ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

 

 

In Focus: จับตาผลพวงจากการขึ้นภาษีการขายยกแรกของญี่ปุ่น

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 17 เมษายน 2557 16:01:00 น.

เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นได้ขึ้นภาษีการบริโภค หรือภาษีการขาย เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี จาก 5% เป็น 8% เพื่อรับมือกับรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมที่เพิ่มสูงขึ้นๆ และเพื่อกอบกู้ฐานะการคลังของประเทศ

“หนี้สาธารณะของญี่ปุ่นมีขนาดเป็นสองเท่าของเศรษฐกิจ และย่ำแย่ที่สุดในบรรดาประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ขณะที่รายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมกำลังปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ" ลอเรนท์ ซินแคลร์ นักวิเคราะห์วิจัยอิสระ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกิจการแปซิฟิก กล่าว

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าว ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มีการขึ้นภาษีการขายเป็น 5% จาก 3% เมื่อปี 2540 อาจส่งผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหยุดชะงักในระยะยาว

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปีนี้ โดยระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่นจะชะลอตัว อันเป็นผลพวงมาจากการขึ้นภาษีการบริโภคเป็นสองเท่าโดยเว้นระยะห่างออกเป็นสองช่วง (รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ วางแผนที่จะขึ้นอัตราภาษีอีกคำรบหนึ่งเป็น 10% ในเดือนต.ค. 2558)

ในรายงาน World Economic Outlook ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี 2557 ลงสู่ระดับ 1.4% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 1.7% ในเดือนม.ค. ซึ่งญี่ปุ่นนับเป็นประเทศเดียวในบรรดาประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วที่ถูกไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจ

ขณะที่ผลการสำรวจความคิดเห็นบริษัทขนาดใหญ่รายไตรมาส หรือผลสำรวจทังกันของธนาคารกลางญี่ปุ่นเผยให้เห็นว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรายใหญ่ของประเทศ อาทิ ผู้ผลิตรถยนต์ และบริษัทด้านเทคโนโลยี ปรับตัวขึ้นเพียง 1 จุดจากเมื่อสามเดือนก่อน สู่ระดับ 17 จุดในเดือนมี.ค.2557 ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ แต่ประเด็นที่น่าจับตามองในผลสำรวจครั้งล่าสุดนี้ก็คือ บริษัทรายใหญ่ทั้งในภาคการผลิตและนอกภาคการผลิตต่างมองว่า สถานการณ์จะย่ำแย่ลงในช่วงสามเดือนข้างหน้า เนื่องจากการขึ้นภาษีเริ่มมีผลบังคับใช้ในช่วงเวลาเดียวกับที่การส่งออกกำลังซบเซา

ผลสำรวจทังกันเผยว่า ความเชื่อมั่นของบริษัทผู้ผลิตขนาดใหญ่ ร่วงลง 9 จุด มาอยู่ที่ระดับ 8 ขณะที่ความเชื่อมั่นของบริษัทขนาดใหญ่นอกภาคการผลิต รวมถึงบริษัทผู้ผลิตขนาดเล็ก และบริษัทขนาดเล็กนอกภาคการผลิต ร่วงลงถึง 11 จุด มาอยู่ที่ 13 ซึ่งเน้นย้ำให้เห็นว่าบริษัทต่างๆกำลังรู้สึกถึงความยากลำบากจากการขึ้นภาษี

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ตระหนักถึงประเด็นดังกล่าว และไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด โดยนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะได้สั่งการให้รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ในการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยความหวังว่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการขึ้นภาษีการขายได้

อัตราภาษีนิติบุคคลของญี่ปุ่นอยู่ที่ 35.6% ซึ่งสูงกว่าอัตราภาษีของประเทศชั้นนำอื่นๆ อาทิ จีน และสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ที่ 25% และ 17% ตามลำดับ การลดภาษีนิติบุคคลจะช่วยส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของญี่ปุ่น และยังช่วยชดเชยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการขึ้นภาษีการขาย

อย่างไรก็ดี แม้บริษัทญี่ปุ่นเรียกร้องให้มีการลดภาษีดังกล่าว แต่ความจริงแล้วในปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นราว 30% เท่านั้นที่ชำระภาษี ส่วนบริษัทที่เหลือได้รับการงดเว้นภาษี เนื่องจากผลการดำเนินงานทางธุรกิจย่ำแย่

ดังนั้น จึงยังคงมีคำถามคาใจว่า รัฐบาลทำอะไรมากพอหรือยังที่จะพยุงเศรษฐกิจ สนับสนุนการขยายตัว และกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ซึ่งคงมีแต่เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก

ดูเหมือนว่าธุรกิจขนาดเล็กจะเจอปัญหาหนักอกหนักใจไม่น้อยไปกว่าใคร ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากการแบกรับภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น

รัฐบาลญี่ปุ่นได้ว่าจ้างผู้ตรวจสอบพิเศษราว 600 คน เพื่อป้องกันไม่ให้ธุรกิจขนาดใหญ่ส่งต่อภาระภาษีที่เพิ่มสูงขึ้นไปยังบรรดาซัพพลายเออร์และผู้รับจ้างผลิต

จากการลงพื้นที่ พบว่าธุรกิจขนาดเล็กหลายแห่งกำลังถูกบรรดาบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ใช้ลูกไม้หรือกลวิธีต่างๆนานาเพื่อกดดันให้ลดราคา

เจ้าของบริษัทผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรรายหนึ่งในเขตโอตะของโตเกียว ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานขนาดเล็กหลายแห่ง เผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ ลูกค้าเจ้าใหญ่เพิ่งขอลดราคาชิ้นส่วนลง 10% ไม่เช่นนั้นก็จะเปลี่ยนไปใช้ซัพพลายเออร์รายอื่นแทน

การปฏิเสธคำขออาจส่งผลต่อความอยู่รอดของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรายนี้ แต่หากยอมทำตามความประสงค์ของลูกค้า ก็จะหมายถึงการสูญเสียรายได้หลายสิบล้านเยนต่อปี และจะทำให้บริษัทประสบกับความยากลำบากในการจ่ายเงินเดือนให้กับลูกจ้างประมาณ 50 คน

ในที่สุดประธานบริษัทรายนี้ก็ตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอ และได้ร้องเรียนเรื่องนี้ต่อผู้ตรวจสอบของรัฐบาล ในระหว่างที่ผู้ตรวจสอบได้มาตรวจเยี่ยมบริษัทของเขาเมื่อเดือนที่แล้ว

ก่อนการขึ้นภาษีการบริโภคเมื่อวันที่ 1 เม.ย. รัฐบาลได้เร่งผลักดันกฎหมายที่ห้ามบริษัทขนาดใหญ่ใช้อิทธิพลบีบซัพพลายเออร์และบริษัทรับจ้างผลิต เพื่อชดเชยกับภาระภาษีที่เพิ่มสูงขึ้น

ภายใต้กฎหมายดังกล่าวซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนต.ค.นั้น บริษัทขนาดใหญ่ถูกห้ามไม่ให้ต่อรองขอลดราคา หรือเสนอเงื่อนไขต่างตอบแทน (quid pro quo) อื่นๆ

กฎหมายดังกล่าวอาศัยบทเรียนที่ได้จากการขึ้นภาษีการขายจาก 3% เป็น 5% เมื่อปี 2540 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน โดยธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากร้องเรียนว่าพวกเขาไม่สามารถเรียกเก็บเงินลูกค้าที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ได้

ในญี่ปุ่นนั้น ธุรกิจขนาดเล็กมีสัดส่วนถึง 99.7% ของบริษัททั้งหมด หากธุรกิจขนาดเล็กถูกบีบให้ต้องแบกรับภาระจากการขึ้นภาษี เนื่องจากไม่สามารถคิดเงินลูกค้าได้ ก็อาจจะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

สำหรับผู้ตรวจสอบพิเศษของรัฐบาลนั้นมาจากภูมิหลังที่หลากหลาย เช่น นายธนาคาร นักบัญชีภาษี เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงอดีตเจ้าหน้าที่จัดซื้อที่มีประสบการณ์และความชำนาญในระเบียบปฏิบัติทางธุรกิจ

ณ สิ้นเดือนมี.ค. ผู้ตรวจสอบพิเศษเหล่านี้ได้ออกหมายเรียกบริษัท 1,199 แห่ง ซึ่งประกอบด้วย 489 บริษัทในภาคการผลิต, 233 บริษัทในธุรกิจค้าปลีก และ 145 บริษัทในอุตสาหกรรมขนส่ง

หนึ่งในนั้นได้แก่ ผู้ประกอบการโรงแรมซึ่งได้รับใบเรียกเก็บเงินจากซัพพลายเออร์ แต่ไม่ยอมชำระจนกระทั่งซัพพลายเออร์หักลบในส่วนของภาษีออก ขณะที่ผู้ค้าปลีกรายใหญ่รายหนึ่งขอให้ซัพพลายเออร์หักค่าใช้จ่ายในการเตรียมป้ายราคาที่ทางร้านจะใช้ภายหลังการขึ้นภาษี

กรณีเหล่านี้และกรณีอื่นๆที่ถูกรายงานให้ผู้ตรวจสอบได้รับทราบนั้น อาจดูเหมือนเป็นปัญหาเล็กๆน้อยๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่าปัญหายิบย่อยเหล่านี้อาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้ ขณะที่มีเสียงเรียกร้องมากขึ้นให้รัฐบาลเปิดเผยรายชื่อบริษัทที่ละเมิดกฎหมาย

“หลายบริษัทไม่สามารถพูดกับผู้ตรวจสอบของรัฐบาลได้ เนื่องจากกลัวว่าหุ้นส่วนธุรกิจจะรู้เข้า" โนบุชิกะ ชิมิสุ ผู้ตรวจสอบอาวุโส วัย 61 ปีเผย “สิ่งแรกที่ผู้ตรวจสอบต้องทำก็คือการสร้างความไว้วางใจ"

เซนโตเรน (Zentoren) สมาคมอุตสาหกรรมเต้าหู้ ซึ่งประกอบไปด้วยธุรกิจขนาดเล็กประมาณ 2,000 แห่งจากทั่วประเทศ ระบุว่า ทางสมาคมได้รับฟังมาจากสมาชิกว่าบรรดาหุ้นส่วนธุรกิจได้ขอให้พวกเขาตรึงราคาผลิตภัณฑ์ในระดับเดียวกับก่อนขึ้นภาษี

“การกระทำเช่นนี้ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน" เจ้าหน้าที่ของเซนโตเรนกล่าวถึงแรงกดดันที่ซัพพลายเออร์ต้องแบกรับ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเต้าหู้เผชิญสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ลำบากอยู่แล้วอันเนื่องมาจากเงินเยนอ่อนค่า ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนในการซื้อถั่วเหลืองนำเข้าปรับตัวสูงขึ้น

ในทางกลับกัน ธุรกิจขนาดใหญ่กำลังหาทางหลีกเลี่ยงกฎหมายอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ใช้คำว่า “ภาษีการบริโภค" เมื่อขอลดราคา และชี้แจงกับผู้ตรวจสอบว่าการกระทำดังกล่าวเป็น “ส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดต้นทุนตามปกติ"

ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผู้ตรวจสอบพิเศษที่จะต้องทำการบ้านด้วยการรับฟังผู้รับจ้างผลิตและรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอก่อนเอาผิดผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย

ผู้บริหารรายหนึ่งในอุตสาหกรรมอาหารแสดงความกังวลว่า บริษัทรายใหญ่อาจเดินหน้าต่อราคาอย่างผิดกฎหมายในเดือนนี้ เพราะมีการคาดการณ์ในวงกว้างว่าการใช้จ่ายผู้บริโภคจะชะลอตัว และความต้องการสินค้าและบริการจะอ่อนแอลง อันเป็นผลมาจากการที่ผู้บริโภคแห่ซื้อสินค้าและบริการก่อนที่การขึ้นภาษีจะมีผลบังคับใช้ เนื่องจากภาษีการบริโภคมีผลครอบคลุมผลิตภัณฑ์และบริการเกือบทั้งหมดในญี่ปุ่น

ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 8 เม.ย. นายโทชิมิทสึ โมเทกิ รัฐมนตรีเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ระบุถึงความสำคัญของการคุ้มครองธุรกิจขนาดเล็กให้อยู่รอดในยามขึ้นภาษี “เราจะยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างจริงจัง"

โดยรัฐบาลวางแผนที่จะดำเนินการสำรวจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอีในญี่ปุ่นอย่างครอบคลุม ซึ่งรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.85 ล้านราย เพื่อดูว่าธุรกิจเหล่านี้เผชิญกับข้อเรียกร้องที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่

เสียงสะท้อนจากผู้บริโภคและธุรกิจรายย่อย

ผู้บริโภคถือเป็นด่านแรกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีการขาย โดยสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยในวันที่ 17 เม.ย.ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.ปรับตัวลงเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน และแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2554 หรือในรอบสองปีครึ่ง

ดัชนีความเชื่อมั่นในครัวเรือนที่มีสมาชิกตั้งแต่สองคนขึ้นไป ลดลง 1.0 จุด จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 37.5 ซึ่งตัวเลขที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคที่มีมุมมองลบต่อเศรษฐกิจมีจำนวนมากกว่าผู้มีมุมมองบวก

ชิโยมิ โอเซกิ พนักงานร้านดรักสโตร์ยอดนิยมในย่านชิบูยา เผยว่า มีเสียงบ่นจากลูกค้าเกี่ยวกับการขึ้นราคาสินค้าตั้งแต่วันแรก

“บางทีอาจเป็นเพราะย่านนี้เป็นย่านวัยรุ่น พวกเขากล้าที่จะแสดงความคิด เด็กสาวบางคนซึ่งปกติมาที่ร้านเพื่อซื้อสินค้าประเภทความงามและสุขภาพทั่วไป ถึงกับทำใบเสร็จร่วง เพราะราคาสินค้าไม่ได้เปลี่ยนแปลงมานานแล้ว"

“จริงๆแล้ว เด็กสาวเหล่านี้ต้องได้ยินข่าวและประกาศของเรากันมาแล้ว แต่ฉันคิดว่าพวกเธอเพียงต้องการแสดงให้คนอื่นๆเห็นว่าพวกเธอไม่พอใจ" โอเซกิกล่าว พร้อมเผยด้วยว่า เธอสังเกตว่าลูกค้าเลือกซื้อยาสามัญที่ถูกกว่า แทนที่จะเลือกซื้อแบรนด์ราคาแพง

เคนตะ ทสึรูมิ ผู้จัดการร้านนาฬิกาข้อมือระดับไฮเอนด์ในย่านโอโมเตะซันโด ซึ่งเป็นย่านช็อปปิ้งหรูหราไฮโซของโตเกียว กล่าวว่า ยอดขายทะยานขึ้นในช่วงก่อนขึ้นภาษี แต่มาตอนนี้ ธุรกิจเริ่มที่จะชะลอลงแล้วอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นเพราะการขึ้นภาษีอย่างไม่ต้องสงสัย เราตักตวงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ธุรกิจของเราบูมขึ้นมากในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา โดยเราสามารถทำยอดขายได้สูงเป็นประวัติการณ์" ทสึรูมิกล่าว

“น่าเหลือเชื่อที่การขึ้นภาษี 3% สร้างความแตกต่างได้อย่างมากมายในธุรกิจนี้ เราไม่มีลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำมากเท่าไรนัก ลูกค้าซื้อนาฬิกาเพื่อใช้เองหรือซื้อเป็นของขวัญ ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะซื้อกันแค่ครั้งเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้น ลูกค้าที่เดินเข้าออกร้านของเราในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมาจะไปอยู่ที่ไหนกัน แล้วเราจะทำอย่างไรต่อจากนี้"

“อย่าแปลกใจหากไม่เห็นร้านนี้อยู่ที่นี่ในอีกหกเดือนข้างหน้า เรื่องนี้ต้องขอบคุณอาเบะ“ ทสึรูมิกล่าว

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีปีใหม่ไทยย้อนหลังหลายวันเลยค่ะ คุณginger news wann และครอบครัวคุณบาส

ใครใช้ netของtot แล้วเป็นแบบเด็กสยามบ้างไหมค่ะ มันติดตัวแอนตี้ไวรัสตัวหนึ่งมาทำให้เข้า

ปู่กูเกิ้ลไม่ได้อ่ะ เข้าไทยโกลด์ไม่ได้มา 4 วันล่ะ หมุนติ๊วๆ จนมึนเลยค่ะวันนี้เข้าได้ล่ะเลยขอ

อวยพรย้อนหลังนิดนึงนะ

มีความสุขกันทุกๆคนเลยค่ะ จับ S ก็เข้าทางแป๊ะ จับ L ก็เข้าท่าเนอะ วันนี้วันหยุดของเจ้ามือใหญ่

เราก็มีเวลาหาความสุขเล็กๆน้อยๆกับครอบครัว มีเวลาให้คนรอบข้างมากขึ้นอีก 1 วันนะค่ะ

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆนักลงทุนห้องมือใหม่หัดวิเคราะห์ มีความสุขกันทุกคนเลยนะค่ะๅ>///////<

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น
สวัสดีปีใหม่ไทยย้อนหลังหลายวันเลยค่ะ คุณginger news wann และครอบครัวคุณบาส ใครใช้ netของtot แล้วเป็นแบบเด็กสยามบ้างไหมค่ะ มันติดตัวแอนตี้ไวรัสตัวหนึ่งมาทำให้เข้า ปู่กูเกิ้ลไม่ได้อ่ะ เข้าไทยโกลด์ไม่ได้มา 4 วันล่ะ หมุนติ๊วๆ จนมึนเลยค่ะวันนี้เข้าได้ล่ะเลยขอ อวยพรย้อนหลังนิดนึงนะ มีความสุขกันทุกๆคนเลยค่ะ จับ S ก็เข้าทางแป๊ะ จับ L ก็เข้าท่าเนอะ วันนี้วันหยุดของเจ้ามือใหญ่ เราก็มีเวลาหาความสุขเล็กๆน้อยๆกับครอบครัว มีเวลาให้คนรอบข้างมากขึ้นอีก 1 วันนะค่ะ สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆนักลงทุนห้องมือใหม่หัดวิเคราะห์ มีความสุขกันทุกคนเลยนะค่ะๅ>///////<

 

สุขสันต์วันเสาร์

10176211_656913141031139_4257114036370045475_n.jpg

เน็ตเราก็ ค้าง.....

เปิดใหม่แป๊บนี้

ครอบครัวมีความสุข กาย ใจ

ลงทุนถูกทางกำไร เฮงๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

การเงิน - การลงทุน

วันที่ 19 เมษายน 2557 10:00

 

สินเชื่อหดกดกำไรแบงก์วูบ

โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

news_img_576301_1.jpg

ธปท.ชี้2เดือนแรก แบงก์รัฐดันทั้งระบบโต0.3% ธ.พาณิชย์แห่ตั้งสำรองรับเอ็นพีแอลพุ่ง-เศรษฐกิจชะลอ เพิ่มความระวังคุณภาพสินทรัพย์และปล่อยกู้

แบงก์พาณิชย์ไตรมาสแรกกำไร 4.2 หมื่นล้านบาท ลดลง 0.83% เหตุสินเชื่อโตแค่ 0.01% หลังเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลลูกค้าทั้งรายใหญ่และเล็กกู้เงินลดลง แบงก์กรุงเทพสินเชื่อติดลบ 0.39% พร้อมตั้งสำรองอีก 2.1 พันล้านบาท ด้านกสิกรไทยกำไรพุุ่ง 18.14% สวนตลาด ขณะที่ ธปท.ยัน 2 เดือนแรกปีนี้ทั้งระบบสินเชื่อยังโต 4 หมื่นล้านบาท หรือ 0.3% แรงหนุนจากแบงก์เฉพาะกิจ

ธนาคารพาณิชย์รวม 10 แห่ง ไม่รวมธนาคารกรุงไทยได้ประกาศผลประกอบการไตรมาส1/2557 พบว่ามีกำไรสุทธิรวม 42,526 ล้านบาท ลดลง 0.83% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 42,884 ล้านบาท ส่วนสินเชื่อทั้งระบบมีประมาณ 7,924,522 ล้านบาท หรือโต 0.01% จากสิ้นปีที่ผ่านมา

ธนาคารกรุงเทพไตรมาส 1 / 2557 มีกำไรสุทธิ 8,965 ล้านบาท ลดลง 0.54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลกระทบต่อความต้องการสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อธุรกิจเพื่อการลงทุนหรือขยายกิจการ ในขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังคงอยู่ในสัดส่วนเท่ากับสิ้นปีก่อน โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2557 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,745,919 ล้านบาท ลดลง 0.39% จากสิ้นปี 2556เนื่องจากความต้องการสินเชื่อสำหรับลูกค้าธุรกิจรายใหญ่เติบโตลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่สินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น

ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพหรือเอ็นพีแอลไตรมาสแรกอยู่ที่ 45,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.11% จากสิ้นปีก่อน ทำให้สัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อรวมทรงตัวอยู่ที่2.2% ขณะเดียวกันธนาคารยังคงแนวทางการบริหารกิจการอย่างระมัดระวังและมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสนี้ ธนาคารมีการตั้งสำรองฯ จำนวน 2,103 ล้านบาท ส่งผลให้ธนาคารมีอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพคิดเป็น 210.1%

กสิกรไทยกำไรโต 18.14%

ด้านนายธีรนันท์ ศรีหงส์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 11,939 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 18.14% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย จำนวน 1,998 ล้านบาท หรือ 17.11% โดยสินเชื่อของธนาคารยังเติบโตได้ในระดับ 0.79% หรือมีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 1,450,381 ล้านบาท สำหรับเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 2.14% จากสิ้นปี 2556 ที่อยู่ที่ระดับ 2.11% อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio)เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 137.76% จากสิ้นปี 2556 อยู่ที่ระดับ 134.52%

กรุงศรีสินเชื่อหด 0.4%

นายโนริอากิ โกโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ไตรมาสแรกธนาคารมีกำไรสุทธิ 3.3 พันล้านบาท ลดลง 18.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่เงินให้สินเชื่อ หดตัว 0.4% คิดเป็นสินเชื่อที่ลดลงจำนวน 3.7 พันล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท เป็นผลจากความต้องการสินเชื่อที่ลดลงตามปัจจัยด้านฤดูกาลซึ่งความต้องการสินเชื่อเพื่อรายย่อยจะลดลงในช่วงไตรมาสแรกของปี ขณะที่มีการชำระคืนของเงินทุนหมุนเวียนของสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากความต้องการสินเชื่อ ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ

ทางด้านเงินฝากเพิ่มขึ้น 2.2% คิดเป็นจำนวน 16.5 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนธันวาคม 2556 มาอยู่ที่ 7.8 แสนล้านบาท และมี ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา อยู่ที่ระดับ 4.22% สะท้อนการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนโครงสร้างสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนต่ำ

รายย่อย-เอสเอ็มอีดันเอ็นพีแอลขยับ

ธนาคารมีสัดส่วนเอ็นพีแอลอยู่ที่ 2.97% เทียบกับ 2.67% ในเดือนธ.ค. 2556 ผลจากสินเชื่อในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และสินเชื่อเพื่อรายย่อย ในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้: แข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 134.5%

นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ในไตรมาสแรกของปีธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 440.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127.7 ล้านบาท หรือ 40.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 106.0% รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 27.1% และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 23.1% ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 21.4% และสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 120.2%

ส่วนเงินให้สินเชื่อสุทธิอยู่ที่ 1.72 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากสิ้นปีก่อน และมีเอ็นพีแอลอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท คิดเป็น 3.1% ของสินเชื่อรวม จากสิ้นปีก่อนที่มี 2.5% มีสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวกระทบลูกค้าภาคธุรกิจบางรายและต่อเนื่องสู่รายย่อย โดยที่ผลกระทบนี้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้และไม่น่าจะกระทบในวงกว้าง

ธปท.ชี้ 2 เดือนสินเชื่อทั้งระบบยังโต 0.3%

นางรุ่ง มัลลิกะมาส โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่า จากข้อมูลการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบซึ่งนับรวมการปล่อยสินเชื่อของธนาคารเฉพาะกิจ(เอสเอฟไอ) ของภาครัฐ พบว่า ในช่วง 2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ของปีนี้ ยังมีอัตราการเติบโตประมาณ 4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2556 ที่ขณะนั้นมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 14.7 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารเฉพาะกิจ ขณะที่สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากสิ้นปีที่ผ่านมามากนัก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

รับสินเชื่อแบงก์เอกชนทรงตัว

"แม้ข้อมูลสินเชื่อของธปท.ที่เทียบสิ้นเดือนก.พ.2557 กับสิ้นเดือนก.พ.2556 จะขยายตัวเกือบ 10% แต่หากดูเฉพาะช่วง 2 เดือนแรกของปี กล่าวคือ ดูการเปลี่ยนแปลงของยอดสินเชื่อจากสิ้นเดือนธ.ค.2556 ถึงสิ้นเดือนก.พ.2557 จะเห็นว่าสินเชื่อขยายตัวประมาณ 4 หมื่นล้านบาท จากยอดคงค้างที่ 14.7 ล้านล้านบาท ก็ถือเป็นการขยายตัวที่ไม่ได้มากนัก คือแค่เพียง 0.3% โดยสินเชื่อเอสเอฟไอมีการขยายตัวบ้าง ส่วนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างทรงตัว" นางรุ่งกล่าว

โดยปกติแล้วช่วงไตรมาสแรกของทุกปี จะเป็นช่วงที่ธนาคารพาณิชย์มีการปล่อยสินเชื่อค่อนข้างน้อย จึงมีปัจจัยเรื่องฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นการเทียบตัวเลขการเติบโตของ ธปท. จึงมักอาศัยการเทียบแบบปีต่อปี คือ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วนกรณีที่ธนาคารพาณิชย์บางแห่ง ออกมาระบุว่า สินเชื่อในไตรมาสแรกของธนาคารพาณิชย์รายนั้นมีการหดตัวนั้น นางรุ่งกล่าวว่า ข้อมูลของธนาคารพาณิชย์จะสะท้อนการปล่อยสินเชื่อของแต่ละแห่งจนถึงสิ้นเดือนมี.ค. แต่ข้อมูลที่ ธปท. มีจะมีข้อมูลถึงสิ้นเดือนก.พ.เท่านั้น และเป็นข้อมูลแบบเฉลี่ยทั้งระบบ ดังนั้นจึงต้องรอสถาบันการเงินทุกแหล่งรายงานข้อมูลมาให้ครบถ้วนเพื่อนำมาประมวลตัวเลขไตรมาสแรกอีกครั้งเพราะถือว่าทั้งหมดมีส่วนช่วยในการหล่อลื่นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ

2 เดือนแรกเทียบงวดเดียวกันปีก่อนโตร่วม 10%

ถ้าดูการเติบโตของสินเชื่อตั้งแต่ต้นปีจนถึง ณ สิ้นเดือนก.พ.2557 ซึ่งขยายตัวใกล้ๆ 10% ถือว่ายังเป็นการเติบโตที่สูงกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ (Nominal GDP) โดยทางสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ได้ประมาณการ Nominal GDP ไตรมาสแรกปี 2557 ไว้ที่ 5.9%

การขยายตัวของสินเชื่อที่สูงกว่า Nominal GDP นั้น เพิ่งจะเริ่มเห็นในช่วงหลังปี 2550 เป็นต้นมา เพราะก่อนหน้านี้ การขยายตัวของสินเชื่อโดยรวมยังต่ำกว่า Nominal GDP สาเหตุอาจเป็นเพราะในช่วงแรกหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 สถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังไม่มีความเข้มแข็งเพียงพอมากนัก

"ช่วง 10 ปีแรก นับจากวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เป็นต้นมา แบงก์อาจยังไม่มีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้มากนัก เพราะช่วงนั้นแบงก์เองก็ได้รับผลกระทบไปไม่น้อย แต่พอเขาเริ่มเข้มแข็งขึ้น การทำหน้าที่ของแบงก์ก็เริ่มกลับมามีบทบาทมากขึ้น" นางรุ่งกล่าว

จากข้อมูลของ ธปท. พบว่า ในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 หรือประมาณปี 2535-2539 สินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์มีการเติบโตเฉลี่ยที่ 23.6% ขณะที่ Nominal GDP เติบโต 12.9% และระหว่างปี 2540-2544 สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบหดตัวประมาณ 4.8% เทียบกับ Nominal GDP ที่เติบโต 2.2%

นอกจากนี้ระหว่างปี 2545-2549 สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบโตเฉลี่ย 7% ขณะที่ Nominal GDP โต 8.9% ส่วนในระหว่างปี 2550-2554 สินเชื่อธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับมาขยายตัวมากกว่า Nominal GDP โดยสินเชื่อโต 9.3% ขณะที่ Nominal GDP โต 6.2%

ส่วนในปี 2555 สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบโต 15.3% เทียบ Nominal GDP ที่เติบโต 7.9% และในปี 2556 ที่ผ่านมา สินเชื่อธนาคารพาณิชย์เติบโต 10% เทียบ Nominal GDP ที่เติบโต 4.6%

Tags : สินเชื่อธปท.ธนาคารแบงก์รัฐ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สินเชื่อหดกดกำไรแบงก์วูบ ธปท.ชี้2เดือนแรก แบงก์รัฐดันทั้งระบบโต0.3% ธ.พาณิชย์แห่ตั้งสำรองรับเอ็นพีแอลพุ่ง-เศรษฐกิจชะลอ เพิ่มความระวังคุณภาพสินทรัพย์และปล่อยกู้ 'ซีทีเอช'จับมือ'ทีทีแอนด์ที'ขยายสมาชิก5ส. "ซีทีเอช"เดินหน้ารุกช่องทางการตลาด แต่งตั้ง "ทีทีแอนด์ที" ตัวแทนขยายสมาชิกเพย์ทีวี จำหน่ายกล่องรับสัญญาณ วางเป้าปีนี้ 5 แสนราย 'กิตติรัตน์'แจงปปช.ยันนายกฯไม่โกง "กิตติรัตน์"แจงป.ป.ช.4ชั่วโมงยันรัฐคุมวินัยการเงินการคลังโครงการจำนำข้าว ขาดทุนไม่เกิน 1แสนล้านต่อปี ยัน"ยิ่งลักษณ์"ไม่ได้ละเลยหน้าที่ ซิ่งเบนซ์ชนพ่อค้าดับ พนักงานเก็บขยะสาหัสอีก1 เนชั่นนำขอพร'เกาหลี'ผ่านโศกนาฏกรรมเรือล่ม vdo.gif ทองไม่ปรับขึ้น ทองแท่งขายออก19,800 เวียดนามพยายามคุมหัดระบาด

ดูข่าว ทั้งหมด icon-arrow-gray.gif

 

 

ข่าวยอดนิยม

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

bc.gif กัปตันเฟอร์รีโสมขาวอ้าง “สั่งผู้โดยสารอยู่กับที่” เพราะทะเลแปรปรวน-ประดาน้ำพบศพติดอยู่ในเรือเพิ่ม bc.gif Weekend Focus:เรือเฟอร์รีล่มนอกฝั่งเกาหลีใต้ สูญหายเกือบ 300 ชีวิต ความหวังมี “ปาฏิหาริย์” ริบหรี่ bc.gif รวบแล้วกัปตันเฟอร์รีมรณะเกาหลีใต้ ยันไม่ยกเรือขึ้นจนกว่าแน่ใจไม่มีใครรอด bc.gif เจ้าของฟาร์มในอังกฤษมึน อูฐตัวเมียท้องไม่มีพ่อ!! bc.gif สื่องง! เครื่องบินพลเรือนสหรัฐฯโผล่ท่าอากาศยานอิหร่านครั้งแรกตั้งแต่ปี 1979 bc.gif Week in Pics : ประมวลสุดยอดภาพข่าวรอบโลกประจำสัปดาห์icon_stream_sm.gif b.gif

 

กัปตันเฟอร์รีโสมขาวอ้าง “สั่งผู้โดยสารอยู่กับที่” เพราะทะเลแปรปรวน-ประดาน้ำพบศพติดอยู่ในเรือเพิ่ม

blank.gif โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 เมษายน 2557 10:12 น.

 

 

blank.gif 557000004507102.JPEG

 

ทีมนักประดาน้ำกำลังค้นหาร่างผู้โดยสารที่สูญหายบริเวณใกล้ๆ กับบอลลูนยักษ์ที่ถูกใช้เป็นเครื่องระบุตำแหน่งของเรือเฟอร์รีที่อับปางลงเมื่อ 3 วันก่อน blank.gif

 

เอเอฟพี – กัปตันเรือเฟอร์รีเกาหลีใต้ซึ่งประสบอุบัติเหตุอับปางลงเมื่อ 3 วันก่อน ให้สัมภาษณ์ในวันนี้(19)ว่า ตนไม่สั่งอพยพผู้โดยสารลงจากเรือทันทีเนื่องจากท้องทะเลแปรปรวน และยังไม่มีเรือกู้ภัยเข้ามาช่วย ขณะที่ทีมนักประดาน้ำสามารถเข้าถึงห้องโดยสารเรือได้เป็นครั้งแรก และพบเห็น “ศพ” อย่างน้อย 3 ร่างจากทางหน้าต่าง

 

กัปตัน ลี จุน-ซก และลูกเรืออีก 2 คน ถูกตำรวจจับกุมเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา(19) และถูกแจ้งข้อหาละเลยและละเมิดกฎหมายพาณิชย์นาวีซึ่งกำหนดให้ผู้เป็นกัปตันเรือต้องดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร

 

ลี ซึ่งสวมเสื้อกันฝนแบบมีฮู้ดยืนก้มศีรษะนิ่งขณะรับฟังตำรวจแจ้งข้อกล่าวหา หลังจากนั้นได้มีผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ขอสัมภาษณ์ว่า เหตุใดจึงมีการสั่งให้ผู้โดยสารนั่งอยู่กับที่นานกว่า 40 นาที หลังจากที่เรือเฟอร์รีได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือครั้งแรกเมื่อเวลา 9.00 น. ของวันพุธที่ 16 เมษายน

 

“ตอนนั้นเรือช่วยชีวิตยังมาไม่ถึง และไม่มีเรือประมงที่อยู่ใกล้ๆ และพอจะช่วยเหลือได้” ลี กล่าว

 

“ตอนนั้นทะเลมีคลื่นลมแรงมาก และน้ำก็เย็นเฉียบ... ผมเกรงว่าผู้โดยสารจะถูกกระแสน้ำพัดพาไปไกลและอาจเป็นอันตราย หากพวกเขาสละเรืออย่างไม่คิดให้รอบคอบและไม่สวมเสื้อชูชีพ”

 

“ในเวลาเช่นนั้น ต่อให้พวกเขาสวมเสื้อชูชีพก็มีผลไม่ต่างกัน”

 

ญาติมิตรของผู้โดยสารซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมที่กำลังจะไปทัศนศึกษาที่เกาะเชจูต่างรู้สึกโกรธแค้น และเชื่อว่าอาจจะมีคนรอดมากกว่านี้หากผู้โดยสารถูกพาไปยังจุดอพยพก่อนที่เรือจะเอียงกะเท่เร่และน้ำไหลเข้าไปเรือ

 

ล่าสุด ทางการเกาหลีใต้ยืนยันยอดผู้เสียชีวิตแล้ว 29 ราย และยังสูญหายอีก 273 คน

 

ลี วัย 69 ปี ยืนยันถ้อยแถลงของพนักงานสอบสวนเมื่อวานนี้(18)ว่า ตนไม่ได้ทำหน้าที่ควบคุมในขณะที่เรือเฟอร์รีลำนี้เกิดปัญหา

 

“เวลานั้นผมกำลังเดินกลับมาที่ห้องควบคุม หลังจากไปที่ห้องนอนชั่วครู่ด้วยเหตุผลส่วนตัว” ลี กล่าว พร้อมกับยืนยันว่า “ผมไม่ได้ดื่มเหล้า”

 

สิ่งที่กัปตันเรือให้สัมภาษณ์ยังไม่ได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นเป็นลูกโซ่ จนนำมาสู่การอับปางของเรือเซวอล ระวางขับน้ำ 6,825 ตัน ลำนี้

 

ข้อมูลการเดินเรือของกระทรวงพาณิชย์นาวีพบว่า เรือเฟอร์รีมรณะลำนี้หักเลี้ยวอย่างกะทันหันก่อนที่จะส่งสัญญาณแจ้งเหตุในช่วงเช้าวันพุธ(16)

 

ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่า การเลี้ยวในลักษณะหักมุมในพื้นที่แคบอาจทำให้สินค้าที่มีน้ำหนักมากบนเรือ ซึ่งรวมทั้งรถยนต์มากกว่า150 คัน เคลื่อนที่ไปอยู่ข้างเดียวกันของเรือ และทำให้เรือเสียการทรงตัวรับน้ำหนักอยู่ข้างเดียว จากนั้นก็ค่อย ๆ จม แต่คนอื่นๆ สันนิษฐานว่า เหตุที่เรือหักมุมมากขนาดนั้นอาจเป็นเพราะชนเข้ากับหินโสโครก หรือวัตถุอื่นๆ ที่โผล่ขึ้นมาจากทะเล

 

พนักงานสอบสวน ระบุว่า ขณะเกิดเหตุกัปตันรายนี้มอบหมายหน้าที่ควบคุมเรือแก่ผู้ช่วยที่ 3

 

ลี ยอมรับข้อกล่าวหาทั้งหมด และได้กล่าวขอโทษทั้งเหยื่อและครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลที่รักไปในโศกนาฏกรรมครั้งนี้

 

“ผมขอโทษอย่างจริงใจต่อผู้โดยสารและญาติมิตรของพวกเขาทุกคนที่เกิดเหตุเลวร้ายเช่นนี้ขึ้น”

 

ขณะเดียวกัน ทีมน้ำประดาน้ำซึ่งพยายามต่อสู้กับคลื่นลมแรงในทะเลมานานกว่า 2 วันท่ามกลางทัศนวิสัยที่เกือบจะเป็นศูนย์ ก็สามารถเข้าถึงห้องโดยสารของเรือเซวอลได้ในที่สุด

 

“นักประดาน้ำพลเรือนซึ่งมองเข้าไปทางหน้าต่างเห็นศพผู้โดยสาร 3 ร่างติดอยู่ภายใน” ชอย ซัง-ฮวาน รองผู้อำนวยการหน่วยยามฝั่งแห่งชาติ แถลงต่อญาติผู้โดยสารที่รอฟังความคืบหน้าในปฏิบัตการกู้ภัย

 

“พวกเขาพยายามทุบกระจกหน้าต่างเพื่อเข้าไปข้างในและนำศพออกมา แต่ก็เป็นเรื่องยากเกินไป”

 

นักประดาน้ำกว่า 500 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครพลเรือนได้ลงไปค้นหาร่างผู้โดยสารที่ยังสูญหาย ขณะที่รองผู้อำนวยการ ชอย ระบุว่า หลังจากนี้จะมีการนำตาข่ายมาคลุมรอบๆ เรือเฟอร์รีเพื่อป้องกันมิให้ศพที่ติดอยู่ภายในหลุดลอยออกไป และทีมค้นหายังไม่สิ้นหวังที่จะพบผู้รอดชีวิตอยู่ในช่องอากาศที่ใดสักแห่ง

557000004507103.JPEG

 

ทีมนักประดาน้ำกำลังค้นหาร่างผู้โดยสารที่สูญหายบริเวณใกล้ๆ กับบอลลูนยักษ์ที่ถูกใช้เป็นเครื่องระบุตำแหน่งของเรือเฟอร์รีที่อับปางลงเมื่อ 3 วันก่อน blank.gif

557000004507101.JPEG

 

กัปตัน ลี จุน-ซก วัย 69 ปี blank.gif

557000004507105.JPEG

 

ครอบครัวผู้โดยสารที่ยังสูญหายต่างหอบสัมภาระที่จำเป็นมานอนรอฟังข่าวที่โรงยิมเนเซียมแห่งหนึ่งในเมืองจินโด ซึ่งใช้เป็นจุดรวมพล blank.gif

557000004507104.JPEG blank.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

10175046_225002981026924_7579159049579071494_n.jpg

ขอให้มีความหวังสำหรับผู้รอดชีวิต

ขอให้ทีมผู้ค้นหาปลอดภัย สามารถช่วยผูประสบภัยได้

และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

พระไพศาล วิสาโล - Phra Paisal Visalo

 

 

ถ้าหากว่ากายอยู่คู่กับใจ กายอยู่ตรงนี้ใจก็อยู่ตรงนี้ อยู่ทุกที่ก็มีความสุข

แต่ส่วนใหญ่กายอยู่ตรงนี้ก็จริง แต่ไม่รู้ว่าใจอยู่ที่ไหน ความสุขมันอยู่กับเราทุกขณะ

ถ้าหากว่าเราวางใจเป็น คนเรามักมองไม่เห็นความจริงข้อนี้

คิดว่าความทุกข์ของเรามาจากคนอื่น

เพราะสิ่งรอบตัว แดดร้อน ฝนตก รถติด ผู้คนไม่น่ารัก

สถานที่ไม่น่าอยู่ แล้วเราก็พยายามหนี พยายามดิ้นรนกระเสือกกระสนไปที่อื่น

ปที่ที่คิดว่าจะทำให้เรามีความสุขสบาย

 

พระไพศาล วิสาโล

อยู่ทุกที่ก็มีสุข

 

10254044_889383557755629_7188668388894425572_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คอลัมน์: วันอาทิตย์ สไตล์ สมจิตต์ นวเครือสุนทร: 'ความยุติธรรม' ไม่มีวันพ่ายแพ้ 'ความชั่วร้าย'

 

 

 

 

 

ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2557 00:00:59 น.

สมจิตต์ นวเครือสุนทร

หลายฝ่ายกำลังจับตาสถานการณ์บ้านเมืองอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในช่วงร้อนระอุของเดือนเมษายน ซึ่งคาดการณ์กันว่าอาจจะกลายเป็น "เมษาเลือด" เนื่องจากคดีความจากผลแห่งกรรมชั่วต่อแผ่นดินที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวกได้ทำเอาไว้ตลอดการบริหารที่ขาดธรรมนำหน้ากว่าสองปีที่ผ่านมา กำลังไล่ล่าลากคอคนทำผิดไปชำระโทษ ทำให้ออกอาการดิ้นพราดไม่ต่างอะไรกับไส้เดือนถูกขี้เถ้า จนหน้ามืดออกมาประกาศศึกกับทุกสถาบัน ตั้งแต่องค์กรอิสระ องค์กรศาล และยังกระทำการบังอาจล่วงละเมิดไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเหิมเกริมยิ่ง

 

 

จะว่าไปแล้วพัฒนาการของสถานการณ์ทางการเมืองมิได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนที่มีหลายฝ่ายออกมาวิจารณ์ เพราะความจริงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ล้วนเป็นผลจากการกระทำของรัฐบาล ที่ผู้มีสติสามารถแลเห็นได้ล่วงหน้าว่า อนาคตของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีโอกาสสูงยิ่งที่จะได้ไปปฏิบัติภารกิจลับ ว.5 ในคุกแทนสถานที่คุ้นเคยอย่างโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เนื่องจากพฤติกรรมการบริหารประเทศแบบ "หนูไม่รู้ แต่หนูจะเอา" ของยิ่งลักษณ์นั้น ไม่ได้ยึดมั่นอยู่บนหลักธรรมาภิบาลแต่เดินหน้าตามที่พี่ชายนักโทษบงการ ด้วยการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงทำให้มีหลายคดีติดตัวเป็นชนักติดหลัง ที่กำลังจะส่งผลให้ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่สองต่อจาก สมัคร สุนทรเวช ที่มีพฤติกรรมต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญจนถูกวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้ง "ทนายโจร" และบรรดา "ขี้ข้า" ทั้งหลายดาหน้าออกมาป้ายสีองค์กรอิสระ และศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นขบวนการ โดยใช้ยุทธศาสตร์ตีกรอบให้ทั้ง ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ ต้องเดินตามแนวทางที่ตัวเองต้องการ ด้วยยุทธวิธีกดดันจากทุกด้าน ตั้งแต่ส่งนักวิชาการชายขอบออกมาดิสเครดิต ให้นักการเมืองสามตัวบาทออกมาใส่ร้าย ส่งทนายโจรออกมาบิดเบือนกฎหมาย ไปจนถึงล่าสุดใช้กลไกรัฐซึ่งมีหน้าที่ดูแลความมั่นคงของประเทศ มาเป็นเครื่องมือสั่นคลอนกระบวนการตรวจสอบของชาติเพื่อความมั่นคงของยิ่งลักษณ์ สะท้อนให้เห็นว่า "ระบอบทักษิณ" กำลังจนแต้มใกล้เดินเข้าตาจนกลางกระดานเต็มที เพราะยิ่งดิ้นยิ่งไร้ทางเดินจึงทำให้เดินมั่วไม่สนถูก ผิด ขอเพียงแค่ให้มีตาเดินเป็นพอ ตอกย้ำให้เห็นว่าระบอบทักษิณใกล้ถึงเวลาล่มสลายแล้ว

แถลงการณ์ของ ศอ.รส.ที่ออกมาแสดงตนไม่ต่างจากเด็กเทคนิคพ่นสีใส่กำแพงแสดงความกร่างว่า "กูพ่อทุกสถาบัน" ซึ่งมีเนื้อหาใส่ร้ายคุกคาม ป.ป.ช.-กกต.-ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ให้ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีกับการกระทำผิดของยิ่งลักษณ์ โดยจับเอาประเทศชาติมาผูกไว้ที่ขาของยิ่งลักษณ์ หวังให้เกิดอาณาจักรแห่งความกลัวว่า ถ้ายิ่งลักษณ์ติดคุก ประเทศชาติก็จะไร้ทางออกด้วยเช่นเดียวกัน นับเป็นมุกเดิมๆ ที่ใช้มาต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ยุคพี่ชายนักโทษ สืบทอดมาถึงน้องสาวขาเป๋ แต่ที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ผู้เล่น เพราะที่ผ่านมาคนไร้สำนึกเหล่านี้มักมี ลูกเล่น แจกบทบาทให้ตัวประกอบเดินเกมทิ่มแทง แล้วตีชิ่งว่าไม่เกี่ยวกับ "รัฐบาล" เป็นเรื่องของรัฐสภา พรรคการเมือง หรือความเห็นส่วนตัว

แต่คราวนี้ถึงกับใช้ ศอ.รส.ออกมาคุกคามกลไกตรวจสอบไม่ให้จับโจร เปลือยตัวตนให้คนในชาติได้เห็นเนื้อในของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าเป็น "รัฐบาลโจร" เพราะไม่มีคนดีที่ไหนปกป้องโจร มีแต่โจรเท่านั้นที่จะปกป้องโจรด้วยกัน

ความจริงอีกประการหนึ่งที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้ ศอ.รส.เป็นหมากเดินเกมตามแผนของทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยคือ คำสัมภาษณ์ในวันที่ 14 เม.ย.57 ของ โภคิน พลกุล หนึ่งในทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยที่ออกมาระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีแนวคิดที่จะถวายฎีกาแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในอำนาจศาลรัฐธรรมนูญว่าสามารถสั่งให้นายกรัฐมนตรีสิ้นสภาพได้หรือไม่ โดยอ้างเหตุผลว่า

"ศาลรัฐธรรมนูญเอาอำนาจของประชาชนไปใช้ และทำภายใต้พระปรมาภิไธย ดังนั้นอย่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เพราะนอกจากจะไม่เคารพประชาชนแล้ว ยังสร้างความระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทได้ สำหรับการยื่นฎีกานั้น เป็นประเพณีที่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถถวายฎีกาให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยได้"

หลังจากนั้นสามวันในวันที่ 17 เม.ย.57 ศอ.รส.โดย ธาริตเพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม ก็ออกมาแถลงมติ ศอ.รส.คุกคาม ป.ป.ช., กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมด้วยข้อเสนอให้ ครม.ขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ ครม.ยิ่งลักษณ์มีอำนาจรักษาการต่อไป หากว่ายิ่งลักษณ์ต้องสิ้นสภาพจากการเป็นนายกรัฐมนตรีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ดูภายนอกอาจคิดว่า ศอ.รส.กำลังเดินเกมรุก แต่หากพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนจะเห็นได้ว่า เป็นการรุกแบบไร้ทางเลือกที่จะนำไปสู่ตาจนในที่สุด

จากเนื้อหาในแถลงการณ์ของ ศอ.รส.นั้น ได้แสดงให้เห็นถึงการยอมรับความเพลี่ยงพล้ำที่มิอาจต่อสู้ให้ยิ่งลักษณ์ชนะคดีได้ ทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง โดยเฉพาะกรณีการย้ายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาฯ สมช.ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 ซึ่งก่อนหน้านี้บรรดาลิ่วล้อ ขี้ข้า ต่างยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยเรื่องนี้ เพราะยิ่งลักษณ์พ้นสภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว แค่ปฏิบัติหน้าที่รักษาการเท่านั้น จึงไม่มีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยในประเด็นนี้อีก แต่ในแถลงการณ์ดังกล่าวกลับแสดงความจำนนอย่างชัดแจ้ง โดยยอมรับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยสถานภาพนายกรัฐมนตรี บนข้อแม้ว่าต้องไม่วินิจฉัยให้ ครม.พ้นอำนาจรักษาการ

นี่คือสันดานต่อรองที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของระบอบทักษิณ ซึ่งไม่เคยเรียนรู้เลยว่ากระบวนการยุติธรรมต่อรองไม่ได้ ทั้งๆ ที่นักโทษชายทักษิณยังต้องรับผลกรรมจากบาปที่ทำ เนื่องจากไม่สามารถใช้เงินซื้ออำนาจตุลาการได้อย่างที่คิดไว้ และคราวนี้ก็จะเป็นการทำผิดซ้ำซากที่จะพอกพูนคดีความให้สุวานจารึกในบัญชีหนังหมาเพิ่มเติมอีก

ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ดูสัญญาณเตือนที่ส่งผ่านแถลงการณ์ตอบโต้ ศอ.รส.ของศาลรัฐธรรมนูญในตอนท้ายที่ระบุว่า

"อนึ่ง การพิจารณาวินิจฉัยคดีของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ศาลรัฐธรรมนูญได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ดังที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 197 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติไว้ และต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ การปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย หากการดำเนินงานของ ศอ.รส.กระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาตามกฎหมายต่อไป"

ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรตุลาการที่ถูกล่วงละเมิดมากที่สุด เนื่องจากไม่มีกฎหมายคุ้มครอง ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยกันอย่างสนุกปาก จนเกิดความเคยชินว่าจะด่าว่าอย่างไรก็ได้ไม่มีความผิด โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าจากปัญหาดังกล่าว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในรัฐธรรมนูญปี 2550 เกี่ยวกับสถานะของ "ศาลรัฐธรรมนูญ" จากเดิมที่รัฐธรรมนูญปี 40 กำหนดให้เป็นองค์กรอิสระที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่ เป็น "องค์กรตามรัฐธรรมนูญในหมวดศาล" แทน นั่นหมายถึงว่าศาลรัฐธรรมนูญได้รับการคุ้มครองในการพิจารณาอรรถคดีไม่ต่างจากศาลยุติธรรม

มาตรา 197 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 บัญญัติไว้ว่า "การพิจารณาพิพากษาอรรถคดี เป็นอำนาจของศาลซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีให้เป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

และด้วยเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่องค์กรอิสระ แต่เป็นหนึ่งในองคาพยพของ "ศาล" จึงทำให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกคนต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 201 ดังนี้

"ข้าพระพุทธเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยปราศจากอคติทั้งปวง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชน และความสงบสุขแห่งราชอาณาจักร ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ"

สิ่งที่คนมักไม่นึกถึงเลยคือ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในหมวดศาลตามรัฐธรรมนูญดังที่กล่าวในข้างต้น ก็หมายถึงว่า กระบวนการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต่างจากศาลสถิตยุติธรรมอื่น โดยมี หลักการเกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาลเพื่อให้เกิดความเป็นอิสระระหว่างดำเนินกระบวนการพิจารณาคดี ไม่ให้มีการดูหมิ่น ขัดคำสั่งศาล หรือแสดงความเห็นที่จะก่อให้เกิดอิทธิพลเหนือความรู้สึกประชาชน เหนือศาล ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคดี ซึ่งจะทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป ซึ่งกฎหมายให้อำนาจศาลในการสั่งลงโทษผู้ละเมิดอำนาจศาลได้เองโดยเฉียบขาดและฉับพลัน ไม่ต้องผ่านกระบวนการตามปกติ

โดยมีตัวอย่างการใช้อำนาจศาลว่าด้วยการละเมิดที่เป็นคดีอื้อฉาวมาแล้วคือ กรณีถุงขนมสองล้านหล่นที่ศาลฎีกาฯ ระหว่างมีการพิจารณาคดีที่ดินรัชดาฯ ของ ทักษิณ-พจมาน จน พิชิต ชื่นบาน และพวกถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 6 เดือนมาแล้ว

แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่เคยใช้อำนาจนี้มาก่อน แต่ไม่ได้ หมายความว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่มีอำนาจสั่งลงโทษผู้ละเมิดอำ นาจศาลโดยเฉียบขาดและฉับพลัน ไม่ต้องผ่านกระบวนการตามปกติ

มาตรการที่ศาลรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการในกรณีนี้ได้ เป็นไปตามข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550 ข้อ 6 กำหนดให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ

เนื้อหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีดังนี้

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31-33

มาตรา 31 ผู้ใดกระทำการอย่างใดดังกล่าวต่อไปนี้ ให้ถือว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

(1) ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาลตามมาตราก่อนอันว่าด้วยการรักษาความเรียบร้อยหรือประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล

(2) เมื่อได้มีคำขอและได้รับอนุญาตจากศาลให้ฟ้องหรือสู้คดีอย่างคนอนาถาแล้ว ปรากฏว่าได้นำคดีนั้นขึ้นสู่ศาลโดยตนรู้อยู่แล้วว่าไม่มีมูล หรือได้สาบานตัวให้ถ้อยคำตามมาตรา 156 ว่าตนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าฤชาธรรมเนียมได้ ซึ่งเป็นความเท็จ

(3) เมื่อรู้ว่าจะมีการส่งคำคู่ความหรือส่งเอกสารอื่นๆ ถึงตนแล้วจงใจไปเสียให้พ้น หรือหาทางหลีกเลี่ยงที่จะไม่รับคำคู่ความหรือเอกสารนั้นโดยสถานอื่น

(4) ตรวจสอบเอกสารทั้งหมดหรือฉบับใดฉบับหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสำนวนความหรือคัดเอาสำเนาเอกสารเหล่านั้นไป โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 54

(5) ขัดขืนไม่มาศาล เมื่อศาลได้มีคำสั่งตามมาตรา 19 หรือมีหมายเรียกตามมาตรา 277

มาตรา 32 ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ บรรณาธิการ หรือผู้พิมพ์โฆษณาซึ่งหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์อันออกโฆษณาต่อประชาชน ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะได้รู้ถึงซึ่งข้อความหรือการออกโฆษณาแห่งหนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่านั้นหรือไม่ ให้ถือว่าได้กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ไม่ว่าเวลาใดๆ ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่ามานั้นได้กล่าวหรือแสดง ไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ซึ่งข้อความหรือความเห็นอันเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์อื่น ๆ แห่งคดี หรือกระบวนพิจารณาใดๆ แห่งคดี ซึ่งเพื่อความเหมาะสมหรือเพื่อคุ้มครองสาธารณประโยชน์ ศาลได้มีคำสั่งห้ามการออกโฆษณาสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าโดยวิธีเพียงแต่สั่งให้พิจารณาโดยไม่เปิดเผยหรือโดยวิธีห้ามการออกโฆษณาโดยชัดแจ้ง

(2) ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ ได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ในระหว่างการพิจารณาแห่งคดีไปจนมีคำพิพากษาเป็นที่สุด ซึ่งข้อความหรือความเห็นโดยประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาลหรือเหนือคู่ความหรือเหนือพยานแห่งคดีซึ่งพอเห็นได้ว่าจะทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป เช่น

ก.เป็นการแสดงผิดจากข้อเท็จจริงแห่งคดี หรือข.เป็นรายงานหรือย่อเรื่องหรือวิพากษ์ ซึ่งกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่เป็นกลางและไม่ถูกต้อง หรือ

ค.เป็นการวิพากษ์โดยไม่เป็นธรรม ซึ่งการดำเนินคดีของคู่ความ หรือคำพยานหลักฐาน หรือนิสัยความประพฤติของคู่ความหรือพยาน รวมทั้งการแถลงข้อความอันเป็นการเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของคู่ความหรือพยาน แม้ถึงว่าข้อความเหล่านั้นจะเป็นความจริง หรือ

ง.เป็นการชักจูงให้เกิดมีคำพยานเท็จ

เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ให้นำวิเคราะห์ศัพท์ทั้งปวงในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช 2476 มาใช้บังคับ

มาตรา 33 ถ้าคู่ความฝ่ายใดหรือบุคคลใดกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ให้ศาลนั้นมีอำนาจสั่งลงโทษ โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือทั้งสองวิธีดังนี้

(ก) ไล่ออกจากบริเวณศาล หรือ

(ข) ให้ลงโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ

การไล่ออกจากบริเวณศาลนั้นให้กระทำได้ชั่วระยะเวลาที่ศาลนั่งพิจารณาหรือภายในระยะเวลาใดๆ ก็ได้ตามที่ศาลเห็นสมควร เมื่อจำเป็นจะเรียกให้ตำรวจช่วยจัดการก็ได้

ในกรณีกำหนดโทษจำคุกและปรับนั้น ให้จำคุกได้ไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท

ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่แตกต่างไปจากศาลยุติธรรม ศาลปกครองและศาลทหาร แต่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน เพราะมีภารกิจในฐานะผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญควบคุมกฎหมายไม่ให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน พิจารณาวินิจฉัยคดีที่เกี่ยวพันกับการดำเนินการของพรรคการเมือง สมาชิกภาพ หรือคุณสมบัติของสมาชิกรัฐสภา รัฐมนตรี รวมถึงการยุบพรรคการเมือง ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 93 หรือ 94

ด้วยเหตุแห่งอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่เชื่อมโยงกับการให้พิจารณาคดีเกี่ยวกับการเมือง ทำให้ทุกคดีที่วินิจฉัยก่อให้เกิดทั้งความพอใจและไม่พอใจในวงกว้างกว่าคดีความตามปกติ ที่มีเฉพาะคู่ความเท่านั้นที่มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่คดีที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง สมาชิกรัฐสภา รวมทั้งรัฐมนตรี ย่อมมีผลต่อความรู้สึกของประชาชนที่สนับสนุนบุคคลเหล่านั้นด้วย ประกอบกับรัฐธรรมนูญปี 40 มิได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ในหมวดศาล ทำให้ไม่ได้รับความคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ในการพิจารณาอรรถคดีความต่างๆ จนมีการวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยอย่างเกินเลย ไปจนถึงการบิดเบือนความจริงและข้อกฎหมายจากคำวินิจฉัยเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐรรมนูญมาต่อเนื่อง กระทั่งเกิดความเคยชินว่า

จะวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญอย่างไรก็ไม่ถือว่าละเมิดอำนาจศาล เพราะเป็นแค่องค์กรอิสระ แม้แต่ยิ่งลักษณ์ ก็ยังเข้าใจผิด หรืออาจตั้งใจให้สาธารณชนเชื่อแบบผิด ๆ ว่าศาลรัฐธรรมนูญเป็นแค่องค์กรอิสระเท่านั้น

ในภาวะที่ผู้ปกครองไม่เคารพกฎหมาย มุ่งทำลายกระบวนการยุติธรรมเพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง ถือเป็นภารกิจที่ท้าทายสำหรับตุลาการที่ต้องพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า ตุลาการซึ่งเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตยนั้น ยังเป็นหลักพิทักษ์ความถูกต้องให้กับบ้านเมืองได้ จึงหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเดินหน้าพิจารณาคดีอย่างหนักแน่น เข้มแข็งและกล้าหาญที่จะจัดการกับคนทำผิด ไม่ว่าไอ้อีผู้นั้นจะเป็นผู้มีอำนาจหรือจะเป็นแค่ทนายโจร

บรรดาขี้ข้า ลิ่วล้อที่รับใช้ ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ จนเนรคุณชาติ ทำลายแผ่นดิน จงได้พึงสำเหนียกไว้ว่า หากยังมีพฤติกรรมทำผิดกฎหมาย ท้าทายอำนาจตุลาการ จะนำชีวิตตัวเองไปสู่ชะตากรรมที่ไม่แตกต่างจาก "พิชิต ชื่นบาน" ทนายถุงขนม ที่เคยลิ้มรสชีวิตอันไร้อิสรภาพในกรงขังมาแล้ว 6 เดือน.

10295710_302809733202898_998765905655877317_n.jpg

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

 

มวลชนกปปส.เตรียมลุยเอเชียทีค ชวนปชช.ชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้าย!!

ข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- อาทิตย์ที่ 20 เมษายน 2557 08:46:00 น.

20 เม.ย.57 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.สวนลุมพินี ว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า มวลชนส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม เพื่อเดินขบวนเชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้ายกับกลุ่ม กปปส.โดยล่าสุดมวลชนอยู่ระหว่างการรับประทานอาหาร เตรียมเสบียงอาหารและน้ำดื่ม

ทั้งนี้ ในเวลา 10.00 น.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.จะนำผู้ชุมนุมเดินเท้าออกจากสวนลุมพินี เข้าถนนสีสม ผ่านถนนนราธิวาสราชนครินทร์ มุ่งหน้าถนนจันทน์ และไปที่เอเชียทีค รวมระยะทาง 8 กิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม การเดินขบวนดังกล่าวเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้ายกับ กปปส.โดยการเคลื่อนไหวของ กปปส.หลังจากนี้จะเคลื่อนไหวทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ

 

</p>

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...