ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ก็อปมาฝากครับ

 

Egypt Bans Export Of Gold "In Any Form"

อิยิปต์ระงับการส่งออกทองคำในทุกรูปแบบ

http://www.businessi...any-form-2011-2

China Central Bank Advisor Urges Increase In Official Gold And Silver Reserves

ที่ปรึกษาธนาคารกลางของจีน กระตุ้นให้เพิ่มทุนสำรองในรูปของทองคำและเงินอย่างเป็นทางการ

 

http://www.prisonpla...r-reserves.html

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ยังดีครับที่มันยังไม่ล้ม ไปถอนออกมาทั้งหมดก็ยังทันlaugh.gif

 

ถ้าคนแห่ไปถอนเยอะละก็ จากมีโอกาสล้มกลายเป็นล้มชัวร์และเร็วขึ้น รีบถอนน่าจะดีสุดครับ

 

ขอบคุณครับ เงินที่มีอยู่ไม่ถึงเสี้ยวของที่ FDIC เค้าประกันเงินฝากไว้ให้

เพราะฉะนั้น เรื่องล้มยังไม่ห่วงมากครับ เท่าที่เห็น ถ้าอาการไม่หนักจริงๆ

bank พวกนี้ส่วนมากมักจะมี bank ใหญ่ๆมากลืนเข้าไป

 

แต่ที่ตกใจ ก็คงเป็นเพราะคาดไม่ถึงมั้งครับ ว่า bank นี้ก็เริ่มทำท่าอาจจะมีปัญหาได้ sad.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ เงินที่มีอยู่ไม่ถึงเสี้ยวของที่ FDIC เค้าประกันเงินฝากไว้ให้

เพราะฉะนั้น เรื่องล้มยังไม่ห่วงมากครับ เท่าที่เห็น ถ้าอาการไม่หนักจริงๆ

bank พวกนี้ส่วนมากมักจะมี bank ใหญ่ๆมากลืนเข้าไป

 

แต่ที่ตกใจ ก็คงเป็นเพราะคาดไม่ถึงมั้งครับ ว่า bank นี้ก็เริ่มทำท่าอาจจะมีปัญหาได้ sad.gif

 

bank ใหญ่ก็อาการร่อแร่ FDIC ก็รับประกันไปเรื่อย ถ้าล้มกันเยอะมากขนาดนั้นจะจ่ายกันทันเหรอคะ เคยเห็นตอน bank มีปัญหาแล้วคนแห่ไปถอนตังแล้ว bank ไม่มีตังให้ป่าวคะ เค้ารับประกัน แต่กว่าเราจะได้เงินรอนานเท่าไรไม่รู้ อย่าเก็บไว้เลย เด๋วนี้ online banking สะดวกจะตาย โอนได้ เสียค่าธรรมเนียมนิดหน่อย ถือ US$ ตอนนี้ค่ามีแต่จะลดลง ถึงจำนวนเงินที่เป็นตัวเลขอยู่ครบ แต่ "ค่า" ของมันลดลงก็ไม่คุ้มแล้ว :wacko:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!_Rd

 

มาลงชื่อว่า อ่านจบแร้วในสองวัน เยสสส

มีเรื่องสงสัยมากมาย

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่า โลกจะเปลี่ยนไปอ้างอิงใช้เงินสกุลใหม่ที่ไม่ใช่ดอลล่าห์

แล้ว ถ้าอเมริกา ไม่ยอมให้ประเทศตัวเองพังไปต่อหน้าต่อตา

เค้าจะใช้ีวิธี พาลๆ มาแก้ปัญหาของตัวเอง

เช่น บุกไปยึดสมบัติบ้านเมืองคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม

บีบบังคับให้ต้องยอม (แบบลิเบียตอนนี้) รึเปล่าครับคุณ next

ถ้าเป็นจริง ทองก็อาจจะไปไม่ถึงฝั่งฝันรึเปล่าคับ

 

!034

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณทุกท่านที่นำข้อมูลมาแบ่งปันครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

5fc0f220.gif ขอบคุณนะคะสำหรับทุกคำตอบเรื่องกองทุนทอง ขอโทษคุณเน็กซ์ด้วยที่มาเปิดประเด็นเรื่องนี้ เพียงแต่ยังคิดอยู่ว่าจะลงทุนในทองแท่งทั้งหมดหรือแบ่งไปลงในกองทุนทองบางส่วนดี

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอาข่าวมาฝากค่ะ จีนใหญ่! อุ้มพันธบัตร รบ.อินทรี 1.16 ล้านล้านดอลลาร์ จาก http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9540000026727

 

ไชน่าเดลี่ - กระทรวงการคลังมะกันเผยรายงานประจำปีเมื่อวันจันทร์ (28 ก.พ.) ว่า จีนถือครองพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ (สรุปเมื่อสิ้นเดือน ธ.ค. 2553) มูลค่า 1.16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ เผยรายงานตัวเลขพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่ต่างชาติถือครองอยู่ฉบับใหม่ ซึ่งแม่นยำขึ้นกว่าฉบับประมาณการเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมา (15 ก.พ.) โดยเผยว่า มูลค่าพันธบัตรที่จีนถือครองนี้สูงกว่าจากที่รัฐบาลมะกันเคยประมาณไว้ในรายงานฉบับก่อนหน้า (15 ก.พ.) ถึง 30 เปอร์เซ็นต์

 

รายงานใหม่นี้ฯ ชี้ด้วยว่า จีนผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯมากที่สุด ได้ลดการถือครองลง 4 พันล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. จากเดือนพ.ย.ที่ถือครองอยู่ 1.164 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ ญี่ปุ่น ซึ่งถือครองพันธบัตรรัฐบาลมะกันเป็นอันดับ 2 ได้เพิ่มการถือครองเป็น 882,300 ล้านดอลลาร์ในเดือน ธ.ค. น้อยกว่าการคาดการณ์ 1,300 ล้านดอลลาร์

 

อังกฤษ ถือครองฯเป็นอันดับ 3 ก็ฟื้นการถือครองขึ้นมาอยู่ที่ 272,100 ล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค. จาก 242,500 ล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. ซึ่งมากกว่าการคาดการณ์ 2,900 ล้านดอลลาร์

 

รวมพันธบัตรรัฐบาลมะกันที่ต่างชาติถือครองอยู่ในเดือนธ.ค. 2553 อยู่ที่ 4.44 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มจาก 4.41 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ย. โดยถือว่าเพิ่มขึ้นไปสูงกว่าที่คาดการณ์ถึง 70,000 ล้านดอลลาร์

 

กระทรวงการคลังฯ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นใด ๆ ต่อตัวเลขใหม่นี้

 

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

มีต่ออีกค่ะ

 

ตัวเลขหนี้ฯ เป็นที่จับตาทุกเวลา และชาวอเมริกันเองก็เชื่อมากขึ้นว่า การปล่อยให้ต่างชาติถือครองหนี้มะกันเพิ่มขึ้นจะนำมาซึ่งความไร้เสถียรภาพ

 

สิ้นปี 2553 ตัวเลขหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐพุ่งเกิน 14 ล้านล้านดอลลาร์ และหากคองเกรสไม่ยกระดับเพดานหนี้ซึ่งอยู่ที่ 14.3 ล้านล้านดอลลาร์ก่อนวันที่ 4 มี.ค. นี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ก็จะถือว่าล้มละลาย

 

งบฯ การใช้จ่ายสาธารณะมะกันประจำปี 2553 (สิ้นสุดปีงบประมาณ 30 ก.ย.53) ขาดดุลถึง 1.29 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งในปี 2552 ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจ ก็ทำให้งบขาดดุลฯของสหรัฐฯสูงถึง 1.42 ล้านล้านดอลลาร์ทีเดียว

 

ขณะที่งบประมาณของรัฐบาลโอบามาประจำปี 2554 ซึ่งได้ส่งให้คองเกรสพิจารณาในช่วงต้นเดือนนี้ ก็มีการประมาณกันล่วงหน้าว่า งบขาดดุลมะกันปี 54 จะทุบสถิติพุ่งสูงถึง 1.65 ล้านล้านดอลลาร์

 

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4283 ประชาชาติธุรกิจ

 

 

คำถาม-คำตอบเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก

 

คอลัมน์ ระดมสมอง

 

โดย เพสซิมมิสต์

 

 

 

คำถาม : เห็นพูดกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐไม่ดี เศรษฐกิจยุโรปย่ำแย่ เศรษฐกิจเอเชียเจอปัญหาเงินเฟ้อ แต่หุ้นก็ปรับขึ้นกันถ้วนหน้า และจีดีพีไทยก็ขยายตัว 8% เมื่อปีที่แล้ว นอกจากนั้นรถยนต์ก็ผลิตขายกันแทบไม่ทัน กำลังซื้อที่เกิดขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรก็ปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ แถมรัฐบาลก็ยังพยายามไล่แจกเงิน เพิ่มเงินเดือนให้กับครูและข้าราชการ แล้วจะต้องกลัวอะไรอีก

 

คำตอบ : จริงที่เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีเกินคาด และการฟื้นแล้วฟุบก็ไม่ได้เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาดังที่บางคนกล่าวเตือนเอาไว้ แต่การฟื้นตัวที่ "น่าประทับใจ" นั้นได้มาโดยการที่รัฐบาลสหรัฐขาดดุลงบประมาณ 1.7 ล้านล้านเหรียญในปีที่แล้ว เท่ากับ 12% ของจีดีพี ในขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์เงินออกมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลและหนี้ที่คุณภาพน่าสงสัยอีกเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ เพียงเพื่อให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวได้ 3% หรือทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 4 แสนเหรียญ พูดง่าย ๆ คือกู้เงินและพิมพ์เงินออกมาเพิ่มขึ้น 2.7 ล้านล้านเหรียญ เพื่อให้จีดีพีเพิ่ม 4 แสนล้านเหรียญนั้น น่าเป็นการฟื้นตัวแบบหลอกตัวเองและไม่ยั่งยืน แม้ว่ายุโรปเองก็ขาดดุลงบประมาณ 5% ของจีดีพี แต่ประเทศเล็ก ๆ รอบข้าง (กรีซ ไอร์แลนด์) ก็ยังมีปัญหา ต้องหาเงินมาอุ้มเพิ่มขึ้นอีกนับแสนล้านยูโร ในขณะที่เศรษฐกิจยุโรปโดยรวมก็ขยายตัวเพียง 2% เท่านั้น

 

สำหรับญี่ปุ่นนั้นก็มีหนี้สาธารณะสูงถึง 200% ของจีดีพีแล้ว แต่ก็ยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะลดการขาดดุลงบประมาณพร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้อย่างไร สำหรับไทยนั้น หากดูตัวเลขการขยายตัวของจีดีพีจากไตรมาส 1 ไปไตรมาส 2 และจากไตรมาส 2 ไปไตรมาส 3 ก็จะพบว่าจีดีพีหดตัวลงไม่ได้ขยายตัว และแม้อาจจะขยายตัวบ้างจากไตรมาส 3 ไปไตรมาส 4 แต่ก็เป็นผลส่วนหนึ่งจากการออกแรงกระตุ้นโดยการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล สำหรับราคาสินค้าเกษตรที่ปรับสูงขึ้นนั้น ก็เป็นความจริงที่อุปสงค์มีมาก โดยเฉพาะจากประเทศจีนและประเทศในเอเชียอื่น ๆ แต่เมื่อมีขึ้นก็จะต้องมีลงได้ โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปมีปัญหาในภายภาคหน้า สำหรับยอดขายรถที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะดอกเบี้ยที่ต่ำ แต่กำลังจะขึ้น ประชาชนจึงรีบซื้อและรีบสร้างหนี้ เพราะรู้ว่ายิ่งรอดอกเบี้ย ก็จะยิ่งแพง แต่ก็เป็นการยืมเอายอดขายในอนาคตมาเป็นยอดขายที่สูงมากในปีที่ผ่านมาและต้นปีนี้ สำหรับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลนั้น จะเป็นการนำเงินของคนกลุ่มหนึ่งมาแจกให้คนอีกกลุ่มหนึ่ง และที่น่าเป็นห่วงคือการขึ้นเงินเดือนให้ข้าราชการ ซึ่งเสี่ยงต่อการสร้างเงินเฟ้อและหนี้สาธารณะในอนาคต

 

คำถาม : เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวดีมาก ทั้งที่เคยมีแต่คนบอกว่าย่ำแย่ เห็นได้จากตัวเลขภาคการผลิตและการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และเมื่อบริษัทสหรัฐมีกำไรมาก ก็จะต้องเร่งลงทุนและจ้างงานในที่สุด และแม้ว่าจะได้เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักหน่วงในปี 2008-2010 แต่ประเทศไทยก็เคยเจอกับวิกฤตในปี 1997-1998 และในที่สุดเศรษฐกิจก็จะเยียวยาตัวเองและกลับมาขยายตัวได้ตามปกติเช่นเดิม จึงไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป เพราะจะทำให้ไม่กล้าทำอะไรและสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ

 

คำตอบ : เป็นความจริงที่ภาคธุรกิจของสหรัฐแข็งแกร่งมากและทำกำไรได้ดี จึงมีความสามารถในการลงทุนและจ้างงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐเฝ้ารอคอยให้เกิดขึ้น และเชื่อว่าเป็นเรื่องของ "เมื่อไหร่" (when) ไม่ใช่ต้องลุ้นว่าจะ "ทำหรือไม่" (if) แต่บริษัทชั้นนำของสหรัฐนั้นเป็นบริษัทข้ามชาติและลงทุนได้ทั่วโลกเพื่อให้ได้ผลกำไรสูงสุด ดังนั้นจึงมีการลงทุนอย่างหนักในเอเชียและประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ นอกจากนั้นรัฐบาลสหรัฐก็ยังยืนยันที่จะเก็บภาษีกำไรจากต่างประเทศที่นำกลับเข้ามาสหรัฐในอัตราที่สูง ซึ่งกีดขวางการลงทุนในสหรัฐ แต่ที่สำคัญคือคนงานสหรัฐที่ว่างงานเป็นสัดส่วนสูงถึง 9.5% นั้นมีส่วนมากถึง 44% ที่ว่างงานมานานถึง 6 เดือน หรือมากกว่านั้น แปลว่าเป็นแรงงานซึ่งขาดทักษะ และไม่ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน เป็นปัญหาโครงสร้างของแรงงาน ซึ่งมาตรการลดภาษีของรัฐบาล และพิมพ์เงินเพิ่มของธนาคาร กลางสหรัฐนั้น จะไม่สามารถผลักดันให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

ดังที่นายเบอร์นันเก้ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ กล่าวยอมรับว่าอาจต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปี อัตราการว่างงานจึงจะปรับลดลงจาก 9.5% ไปอยู่ที่ 6% เช่นเดิมก่อนวิกฤตเศรษฐกิจ แต่หากต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปี สหรัฐจะต้องกู้เงินและพิมพ์เงินเพิ่มออกมาอีกกี่ล้านล้านเหรียญ ? สำหรับการนำเอากรณีของสหรัฐไปเปรียบเทียบกับกรณีของประเทศไทยว่ากลับมาหายเป็นปกติได้นั้น ก็ต้องเปรียบเทียบว่าก่อนวิกฤตนั้น ไทยกู้เงินเกินตัวและใช้จ่ายเกินตัว เห็นได้จากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเท่ากับ 8.5% ของจีดีพีในปี 1996 แต่เมื่อเผชิญกับวิกฤต ก็เปลี่ยนพฤติกรรมอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ คือกลับมาเกินดุลบัญชีเกือบทุกปีมานานถึง 13 ปี เพื่อเร่งคืนเงินกู้และปรับสถานะตัวเองจากประเทศลูกหนี้มาเป็นประเทศเจ้าหนี้ (ปัจจุบันไทยมีหนี้ต่างประเทศ 9,000 ล้านเหรียญ แต่มีทุนสำรอง 180,000 ล้านเหรียญ) แต่ประเทศสหรัฐนั้นเคยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด (ใช้จ่ายเกินตัวโดยการกู้เงินจากต่างประเทศ) เท่ากับ 5-6% ของจีดีพีก่อนวิกฤต แต่ปัจจุบันก็ยังเลิกนิสัยเดิมไม่ได้ และยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเท่ากับ 3.0-3.5% ของ จีดีพี จึงยังไม่เปลี่ยนนิสัยใช้จ่ายเกินตัว

 

คำถาม : สหรัฐเป็นประเทศมหาอำนาจ และจะพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเท่าไหร่ก็ได้ เพราะเป็นเงินสกุลหลักของโลก นอกจากนั้นสหรัฐก็ยังคุยว่าตลาดพันธบัตรและภาคการเงินของสหรัฐมีขนาดใหญ่ มีความลึกและความสมบูรณ์มากที่สุด ทำให้นักลงทุนและรัฐบาลต่างประเทศไม่มีทางเลือก และต้องถือทุนสำรองและสินทรัพย์หลักเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก กล่าวคือสหรัฐใหญ่เกินกว่าใครจะปล่อยให้ล้มได้ (too big to fail)

 

คำตอบ : การเป็นประเทศมหาอำนาจนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คงทนถาวร ไม่สามารถเข้าสู่สภาวะตกต่ำได้ การที่เศรษฐกิจประเทศขนาดใหญ่อื่น ๆ เช่น จีน หรืออินเดียมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีกว่า ก็ย่อมจะกระทบต่อสถานะของสหรัฐและสถานะของเงินสกุลดอลลาร์ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อ 100 ปีก่อน อังกฤษเป็นประเทศมหาอำนาจ ดังนั้นทุนสำรองส่วนใหญ่ของไทยและประเทศอื่น ๆ จึงเก็บเป็นเงินปอนด์เป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่ออังกฤษเสื่อมถอยลงและมีสหรัฐมาทดแทน จึงมีผลให้ในที่สุดเงินดอลลาร์ก็ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายและเบียดบังเงินปอนด์ออกไปในที่สุด สำหรับการ "อุ้ม" สหรัฐไม่ให้ล้มนั้น ก็ต้องรอพิสูจน์ดูว่า หากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวไม่ได้ดีดังคาดใน 2-3 ปีข้างหน้า จะมีประเทศใดบ้างที่จะยอมเป็นเจ้าภาพรับถือเงินดอลลาร์ที่พิมพ์ออกมาเป็นจำนวนมาก พร้อมกับการสร้างหนี้สาธารณะอย่างต่อเนื่องแล้วจะมีผู้มารับเป็นเจ้าหนี้เพียงพอหรือไม่ เพราะหากขาดแคลนเจ้าหนี้สหรัฐเผชิญปัญหา ดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น เช่นเดียวกับที่กำลังเกิดขึ้นกับกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน

 

คำถาม : หากเศรษฐกิจโลกมีปัญหา ประเทศไทยก็น่าจะรับมือได้ เพราะรัฐบาลก็ยังมีหนี้สาธารณะ คิดเป็นสัดส่วนเพียง 43% ของจีดีพี รัฐบาลจึงมีศักยภาพเพียงพอที่จะกู้เงินเพิ่ม เพื่อมาลดผลกระทบทางเศรษฐกิจได้

 

คำตอบ : แม้รัฐบาลไทยจะมีหนี้สินไม่มากดังที่กล่าว แต่ก็มีหนี้นอกงบประมาณ (เช่นความจำเป็นต้องเพิ่มทุนให้กับธนาคารของรัฐ ซึ่งรัฐบาลสั่งให้ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรายย่อย ที่มีความเสี่ยงเป็นจำนวนมาก ตามนโยบายประชานิยม) ซึ่งจะผุดขึ้นมา เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว นอกจากนั้นโครงสร้างงบประมาณก็อ่อนแอ เพราะปัจจุบันรายได้ของภาครัฐทั้งหมดนั้นเท่ากับรายจ่ายประจำและดอกเบี้ย ดังนั้นการลงทุนเกือบทั้งหมดจึงต้องไปกู้มาประมาณ 3-4% ของจีดีพี หากดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้นและเศรษฐกิจชะลอตัวลง รัฐบาลจะมีขอบเขตที่จำกัดมากในการกู้เงินเพิ่ม เพื่อเยียวยาการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ

 

คำถาม : ประเทศเอเชียโดยเฉพาะประเทศขนาดใหญ่จะขยายตัวสูงมากไปอีกหลาย 10 ปี ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาประเทศสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นเช่นแต่ก่อน ดังนั้นการชะลอตัวหรือความตกต่ำของประเทศกลุ่มอี 3 จึงจะไม่ส่งผลกระทบมาก

 

คำตอบ : การส่งออกของไทยไปยังกลุ่มจี 3 เท่ากับ 1/3 ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ลดลงจากแต่ก่อน แต่ก็ยังเป็นสัดส่วนที่สำคัญ นอกจากนั้นจะเห็นได้ว่า เมื่อสหรัฐมีปัญหาในปี 2008 ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลกมีความรุนแรงอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมต่อกัน นอกจากนั้นประเทศขนาดใหญ่ของเอเชียเช่นจีนและอินเดียก็ยังต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐอย่างมาก หากไม่เป็นเช่นนั้น จีนก็คงปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่า เมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์ไปนานแล้ว โดยไม่ต้องให้มาเป็นประเด็นขัดแย้งกันมานานหลายปี

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พึ่งเคยอ่าน คอลัมน์ ระดมสมอง โดย เพสซิมมิสต์ รู้สึกเหมือนแนวทางคำอธิบายต่างๆ คล้าย ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อนะครับ ไม่รู้คนเดียวกันหรือเปล่า

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เท่าที่ผมเข้าใจราคาLondon Fixingจะมีแบบกลางวันบ้านเรา(AM) กับแบบกลางคืนบ้านเรา(PM) ตามลิ้ง http://www.lbma.org.uk/pages/index.cfm?page_id=53&title=gold_fixings&show=2011&type=daily ซึ่งในหนังสือชี้ชวนของธนชาตก็บอกว่าจะยึดราคาAM ซึ่งก็จะประมาณบ่าย4โมงบ้านเรา

ผิดถูกยังไงรบกวนแก้ทีนะคับ

ปล.เราน่าไปคุยกันในกระทู้คุณเหมียวโจดีไหม เกรงใจคุณเน๊กจัง

 

 

5fc0f220.gif ขอบคุณนะคะสำหรับทุกคำตอบเรื่องกองทุนทอง ขอโทษคุณเน็กซ์ด้วยที่มาเปิดประเด็นเรื่องนี้ เพียงแต่ยังคิดอยู่ว่าจะลงทุนในทองแท่งทั้งหมดหรือแบ่งไปลงในกองทุนทองบางส่วนดี

 

อุ่ย..เกรงใจอะไรกันครับ คุยได้ทุกเรื่องแหละ ผมเองก็ได้ความรู้ไปด้วย

เรื่องเกี่ยวกับกองทุนยกให้คุณเหมียวกับคุณปุณณ์เลยครับรู้ละเอียดจริงๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

!_Rd

 

มาลงชื่อว่า อ่านจบแร้วในสองวัน เยสสส

มีเรื่องสงสัยมากมาย

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่า โลกจะเปลี่ยนไปอ้างอิงใช้เงินสกุลใหม่ที่ไม่ใช่ดอลล่าห์

แล้ว ถ้าอเมริกา ไม่ยอมให้ประเทศตัวเองพังไปต่อหน้าต่อตา

เค้าจะใช้ีวิธี พาลๆ มาแก้ปัญหาของตัวเอง

เช่น บุกไปยึดสมบัติบ้านเมืองคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม

บีบบังคับให้ต้องยอม (แบบลิเบียตอนนี้) รึเปล่าครับคุณ next

ถ้าเป็นจริง ทองก็อาจจะไปไม่ถึงฝั่งฝันรึเปล่าคับ

 

!034

 

 

เป็นไปได้นะครับในอนาคต เพราะสกุลดอลล่าร์ เริ่มจะเสื่อมมนต์ขลังลงไปทุกวันๆ

สถานะการณ์ในตะวันออกกลาง (อียิปต์ ลิเบีย แอลจีเรีย โอมาน ฯลฯ) หากเป็นแต่ก่อนเราคงได้เห็น USDX พุ่งขึ้น

ในฐานะ Safe Heaven แต่นี่ ไม่แม้แต่จะเด้ง

 

ในขณะที่ทองคำซึ่งถือเป็นสุดยอดสกุลเงิน (The Best Currency)

กลับปรับตัวขึ้นเรื่อยๆใกล้ทำ New High เข้าไปทุกที

หากในอนาคต จะมีการใช้เงินสกุลอื่น สกุลนั้นก็ควรมีอะไรที่ดีหรือแตกต่างจากดอลล่าร์ ?

สิ่งนั้นก็คือควรมีทองคำหนุนหลัง (เ่ช่น SDR หรือ ระบบ Gold money)

 

ทองคำก็จะได้กลับมาทำหน้าที่ที่สมควรจะเป็น คนที่ถือครองทองคำจะสามารถไปถึงฝั่งฝัน

เพราะรักษา Purchasing Power ไว้ได้

แต่คนที่ถือเงินสกุลเก่าภายใต้ระบบกระดาษเพียวๆ (Fiat Currency)

อาจะเจอกับฝันร้ายได้ครับ

ปล.ประเด็นแพ้แล้วพาลก่อสงครามระรานนั้นไม่อยากจะคิดเลย

หวังเล็กๆในใจว่าเค้าจะไม่ทำเช่นนั้น แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง โลกเรามีขาวมีดำ

หวังว่าธรรมะจะชนะอธรรมครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอาทิตย์นี้มีไปพูดคุยกับเพื่อนสมาชิก Thaigold ที่งานสัมมนานะครับ

หากใครไปในงานคงได้เจอกัน ทักทายกันบ้างนะครับ ใจจริงผมไม่ค่อยมั่นใจจะเปิดเผยตัวเท่าไหร่ (กลัว Bias) :lol:

แต่เฮียให้เกียรติเชิญมาไม่กล้าปฏิเสธเลย ด้วยความนับถือจริงๆครับ :lol:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4283 ประชาชาติธุรกิจ

 

 

อินทรีร่อน มังกรรำ

 

คอลัมน์ เดินคนละฟาก

 

โดย กมล กมลตระกูล Kamolt@yahoo.com

 

 

 

ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา เดินทางมาเยือนอเมริการะหว่างวันที่ 18-21 มกราคม 2554 นับเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยมาเยือนครั้งแรกเมื่อปี 2006 การเยือนครั้งนี้เป็นการฉลองการเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตครบ 40 ปีใน ปีนี้

 

ในการมาเยือนครั้งนี้ ทั้งสองฝ่าย ต่างเตรียมการในการทำบ้านกันมาเป็นอย่างดี เพื่อ "แลกหมัด" กันอย่างเต็มที่ในสถานการณ์โลกที่ค่อนข้างร้อนระอุทั้งปัญหาเศรษฐกิจและการเมือง ตั้งแต่ปัญหาวิกฤตการคลังในกลุ่มประเทศอียู ปัญหาการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ในอิหร่าน และปัญหาในคาบสมุทรเกาหลี

 

ส่วนปัญหาเฉพาะระหว่าง 2 ประเทศที่มีระบอบเศรษฐกิจและการเมืองที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน คือจีนดำเนินระบอบเศรษฐกิจกึ่งสังคมนิยมกึ่งทุนนิยม และระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตย มีส่วนร่วมโดยการเลือกตั้งผ่านกลไกของพรรค ที่มีกระบวนการกลั่นกรองคนดีที่มีผลงาน มีเกียรติประวัติ ความเสียสละ ทำงานเพื่อสังคมและประเทศชาติอย่างเชิงประจักษ์ และมีความรู้ความสามารถ รัฐบาลจึงประกอบไปด้วยคนดี มีความซื่อสัตย์ มีความเสียสละเพื่อสร้างชาติให้เข้มแข็งมั่นคง รับใช้ประชาชน

 

ในขณะที่การเลือกตั้งแบบประชา ธิปไตยตะวันตก ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องมีเกียรติประวัติ หรือพิสูจน์ตัวว่าได้เคยทำงานเพื่อสังคมมาก่อน ขอให้มีเงินซื้อโฆษณาหาเสียงผ่านสื่อทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ พิมพ์โปสเตอร์ ติดตั้งป้ายโฆษณาให้ได้มากที่สุด รวมทั้งการจ่ายเงินผ่านหัวคะแนนเพื่อซื้อเสียง ระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตกจึงมักได้นักการเมืองที่ฉาวโฉ่ มีเบื้องหลังสกปรก ไม่โปร่งใส ไร้ศีลธรรม เช่น ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และนายกรัฐมนตรีอิตาลี ซึ่งมักมีเรื่องฉาวโฉ่ด้านโลกีย์ แม้แต่หลังเข้ารับตำแหน่งแล้วก็ตาม ส.ส.และ ส.ว.ส่วนใหญ่เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ หรือกลุ่มบริษัทที่ให้ทุนสนับสนุนการหาเสียง เพื่อจะได้มาออกกฎหมาย หรือดำเนินนโยบายที่ให้ผลประโยชน์ของกลุ่มบริษัทเหล่านั้น

 

ก่อนออกเดินทาง หู จิ่นเทา หรือมังกร ก็ได้ออกหมัดแรกไปชิมลางก่อน โดยการแถลงข่าวว่า ในการเดินทางมาครั้งนี้ เขาต้องการให้วอชิงตันรับปากอย่างเป็นทางการ หรือลายลักษณ์อักษรว่าจะคุ้มครองสินทรัพย์ของจีนที่ลงทุนในพันธบัตรของธนาคารกลางอเมริกา และการลงทุนด้านอื่น ๆ ที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ

 

ส่วนอินทรีก็ยังใช้กระบวนท่าการฟุตเวิร์กและแยปที่ใช้ได้ผลมาตลอด คือการยกเอาเรื่องสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย สิทธิบัตร และการควบคุมค่าเงินหยวนให้อ่อนค่ากว่าความเป็นจริง ทำให้ได้ ดุลการค้าอเมริกามาตอบโต้ เพื่อเป็นประเด็นในการต่อรอง และสร้างความชอบธรรมในการบ่อนทำลายจีน

 

มังกรมองว่า การใช้นโยบายการเงินของอเมริกาที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ อ่อนค่าลง เป็นเสมือน "การปล้นกลางแดด" ทรัพย์สินหรือเงินลงทุนในพันธบัตรของอเมริกาที่เป็นสกุลดอลลาร์ โดยเฉพาะเมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารกลาง (Federal Reserve) หรือ Fed ได้ซื้อพันธบัตรระยะยาวจากตลาดเงินถึง 600 แสนล้านเหรียญ

 

วิธีการนี้คือการพิมพ์ดอลลาร์เพิ่มออกสู่ตลาด ทำให้ค่าของเงินดอลลาร์ลดลงตามกฎดีมานด์และซัพพลาย เมื่อค่าของเงินดอลลาร์ลดลง ค่าของพันธบัตรที่มูลค่าหน้าบัตรเป็นดอลลาร์ ก็ลดลงไปด้วย และถ้าเฟด (Fed) ออกหมัดสองโดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงเกินไป ก็จะยิ่งซ้ำเติมราคาพันธบัตรให้มีราคาลดลงไปอีก โดยนโยบายการเงินนี้จะทำให้จีนขาดทุนหรือจนลง เพราะเงินดอลลาร์ที่ตนถืออยู่จำนวนถึง 1 ล้านล้านเหรียญ เมื่อ แลกกลับมาเป็นเงินหยวนก็จะได้น้อยลงกว่าเมื่อตอนที่เอาเงินหยวนไปซื้อพันธบัตร

 

ถ้าหากว่าค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงจนกลายเป็นแบงก์กงเต๊ก ผู้ที่ถือเงินดอลลาร์ หรือเจ้าหนี้อเมริกาก็จะได้หนี้คืนเป็นแบงก์กงเต๊ก

 

นี่คือสงครามการเงินยุคใหม่ ที่ไม่ได้สู้กันด้วยเรือปืนหรือกองทัพอย่างในอดีต แต่สู้กันด้วยชั้นเชิง โดยใช้นโยบายและเครื่องมือทางการเงินมาเป็นอาวุธ

 

นาย Chen Taotao ศาสตราจารย์ด้านการเงินของมหาวิทยาลัยซิงหัว ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ ว่า ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นกว่าร้อยละ 23 และไม่ได้เป็นสาเหตุของการได้ดุลการค้าอเมริกา หรือช่วยให้อเมริกาซื้อสินค้าจีนน้อยลง แต่เป็นเรื่องของศักยภาพในการแข่งขันและการผลิตที่มีประสิทธิภาพของจีนมากกว่า

 

แต่ลึกลงไปกว่านั้นคือการขาดดุลการค้าของอเมริกาต่อจีนเป็นผลดีและเป็นผลประโยชนต่ออเมริกาทั้งขึ้นและล่อง โดยเฉพาะผู้บริโภค และสร้างเสถียรภาพทางการเงินที่ไร้ภาวะเงินเฟ้อ อันเนื่องมาจากการทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกที่บริษัทอเมริกันจ้างจีนผลิตด้วยราคาถูก ๆ

 

มิใช่ว่าการขาดดุลการค้ากับจีนแล้วอเมริกาเสียประโยชน์ ทั้งนี้เพราะบริษัทอเมริกันที่ไปตั้งโรงงานหรือจ้างบริษัทจีนผลิตสินค้าตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบได้กำไรมากขึ้น ผู้บริโภคก็ได้บริโภคสินค้าถูก เงินก็จ่ายเป็นแบงก์กงเต๊ก เพราะ พิมพ์ได้เอง โดยไม่ต้องมีทองคำมา ค้ำประกันจำนวนที่พิมพ์ออกมา

 

ค่าเงินหยวนแข็งนั้นเกิดจากค่าเงินดอลลาร์อ่อน อันเป็นนโยบายของธนาคารกลางอเมริกา มิใช่เพราะรัฐบาลจีนควบคุมค่าให้แข็ง

 

อย่างไรก็ตาม การที่มังกรต้องพึ่งตลาดอเมริกาเหมือนญี่ปุ่นในอดีต และถือแบงก์กงเต๊กไว้เยอะ ก็ทำให้ไร้อำนาจต่อรอง และคงต้องรำตามเพลงของอินทรีเหมือนอย่างญี่ปุ่น

 

ข่าวพาดหัวของความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนิวเคลียร์ เรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิบัตร ประชาธิปไตย ที่เห็นกันตามสื่อหรือบนจอ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่นำมาเป็นข้ออ้าง แต่ลึกลงไปแล้วคือสงครามผลประโยชน์

 

ดูเกมแล้ว นายหู จิ่นเทา คงจะเดินทางกลับบ้านมือเปล่าแน่นอน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

+1 +1 +1 สำหรับข่าวจาก Morlek คุณส้มโอมือ และ คุณ nicole 101

แต่ละข่าวเน้นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของทองคำได้เป็นอย่างดี :rolleyes:

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...