ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

่จากการคำนวณแค่ทอง 4000-5000 เหรียญ เศรษฐกิจโลกก็ไปไม่เป็นแล้ว เผลอ เราจะได้เห็นน้ำมัน 10 เหรียญอีกรอบ

 

แต่เงื่อนไขในการที่เศรษฐกิจจะล้มได้มี :Kk

 

1.ค่าเงินดอลล่าห์ถูกลดค่าเงิน จะเป็นจุดเริ่มต้น (usd index ต่ำสุด - 60 จุด)

 

(dollar collapse)

 

2.ราคาน้ำมันที่เกิน 155 เหรียญ เพราะโอบาม่าเคยบอกว่า ราคาน้ำมันที่เกินราคานี้อเมริกา กับ ยูโรปจะรับไม่ไหว

 

3.SDR กลืน YEN เข้าไปหมด(YEN ลดค่าเงิน)จะเป้นจุดสิ้นสุด (usd index - 100)

 

:_Rd

 

ถ้าเราเอา SWISS MODEL เป็นหลัก จะเห็นว่าการขึ้นใช้เวลา 4 เดือน การปรับฐานอีก 4 เดือน ต่อเงินหนึ่งสกุล

 

สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ในปีหน้าก็คือ ยูโรป(พค)และอเมริกา(ธค)จะลดค่าเงิน เราจะได้เห็นน้ำมันระดับ 160-170 เหรียญ

 

SET 17xx ทองคำ 2500-3000 เหรียญ USD index 60 จุด ปลายปี 2555 (the beginning of the end) :_10

(ปีหน้าเป็นปีแห่งการเกร็งกำไรที่ดีทีสุดเลยครับ)

 

ปล.ผมเดานะครับ ถ้าผิดก็ขออภัยด้วย ถ้าไม่ชอบก็ผ่่านได้เลยนะครับ ผมเสนอไอเดียเฉย ๆ :Hot

ช่วงไตรมาส 1 อเมริกาจะต้องพิมพ์เงินจำนวนมากเพื่อช่วยยูโรป ไม่งั้น ยูโรปไม่รอดแน่ ๆ

ถูกแก้ไข โดย zagio

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

------------

ถูกแก้ไข โดย leo_attack

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ความเห็นส่วนตัว

ผมว่าถ้าราคาทองไปถึง 4000 อัตราแลกเปลี่ยนไม่น่าใช่ 40 นะครับ ตอนนี้ราคาดอลล่าอยู่ที่ 30 และุถ้าราคาทองไปถึงขนาดนั้นผมว่าดอลล่าน่าจะอ่อนค่าลงไปมากกว่าแข็งขึ้นนะครับ อาจ 25-20 แบบนี้มากกว่านะครับ ^^

 

ส่วนที่ว่าทำไมพอยูโรโดนทุบทองถึงลง เห็นยังไม่พูดถึงกันเท่าไหร่ ในมุมมองส่วนตัวผมมองว่าเพราะตอนนี้คนส่วนใหญ่คิดว่า "ดอลล่า" ดีที่สุดครับ มูลค่าของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงแต่ปริมาณเงินมีเท่าเดิม เมื่อยูโรด้อยค่าลง และคนยังตกใจกับราคาทองที่โดนทุบไม่หายดังนั้นคนจึงหันมาหาสิ่งที่ทุกคนตายด้านกับข่าวแย่ๆ กันหมดแล้วซึ่งก็คือ "ดอลล่า" ครับดังนั้นตอนนี้จึงเห็นว่าดอลล่าแข็งเอาๆ บาทก็อ่อนเอาๆ จนจึงหันไปเก็บดอลล่ากันครับ

 

ตอนนี้ส่วนตัวยังแอบหนาวๆ อีกหลายๆ ทีตอนถ้ายุโรปต้องล้มจริงๆ เงินก็มีโอกาศไหลไปหาดอลล่าไม่มาก็น้อยและยังคงต้องไปอีกหลายระรอกตามทฤษฏี Reflexivity หรือทฤษฏี Butterfly Effect (เด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว) ดอลล่าจะเป็นพระเอกไปพักใหญ่จากเงินที่ไหลจากยุโรปไปหาอเมริกาจนถึงจุดอิ่มตัว พอทุกคนรู้ว่าอเมริกาก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เอ็งก็หนี้ก็เยอะเหมือนกันนี่หว่า แถมลูกหนี้ยุโปรก็กลายเป็น NPL ไปซะแล้ว ก็ต้องไปหาที่พักเงินใหม่ ตอนนั้นก็อาจเป็นโอกาศของทองก็ได้นะครับ

 

โดยส่วนตัวผมมองว่าตอนนี้ ทอง เองก็ได้เสียความเป็น Safe Havest ในตัวของมันไปส่วนหนึ่งเหมือนกันนะครับ แต่เสี่ยในส่วนที่เป็นความรู้สึกที่มีต่อนักลงทุนเพระฐานมันใหญ่ขึ้นมากในเวลาไม่นาน เหวี่ยงทีสำหรับคนที่เคยชินกับราคาเดิมๆ อยู่ก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา แต่ยังคงรักษาคุณสมบัตินี้ในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานอยู่เพราะมันเสกมาไม่ได้ ยกเว้นทองกระดาษซึ่งตอนนี้ก็ต้องลุ้นเรื่อง position limits กันต่อไป

 

ถ้าคิดเป็น % เมื่อก่อนตกแรงกว่านี้อีก

 

MajorGoldCorrectionsintheCurrentBullMarket_Nov2011.png

 

 

แต่ฐานใหญ่แบบนี้พอลงแรงๆ มันก็ใจสั่นเหมือนกันนะ :_09

 

 

 

 

-----------------------------------------------------------

 

 

Reflexivity อธิบายไว้ว่า จุด Equilibrium หรือ จุดดุลยภาพ มีไว้แค่เป็นจุดอ้างอิง แต่จริงๆแล้วทุกสิ่งในสังคมเราไม่เคยอยู่ในจุดนั้น ตลาดหุ้นก็เช่นกัน สาเหตุก็เกิดจากมีแรงบางอย่างส่งผลให้เกิด “Negative Feedback” ซึ่งทำให้ราคานั้นวิ่งออกจากจุดดุลยภาพไปอย่างมาก ตลาดหุ้นจึงมีแนวโน้มที่จะมี boom & burst ไปเรื่อยๆเป็นวงจรอยู่อย่างนั้น

เราลองมาดูกันหน่อยว่า Negative Feedback นั้นเป็นยังไง ส่งผลยังไงต่อตลาด

 

ลองดู ตัวอย่างจากปัญหาหนี้ยุโรป (Euro Debt Crisis) ในตอนนี้ก็ได้ครับ เมื่อมีข่าวร้ายเกิดขึ้นในตอนแรก ข่าวร้ายต่อๆมาก็จะทยอยออกมาเรื่อยๆ และส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของตลาดนั้นด้วย

 

ตอน แรก เริ่มจากกรีซหนี้บวก Debt-to-GDP โตเกิน 100% >> รัฐบาลประกาศใช้แผนรัดเข็มขัด >> แต่ประชาชนประท้วงไม่ยอมให้หักสวัสดิการและเงินเดือน >> ขอความช่วยเหลือการกลุ่ม EU >> ต้องรัดเข็มขัดเพิ่มอีก >> ประท้วงอีก >> S&P และ Moody’s ทนไม่ไหว ก็ประกาศ Downgrade ตราสารหนี้ของกรีซกลายเป็น Junk Bond >> Cost of Funding สูงขึ้นทันทีอย่างรวดเร็ว >> รัดเข็มขัดเพิ่มขึ้นอีก

 

ถ้าเปรียบกรีซเป็นมนุษย์ ผมว่าตอนนี้ น่าจะเป็นมนุษย์ที่มีเอวเล็กที่สุดในโลกแล้วนะ รัดจังเลยเข็มขัดเนี่ย 555+

 

เอา จริงๆแล้ว การ Downgrade ของ Credit Rating Agency (CRA) นั้นใช้ข้อมูลในอดีตมาประเมินส่วนใหญ่ และคาดการณ์ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ซึ่งอนาคต เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจาก Negative Feedback ก็คือ พอ นักลงทุนเห็นกรีซกลายเป็นขยะ อารมณ์ก็ยิ่งแย่ ยิ่งขายหนักขึ้นไปอีก มันช่างสวนทางกับสิ่งที่กรีซต้องการ ณ ขณะนี้เป็นอย่างมาก นั้นก็คือ อยากให้ต้นทุนการกู้ยืมต่ำลง (Capital Requirement) เพื่อฟื้นฟูจะประเทศในระยะยาว แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว

 

อ๋อ... อย่ามอง Reflexivity ในแง่ร้ายเพียงอย่างเดียวนะครับ Positive Feedback ก็มีให้เห็น

ยกตัวอย่างเช่น

ราคา บ้านในอเมริกาปรับตัวสูงขึ้น >> ประเมิณหลักทรัพย์ ได้วงเงินเพิ่ม ก็ไปกู้มาเพิ่ม >> ได้เงินกู้มา ก็เอาไปซื้อบ้านเพิ่มอีก >> ราคาบ้านก็ปรับตัวสูงขึ้นอีก .... แต่สุดท้าย ตลาดก็ตระหนักถึงความจริงที่ว่า มีแต่ผู้ซื้อมาเก็งกำไร แต่ไม่มีคนอยู่จริงๆ เมื่อนั้น วิกฤต Subprime ก็มาเยือนเราเมื่อปี 2008

 

แต่ก่อนหน้านั้นร่วมๆ 10 ปี ก็ด้วยเจ้าราคาบ้านนี้ล่ะครับส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ GDP อเมริกาโตมาได้ขนาดนี้

 

โดย สรุป เมื่อดูจากตัวอย่างแล้วจะเห็นว่า ไม่ใช่แค่ปัจจัยพื้นฐานเท่านั้นส่งผลต่อราคาหุ้น แต่ตัวราคาหุ้นเอง ยังส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้นมันเองอีกด้วย ไม่ว่าจะทิศทางไหน ขึ้นหรือลงก็ตาม

 

I11446062-2.jpg

 

:_087 :_087 :_087

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันนี้สนุกจังค๊าบ ส่วนผมก็แอบอ่านอย่างเดียว

 

ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนนะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ในปี1970 (จุดที่ลูกศรซ้ายชี้)ผลผลิตของทองขึ้นสูงสุดจากนั้นก็ค่อยลดลงจนคงที่ ปี1980ถึงเกิด มาเนียเฟส พอปี 2001 ผลผลิตก็ถึงจุดสูงสุดอีก(ลูกศรขวา)แล้วก็ตกลง(แต่มาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแถวๆปี2009-2011 ) ถามว่ามาเนียเฟสจะเกิดขึ้นซ้ำแบบเดิมหรือเปล่า (คือเมื่อผลผลิตลดลงราคาก็จะพุ่ง อิอิ)

post-23-0-63768700-1324028418.png

ถูกแก้ไข โดย MOR LEK

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

 

 

 

 

<a href="http://bualuangblive.blogspot.com/2011/12/1.html">ปีหน้า โลกจะเป็นยังไง ตอนที่ 1

 

 

 

 

 

 

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

13 ธันวาคม 2554

 

 

 

 

มีข่าวใน Bloomberg Radio ที่สัมภาษณ์ Barton Biggs เจ้าพ่อมือฉมังในการบริหาร Hedge Fund เมื่อสัปดาห์ก่อน

 

 

น้าบิ๊ก บอกว่า มีเหตุผลน้อยมากที่จะ Bearish แม้ว่าน้าจะไม่ได้ลงทุนในหุ้นอย่างเต็มที่ในพอร์ต

 

 

“เพราะนอกไปจากยุโรปแล้ว ประเทศที่เหลือในโลกก็ยังมีเศรษฐกิจที่ดีอยู่นี่นา แถมช่วงนี้คนก็กลัวกันเกินไป จนหุ้นในสหรัฐกับหุ้นในตลาดเกิดใหม่ก็ถูกมากๆ เลยด้วย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตราสารหนี้พันธบัตร หรืออะไรอื่น”

อ่า .... หุ้นตลาดเกิดใหม่ รวมถึงหุ้นไทยด้วยอ๊ะป่าว !!

 

 

เออ รวมดิ

 

 

ไม่ได้พูดถึง น้าพอล ครุกแมน ไปนาน ตอนนี้น้าพอลออกมาฟาดงวงฟาดงาว่า “เฮ้ย! ยัยป้าแองจี้ (Angelina Merkel นายกรัฐมนตรีเยอรมนี) กำลังทำให้ยุโรปไปอยู่ใต้เงามืดของระบบนาซีแล้ว”

 

 

น้าพอล บอกว่า หากยุโรปยอมทำตามที่ป้าแองจี้บอก ก็จะทำให้มีกฏระเบียบเข้มงวดมากขึ้น เป็นพวกขวาจัด แล้วจะทำให้เศรษฐกิจจมดิ่งไปสู่ Depression แหงแซะ เพราะอัตราการเติบโตก็เดี้ยงสนิท อัตราว่างงานก็สูงไปจนติดขอบฟ้า แล้วในที่สุดคนจะออกมาประท้วงเพราะทนต่อการรัดเข็มขัดไม่ไหว

 

 

น้าพอล คนขี้โมโห เขาหมายถึง การรัดเข็มขัดในช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่ คนตกงานเยอะ ทำให้รัฐใช้จ่ายน้อยลง ซึ่งจะไปกระทบกับเรื่องไม่มีโปรเจคต่างๆ จากรัฐมาจุนเจือเศรษฐกิจและปากท้อง ไม่มีการจ้างงานเพิ่ม มันจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจแย่ลงไปอีก

 

 

Dylan Grice จาก SocGen ก็ออกมาขย่มป้าแองจี้ด้วย โดยบอกว่าหากยอมให้พวกเยอรมันมากำหนดนโยบายกลุ่มยูโรให้รัดเข็มขัดมันก็คือการยอมให้ฮิตเลอร์ลุกขึ้นมาจากหลุมนั่นแหละ

 

 

อืม ... ผีฮิตเลอร์ ยังไม่หายไปจากความกลัวของผู้คนในยุโรปเลยเนอะ คุ้นๆ ไงไม่รู้

 

 

สำหรับเรื่องที่อังกฤษเป็นชาติเดียวใน 27 ประเทศสมาชิกกลุ่มยูโร ที่ไม่ยกมือลงมติให้ในการประชุม EU Summit เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น น้า Sarkozy ประนาธิบดีฝรั่งเศสที่มีเมียสวยมาก บอกว่า

 

 

“มันก็ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้เรามี 2 ยุโรป ยุโรปหนึ่งคือกลุ่มที่ต้องการความมั่นคงและรวมกันเป็นหนึ่งภายใต้กฏระหว่างสมาชิกด้วยกัน กับอีกยุโรปที่อยู่กับตรรกะที่แท้จริงของตลาด”

 

 

เอ้า พูดงี้ น้าก็หมายถึงที่ เฮียเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่ยกมือให้ ก็เป็นเรื่องถูกน่ะสิ

 

 

เดี๋ยวดิ อ่านต่อก่อน

 

 

มีคนถามเมื่อวานว่า ทำไมอังกฤษถึงแหกคอก

 

 

เอ้า ฟังดีๆ เด้อ

 

 

ตลอดทศวรรษที่ผ่านมานี้ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นอังกฤษ (London Stock Exchange หรือย่อว่า LSE) ล้มหายตายจากไปจากตลาดหุ้นเสียครึ่งหนึ่งแล้ว

 

 

หายไปไหนล่ะ

 

 

เจ๊งสิฟะ ถามได้

 

 

ไม่งั้นก็ต้องตะเกียกตะกายไปรวมกับบริษัทอื่นแล้วต้องปิดกิจการบริษัทลูกไปหลายแห่ง ต้องให้คนออกจากงานไป

 

 

แล้วนี่เป็นผลจากการที่อังกฤษแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ LSE หรือเปล่าล่ะ แล้วไหนบอกว่ามันจะดีต่อผู้คนไงล่ะ แล้วทำไมอังกฤษยังมีคนตกงานเพียบ เศรษฐกิจก็ยังแย่ลงไปเรื่อยๆ ล่ะ

 

 

โอ๊ย ถามอยู่ได้ ไม่ตอบหรอก ดูเอาเองแล้วกัน

 

 

หุ้นที่ล้มหายตายจาก LSE ไปก็คือกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ และการค้าปลีก ในขณะที่หุ้นที่ยังมีชีวิตอยู่คือหุ้นพลังงานและเหมืองแร่ ซึ่งที่ยังอยู่ได้ก็เพราะยังเป็นTrend ของโลก และมันไม่ได้สะท้อนตัวตนของธุรกิจของประเทศอังกฤษเลยสักนิด

 

 

สรุปแล้วการแปรรูปตลาดหุ้นของอังกฤษก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อนายแบงค์และโบรกเกอร์ แต่ไม่ช่วยเรื่องการจ้างงานและเศรษฐกิจของประเทศเลย

 

 

แปลอีกทีก็คือ นอกจากพวกกลุ่มธุรกิจการเงินไม่กี่คนในลอนดอนแล้ว การแปรรูปตลาดฯ ไม่ได้ทำให้ความมั่งคั่งของคนอังกฤษส่วนใหญ่ดีขึ้นสักนิด

 

 

แล้วทำไม เฮียเดวิด คาเมรอน ถึงแหกคอกกลุ่มยูโรล่ะ

 

 

ก็เพราะกฏเหล็กอันใหม่ที่กลุ่มยูโรจะใช้มันจะกระทบต่อความมั่งคั่งของแบงค์กับโบรกเกอร์ในลอนดอนน่ะสิ แล้วกฏใหม่จะทำให้การพิมพ์แบงค์ออกมาไม่ง่ายแล้วด้วย เรียกว่ามันจะขัดขวางทางของทุนนิยมนั่นแหละ

 

 

และข่าวชิ้นหนึ่งจาก Max Keiser ก็ระบุว่า การฉ้อฉลที่เกิดขึ้นกับ AIG, Lehman, Madoff Securities และ MF Global ล้วนแล้วแต่เป็นธุรกรรมที่ทำผ่านลอนดอนทั้งนั้น

 

 

เอาละ ที่ EU Summit เขาตกลงกันน่ะมันต้องใช้เวลากลับไปขออนุมัติในแต่ละประเทศพร้อมทำแผนละเอียดซึ่งจะกินเวลาไม่ต่ำกว่าอีกหลายเดือน

 

 

ดังนั้น จึงการันตีได้ว่าโลกการลงทุนจะยังถูกกระทบจากข่าว “ยูโรดราม่า” ไปอีกนาน อย่างน้อยก็ตลอดปีหน้าเลยแหละ

 

 

บทความต่างๆ ของ David Zervos นักกลยุทธ์ด้านตราสารหนี้ของ Jefferies กำลังทอปฮิตติดชาร์ต ใน Wall Street ไปแล้ว ทำให้เราต้องตามไปอ่าน เพราะกลัวจะไม่อินเทรนด์

 

 

ที่เขาเขียนเมื่อวานนี้บอกว่า มีบางอย่างที่ต้องคิดและเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในปีหน้า

 

 

“ความสัมพันธ์ของกลุ่มยูโรในลักษณะคนป่วยกับพยาบาลกำลังเดือดพล่าน เพราะมาตรการต่างๆ ที่ออกมาจากการประชุม EU Summit เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ทำให้คนป่วยอย่างอังกฤษไม่ยอมกินยา เพราะการรัด เข็มขัดหรือยาที่ให้ มันมาพร้อมด้วยกฏระเบียบในตลาดการเงินที่เข้มงวดเกินไปจนอังกฤษรับไม่ไหว แต่ที่สำคัญกว่าเรื่องอื่นก็คือ ยาโหลๆ ที่ออกมามันไม่เวิร์คสำหรับคนไข้ทุกๆ คน

 

 

David บอกต่อว่าด้วยเหตุนี้ ผู้ลงทุนจึงต้องมีแผนเผื่อเอาไว้สำหรับปีหน้า เพราะว่ามีโอกาสสูงที่ Bloomberg จะพาดหัวข่าวด้วยตัวแดงว่า

 

 

“กรีซ จ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรไม่ไหวแล้ว CDS พุ่งปรี๊ด”

 

 

เท่านั้นยังไม่พอ David ยังทำนายต่ออย่างสนุกสนานว่า

 

 

“จะเกิดความโกลาหลอลหม่านจากการย้ายโพสิชั่นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่ แล้วจะเกิดความร่วมมือกันอัดฉีดเงินเข้าระบบอย่างมหาศาล (QE) แต่รอบนี้ไม่เหมือนปี 2008 แล้ว เพราะแม้โลกจะรอด แต่แบงค์ใหญ่ๆ บางแห่งจะไม่รอด และการลงทุนในอนุพันธ์อัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นทางออกสำหรับผู้ลงทุนอย่างเรา”

 

 

อ่านมาถึงตรงนี้อย่ามาถามว่าเราจะย้ายเงินเราไปลงทุนในอนุพันธ์อัตราแลกเปลี่ยนได้ยังไงก็แล้วกัน เพราะตา David เขามองพอร์ตลงทุนของพวกตะวันตก ซึ่งต่างกับเราเยอะ เราอยู่ของเราอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว

 

 

ก็ชัดเจนอย่างหนึ่งว่า ECB หรือธนาคารกลางยุโรปจะทำตนเป็นผู้ให้กู้รายสุดท้ายตลอดเวลา 3 ปีข้างหน้าสำหรับแบงค์ต่างๆ ในยุโรปที่ไม่รู้จะไปกู้กับใครแล้ว

 

 

แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่า แล้ว ECB จะมีความสามารถสูงถึงขั้นเป็นผู้ให้กู้รายสุดท้ายแก่ประเทศสมาชิกต่างๆ ได้แค่ไหน เพราะ Scale แบงค์กับ Scale ประเทศมันคนละเรื่องกัน

 

 

และยุโรปกำลังเข้าสู่ Recession

 

 

แล้วน้ารู (Nouriel Rubini) ก็ออกมาทวิตวันนี้ว่า ……

 

 

“ยุโรปกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และจะลึกมาก (Deep Recession) อเมริกาไม่โตและมีโอกาส 50% ที่จะเกิด Double Dip Recession (เศรษฐกิจถดถอยซ้ำ คือ GDP โตติดลบ 2 ไตรมาสติดกัน) และ จีนจะโตช้าลงอย่างมาก”

 

 

ทวิตเสร็จ น้ารูก็ออกไปนั่งดริ๊งค์ที่ผับเล็กๆ แต่ซ่าส์สุดๆ ต่อไป

 

 

ทองคำจะเป็นไงล่ะ วันนี้ก็ตกไปโลดเลย

 

 

John Embry ที่ Sprott Asset Management บอกว่า

 

 

“เมื่อมีข่าวร้ายต่อตลาดโดยรวม ทองคำก็โดนทุบ นี่เป็น Pattern ของตลาดในช่วงนี้ซึ่งโดนรบกวนจากคนที่จงใจจะทำให้เป็นอย่างนั้น แต่มันจะยิ่งทำให้ฐานราคาทองคำแน่นขึ้น และในระยะยาวแล้ว ทองคำจะพุ่งขึ้นไปได้อีกมาก โดยเฉพาะเมื่อราคาของเงินกระดาษถึงจุดที่ต้องกลับไปสู่ค่าอันแท้จริงที่ลดน้อยลงไปทุกวัน ในขณะที่ค่าของทองคำกับแร่เงินจะคงที่ ซึ่งมันก็เป็นอย่างนี้มาหลายศตวรรษแล้ว”

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

 

 

 

ทองคำยังคงเป็นหลุมหลบภัยที่ดีอีกหรือไม่

 

 

 

 

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

23 พฤศจิกายน 2554

 

 

 

 

ตามคาด

กระแสสื่อต่างประเทศเริ่มขยับจากยุโรปไปที่ข่าวสำคัญของสหรัฐอเมริกา โดยไปจับเรื่อง Super Committee หรือชื่อเต็มว่า Congressional Super Committee ที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ในไม่กี่เดือนนี้ช่วงที่อเมริกาเพิ่มเพดานหนี้ครั้งล่าสุด

ตั้งมาทำไม

หลายคนจะอธิบายยืดยาวแต่จะคล้ายๆ กันว่าตั้งเพื่อให้ไปพิจารณาว่าจะตัดงบประมาณอะไรบ้างเพื่อให้แผนลดงบประมาณสหรัฐ ....ล้านล้านดอลลาร์บรรลุใน 10 ปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขบังคับที่รัฐสภาสหรัฐระบุไว้ตอนอนุมัติขยายเพดานหนี้ให้เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้ พร้อมกำหนดเส้นตายว่าต้องทำแผนนี้ให้เสร็จมาเสนอ และหากตกลงกันไม่ได้ใน Super Committee นี้ ก็จะต้องตัดงบประมาณนั่นนี่ เท่านั้น เท่านี้ โดยอัตโนมัติ

คล้ายๆ ประเทศไทยเนอะ มีตั้งคณะกรรมาธิการ คณะกรรมการนั่นนี่ คณะป่วยการ นานานุคณะอะไรก็แล้วแต่

ที่สหรัฐเขาตั้งคณะนี้ขึ้นมาเพื่อที่รัฐสภาจะได้หลีกเลี่ยงปัญหาเฉพาะหน้าของตัวเองเรื่องวิกฤติหนี้ ซึ่งก็คือเป็นการเตะถ่วงซื้อเวลาไปเรื่อยๆ

และก็ตามคาดอีก เจ้า Super Committee นี้เดินตามรอยรัฐสภา เปี๊ยบๆ นั่นก็คือ 2 พรรคการเมืองคือเดโมแครท กับ รีพับลิกัน ตกลงกันใน Super Committee นี้ไม่ได้ ว่าจะปรับลด ตัดทอนงบประมาณอะไรบ้าง

ก็จะตกลงกันได้ไงล่ะ ในเมื่อพรรคมาก่อนประชาชนและประเทศชาติ โดยเฉพาะอีกไม่นานก็จะเลือกตั้งประธานาธิบดีใหม่แล้ว

หากรีพับลิกันยอมให้ขึ้นภาษี คนก็ไม่เลือกตัวแทนพรรคไปเป็นประธานาธิบดี และหากเดโมแครทยอมให้ตัดงบประมาณสวัสดิการสังคม โอบามา หรือ ฮิลลารี คลินตัน หรือตัวแทนผู้สมัครจากเดโมแครท ก็จะปิ๋วไม่ได้รับเลือกเหมือนกัน

แล้ว Super Committee เดินตามรอยรัฐสภายังไง

ก็ด้วยการโยนความรับผิดชอบออกไปจากตัวเองเหมือนกันน่ะสิ ซึ่งหลายฝ่ายประนามว่าไร้ความรับผิดชอบอย่างน่าละอายที่สุด

และแน่นอน นี่คือสิ่งที่นักการเมืองจะไม่มีวันนำไปคิดให้ระคายผิวหน้า

แต่ในขณะที่สื่อวิ่งไปตามข่าวนี้ฝั่งอเมริกา นักลงทุนสถาบันต่างๆ ทั่วโลกก็ยังโฟกัสที่วิกฤติหนี้ในยุโรป โดยเฉพาะที่ปารีสกับรัสเซล และกำลังกังวลกันจนนั่งไม่ติดเรื่องแบงค์ในยุโรปจะเจ๊งไปกับการปล่อยกู้/ซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศที่กำลังหลังพิงฝาจำนวนมหาศาล

และก็ตามคาดอีก นักลงทุนเกิดอาการเจ๊กตื่นไฟ ลนลานวิ่งออกประตูหนีไฟกันจ้าละหวั่น

แล้วหนีไปไหนที่ปลอดภัยล่ะ

เขาพากันวิ่งไปประตูที่เขียนว่า “ดอลลาร์ กับพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน” น่ะสิ โดยมองว่านั่นละปลอดภัยสุดๆ แถมมีสภาพคล่อง จะถอนออกเมื่อไหร่ก็ได้

เฮอะ

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐหรือ US Treasury ให้ผลตอบแทนที่ต่ำลงจนเป็นประวัติการณ์จากที่ต่ำสุดๆ อยู่แล้ว ที่ต่ำลงไปอีกได้ก็เพราะเมื่อคนแห่เข้าไปซื้อ ผู้ขายก็จะเสนอให้ผลตอบแทนต่ำๆ ได้ เหมือนตอนที่แบงค์ไม่ต้องการเงินฝากก็จะเสนอดอกเบี้ยต่ำๆ นั่นแหละ

 

 

เรื่องนี้ <a href="http://www.businessinsider.com/author/john-browne">John Browne นักกลยุทธ์การลงทุนอาวุโสของ Euro Pacific Capital วิจารณ์ว่า

 

“การที่มีเงินแห่เข้าไปซื้อ US Dollar ได้ทำให้ค่าเงินสหรัฐแข็งขึ้น และทำให้ผลตอบแทน US Treasury ต่ำลง ซึ่งก็กลายเป็นตัวช่วยชั้นดีให้รัฐสภาสหรัฐตายใจจนละเลยความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาหนี้ในระยะยาว”

 

 

เกี่ยวอะไรกับที่คองเกรสจะละเลยความเร่งด่วนเรื่องแก้ไขหนี้ล่ะ

 

 

เกี่ยวสิ เพราะหากคิดแบบนักการเมืองที่จะมีเลือกตั้งทุกๆ 4 ปี ก็จะเบาใจว่าในเมื่อดอกเบี้ยพันธบัตรมันต่ำลงเพราะมีคนแห่เข้ามาซื้อ แถมค่าเงินก็แข็งขึ้น จะไปกังวลกับเรื่องตัดงบประมาณไปทำไมล่ะ ในเมื่ออเมริกาก็ยังกู้มาจ่ายคืนหนี้ได้เสมอๆ แถมยังกู้ได้ถูกๆ ด้วยการออกพันธบัตรรัฐบาลที่จ่ายดอกเบี้ยต่ำๆ ได้ด้วย เพราะว่าคนลงทุนแตกตื่นหอบเงินหนีภัยจากยุโรปเข้ามาซื้อสินทรัพย์สกุลเงินดอลลาร์ (Dollar Assets)

 

 

แล้วมันก็ขำๆ กับการที่ทองคำที่ผู้ลงทุนเชื่อว่าเป็น Safe Haven หรือหลุมหลบภัยชั้นดี ดันมีราคาที่ผันผวนสุดๆ

 

 

เอ ... หรือคนเขามองว่าทองคำไม่ปลอดภัยเท่าดอลลาร์ ฮ่วย !!

เรื่องนี้ John Browne บอกว่า หากคิดอย่างนั้นก็เป็นบ้ากันไปแล้ว

สาเหตุที่เขาว่าเป็นไปไม่ได้ที่ดอลลาร์และ US Treasury จะกลายเป็นหลุมหลบภัยที่ดีกว่าทองคำ ก็เพราะถ้ายูโรแตก หรือระบบธนาคารยุโรปล้ม มันจะลากปัญหาลามไปที่สหรัฐด้วย ทั้งต่อธนาคารสหรัฐ กับกองทุนมันนี่มาร์เก็ต ที่ไปลงทุนในตราสารต่างๆ ของธนาคารยุโรปอีกต่อหนึ่งในจำนวนมาก และต่อค่าเงินดอลลาร์กับตลาดพันธบัตรสหรัฐเอง

เรียกว่าลามไปทั้งระบบการเงินที่ผูกติดกับเงินดอลลาร์เชียวละ

แล้วดอลลาร์มันจะดี มันจะเป็นหลุมหลบภัยไปได้อย่างไรในระยะยาว

มันน่าจะเป็น “หลุมมีภัย” ไปเลยด้วยซ้ำ อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่ในอนาคตกับดักนี้มันจะทำงาน ระเบิดตู้ม เท่านั้นแหละ

จนถึงวันนี้ ลุงเบน เบอร์นานเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จึงยังคงเดินหน้าทำทุกอย่างเพื่อจะบิดเบือนความจริงที่ว่าทองคำเป็น Safe Haven และธนาคารกลางประทศอื่นๆ ที่เป็นลูกหนี้เหมือนๆ กันก็จะทำเช่นเดียวกัน คือ ทำให้ความเชื่อมั่นในเรื่องทองคำลดลง หรือหดหายไป

ว่างจัดเหรอ ถึงได้ทำอย่างนั้น จะทำไปทำไม

ไม่ได้ทำเพราะอยู่ว่างๆ แต่ต้องทำเพราะมันจำเป็น

ก็หากคนพากันแห่ขายสินทรัพย์ที่เป็นดอลลาร์ทิ้ง เพื่อหนีไปหาทองคำ ก็หมายถึงคนไม่เชื่อ FED และไม่เชื่อว่าสหรัฐจะมีปัญญาใช้หนี้คืนได้

ซึ่งหากปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ดอลลาร์กับพันธบัตรก็จะตกกระป๋อง เป็นหมาหัวเน่า ไม่มีใครกล้าซื้อ ไม่มีใครกล้าลงทุน เจ้าหนี้ที่เคยให้อเมริกากู้ก็จะซื้อพันธบัตรสหรัฐลดลง และอาจจะแอบทยอยขายในส่วนที่หลวมตัวไปซื้อแล้วออกไปเรื่อยๆ แบบที่จีนทำ

เรียกว่าคล้ายๆ อเมริกาโดนตัดบัตรเครดิตทิ้ง ซึ่งแน่ละหากปล่อยไปอย่างนั้น อเมริกาก็จะเข้าขั้นหายนะถึงกับจักรวรรดิ์ล่มได้เลยทีเดียว

 

 

การรู้ทัน ลุงเบน ที่พยายามบิดเบือนคุณค่าของทองคำจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

ภายใต้การคุมบังเหียนของลุงเบน ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ได้ใช้อำนาจผูกขาดในการพิมพ์แบงค์ดอลลาร์แห่งเดียวในจักรวาล ไปกระทำชำเราระบบการเงินด้วยการกระทืบอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของพันธบัตรสหรัฐให้แบนแต๊ดแต๋

เออ ... ทำไมไม่ “ชำเขา” มั่ง ทำไมมีแต่ “ชำเรา” ก็ไม่รู้

อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของพันธบัตรสหรัฐตอนนี้ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อไปถึง 1.5% แล้ว ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากหรือพันธบัตรที่ต่ำกว่าเงินเฟ้อขนาดนี้มันทำร้ายผู้ฝากเงิน เพราะเมื่อผลตอบแทนจากการฝากเงินมันไม่ทันเงินเฟ้อ ที่เคยฝันหวานว่าพอเกษียณมีเงินสัก 1 ล้านดอลลาร์จะพอใช้ไปจนตาย มันจึงไม่ใช่อีกแล้ว เพราะของกินของใช้ ค่ารักษาพยาบาลมันแพงขึ้น

แล้วผู้ลงทุน ผู้ฝากเงิน กับกองทุนเกษียณ กองทุนบำเหน็จบำนาญ จะทำไงล่ะ ในเมื่อฝากเงินก็ไม่ทันเงินเฟ้อแล้ว จะลงทุนในดอลลาร์หรือในพันธบตรรัฐบาลสหรัฐมากๆ แบบแต่ก่อนก็เริ่มกลัว

แน่นอน เขาก็หันไปหาทองคำแทนน่ะสิ มันถึงได้ทำให้เกิดความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น และทำให้ทองคำแพงขึ้น

ก็แบงค์ชาติหรือธนาคารกลางประเทศต่างๆ เขายังค่อยๆ แอบสะสมทองคำไปเรื่อยๆ เลย แม้จะไม่รีบร้อน

จะรีบร้อนได้ไง ขืนแห่ไประดมซื้อทองคำตอนนี้ก็จะทำให้ราคาทองคำพุ่งพรวดๆ น่ะสิ สู้ทยอยเก็บเมื่อราคาปรับลงถึงระดับที่เขาเก็งไว้ในใจดีกว่าไม่ใช่เหรอ เพราะยังไงๆ ราคามันก็ผันผวนขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้วนี่

เอาละ..... แล้วทำไมในวันนี้ราคาของทองคำและโลหะมีค่ากลับขึ้นๆ ลงๆ ตามราคาหุ้นล่ะ พอหุ้นขึ้น ทองก็ขึ้น พอหุ้นลง ทองก็ลง แต่น่าน้ำหนักตัวเรามีแต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ทำนิวไฮอย่างไม่หยุดยั้ง

เพราะมันเป็นไปได้มาก ว่าเมื่อหุ้นขึ้น ผู้ลงทุนที่ขายหุ้นออกไปได้เงินสด ก็เปลี่ยนเงินสดจากเดิมมักพักไว้ในบัญชีเงินฝากธนาคารไปเป็นทองคำแทนแล้วไง มีสภาพคล่องไม่แพ้กันด้วย อยากถอนออกเมื่อไหร่ก็ขายทองคำทิ้ง แล้วจะไปฝากธนาคารให้ได้ดอกเบี้ย 0% ไปทำไม ในเมื่อทองคำมีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าฝากแบงค์

และเมื่อหุ้นตก ผู้ติดยอดดอยหงอยใจใครจะเห็น ก็ต้องขายทองคำเพื่อนำเงินสดมาใช้จ่าย เพราะไม่กล้าตัดใจขายหุ้นแล้วขาดทุน หรือต้องขายทองคำก็เพื่อหาเงินสดมาชดเชยเพราะโดน Margin Call

พฤติกรรมอย่างนี้แหละที่ทำให้ราคาทองคำและโลหะมีค่าผันผวนสูงมากในช่วงที่ผ่านมา

อ้าว ราคาทองคำมันผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ได้สูงอย่างนี้ ยังจะน่าลงทุนเหรอ

มันก็แล้วแต่ใครจะคิดจะเชื่ออย่างไร ก็เงินใคร เงินมัน นี่นา

แต่ความผันผวนของราคาทองคำไม่ได้ทำให้ความสามารถในการดำรงคุณค่าของทองคำลดถอยลง และมันมีโอกาสสูงมากที่ค่าของดอลลาร์จะเสื่อมถอยลงไปอีกรอบ หรือหลายๆ รอบ ด้วยการที่ลุงเบนจะพิมพ์แบงค์ออกมาอีกโดยไม่มีอะไรมารองรับ หรือไปออก QE เพิ่มขึ้นอีกในรูปแบบใดใดก็ตาม

นอกจากนี้ หลายๆ คนก็บอกว่าทองคำกับโลหะมีค่ามันน่าลงทุนเพราะมันต้านเงินเฟ้อได้ หมายถึงว่าเมื่อเงินเฟ้อเพิ่มราคาทองคำก็ปรับขึ้นด้วย

เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่เท่าไรแล้วละ เพราะว่านอกจากทองคำจะดำรงคุณค่าของมันได้ดีกว่าดอลลาร์แล้ว การลงทุนในทองคำยังคล้ายกับการประกันภัยจากความล้มเหลวของระบบการเงินอีกด้วย

ก็ในเมื่อไอ้เจ้า Super Committee ตกลงเรื่องจะตัดงบประมาณกันไม่ได้ตามที่กล่าวไว้ตอนต้นๆ และเมื่อเราก็รู้ว่าไม่มีใครได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐได้ด้วยการออกมาบอกว่าพรรคของเขามีนโยบายตัดงบสวัสดิการสังคมลงครึ่งหนึ่ง ขืนทำอย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นรัฐบาลน่ะสิ นักการเมืองจะยอมเหรอ ไม่มี้ ไม่มี พรรคเราสัญญากับประชาชนแล้วก็ต้องให้ จะไปเปลี่ยน Tablet เป็น Toilette ได้ไง เผลอๆ ยังจะเสนอประชานิยมเกทับคู่ต่อสู้เพิ่มอีกด้วยซ้ำในช่วงหาเสียง

ดังนั้น ที่เราคาดไว้ล่วงหน้าได้เลยก็คือสหรัฐ (รวมถึงยูโร) ก็ต้องสู้กับ Recession (เศรษฐกิจถดถอย) ด้วยการออก QE ออกมาอีกแหงๆ อยู่ที่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้น ต้องอุ้มแบงค์ที่จะล้มอีกแหงๆ แล้วก็ต้องร้องขอให้ขยายเพดานหนี้ให้สูงขึ้นไปอีกเพราะเมื่อไม่ตัดรายจ่ายด้วยการลดสวัสดิการสังคมกับลดงบสงคราม และไม่เพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มภาษี แล้วจะเอาที่ไหนไปจ่ายหนี้คืนเจ้าหนี้เล่า อเมริกาเอ๋ย

เมื่อถึงเวลานั้น ดอลลาร์จะเป็นหลุมศพ ไม่ใช่หลุมหลบภัยเหมือนโลหะมีค่าอย่างทองคำ

ดังนั้น การที่ FED อิจฉาตาร้อนทองคำ กลัวจะได้ดีเกินหน้าดอลลาร์ แล้วทำให้อเมริกาล้มละลายจึงไม่ใช่เหตุผลที่เราจะหยุดสะสมทองคำไปเรื่อยๆ เมื่อราคาทองคำลดลงมาจากความผันผวน

และเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่าทั้งยุโรปกับสหรัฐยังจมปลักอยู่กับหนี้ที่ท่าทางจะแก้ปัญหาแบบบูรณาการไม่ได้ (ใช้ศัพท์ตามนายกเพื่อความเท่และทันสมัย) จึงยิ่งเป็นเหตุผลเพิ่มเติมที่เราควรจะเชื่อมั่นในทองคำ

ใครคิดเหมือนกัน และลงทุนยาวหลายๆ ปีได้ ก็ซื้อทุกเดือนตามแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง

ใครไม่เชื่อ หรือเชื่อแต่ทนเห็นราคาทองคำตกลงจนขาดทุนบ้างในบางช่วงไม่ได้ ก็นอนกอดเงินฝากกันต่อไปตามใจท่าน ไม่มีใครทำไรหรอก

ก็บอกแล้วว่า เงินใคร เงินมัน ตัดสินใจกันเอาเอง

มาเล่าให้ฟังเฉยๆ แต่จะไม่รับผิดชอบในการตัดสินใจของแต่ละคน

นะจ๊ะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณทุกบทความครับ วันนี้มีแต่ของดีๆให้อ่านทั้งนั้นเลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

แต่ละเรื่อง แต่ละบท..ขอบอกว่า"สุดยอด"ครับ!! เยี่ยมจริงๆ :_Rd

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนสำหรับข้อมูลข่าวสารต่างๆครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

8 ธันวาคม 2554

 

 

 

เมื่อคืนวาน ลุง Marc Faber ออกทีวีช่อง Bloomberg แล้วบอกพวกเราว่า “เออ ... ลุงมองไปข้างหน้าแล้ว ทุกอย่างดูแย่มาก และมีแต่จะแย่ลง”

 

 

เฮอ .... ลุงมาร์ค ของเราก็ยังคงรักษาตำแหน่ง Dr. Doom หรือคนมองโลกแง่ร้ายอย่างเหนียวแน่น

 

 

แต่ลุงบอกว่ามีหุ้นที่ลุงจะแนะนำให้ซื้อและถือไว้นานๆ แล้วลุงก็พูดออกมาเป็นตัวสะกดภาษาอังกฤษ ออกเสียงเขียนเป็นไทยได้ว่า

 

 

“จี โอ แอล ดี”

อะไรของลุงน่ะ หุ้นตัวนี้ไม่คุ้นหูเลย มันอยู่ในตลาดหุ้นที่ไหนเหรอ ?

“ทุกตลาดนั่นแหละ ทั่วโลกเลย เยาวราชก็มีขาย แล้วถ้าเราอยู่เมืองจีนนะ เรายังซื้อได้จากตู้ขายอัตโนมัติเหมือนซื้อโค้กได้ด้วย”

หุ้นไรว้า ซื้อได้จากตู้อัตโนมัติ อ๋อ Gold ลุงหมายถึงหุ้น Gold Property น่ะเหรอ

“เฮ้ย ไม่ช้าย ..... ลุงกำลังพูดถึงทองคำ ทำไมโง่งี้ว้า ก็เมื่อเรามองไปข้างหน้าแล้วมีแต่จะเหี่ยวหด จะให้เอาเงินไปลงทุนอะไรล่ะ ซื้อพันธบัตรสหรัฐเหรอ หรือจะเอาพันธบัตรอิตาลี หรือซื้อหุ้นในอเมริกาที่ราคาตอนนี้อาจจะไม่แพงเท่าไหร่เมื่อเทียบกับการลงทุนอย่างอื่น และท่าทางจะดีไปสักพักล่ะ”

ลุงมาร์ค บอกว่าตลาดโดยรวมๆ มันนิ่งๆ หุ้นในตลาดสหรัฐถูกขายทิ้งจำนวนมากในวันที่ 4 ตุลาคม ทำให้ดัชนีหุ้น S&P ลดลงมาเหลือ 1,074 จุด แต่ตอนนี้มันเด้งกลับมาที่ 1,260 จุดแล้ว มันอาจขึ้นไปได้ถึง 1,280 แล้วก็ไปได้ถึง 1,350 แต่ก็ไม่น่าไปได้เกินนั้นเพราะมีคนอยากปล่อยของเยอะ

แล้วถ้ามีข่าวดีจากทางยุโรป มันก็แค่เป็นข่าวดีที่จะเลื่อนปัญหาออกไปสัก 2-3 ปีเท่านั้นแหละ เพราะจะมีคนพิมพ์เงินออกมาอัดฉีดระบบ อาจจะเป็นธนาคารกลางยุโรปเอง หรือเป็น IMF หรือกองทุนรักษาเสถียรภาพทางการเงินของยุโรแป (EFSF) ก็ได้”

หรือจะเป็นซุปเปอร์แมน เบน เบอร์นานเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ที่กำลังจะแปลงร่างเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อของโลกด้วยก็ได้ อะฮ่า .... รู้แล้วๆ ราคาหุ้นจะขึ้น เพราะเงินมันจะท่วมตลาด แบงค์ที่ได้ตังค์ไปเขาไม่ได้เอาไปปล่อยสินเชื่อ ต้นทุนเงินที่แบงค์ได้ไปก็ 0% หรืออาจจะสูงกว่านิดหน่อย เขาไม่เอาเงินไปฝากหรือไปซื้อพันธบัตรหรอกเพราะมันได้ผลตอบแทนต่ำ เขาก็จะเอามันไปละเลงในตลาดหุ้น ตลาดโภคภัณฑ์น่ะสิ

“เออ เริ่มจะฉลาดขึ้นมาละไอ้หนู ไอ้การเลื่อนปัญหาออกไปสัก 2 - 3 ปีมันไม่ใช่ข่าวดีหรอก แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าข่าวที่ยุโรปจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในวันสองวันนี่ละ และมันก็ช่วยยืดเวลาให้พวกยูโรไปหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ ซึ่งลุงก็สงสัยอยู่ว่าชาตินี้มันคงจะหาทางแก้ไม่ได้ อย่างน้อยการพิมพ์แบงค์ออกมามันก็ช่วยกลบอะไรหลายๆ อย่าง แล้วยังเลื่อนวันตายออกไปได้อีกเหมือนที่อเมริกาทำ”

เออ แล้วยุโรปมันจะเป็นยังไงละลุง

“ก็จะรอดแหละ แต่ในสภาพไหนมันก็อีกเรื่องนึง อาจจะรอดโดยไม่มีประเทศอ่อนแออยู่ในกลุ่มอีกต่อไป หรืออาจจะรอดเฉพาะรูปลักษณ์ภายนอก”

อะไรของลุงอีกง่ะ รูปลักษณ์ภายนอก !!

“ก็แบบว่ายังคงรวมเป็นยูโร ยังมีเงินยูโรดอลลาร์ร่วมกัน แต่ในแต่ละประเทศต่างคนก็ต่างมีเงินสกุลท้องถิ่นของตัวเองใช้ไง ไม่รู้สิ ลุงก็คิดไปเรื่อยเปื่อยแหละ ก็ดีไปอย่าง ลุงจะได้ไปเที่ยวยุโรปโดยพกแต่ยูโรดอลลาร์ได้แบบเดิม”

แล้วระหว่างสกุลเงินยูโร กับ ดอลลาร์ ล่ะ ลุงจะเก็บเงินลงทุนของลุงในสกุลอะไรจะดีกว่ากัน

"ก็บอกแล้วไงว่าต้องเป็น จี โอ แอล ดี เพราะในระยะยาวแล้วยูโรกับดอลลาร์มันจะแย่ทั้งคู่ และเมื่อดอกเบี้ยในสหรัฐมัน 0% แบบนี้ มันยิ่งต้องไปถือ จี โอ แอล ดี เพราะจะยังไงๆ ไอ้เจ้า จี โอ แอล ดี นี่ก็ใช้ได้เหมือนเงินสด แถมยังรักษาคุณค่าของมันได้ด้วย ไม่เหมือนยูโรกับดอลลาร์ที่นับวันมีแต่จะเสื่อมค่าไป เออ ... ถ้ามีตังค์เยอะๆ ก็แบ่งไปซื้อภาพเขียนกับแสตมป์เจ๋งๆ ไว้บ้างก็ได้นะ เพราะมันรักษาคุณค่าในตัวมันได้ดีกว่าดอลลาร์กับยูโรละไอ้หลาน”

ลุงๆ แหม ... ลุงก็อยู่เมืองไทยมานานแล้ว ทำไมไม่ค่อยพูดถึงไทยเลยล่ะ

“เคยพูดแล้ว ไปหาอ่านเองมั่ง ไอ้หลานขี้เกียจ แต่ลุงกำลังดูตลาดเกิดใหม่โดยรวมๆ นะ ลุงเห็นว่าตอนนี้ตลาดทุกแห่งในโลกมันขึ้นๆ ลงๆ ในทิศทางเดียวกันไปหมด อย่างปีนี้ ตลาดหุ้นอเมริกาเป็นบวก และให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดเกิดใหม่ แต่ในเอเชียมันตกลงมา 15%-25% และตลาดเกิดใหม่ในยุโรปตะวันออกมันลงมามากกว่านี้อีก เรียกว่าตลาดหุ้นอเมริกาปีนี้มหัศจรรย์มากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในโลกเลยละ”

ฮี่โธ่ ลุงไม่ดูตลาดหุ้นไทยล่ะ ปีนี้เรายังเป็นบวกตั้ง 1% กว่านะลุง อินโด กับ ฟิลลิปปินส์ก็บวก 2% กว่า

“เฮอะ แล้วแกไม่ดูตลาดหุ้นจีน ญี่ปุ่น หั่งเช้ง ไต้หวัน สิงคโปร์ เวียดนาม อินเดีย เลยเหรอ มันลบตั้ง 10% กว่าไปถึง 20% กว่าเลยนะไอ้กบน้อยในกะลา แล้วหุ้นอเมริกาอย่างในกลุ่มดัชนีดาวพงษ์ เอ้ย ดาวโจร มันก็บวกไป 5% กว่า แต่ยุโรปติดลบไป 10% กว่า”

อ่า ... อ่า ... แหม ถามดีๆ ก็ด่าด้วย

“เนี่ยะ หุ้นอเมริกาน่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นตลาดเกิดใหม่ไปสักพักละ แต่หากมองแยกๆ แล้ว ตลาดเกิดใหม่บางแห่งอาจจะเด้งขึ้นได้มากกว่าเพราะว่าโดนขายทิ้งมากเกินไป อย่างอินเดียไง หุ้นตกไป 22% และค่าเงินก็อ่อนลงไป 18% ตั้งแต่กรกฎา มันลงไปลึกมากแล้ว ค่าเงินก็อ่อนมากแล้ว มันก็น่าจะแรงซื้อกลับ แต่อย่าไปหวังนิวไฮเลย มันไม่เกิดขึ้นในเร็ววันหรอก”

จีนล่ะลุง จะแย่ไหม

“เรื่องจีนนี่ลุงไม่รู้ลึกนะ แต่มันมีการปล่อยกู้มากเกินไป เรียกว่าเป็นฟองสบู่สินเชื่อละ แล้วยังมีอัตราดอกเบี้ยต่ำเกินจริง รายจ่ายภาครัฐก็สูงกว่ารายได้เรียกว่าขาดดุลงบประมาณสูง เพราะว่า เฮียหู (หู จิ่น เทา) ใช้นโยบายโตไม่หยุด เฮียหูเลยอัดเงินรัฐไปกระตุ้นเศรษฐกิจมากไป แต่ลุงมองว่าสักวันก็ต้องหยุด ตอนนี้เฮียหูทำแบบยุโรปและอเมริกาคือเลื่อนปัญหาออกไปก่อน อัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป จะลดดอกเบี้ยหรือใช้มาตรการอะไรอีกด้วยก็ได้ แต่มันก็ทำไม่ได้ไปตลอดละ แปะเอี้ย”

โอ้ย ... ลุงอ่ะ มีแต่ข่าวไม่ดี

“มาอ้ง มาโอ้ย อะไร ก็ลุงน่ะมีฉายาว่า Dr.Doom นี่ว้ะ ลองคิดดูสิ เศรษฐกิจประเทศที่โตเร็ว ใหญ่เร็ว มันก็ต้องมีการปรับฐานครั้งใหญ่ทุกที่ละ ใครจะไปโตได้ทุกปีโดยไม่หยุดล่ะ แล้วรู้ไหมละว่าเศรษฐกิจจีนมันมีผลต่อทั้งโลกมากกว่าที่ใครคิด เพราะถ้าอเมริกาโต 3% หรือหด 3% มันไม่มีผลอะไรต่อราคาทองแดงหรอก แต่ถ้าจีนโต 5% หรือ 10% มันมีผล”

มีผลยังไงล่ะลุง

“ก็เพราะว่าจีนใช้ทองแดงเยอะ ใช้วัตถุดิบเยอะเพื่อเอาไปผลิต การโต ไม่โต ของจีน มันก็เลยมีผลต่อความต้องการทองแดง เหล็ก อะลูมิเนียมและถ่านหินมาก ถ้าจีนโตน้อยลงมันก็มีผลเช่นกันแต่ตรงกันข้าม คือราคาวัตถุดิบพวกนี้จะลด แล้วประเทศอื่นๆ ที่ส่งวัตถุดิบพวกนี้ รวมทั้งส่งหมู ส่งอาหารไปที่จีน จะเกิดอะไรขึ้น เข้าใจยัง ฮึ”

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

 

มาแล้ว ซุปเปอร์แมนเบน

 

 

 

 

 

คุณวรวรรณ ธาราภูมิ

CEO บลจ. บัวหลวง

 

1 ธันวาคม 2554

 

 

 

ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ผู้นำยูโรโซนและนายแบงค์ทั้งหลายคงเหมือนตกอยู่ในไฟประลัยกัลป์ เพราะผลกระทบจากวิกฤติหนี้กำลังทำให้หลายประเทศ หลายธนาคาร กำลังขาดเงินเหมือนแวมไพร์ที่ขาดเลือด ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกปั่นป่วนที่สุด

 

 

เยอรมนีออกพันธบัตรรัฐบาลออกมา แต่ขายไม่หมด เพราะคนไม่กล้าซื้อ กลัวถึงเวลาแล้วไม่ได้รับเงินต้นคืนครบถ้วน

 

 

พันธบัตรรัฐบาลอิตาลีมีผลตอบแทนพุ่งกระฉูดไปถึงกว่า 7% ทุบสถิติไปแล้ว ให้ดอกสูงขนาดนั้นคนก็ยังไม่กล้าลงทุน

 

 

กองทุนมันนี่มาร์เก็ตฟันด์ของสหรัฐที่ลงทุนในตราสารหนี้ของธนาคารยุโรปหลายๆ แห่ง พอตราสารเหล่านั้นครบกำหนด ก็ไม่ซื้อล็อตใหม่ที่ออกมาขายอีก

 

 

ก็ใครจะไปกล้าลงทุนอีกเล่า ในเมื่อธนาคารยุโรปพวกนั้นกำลังย่ำแย่ยิ่งขึ้น เพราะไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลกลุ่มลูกหมู (Protugal, Italy Ireland, Greece และ Spain) ไว้อื้อซ่า แล้วประเทศเหล่านั้นก็ไม่มีปัญญาใช้คืน

 

 

ท่ามกลางความพยายามฉุดรั้งชีวิตของกลุ่มยูโร สถาบันจัดอันดับทุกสถาบันหลักก็ยังออกมาลดหรือประกาศว่าจะลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารต่างๆ รวมถึงประเทศในยุโรป

 

 

เรียกว่าโคม่าพะงาบๆ ขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ถึงขั้นมีคนไปกระซิบข้างหูในห้องไอซียูแล้วว่า “อรหัง อรหัง” กันแล้ว

 

 

และแล้ว ........ แอ่น แอน แอ๊น ........ นั่นตัวอะไรน่ะ .... ????

 

 

ลุงเบน เบอร์นานเก้ เอากุงเกงในแดงแจ๋ออกมาใส่ทับกางเกงยืดแนบเนื้อสีฟ้าแอ๋น หน้าอกเสื้อมีรูปตัว S หรา

 

 

อุ้ย ซุปเปอร์แมน เบน มาแล้ว เอ้า เฮ้ย หลบหน่อย พระเอกมา

 

 

“ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ เห็นพ้องให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการสวอปเงินดอลลาร์ลง 0.5% เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงินและผลกระทบที่มีต่อการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคครัวเรือนและภาคเอกชน โดยจะมีผลในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ ถึง 1 ก.พ.2556 ซึ่งเป็นมาตรการร่วมเพื่อพยุงระบบการเงินของโลกไว้ไม่ให้พังทลาย”

 

 

ใช่ ข่าวนี้ทำให้ตลาดหุ้นต่างประเทศและราคาทองคำ หรือ Risk Asset ทั้งหลายสนองตอบในเชิงบวกทันที เรียกว่า เด้งดึ๋งๆ

 

 

แต่ใครอ่านข่าวข้างบนแล้วเข้าใจจริงๆ ว่าเขาทำอะไรกัน โปรดยกมือขึ้น

 

 

หากใครยกมือว่าเข้าใจก็ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว ให้ไปงมหาข่าวน้ำท่วม ข่าวสุดหล่อตุ๊ดตู่จะโดนปลดจาก สส. เพราะไปติดคุกแล้วออกไปเลือกตั้งไม่ได้เลยขาดคุณสมบัติ และเชิญไปหาความสำราญจากข่าวพี่ปูแสนสวยอึราดจนเป็นลม กันต่อไปตามลำบาก

 

 

ส่วนคนธรรมดาอันเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังไม่เข้าใจความหมายก็ขอเชิญอ่านต่อ

 

 

ที่จริงแล้ว ข่าวนี้คือการส่งสัญญาณว่าธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ในยุโรป กำลังเจอปัญหาหนัก คือขาดแคลนเงินมาหล่อเลี้ยง ไม่มีใครกล้าให้กู้แล้ว

 

 

การออกมาตีฆ้องร้องป่าวของธนาคารกลาง 6 แห่งนำโดย FED ของลุงเบนนั้น จึงเป็นการประกาศแก่ชาวโลกว่า ธนาคารกลางเหล่านั้นจะมีเงินดอลลาร์ต้นทุนต่ำสุดๆ มาให้แบงค์ต่างๆ ในยุโรปกู้ไปพยุงฐานะ เหมือนบอกว่าแวมไพร์ทั้งหลายที่กำลังอดโซใกล้ตาย จะได้เลือดแล้ว

 

และมันก็ได้ผลในเชิงจิตวิทยาทันที เพราะเมื่อแบงค์ชาติหรือธนาคารกลางประเทศยักษ์ๆ จับมือกันแก้ปัญหา มันก็ดูดีมีสกุล ดูหนักแน่นน่าเชื่อถือ แต่การอัดฉีดเงินเข้าไปช่วยพยุงฐานะแบบนี้มันจะใช่วิธีแก้ปัญหาหนี้ภาครัฐละหรือ ในเมื่อปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องการขาดสภาพคล่องหรือขาดเงิน แต่มันอยู่ที่การเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวของรัฐบาลประเทศต่างๆ และไม่มีทีท่าว่ารายได้ในอนาคตกับพฤติกรรมมือเติบจะช่วยให้ผ่อนคลายปัญหาหนี้สินไปได้

 

 

พูดภาษาแวมไพร์ก็ต้องถามว่า การให้เลือดพยุงชีวิตแวมไพร์ มันแก้ปัญหาได้เหรอ ในเมื่อต้นตอของปัญหามันคือตัวแวมไพร์นั่นเอง ขืนให้มันมีชีวิตต่อ มันก็ไม่กลายไปเป็นคนดีๆ ไปได้หรอก มันก็ต้องหาเลือดดื่มไปเรื่อยๆ แล้วใครที่ไหนจะยอมให้เลือดมันอีกแบบไม่มีวันจบสิ้น ในเมื่อแวมไพร์พวกนี้ไม่ได้กินมังสวิรัติแบบแวมไพร์สุดหล่อของตระกูลคัลเลน

 

 

วิธีแก้ปัญหาในวันนี้มันไม่ได้ต่างกับที่ทำไปเมื่อเดือน ตุลาคม และ พฤศจิกายน ปี 2008 เลย แล้วผลที่จะตามมาคิดเหรอว่ามันจะต่างกันได้ ก็แค่ซื้อเวลาเท่านั้นเอง

 

สิ่งที่ธนาคารกลางใหญ่ 6 ประเทศกำลังทำก็คล้ายการพิมพ์แบงค์ แต่ไปใช้ชื่ออื่นแทน ทุกคนกำลังใช้วิถีของ Keynesians ในการแก้ปัญหา ซึ่งมีผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงหรือ Risk Assets ในช่วงสั้น ไม่ว่าจะเป็น หุ้น โลหะมีค่าอย่างทองคำ แร่เงิน ฯลฯ โดยยอมผลักระเบิดลูกมหึมาไปในอนาคตอีก และลืมประโยคสุดท้ายของเจ้าของทฤษฎีนี้ ซึ่งก็คือ "ในที่สุด ทุกคนก็ตายตอนจบ" ซึ่งหมายความว่าเราไม่สามารถกู้มาใช้ได้ตลอดชีวิต

แต่หากไม่ทำตอนนี้ เขาก็ห่วงกันว่ายุโรปก็จะตายหยังเขียดไปก่อน แล้วประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะทางตะวันตกจะตายตามไปด้วย

 

 

อย่างไรก็ดี เราได้เห็นว่าเยอรมันดูจะเป็นประเทศที่ยอมรับความจริงมากที่สุด ว่ามันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง ตามที่ คุณป้าแองเจล่า เมอร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี กล่าวไว้ว่า

 

 

วิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาวิกฤติครั้งนี้คือต้องแก้ไปที่ตัวปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือการมีหนี้ภาครัฐสูงเกินไป ไม่ใช่การเข้าไปช่วยอุ้มธนาคารต่างๆ แบบที่เคยทำเสมอมา”

 

 

แต่เอาละ ก็ถือว่าดีสำหรับ Risk Assets เพราะทำให้ตลาดทั่วโลกกลับไปอยู่ใน Mode "Risk On" อีกครั้งหนึ่ง คือผู้ลงทุนเด้งดึ๋งไปเก็งกำไรในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น ทองคำ ฯลฯ แม้อาจจะแค่ช่วงสั้นๆ เพราะได้กลิ่นเงินมหาศาลกำลังจะโปรยลงมาจากฟากฟ้าแล้ว ผู้ลงทุนจึงไม่อยู่ในอารมณ์หมดฤทธิ์ไวอะกร้า "Risk Off" แบบที่ผ่านมาที่ถอยจากตลาดไปกอดดอลลาร์ไว้แน่น

 

 

มองมาตรการนี้ให้ลึกๆ ลงไป ให้สมกับเป็น “กูรู้” ก็จะพบว่า FED ของลุงเบน กำลังทำตนเป็น Lender of the last resource หรือผู้ให้กู้รายสุดท้ายที่เหลืออยู่ในโลกไปเสียแล้ว

 

 

หมายถึงในขณะที่ธนาคารในยุโรปกู้ใครไม่ได้ ก็มีอีตาลุงเบนนี่แหละที่จะเอาเงินดอลลาร์ราคาถูกๆ ไปให้กู้เอง โดยผ่านกลไกที่เราอ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่องนั่นแหละ ก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องกลไกวิธีการให้มากมาย เอาให้เข้าใจหลักการและแก่นแท้ก็พอ

 

 

ฮ่าๆๆๆ ลุงเบน ทะลึ่งให้คนอื่นกู้ข้ามทวีป ทั้งๆ ที่ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดในอนาคตแล้ว แต่ก็อย่างว่าแหละ คนจนย่อมเห็นใจคนจนด้วยกัน

 

 

แต่ในระบอบทุนนิยมเสรี หากบริษัทไปไม่ไหวก็ต้องปล่อยให้ล้ม ตัวอย่างที่ดีคือ อเมริกันแอร์ไลน์ ที่เพิ่งยอมล้มละลายไป

 

 

การโยนผ้าขาวมอบตัว เมื่อรู้ว่าไม่ไหวจริงๆ แล้วย่อมเป็นการดี เพราะจะได้จัดการหนี้สินและชีวิตตนเองให้เข้ารูปเข้ารอย ไม่ใช้จ่ายเกินตัว และเริ่มประหยัด แล้วจะมีโอกาสกลับไปเริ่มต้นใหม่ อย่างน้อยก็เพื่อบริษัทใหม่ๆ คนใหม่ๆ จะได้เกิดไปสู่การเติบโตรอบใหม่ได้ โดยไม่มีภาระหนี้เป็นตัวถ่วงจากคนรุ่นก่อน

 

 

หากเราเห็นแก่ตัว ขอให้คนอื่นมาอุ้ม ยิ่งทำให้ปัญหาของลูกหลานเราในวันหน้าพอกพูน ต้องใช้ทุน ใช้ทรัพยากรเพิ่มอีกมากในการแก้ปัญหาต่อๆ ไป

 

ข่าวใหญ่ของธนาคารกลาง 6 แห่งนั้น จึงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเขากำลังจะทำมากขึ้น

 

 

ธนาคารกลางจะทำอะไรมากขึ้นล่ะ

 

 

ก็พิมพ์แบงค์กระดาษไง

 

 

เรื่องนี้ธนาคารกลางเพียงแต่เขินอายเกินไปกว่าจะใช้คำว่า “พิมพ์แบงค์” ออกมาตรงๆ เลยเรียกไปว่า Swap มั่งละ QE มั่งละ Recap มั่งละ บางทีก็เรียกบ้าบอไปไกลขนาดว่า bolstering financial markets หรือ saving us from the abyss แบบที่ลงใน Finanacial Times

 

 

มันคงคล้ายๆ ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เคยเรียกการกวาดล้างเสื้อแดงที่ราชประสงค์เพื่อยุติการยึดบ้านยึดเมืองของกลุ่มเสื้อแดงว่า “กระชับวงล้อม ขอคืนพื้นที่” ฯลฯ แทนที่จะใช้คำว่า “กวาดล้าง หรือจับกุม หรือกราบไหว้ให้ช่วยกลับไปทำมาหากินตามปกติ”

 

 

แต่จะเรียกว่าอะไร เรียกให้หวานเท่าไหร่ ก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าทำอะไรลงไป จริงไหมล่ะ

 

การแก้ปัญหาของลุงเบน และนายธนาคารกลางอื่นๆ ก็ทำวิธีเดียวกับเมื่อปี 2008 เลย คือใส่เงินเข้าไปในระบบเยอะๆ

 

 

แต่ต้นเหตุของปัญหาในวันนี้ไม่ใช่การขาดสภาพคล่อง มันเป็นเรื่องหนี้มหาศาลของภาครัฐในประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นกำลังตน

 

 

คนที่ถังแตกแล้ว และไม่มีศักยภาพพอจะหารายได้มาใช้หนี้ได้ครบ ทั้งยังบริโภคมากกว่าที่จะผลิตได้ ต่อให้ยัดเงินใส่มือเท่าไรก็ไม่ได้แก้ปัญหาได้ มันเพียงแต่ยืดเวลาตายเท่านั้นแหละ มันจึงต้องแก้ที่นิสัยไม่ดีในการใช้จ่าย ทยอยหนี้คืนให้ได้ ไม่ใช่ให้ผลัดผ่อนไปเรื่อยๆ

 

คนตายที่กำลังถูกบรรจุโลง กลับโดนลุงเบนและนายธนาคารกลางทำตัวเป็นหมอผีควักศพขึ้นมาฉีดฟอร์มาลีนเพิ่ม เอาไม้เสียบตูด แล้วจัดท่านั่งให้เหมือนยังไม่ตายอยู่ได้ จะให้ไม่เน่าไม่เปื่อยไม่เหม็นหึ่งไปได้อีกนานเท่าใดกันเล่า หนอนยั้วเยี้ยใกล้จะหล่นออกมาจากปากศพแล้วนะลุง

 

พิมพ์แบงค์เพิ่ม ในระยะยาวมันแย่มากสำหรับค่าเงินกระดาษและคนที่ถือเงินไว้ แต่มันก็ดีสำหรับทองคำในระยะยาว และดีต่อคนที่มีทองนะ

 

 

ที่จริงแล้ว การเสกเงินออกมาจากแท่นพิมพ์ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เอาแค่ช่วงใกล้ๆ คือในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้

 

 

ช่วงนั้น John Maynard Keynes ผลักดันสุดๆ ให้มีระบบเงินกระดาษที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารกลางของโลก ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้รับการสนับสนุน แต่สถาบันที่จะทำหน้าที่กำกับดูแลเรื่องเหล่านี้กลับได้รับการก่อตั้งขึ้นซึ่งก็คือ IMF กับ World bank โดยที่รัฐต่างๆ ในอเมริกายังคงมีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลและบริหารเงินของรัฐ ในขณะที่ทั้ง World Bank กับ IMF กลับไปมีหน้าที่เทพๆ ของการเป็นผู้ให้ในด้านสวัสดิการสังคมแก่ประเทศในโลกที่สาม

 

แต่ความฝันของ John Maynard Keynes ยังคงมีอิทธิฤทธิ์อยู่ ผลแห่งฝันนั้นก็คือการก่อตั้งกลุ่มยูโรโซนและธนาคารกลางยุโรปหรือ EU นั่นไง และการที่ประธานาธิบดี ริชาร์ด เอ็ม นิกสัน ปิดหน้าต่างแลกเปลี่ยนดอลลาร์เป็นทองคำ ก็เป็นการใช้แนวทาง John Maynard Keynes ที่ว่านี้ด้วย เพราะทำให้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ธนาคารกลางสหรัฐไม่ต้องใช้ทองคำมาหนุนการพิมพ์ดอลลาร์อีกต่อไป แล้ว FED ก็มีอำนาจเต็มในระบบการเงินของอเมริกา ความฝันตามแนวคิดของ John Maynard Keynes ที่เรียกกันว่า Keynesian dream จึงอุบัติขึ้นมาได้ และทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและการเงิน ก็จะเป็นโอกาสที่ FED จะพิมพ์แบงค์เพิ่ม และอัดฉีดให้เกิดการจ้างงานตามทฤษฎี Keynesian

 

 

ตังค์ใช้หนี้ไม่พอเรอะ กลัวอะไร ในเมื่อหนี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ เราก็พิมพ์แบงค์ดอลลาร์ไปจ่ายหนี้สิ ชิลๆ

 

 

เออ มันคิดกันแบบนี้แหละ FED ของลุงเบนถึงได้สำแดงออกมาว่าในเมื่อแบงค์ชาติอื่นๆ ในโลกนี้ยังไม่กล้าพอ แบงค์ชาติอเมริกานี่แหละจะทำให้ดูก่อนกะด้าย

 

 

ลุงเบน ทำมาตั้งแต่ปี 2008 ด้วยการออกมาตรการ QE 2 ครั้ง นั่นไง ลุงพิมพ์แบงค์ออกมาใส่ระบบจนเงินท่วมเพื่ออุ้มแบงค์ต่างๆ ในอเมริกา

 

 

แล้วเงินมันไหลไปในระบบเศรษฐกิจจริงที่ไหนล่ะลุง มันไหลไปลงทุนใน Risk Asset ตะหากเล่า ถึงได้ทำให้หุ้น ทอง ฯลฯ ราคาพุ่งกระฉูดในช่วงนั้นไง เพราะแบงค์ต่างๆ ไม่ปล่อยกู้ แต่เอาเงินต้นทุนถูกๆ เหล่านี้ไปลงทุนเก็งกำไรในตลาดหุ้นและทองคำกัน แถมลุงยังทำโดยไม่ห่วงว่าเงินจะเฟ้อด้วย แล้วเงินก็เฟ้อจริงๆ

 

 

ลุงเบน จึงเป็นทายาทอสูรตัวจริงของ Keynesian ที่ศรัทธาในทฤษฎีนี้แบบไม่มีการโมดิฟาย และไม่มีข้อจำกัดในความเชื่อที่ว่า “เงินกระดาษสามารถแก้ปัญหาของโลกได้ทุกอย่าง”

และนี่คือมหันตภัยที่ลุงเบนมอบให้โลกในวันนี้ เมื่อลุงทำให้ FED กลายเป็นธนาคารกลางที่อุ้มโลกทั้งใบไปแล้ว เพราะ FED ต้องทำหน้าที่พิมพ์แบงค์กงเต็กเพื่อโลก ลุงเบนในวันนี้จึงแปลงร่างไปเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อของโลกไปแล้ว

 

 

มหันตภัยที่ว่านี้ก็คือ วิกฤติเงินเฟ้อทั่วโลก

 

 

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบนั่นเอง

 

 

คำถามตอนนี้ที่ Make sense ที่สุด จึงควรเป็นคำถามว่า

 

 

ตลาดจะยังคงขึ้นไปได้อีกตลอดถึงสิ้นปีนี้ไหม

 

 

นักวิเคราะห์ต่างประเทศบางคนก็บอกว่าไปได้แน่ เพราะกองทุนต่างประเทศยังลงทุนหุ้นน้อยเกินไป และต้องทำให้กองทุนมีผลตอบแทน หากยังแช่เงินไปฝากในรูปดอลลาร์ที่แทบไม่มีผลตอบแทน กองทุนเดี้ยงตายแน่ๆ ลูกค้าคงจะแห่ถอน

 

 

แต่ก็มีนักวิเคราะห์อีกกลุ่มมองในแง่ไม่ดี โดยระบุว่า นี่เป็นแค่การ short covering หุ้นเท่านั้น ไม่ได้เป็นการซื้อหุ้นจริงๆ สักหน่อย และยุโรปก็ยังแย่เหมือนเดิม

 

 

ส่วนคำตอบของเราก็คือ ไม่รู้หรอก แต่คำแนะนำก็เหมือนเดิมที่เคยแนะนำ บวกเพิ่มที่ว่ามันไม่ผิดที่จะเก็งกำไรบ้าง แต่อย่ามากนัก เพราะความเสี่ยงยังมีไม่น้อยในระยะสั้นๆ และพี่ชอบหุ้นไทยมากกว่า แต่ก็อย่าลืมมีทองคำแบบลงทุนรยะยาวไว้ด้วย

 

 

ทยอยลงทุนสม่ำเสมอ กับ กระจายการลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ จึงเป็นตำตอบที่คลาสสิคที่สุด และผิดน้อยที่สุด

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:_Rd เจ๋งไปเลยครับ..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...