ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

:033 ทองลงเหลือเกินช่วงนี้ ตอนนี้ USD index กลับไป 80 จุดกว่า ๆ อีกครั้ง

สวิสพอลดค่าเงิน แล้วก็พิมพ์เงินแบบไม่อั้นเพื่อมากดราคาทองไว้ ทองเลยลดลงได้มาก

 

ถ้าเราดูจากพฤติกรรมของสวิสจะทราบได้ทันทีเลยว่า

 

รายต่อไปก็คือ EURO แน่นอน ไม่พลาดเป้าหมาย

 

แต่ก่อนที่จะลดค่าเงิน จะต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 อย่าง

 

1.FED พิมพ์ QE# 3 bailout EURO ยอดประมาณ 3-5 T ประมาณไตรมาส 1 -2 ปีหน้านี้

 

2.USD index เหลือประมาณ 65

 

3.EURO/DOLLAR มากกว่า 1.6 (ตอนนี้ 1.34)

 

4.ราคาทองมากกว่า 2300 เหรียญ

 

หาก EURO ประกาศลดค่าเงินจริง ก็จะซื้อรอยเดียวกับสวิส นั่นก็คือทองจะร่วงต่ำกว่า 1900 เหรียญเลยทีเดียว

 

อย่างไงก็ตามหาก จะเล่นรอบปีหน้าจะเป็นปีที่ผันผวนพอสมควร

 

ถือของจริงปลอดภัยสุด ในช่วง 2012-2014 เมื่อใดก็ตามที่ YEN ซึ่งเป็นปลาตัวสุดท้ายโดน SDR กินเข้าไปแล้ว

 

ราคาทองจะถูก FIX แถว ๆ 4000-5000 เหรียญ และ USD index จะอยู่ที่ประมาณ 100 จุด เงินบาทก็คือ 40 บาท/เหรียญ

 

ถึงเวลานั้นก็เตรียมตัวซื้อหุ้น ซื้อที่ดินได้เลยราคาจะถูกลงเมื่อเทียบกับทอง :_ee :aa

 

งงอ้ะครับ EURO ประกาศลดค่าเงินแล้วไม ทองลงล่ะ มูลค่ามันลดลง ทองน่าจะแพงขึ้นสิ ขยายเพิ่มหน่อยได้มั้ยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จำปลาตัวแรกไม่ได้หรือครับ SWISS NATION BANK ลดค่าเงินแล้วไป PEG กับ EURO แล้วประกาศพิมพ์เงินไม่อั้น

 

ก่อนหน้านั้นทองคำถูกลากจาก 1600 --> 1900 เหรียญ พอประกาศปุ้บก็ถูกทุบในเวลาไม่นานเหลือต่ำกว่า 1600 เลยทีเดีย

 

ดังนั้น ถ้าหากมีการลดค่าเงิน EURO จริง และ PEG กับ DOLLAR ก่อนหน้านั้นราคาจะถูกลากขึ้นไปรับข่าวก่อน

 

พอประกาศทองก็จะถูกทุบทันที เพื่อให้ คนที่ถือเงินรู้สึกว่า ทองมีความผันผวนไม่น่าซื้อ (พวกพิมพ์เงินมาช็อตนี่น่ากัว)

 

 

เท่าที่วิเคราะห์ จาก USD index = DOLLAR/SWISS+EURO+GBP+YEN

 

EURO ถึงจุดสูงสุด จะประกาศลดค่าเงิน แล้วทุบ เหมือนสวิส

 

DOLLAR พอประกาศลดค่าเงิน ราคาทองจะพุ่งขึ้นไปเท่า HIGH แล้วถูกทุบต่ำกว่าก่อนประกาศ

 

GBP กับ YEN จะเหมือนกับ EURO

 

นี่คือลักษณะเวฟที่คาดเดา หากเราใช้ SWISS MODEL เราจะพบกับคำว่า ผันผวนแบบ SIDEWAY UP

post-2628-0-58999700-1324010117_thumb.png

post-2628-0-11344100-1324010980.png

ถูกแก้ไข โดย zagio

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ในกรณีที่เลวร้ายสุด ๆ ประเทศต่าง ๆ ลดค่าเงินกัน USD index เพิ่มขึ้น จนถึงตัวสุดท้าย

 

USD index จะประมาณ 100 จุด เป็นเงินบาทก็ 40 บาทต่อ USD ราคาทองจะอยู่ที่ประมาณ 1000 เหรียญ

 

คิดเป็นเงินบาทก็ 19000 บาท ก็นับว่าบาดเจ็บพอควรแต่ไม่มาก (ขาดทุนสูงสุดประมาณ 20% จากราคาปัจจุบัน)

 

แต่ถึงเวลานั้นเศรษฐกิจจะล่มสลาย อย่างหุ้นไทยอาจจะเหลือ 100 จุด (ขาดทุน 90% จากราคาปัจจุบััน)

 

แบบนั้นก็ขายทองไปซื้อหุ้นได้อยู่ดี

 

 

แต่สถานการณ์ที่คาดการณ์ไว้ก็คือ ทอง 4500 เหรียญ แล้วค่อยรอดูหุ้นตอนนั้น

:033 ทองลงเหลือเกินช่วงนี้ ตอนนี้ USD index กลับไป 80 จุดกว่า ๆ อีกครั้ง

สวิสพอลดค่าเงิน แล้วก็พิมพ์เงินแบบไม่อั้นเพื่อมากดราคาทองไว้ ทองเลยลดลงได้มาก

 

ถ้าเราดูจากพฤติกรรมของสวิสจะทราบได้ทันทีเลยว่า

 

รายต่อไปก็คือ EURO แน่นอน ไม่พลาดเป้าหมาย

 

แต่ก่อนที่จะลดค่าเงิน จะต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 อย่าง

 

1.FED พิมพ์ QE# 3 bailout EURO ยอดประมาณ 3-5 T ประมาณไตรมาส 1 -2 ปีหน้านี้

 

2.USD index เหลือประมาณ 65

 

3.EURO/DOLLAR มากกว่า 1.6 (ตอนนี้ 1.34)

 

4.ราคาทองมากกว่า 2300 เหรียญ

 

หาก EURO ประกาศลดค่าเงินจริง ก็จะซื้อรอยเดียวกับสวิส นั่นก็คือทองจะร่วงต่ำกว่า 1900 เหรียญเลยทีเดียว

 

อย่างไงก็ตามหาก จะเล่นรอบปีหน้าจะเป็นปีที่ผันผวนพอสมควร

 

ถือของจริงปลอดภัยสุด ในช่วง 2012-2014 เมื่อใดก็ตามที่ YEN ซึ่งเป็นปลาตัวสุดท้ายโดน SDR กินเข้าไปแล้ว

 

ราคาทองจะถูก FIX แถว ๆ 4000-5000 เหรียญ และ USD index จะอยู่ที่ประมาณ 100 จุด เงินบาทก็คือ 40 บาท/เหรียญ

 

ถึงเวลานั้นก็เตรียมตัวซื้อหุ้น ซื้อที่ดินได้เลยราคาจะถูกลงเมื่อเทียบกับทอง :_ee :aa

ขอโทษนะครับอย่าว่าจับผิดกันเลยแต่ งง ตรงที่ ค่าเงินเท่ากันทำไม ทองไม่เท่ากันครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:53 เรื่องค่าเงิน USD index ในตอนจบ จะกลับไปที่ 100 จุดเสมอครับ ถ้าลดค่าเงินหลักครบทุกสกุล

 

ไม่ว่าเราจะคิดในกรณีสถานการณ์แบบไหนก็ตามครับ :Kk ผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะครับ

 

สถานการณ์จะเป็นตัวเฉลยที่ดีที่สุดครับ นี่ก็เป็นแค่การวิเคราห์ตามทฤษฎีเท่านั้นครับ

ถูกแก้ไข โดย zagio

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ถ้าผมจำไม่ผิด คิดว่าอ่านจากลุงจิมนะครับ (อ่านหลายแหล่ง แต่อ่านแบบผ่านๆ ไม่ได้อ่านเจาะเนื้อหา เลยจำที่มาไม่ได้)

 

เรื่องเศรษฐกิจโลกตอนนี้ คงจะหวังว่ามันจะดีขึ้นคงเป็นไปไม่ได้ครับ

ไม่ว่าจะเลือกทางเลือกใด ผลสุดท้ายคือต้องเจ็บตัว เจ็บมาก เจ็บน้อย ก็อีกเรื่องหนึ่ง

 

ทางเลือกหนึ่งก็คืออัดฉีด พิมพ์เงินเติมเข้าไปในระบบเรื่อยๆ ซึ่งผลข้างเคียงคือจะเกิด Hyper Inflation

อีกทางหนึ่งคือหยุดการกระตุ้น และั อาจยอมให้มี Default ซึ่งผลที่ได้ก็จะตรงกันข้ามคือเกิด Deflation

 

ก่อนหน้านี้ทุกคนเชื่อกันว่าธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะ FED ไม่มีทางเลือกและต้อง ทางเลือกแรก แน่นอน

แต่จากการที่ FED ประกาศเมื่อ 4-5 วันที่ผ่านมาทำให้มองกันว่า FED น่าจะเลือกทางเลือกที่ 2 มากกว่า

คือยอมให้เกิด Deflation (อย่างน้อยก็ในระยะสั้นในช่วง 3-4 เดือน หรือตลอดปีหน้านี้) เป็นที่มาของการลดลงของ Commodities ทั้งกระดาน

 

 

แต่ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐก็รุมเร้าอยู่ ตัวเลขการว่างงานก็ยังไม่ดีขึ้น ปัญหาเรื่องอสังหาก็ยังไม่คลี่คลาย

หากมี Deflation ก็จะทำให้เศรษฐกิจถดถอย ซ้ำเติมปัญหาเดิมที่ไม่ได้รับการแก้ไขอีก การว่างงานจะเลวร้ายขึ้น

(ไหนจะถอนกำลังทหารออกจากอิรัคอีก ตัวเลขทหารปลดประจำการก็จะทำให้ตัวเลขว่างงานเพิมสูงขึ้นด้วย)

ในที่สุด หลายๆ ฝ่ายจึง เชื่อว่าสุดท้่ายยังไงก็หนีไม่พ้นต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบอยู่ดี

 

(ไม่ว่าเลือกเดินยังไง สุดท้ายปลายทางเหมือนกันคือการ Rest ระบบทั้งหมด คือ การล่มสลาย แก้ไขไม่ได้แล้ว)

 

 

สุดท้ายคือ ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ทองคำน่าจะเป็น asset ที่ perform ได้ดีที่สุดในทั้งสองสถานการณ์ครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:53 เรื่องค่าเงิน USD index ในตอนจบ จะกลับไปที่ 100 จุดเสมอครับ ถ้าลดค่าเงินหลักครบทุกสกุล

 

ไม่ว่าเราจะคิดในกรณีสถานการณ์แบบไหนก็ตามครับ :Kk ผิดพลาดก็ขออภัยด้วยนะครับ

 

สถานการณ์จะเป็นตัวเฉลยที่ดีที่สุดครับ นี่ก็เป็นแค่การวิเคราห์ตามทฤษฎีเท่านั้นครับ

ขอโทษด้วยครับคืออย่างที่บอกไม่ได้จับผิดครับ เพียงแต่คิดว่า ถ้าเป็นไปตามทฤษฎีที่ ค่าเงินUSD indexไปที่ 100 แต่ทอง มีทั้งราคา 1000 และ ราคา 4000-5000 ก็แปลว่า ราคาทองไม่ได้ขึ้นกับค่าเงินอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องของอารมณ์อย่างเดียวรึปล่าวครับ ถ้าคนไม่คิดว่าทองเป็น safe heaven ก็ทิ้งทองได้เหมือนกัน เหมือนกับตอนนี้ที่คนทิ้งทอง วิ่งหา usd แม้กระทั่งคุณคงูดิน(แซวเล่นนะครับ) นอกจากจะกลับกันที่ว่า

ในตอนท้ายที่สุดนะครับที่จบเรื่องแล้ว USD index เหลือประมาณ 65 ทองไปที่ 4000-5000 เพราะค่าเงินควรไปอยู่ที่ปัจจัยพื้นฐานของตัวเอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทอง 4000-5000 US x 40 บาท เท่ากับ 160,000-200,000 ต่อ 1 บาท

ถ้าเป็นจริง (บ้าแน่ ๆ) แล้วใครจะซื้อทอง คงมีโลหะอื่น ๆ ที่มาแทนที่ทอง

 

วันนี้โลกจะพบ ธาตุที่เกร็งกำไร ใหม่เกิดขึ้นแและทิ้งทอง

 

เดาเหมือนกัน ขอโทษด้วยครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ผมว่าเรื่องนี้มัน น่าจะมีจุดหักเหของสถาณการณ์ที่เราเดาไม่ถูก หลงเหลืออยู่นะครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทอง 4000-5000 US x 40 บาท เท่ากับ 160,000-200,000 ต่อ 1 บาท

ถ้าเป็นจริง (บ้าแน่ ๆ) แล้วใครจะซื้อทอง คงมีโลหะอื่น ๆ ที่มาแทนที่ทอง

 

วันนี้โลกจะพบ ธาตุที่เกร็งกำไร ใหม่เกิดขึ้นแและทิ้งทอง

 

เดาเหมือนกัน ขอโทษด้วยครับ

ที่เราเข้ามาในเวบนี้ด้วยความเชื่อที่ว่า ทอง คือ real money ซึ่งไม่มีโลหะใดมาแทนที่ ส่วนที่ ราคาจะไปเป็น แสน 2 แสน ก็เหมือนกับประเทศอะไรจำไม่ได้ครับ ที่พิมแบง ที่เป็น 10ล้านหรือมากกว่านั้นหนะครับ เอาง่ายๆเหมือน ลาว ข้างๆบ้าเราก็พอซื้อทองที่ใช้เงินกีกระบุง กีบ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ถ้าผมเข้าใจความเห็นของคุณ Zagio ไม่ผิด

เข้าใจว่าคุณ Zagio มองไว้ทั้งสองกรณี คือกรณี Deflation และ Hyperinflation หนะครับ

 

กรณีทางออกเลือกไปที่ Deflation สิ่งที่ตามมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจทั้งระบบ การว่างงานเพิ่มขึ้นรุนแรงขึ้น

ขณะเดียวกัน ราคาสินค้า อาหาร และ Commodities รวมถึงทอง เงิน น้ำมัน ฯลฯ ก็จะมีราคาลดลงด้วย

 

แต่หากทางออกถูกเลือกไปในแนว Hyperinflation สินค้า อาหาร และ Commodities รวมถึงทอง เงิน น้ำมัน ฯลฯ ก็จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้น

 

 

ส่วนตัวผมมองว่า FED ทำได้แค่ประคองสถานการณ์ครับตอนนี้ ปีหน้าสหรัฐมีเลือกตั้งด้วย ยังไงการเมืองก็ต้องบีบให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เพื่อบรรยากาศที่ดีในการเลือกตั้ง

เพียงแต่ระยะสั้น เขาคงต้องการกดราคาสินค้าทั้งหลายให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มีช่องหายใจ

เมื่อมีการกระตุ้นจริงๆ ราคาสินค้า บริการ อาหาร พลังงาน ฯลฯ จะได้ไม่ขึ้นสูงเร็วจนควบคุมไม่ได้แค่นั้นครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองมันต้อง หารสองก่อนนะครับ คุณ GOLD2RICH

 

ส่วนจุดหักเหมันอยู่ช่วงต่อที่อเมริกาลดค่าเงินนั่นแหละครับ

 

จะทำให้ USD index เหลือ 60-65 จุดได้

 

แต่พอ GBP และ YEN ลดค่าเงิน ก็จะดึงให้ USD index กลับมาที่ 80-100 ได้น่ะครับ :Kk

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคาทองมันต้อง หารสองก่อนนะครับ คุณ GOLD2RICH

 

ส่วนจุดหักเหมันอยู่ช่วงต่อที่อเมริกาลดค่าเงินนั่นแหละครับ

 

จะทำให้ USD index เหลือ 60-65 จุดได้

 

แต่พอ GBP และ YEN ลดค่าเงิน ก็จะดึงให้ USD index กลับมาที่ 80-100 ได้น่ะครับ :Kk

 

อืม...อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

:( ไม่ย๊อมมม กระดาษยังไม่มา มันเริ่มกลับไปแถวๆ 158x ซะแล้ว

 

 

 

เอ... เพื่อนๆครับ เดี๋ยวนี้ร้านทองเค้ายอมขายทองคำแท่งวันเสาร์/อาทิตย์แล้วหรือยังครับ

หรือว่ายังใช้นโยบายเดิม ขายแท่งเฉพาะวันปกติ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

ราคาทองจะถูก FIX แถว ๆ 4000-5000 เหรียญ และ USD index จะอยู่ที่ประมาณ 100 จุด เงินบาทก็คือ 40 บาท/เหรียญ

 

ถึงเวลานั้นก็เตรียมตัวซื้อหุ้น ซื้อที่ดินได้เลยราคาจะถูกลงเมื่อเทียบกับทอง :_ee :aa

 

หมายความว่าทองอยู่ในช่วง 4000-5000 ให้เริ่มทยอยขายมาซื้อหุ้น ซื้อที่หรือครับ?

 

เฮ้อ ตอนแรกผมตั้งตารออยู่ที่ 8000 แต่สงสัยจะต้องปรับเป้าใหม่ลงมาที่ 5000 ซะแล้ว

 

(โหมดฝันเฟื่อง)

 

:53

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทอง 4000-5000 US x 40 บาท เท่ากับ 160,000-200,000 ต่อ 1 บาท

ถ้าเป็นจริง (บ้าแน่ ๆ) แล้วใครจะซื้อทอง คงมีโลหะอื่น ๆ ที่มาแทนที่ทอง

 

วันนี้โลกจะพบ ธาตุที่เกร็งกำไร ใหม่เกิดขึ้นแและทิ้งทอง

 

เดาเหมือนกัน ขอโทษด้วยครับ

 

ความเห็นส่วนตัว

ผมว่าถ้าราคาทองไปถึง 4000 อัตราแลกเปลี่ยนไม่น่าใช่ 40 นะครับ ตอนนี้ราคาดอลล่าอยู่ที่ 30 และุถ้าราคาทองไปถึงขนาดนั้นผมว่าดอลล่าน่าจะอ่อนค่าลงไปมากกว่าแข็งขึ้นนะครับ อาจ 25-20 แบบนี้มากกว่านะครับ ^^

 

ส่วนที่ว่าทำไมพอยูโรโดนทุบทองถึงลง เห็นยังไม่พูดถึงกันเท่าไหร่ ในมุมมองส่วนตัวผมมองว่าเพราะตอนนี้คนส่วนใหญ่คิดว่า "ดอลล่า" ดีที่สุดครับ มูลค่าของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงแต่ปริมาณเงินมีเท่าเดิม เมื่อยูโรด้อยค่าลง และคนยังตกใจกับราคาทองที่โดนทุบไม่หายดังนั้นคนจึงหันมาหาสิ่งที่ทุกคนตายด้านกับข่าวแย่ๆ กันหมดแล้วซึ่งก็คือ "ดอลล่า" ครับดังนั้นตอนนี้จึงเห็นว่าดอลล่าแข็งเอาๆ บาทก็อ่อนเอาๆ จนจึงหันไปเก็บดอลล่ากันครับ

 

ตอนนี้ส่วนตัวยังแอบหนาวๆ อีกหลายๆ ทีตอนถ้ายุโรปต้องล้มจริงๆ เงินก็มีโอกาศไหลไปหาดอลล่าไม่มาก็น้อยและยังคงต้องไปอีกหลายระรอกตามทฤษฏี Reflexivity หรือทฤษฏี Butterfly Effect (เด็ดดอกไม้สะเทือนดวงดาว) ดอลล่าจะเป็นพระเอกไปพักใหญ่จากเงินที่ไหลจากยุโรปไปหาอเมริกาจนถึงจุดอิ่มตัว พอทุกคนรู้ว่าอเมริกาก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เอ็งก็หนี้ก็เยอะเหมือนกันนี่หว่า แถมลูกหนี้ยุโปรก็กลายเป็น NPL ไปซะแล้ว ก็ต้องไปหาที่พักเงินใหม่ ตอนนั้นก็อาจเป็นโอกาศของทองก็ได้นะครับ

 

โดยส่วนตัวผมมองว่าตอนนี้ ทอง เองก็ได้เสียความเป็น Safe Havest ในตัวของมันไปส่วนหนึ่งเหมือนกันนะครับ แต่เสี่ยในส่วนที่เป็นความรู้สึกที่มีต่อนักลงทุนเพระฐานมันใหญ่ขึ้นมากในเวลาไม่นาน เหวี่ยงทีสำหรับคนที่เคยชินกับราคาเดิมๆ อยู่ก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา แต่ยังคงรักษาคุณสมบัตินี้ในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานอยู่เพราะมันเสกมาไม่ได้ ยกเว้นทองกระดาษซึ่งตอนนี้ก็ต้องลุ้นเรื่อง position limits กันต่อไป

 

ถ้าคิดเป็น % เมื่อก่อนตกแรงกว่านี้อีก

 

MajorGoldCorrectionsintheCurrentBullMarket_Nov2011.png

 

 

แต่ฐานใหญ่แบบนี้พอลงแรงๆ มันก็ใจสั่นเหมือนกันนะ :_09

 

 

 

 

-----------------------------------------------------------

 

 

Reflexivity อธิบายไว้ว่า จุด Equilibrium หรือ จุดดุลยภาพ มีไว้แค่เป็นจุดอ้างอิง แต่จริงๆแล้วทุกสิ่งในสังคมเราไม่เคยอยู่ในจุดนั้น ตลาดหุ้นก็เช่นกัน สาเหตุก็เกิดจากมีแรงบางอย่างส่งผลให้เกิด “Negative Feedback” ซึ่งทำให้ราคานั้นวิ่งออกจากจุดดุลยภาพไปอย่างมาก ตลาดหุ้นจึงมีแนวโน้มที่จะมี boom & burst ไปเรื่อยๆเป็นวงจรอยู่อย่างนั้น

เราลองมาดูกันหน่อยว่า Negative Feedback นั้นเป็นยังไง ส่งผลยังไงต่อตลาด

 

ลองดู ตัวอย่างจากปัญหาหนี้ยุโรป (Euro Debt Crisis) ในตอนนี้ก็ได้ครับ เมื่อมีข่าวร้ายเกิดขึ้นในตอนแรก ข่าวร้ายต่อๆมาก็จะทยอยออกมาเรื่อยๆ และส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของตลาดนั้นด้วย

 

ตอน แรก เริ่มจากกรีซหนี้บวก Debt-to-GDP โตเกิน 100% >> รัฐบาลประกาศใช้แผนรัดเข็มขัด >> แต่ประชาชนประท้วงไม่ยอมให้หักสวัสดิการและเงินเดือน >> ขอความช่วยเหลือการกลุ่ม EU >> ต้องรัดเข็มขัดเพิ่มอีก >> ประท้วงอีก >> S&P และ Moody’s ทนไม่ไหว ก็ประกาศ Downgrade ตราสารหนี้ของกรีซกลายเป็น Junk Bond >> Cost of Funding สูงขึ้นทันทีอย่างรวดเร็ว >> รัดเข็มขัดเพิ่มขึ้นอีก

 

ถ้าเปรียบกรีซเป็นมนุษย์ ผมว่าตอนนี้ น่าจะเป็นมนุษย์ที่มีเอวเล็กที่สุดในโลกแล้วนะ รัดจังเลยเข็มขัดเนี่ย 555+

 

เอา จริงๆแล้ว การ Downgrade ของ Credit Rating Agency (CRA) นั้นใช้ข้อมูลในอดีตมาประเมินส่วนใหญ่ และคาดการณ์ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ซึ่งอนาคต เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจาก Negative Feedback ก็คือ พอ นักลงทุนเห็นกรีซกลายเป็นขยะ อารมณ์ก็ยิ่งแย่ ยิ่งขายหนักขึ้นไปอีก มันช่างสวนทางกับสิ่งที่กรีซต้องการ ณ ขณะนี้เป็นอย่างมาก นั้นก็คือ อยากให้ต้นทุนการกู้ยืมต่ำลง (Capital Requirement) เพื่อฟื้นฟูจะประเทศในระยะยาว แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนทุกอย่างจะสายเกินไปแล้ว

 

อ๋อ... อย่ามอง Reflexivity ในแง่ร้ายเพียงอย่างเดียวนะครับ Positive Feedback ก็มีให้เห็น

ยกตัวอย่างเช่น

ราคา บ้านในอเมริกาปรับตัวสูงขึ้น >> ประเมิณหลักทรัพย์ ได้วงเงินเพิ่ม ก็ไปกู้มาเพิ่ม >> ได้เงินกู้มา ก็เอาไปซื้อบ้านเพิ่มอีก >> ราคาบ้านก็ปรับตัวสูงขึ้นอีก .... แต่สุดท้าย ตลาดก็ตระหนักถึงความจริงที่ว่า มีแต่ผู้ซื้อมาเก็งกำไร แต่ไม่มีคนอยู่จริงๆ เมื่อนั้น วิกฤต Subprime ก็มาเยือนเราเมื่อปี 2008

 

แต่ก่อนหน้านั้นร่วมๆ 10 ปี ก็ด้วยเจ้าราคาบ้านนี้ล่ะครับส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ GDP อเมริกาโตมาได้ขนาดนี้

 

โดย สรุป เมื่อดูจากตัวอย่างแล้วจะเห็นว่า ไม่ใช่แค่ปัจจัยพื้นฐานเท่านั้นส่งผลต่อราคาหุ้น แต่ตัวราคาหุ้นเอง ยังส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้นมันเองอีกด้วย ไม่ว่าจะทิศทางไหน ขึ้นหรือลงก็ตาม

 

I11446062-2.jpg

ถูกแก้ไข โดย leo_attack

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...