงหน้าไปแล้วของตัวเอง ทำให้ทองในคลังของ COMEX ขณะนี้ลดลงอย่างรวดเร็ว และถ้าทุกคนมาขอขึ้นทองคำไปเก็บเองทั้งหมด COMEX จะไม่มีทองคำให้ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าพวกที่กุมอำนาจในระบบการเงินได้ใช้วิธีนี้ซื้อทองคำคืนมาได้ 600 ตัน ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมาก ทำให้มี Supply ทองคำเพิ่มขึ้น 30%”

 

Eric Sprott ชี้ให้เห็นว่า ทองคำแท่งจริงๆ ขาดตลาดมาก และฟันธงชั้วะว่า “ราคาทองคำในปัจจุบันน่าจะอยู่ในระดับต่ำสุดแล้ว”

 

ช่วงท้าย พี่ทนง เล่าว่า “ที่น่าสนใจคือ Eric Sprott เรียกพวกทุบทองว่า เป็นพวก Central Planners หรือพวกธนาคารกลางที่อยู่ในแก๊งค์พิมพ์เงิน ตามที่ผมเขียนมาตลอดในเฟสนี้ โดย Paul Craig Roberts เป็นอีกคนที่พูดชัดเลยว่า FED เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทุบทองคำเพื่อพยุงดอลล่าร์”

 

-----------------------------------------------------------------------------

 

กลับมาต่อของเรากัน ว่าจะมองราคาทองคำเป็นอย่างไรนับจากวันนี้ วันที่มีแต่ข่าวทองคำราคาลง หุ้นสหรัฐขึ้น ค่าเงินดอลลาร์อเมริกันก็แข็งขึ้น House ธาคารใหญ่ๆ ดังๆ ของประเทศตะวันตกก็ออกบทวิเคราะห์กับให้สัมภาษณ์ที่แนะนำให้ขายทองคำก่อนราคาจะดิ่งเหวไปกว่านี้

 

เป็นอย่างนี้แล้วราคาทองคำจะไปเหลือเรอะ

 

เหลือสิ แต่ไม่รู้ว่าจะเหลือเท่าไหร่ (ไม่ได้กวนโอ๊ยนะ)

 

แต่ดอลลาร์จะอ่อนค่าลงแน่ๆ ซึ่งยังไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ เพราะมันใช้เวลากว่าที่จักรวรรดิใหญ่ๆ จะล้ม ยิ่งยังสร้างหนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะยิ่งเร่งระยะเวลา และเมื่อวันนั้นมาถึงคนก็จะกลับไปหาทองคำ รอเป็นไหมล่ะ

 

 

ส่วนระยะสั้น ดอลลาร์ยังต่อสู้กับทองคำอยู่ ขึ้นๆ ลงๆ จนหัวปั่น เพราะ Central Planner เป็นขาใหญ่จริงๆ ใหญ่ยิ่งกว่าทุกเสี่ยในตลาดหุ้นเรารวมกันเสียอีก

 

จึงสรุปได้ว่า การมีทองคำเอาไว้บ้างในพอร์ตลงทุน โดยค่อยๆ ทยอยสะสมไปทุกเดือนๆ ยังเป็นคำตอบของการจัดพอร์ตลงทุนระยะยาวๆ

เลิกถูกใจ · · แชร์ · 3 ชั่วโมงที่แล้ว

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...