ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

สรุปสภาวะตลาดทองคำแท่ง และโกลด์ฟิวเจอร์ส วันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 โดย YLG

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- ศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2557 17:10:06 น.

กรุงเทพฯ--14 พ.ย.--พีอาร์ดีดี

สภาวะตลาดวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 ราคาทองคำแกว่งตัวในกรอบที่ระดับ 1,150.26-1,163.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำแท่ง 96.5% ภายในประเทศขายออกอยู่ที่ 18,000 บาทต่อบาททองคำ โดยราคาปรับตัวลดลง 50 บาทจากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,050 บาทต่อบาททองคำ ขณะที่โกลด์ฟิวเจอร์ส GFZ14 อยู่ที่ 18,080 บาท โดยราคาปรับตัวลดลง 50 บาท จากวันก่อนหน้าที่ระดับ 18,130 บาท

(หมายเหตุ: ข้อมูลนี้จัดทำขึ้น ณ เวลา 16.38 น. ของวันที่ 14/11/14)

แนวโน้มวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557

หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การนำเข้าทองคำของอินเดียพุ่งสูงขึ้นทางกระทรวงการคลังและธนาคารกลางอินเดียจัดการประชุมเพื่อหาแนวทางจำกัดการนำเข้าทองคำเพื่อป้องกันยอดขาดดุลการค้าของอินเดีย ซึ่งอาจออกมาตราการกีดกันการนำเข้าเพิ่มเติมหรืออาจตั้งข้อจำกัดใหม่ๆ ที่ทำให้ค่าพรีเมียมทองคำของอินเดียพุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับราคาอ้างอิงในตลาดโลก ประเด็นดังกล่าวอาจกระทบอุปสงค์และแรงซื้อทองคำในอินเดียให้ลดลง อินเดียเป็นผู้ซื้อทองคำอันดับสองของโลกรองจากจีน ขณะที่อุปสงค์ที่ชะลอตัวลงในจีนได้เป็นปัจจัยกดดันให้ราคาทองคำตลาดโลกอ่อนตัวลง ทั้งนี้ สภาทองคำโลกเปิดเผยข้อมูลว่าความต้องการทองคำทั่วโลกลดลงเล็กน้อยในไตรมาส 3 ของปี 2014 โดยปรับลดลงมา 2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ของปี 2013 แตะที่ 929.3 ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบเกือบ 5 ปี อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากการแสดงความคิดเห็นที่มีความสอดคล้องกันระหว่างประธานเฟดสาขานิวยอร์ค กับ ประธานเฟดสาขามินนิอาโปลิส แสดงให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายของเฟดกำลังเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้นในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะสร้างความยากลำบากให้แก่เฟดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐสถานการณ์ดังกล่าวได้เป็นปัจจัยหนุนพยุงราคาทองคำไว้ ประเมินว่าหากราคาทองคำขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,160-1,175 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากไม่สามารถผ่านไปได้ ทำให้ราคาเกิดการอ่อนตัวลง แต่หากการอ่อนตัวของราคาทองคำยังคงสามารถยืนเหนือโซนบริเวณ 1,145-1,130 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ โดยราคาทองคำยังมีโอกาสทดสอบแนวต้าน ซึ่งการแกว่งตัวของราคาทองคำยังถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนระยะสั้นเข้าซื้อเก็งกำไร

กลยุทธ์การลงทุน วายแอลจีแนะนำ สำหรับผู้ที่ไม่มีทองคำในมือ แนะนำให้ลงทุนระยะสั้นโดยรอซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงไปบริเวณแนวรับที่ 1,145 หรือ 1,130 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และให้ขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้น โดยราคาทองคำมีลักษณะการแกว่งตัวในระยะสั้นเพื่อสะสมกำลังแบบ Sideway โดยมีการทรงตัวรักษาระดับไว้ น่าจะพอทำให้ในระยะสั้นนี้ราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ โดยหากราคาทองคำไม่สามารถยืนเหนือแนวต้านได้อย่างแข็งแกร่ง นักลงทุนยังต้องระมัดระวังแรงขายทางเทคนิคและนักลงทุนควรตั้งจุดตัดขาดทุนหากราคาหลุดบริเวณแนวรับ เพื่อลดความเสียหายของพอร์ทการลงทุน ในขณะที่นักลงทุนที่มีทองคำในมือ ให้ขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวหรือไม่ผ่านบริเวณแนวต้าน 1,160 หรือ 1,175 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้วรอไปซื้อคืนบริเวณแนวรับสำคัญ

ทองคำแท่ง (96.50%)

แนวรับ 1,145 (17,760บาท) 1,130 (17,530บาท) 1,122 (17,400บาท)

แนวต้าน 1,160 (18,050บาท) 1,175 (18,230บาท) 1,185 (18,390บาท)

GOLD FUTURES (GFZ14)

แนวรับ 1,145 (17,950บาท) 1,130 (17,710บาท) 1,122 (17,590บาท)

แนวต้าน 1,160 (18,180บาท) 1,175 (18,420บาท) 1,185 (18,570บาท)

 

เงินบาทปิด 32.85/86 แกว่งแคบ ตลาดรอดูตัวเลขค้าปลีกสหรัฐฯ คืนนี้

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2557 17:29:19 น.

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 32.85/86 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 32.83/84 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 32.81-32.86 บาท/ดอลลาร์ รอปัจจัยใหม่เข้ามา

"เงินบาทกลับมาปิดตลาดที่ระดับไฮสุดของวัน ปรับตัวแคบกว่าค่าเงินในภูมิภาค" นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน คาดว่า ทิศทางค่าเงินบาทในวันจันทร์จะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.82-32.92 บาท/ดอลลาร์

ทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้าคงต้องรอดูตัวเลขยอดค้าปลีกในเดือน ต.ค.57 ของสหรัฐที่จะประกาศคืนนี้ ส่วนรายงานตัวเลข GDP ไตรมาส 3/57 และอัตราเงินเฟ้อเดือน ต.ค.ของยูโรโซนที่ประกาศในช่วงเย็นยังไม่ส่งผลกระทบมากนัก

"ถ้าตัวเลข retail คืนนี้ออกมามีเซอร์ไพรส์อาจจะสามารถกำหนดทิศทางได้ในคืนนี้ แต่ถ้าไม่ตัวเลขก็คงปรับตัวในกรอบแคบๆ อย่างนี้ต่อไป" นักบริหารเงิน กล่าว

* ปัจจัยสำคัญ

- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 116.33 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 111.85 เยน/ดอลลาร์

- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.2461 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.2467 ดอลลาร์/ยูโร

- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,575.88 จุด ลดลง 1.33 จุด, -0.08% มูลค่าการซื้อขาย 47,053.36 ล้านบาท

- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 178.23 ล้านบาท(SET+MAI)

- นายสมมาย ภาษี รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)ไปพิจารณาแผนจัดหาเงินกู้ผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อใช้หนี้โครงการรับจำนำข้าวให้รอบคอบเพื่อนำมาเสนออีกครั้ง อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะสามารถออกพันธบัตรชุดแรกได้ในปีงบประมาณ 58

- นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง กล่าวว่า ยังมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไปอีกราว 2-3 ปี เพราะรัฐบาลมีแผนจะใช้งบประมาณในการดูแลเรื่องสังคม ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งมีแผนลงทุนและชำระหนี้ต่าง ๆ อีกมากมาย ดังนั้น จึงยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบจัดทำงบสมดุลในช่วงนี้

- ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดทำดัชนีภาวะเศรษฐกิจของครัวเรือนโดยผลสำรวจในเดือนต.ค.57 พบว่า ดัชนี้ปรับตัวลงมาที่ 44.7 ในเดือนต.ค. 2557 หลังจากขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า โดยประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินยังมีผลกระทบต่อภาวะการครองชีพในยามที่รายได้ของครัวเรือนในหลายๆ ส่วน

- สำนักงานสถิติแห่งชาติฝรั่งเศสรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัว 0.3% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่แข็งแกร่งสุดในรอบกว่า 1 ปี

- สำนักงานศุลกากรของเกาหลีใต้ เผยมียอดเกินดุลการค้าสูงเป็นประวัติการณ์ในเดือน ต.ค.ที่ 7.38 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง โดยคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจมีการขยายตัว 2.3% เมื่อเทียบรายปี แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.164 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนการนำเข้าในเดือน ต.ค.ลดลง 3% แตะที่ 4.426 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดเกินดุลการค้าที่สูงเป็นประวัติการณ์ครั้งก่อนหน้านี้อยู่ที่ 6.79 พันล้านดอลลาร์ในเดือน มิ.ย.53

- สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี เผยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) สามารถพลิกกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในไตรมาส 3 โดยปรับตัวขึ้น 0.1% เพราะได้แรงหนุนจากการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชน แต่การที่จีดีพีขยายตัวเพียงเล็กน้อยในไตรมาสดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนเป็นไปอย่างเชื่องช้า

- สำนักงานสถิติของมาเลเซียเปิดเผยในวันนี้ว่า เศรษฐกิจมาเลเซียในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัว 5.6% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงหลังจากที่เติบโต 6.2% ในไตรมาสแรกและ 6.5% ในไตรมาส 2 ปีนี้

อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ราคายังถูกกดดันต่อไป

ราคาทองคำเปิดตลาดเอเชียที่บริเวณ 1,161 USDต่อออนซ์ ระหว่างวันมีกรอบการเคลื่อนไหว 1,149 - 1,162 USDต่อออนซ์

โดยปัจจัยลบยังคงปกคลุมตลาดทองคำ ซึ่งข้อมูลอุปสงค์ทองคำ

ในไตรมาส 3 ที่ลดลงอย่างมากในประเทศจีน ตามรายงานของ WGC ส่งผลลบต่อราคาทองคำอย่างชัดเจน และแม้ว่ากองทุน ETF

จะไม่ได้ขายทองคำออกอย่างหนักหน่วงเช่นที่ผ่านมา

 

สามารถติดตามบทวิเคราะห์ทั้งหมดได้ที่

http://www.classicgold.co.th/…/filestrategy1411201416553420…

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

เยนร่วงแตะระดับต่ำสุดใน 7 ปีเทียบดอลล์ จากประเด็นการปรับขึ้นภาษีของญี่ปุ่น

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2557 20:47:49 น.

สกุลเงินเยนร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์ จากสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนในการตัดสินใจปรับขึ้นภาษีการบริโภคของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น

สกุลเงินเยน ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดเป็นอันดับที่สองของโลกลดลง 0.6% เทียบดอลลาร์ ที่ระดับ 116.48 เยน/ดอลลาร์เมื่อเวลา 20.08 น. ตามเวลาประเทศไทย หลังจากลดลงไปแตะที่ 116.49 เยน/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2550

เยนลดลง 0.4% เทียบยูโร แตะที่ 144.95 เยน/ยูโร

ยูโรลดลง 0.3% เทียบดอลลาร์ ที่ระดับ 1.2445 ดอลลาร์/ยูโร

สกุลเงินเยนมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน จากประเด็นการอภิปรายในเรื่องการปรับขึ้นภาษีการบริโภคของญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อน

หนังสือพิมพ์ไมนิจิของญี่ปุ่นรายงานว่า นายอาเบะจะแถลงข่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจชะลอปรับขึ้นภาษีในสัปดาห์หน้าโดยไม่ได้ระบุรายละเอียดใดๆ

นอกจากนี้ ไมนิจิระบุว่า นายอาเบะยังจะอธิบายเหตุผลในการตัดสินใจประกาศยุบสภาในงานแถลงข่าวดังกล่าวอีกด้วย

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง โทร.02-2535000 ต่อ 349 อีเมล์: ket@infoquest.co.th--

 

ราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวลดลง หลังนักลงทุนคลายวิตกอัตราเงินเฟ้อ

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2557 20:19:26 น.

ราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวลดลง อันเนื่องมาจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์ในการถือครองทรัพย์สินเพื่อป้องกันความเสี่ยงปรับตัวลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 0.7% ที่ระดับ 1,153 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลาประมาณ 19.46 น. ตามเวลาประเทศไทย

ราคาทองฟิวเจอร์ปรับตัวลดลงจากแรงเทขายของนักลงทุนที่ถือครองทองคำของเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาผู้บริโภค หลังจากผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์บ่งชี้ว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI มีแนวโน้มจะทำสถิติปรับตัวลดลงในระหว่างสัปดาห์ติดต่อกันที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2529

นักวิเคราะห์กล่าวว่า นักลงทุนมีความวิตกกังวลในเรื่องภาวะเงินฝืดในสหภาพยุโรปมากกว่าภาวะเงินเฟ้อในปีหน้า

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง โทร.02-2535000 ต่อ 349 อีเมล์: ket@infoquest.co.th--

 

สหรัฐเผยยอดค้าปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2557 21:04:28 น.

กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ในต.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า การปรับตัวลงของราคาน้ำมันช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ในขณะที่สหรัฐกำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลจับจ่ายซื้อของ

รายงานของกระทรวงระบุว่า ยอดค้าปลีกและยอดขายอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค. หลังจากที่ลดลง 0.3% ในเดือนก.ย.

ตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%

รายงานระบุว่า หากไม่นับรวมยอดขายน้ำมัน ยอดค้าปลีกของสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 0.5% ในเดือนต.ค. หลังจากที่ลดลง 0.2% ในเดือนก.ย.

ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายของภาคครัวเรือนมีสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของผลผลิตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และคิดเป็นสัดส่วน 1.22% ในการมีส่วนช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐขยายตัวที่ระดับ 3.5% ในไตรมาสที่ 3

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง โทร.02-2535000 ต่อ 349 อีเมล์: ket@infoquest.co.th--

 

น้ำมัน WTI บวก 15 เซนต์ จากคาดการณ์ปฏิกิริยาต่อราคาน้ำมันดิบของโอเปค

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2557 19:54:16 น.

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการคาดการณ์ที่ว่า องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปค อาจจะปรับลดกำลังการผลิตลงหลังจากที่ราคาน้ำมันดิบร่วงหลุดระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) เดือนธ.ค.ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 15 เซนต์ หรือ 0.2% แตะที่ 74.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 19.10 น.ตามเวลาประเทศไทย

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากนักวิเคราะห์ในคูเวตระบุว่า ซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกจะไม่ดื้อรั้นคงกำลังการผลิตไว้ที่ระดับสูง หลังจากที่เห็นกลุ่มประเทศสมาชิกโอเปกได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียยังได้สอบถามความเห็นจากประเทศสมาชิกก่อนจะถึงการประชุมโอเปคที่กรุงเวียนนาในวันที่ 27 พ.ย.นี้

อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์บ่งชี้ว่า สัญญาน้ำมันดิบ WTI มีแนวโน้มจะทำสถิติการปรับตัวลดลงในระหว่างสัปดาห์ติดต่อกันที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2529

รายงานประจำเดือนของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ซึ่งเปิดเผยในวันนี้ระบุว่า ระดับปริมาณอุปสงค์-อุปทานบ่งชี้ว่า ราคาน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย เกตุ โนนทิง โทร.02-2535000 ต่อ 349 อีเมล์: ket@infoquest.co.th--

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $24.1 หลังดอลล์อ่อน,ราคาน้ำมันดีดตัว

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2557 08:30:47 น.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 พ.ย.) เนื่องจากได้แรงหนุนจากดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรเป็นวันที่สอง และจากการที่ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าโอเปคอาจลดกำลังการผลิต

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 24.1 ดอลลาร์ หรือ 2.07% ปิดที่ 1,185.6 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้น 69.3 เซนต์ หรือ 4.44% ปิดที่ 16.314 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ดีดขึ้น 14.1 ดอลลาร์ หรือ 1.18% ปิดที่ 1,213.1 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ขยับขึ้น 0.50 เซนต์ ปิดที่ 771.35 ดอลลาร์

ราคาทองฟิวเจอร์พุ่งขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ได้ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุนในโลหะมีค่าซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรวัดการเคลื่อนไหวของดอลลาร์เทียบกับสกุลเงินคู่แข่งอีกหกสุกลเงิน ร่วงลงเป็นวันที่สองติดต่อกันในวันศุกร์ โดยยูโรแข็งค่าขึ้นสูงกว่าระดับสำคัญที่ 1.2500 ต่อดอลลาร์ จากระดับ 1.2300 ในวันพุธ

ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว ทองและดอลลาร์จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกัน

ขณะเดียวกันสัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ จากระดับต่ำสุดในรอบสี่ปีเมื่อวันพฤหัสบดี โดยราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้นราว 2% ในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองเช่นกัน

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาทองทองปรับตัวลดลงในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้นักลงทุนส่วนหนึ่งเลือกที่จะเข้าซื้อเก็งกำไรก่อนช่วงสุดสัปดาห์

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--

 

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดดีด $1.61 จากแรงซื้อเก็งกำไร,คาดโอเปคลดกำลังผลิต

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2557 08:07:43 น.

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไร หลังจากที่ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างหนักแตะระดับต่ำสุดในรอบสี่ปีเมื่อวันก่อน นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายได้แรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มโอเปคอาจตัดสินใจลดกำลังการผลิตเพื่อหนุนราคาน้ำมันที่ร่วงลงต่ำกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปี

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้น 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 75.82 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. สำหรับตลอดสัปดาห์ ราคาร่วงลง 3.6%

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้น 1.92 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 79.41 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 5.4% ในรอบสัปดาห์

ราคาน้ำมันได้แรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า การร่วงลงของราคาน้ำมันทำให้มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะลดการผลิตลง โดยบีเอ็นพี พาริบาส์ ระบุในรายงานว่า โอเปคอาจจำเป็นต้องลดการผลิตลง 1-1.5 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อหนุนราคา

โอเปค ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบหนึ่งในสามของโลก จะจัดประชุมที่กรุงเวียนนาในวันที่ 27 พ.ย.นี้ ขณะที่มีรายงานข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ว่า บรรดาสมาชิกโอเปคเรียกร้องให้ทางกลุ่มลดการผลิต แม้อาลี อัล-โอแมร์ รัฐมนตรีน้ำมันคูเวต กล่าวในอาบูดาบีเมื่อวันจันทร์ว่า เขาไม่คิดว่าโอเปคจะตัดสินใจลดการผลิตในการประชุมหนนี้

ราคาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างหนักในวันพฤหัสบดี จากความวิตกเกี่ยวกับอุปทานล้นตลาด โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 2.97 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 74.21 ดอลลาร์/บาร์เรล และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลง 2.46 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 77.92 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิง ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว

โดย EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิงพุ่งขึ้น 1.704 ล้านบาร์เรล แตะที่ 22.5 ล้านบาร์เรลในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 พ.ย. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์พลังงานในสหรัฐ

EIA ระบุว่าการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบนั้นมีความไม่แน่นอน เนื่องจากความเป็นไปที่ว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงด้านอุปทานจากทางกลุ่มโอเปค โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--

 

10404293_824455737651378_9013946783154392990_n.jpg?oh=6a028f9902b0891ae9975b8e6ec8023b&oe=54E57D6C

สวัสดีเพื่อน สุขกาย บายใจนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 18.05 จุด ขณะนลท.ชะลอซื้อขาย

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- เสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2557 07:11:00 น.

ดัชนีหุ้นนิวยอร์กค่อนข้างทรงตัวเมื่อคืนนี้ (14 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดขยับลงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นครั้งที่หกในรอบเจ็ดวันทำการที่ผ่านมา ท่ามกลางภาวะซื้อขายที่ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการเข้าลงทุน หลังจากที่ตลาดเคลื่อนไหวแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ และทำสถิติใหม่หลายครั้งในรอบสัปดาห์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดลง 18.05 จุด หรือ 0.10% ปิดที่ 17,634.74 จุด ดัชนี S&P500 ขยับขึ้น 0.49 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 2,039.82 จุด ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 8.40 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 4,688.54 จุด

สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.3% และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งทั้งสองดัชนีต่างเดินหน้าขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สี่ ส่วน NASDAQ พุ่ง 1.2% โดยดัชนีปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ห้าในวันศุกร์ และแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2543

ภาวะการซื้อขายในวันศุกร์ค่อนข้างเงียบเหงา โดยถึงแม้ว่ามีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจโดยรวมที่เป็นบวก แต่นักลงทุนลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้น หลังจากที่ดัชนีทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา

ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์นั้นมีอยู่หลายรายการด้วยกัน โดยกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกของสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ในต.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% นับเป็นสัญญาณสดใสที่บ่งชี้ว่า การปรับตัวลงของราคาน้ำมันช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ในขณะที่สหรัฐกำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลจับจ่ายซื้อของเนื่องในเทศกาลวันหยุด

กระทรวงพาณิชย์รายงานในวันเดียวกันว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. ขณะที่ยอดขายของภาคธุรกิจแทบไม่เปลี่ยนแปลง

ขณะที่ผลสำรวจโดยทอมสัน รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนบ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐในเดือนพ.ย.ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปี

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นแตะที่ระดับ 89.4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2550 และสูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด

ด้านกระทรวงแรงงานเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าของสหรัฐลดลง 1.3% ในเดือนต.ค. โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาเชื้อเพลิงที่ปรับตัวลง ขณะที่ราคาส่งออกลดลง 1.0%

ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นลงระหว่างแดนบวกและลบในระหว่างวัน และสามารถปิดปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้หลายครั้ง ขณะที่นักลงทุนพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจและผลประกอบการภาคเอกชน ควบคู่ไปกับการประเมินราคาหุ้น เพื่อใช้เป็นปัจจัยประกอบการตัดสินใจในการเข้าลงทุน

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด โดยราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงได้สร้างแรงกดดันให้หุ้นของบริษัทพลังงาน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภค

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปนัยดา ปัทมโกวิท โทร.02-2535000 ต่อ 323 อีเมล์: panaiyada@infoquest.co.th--

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สรุปภาพรวมตลาดหุ้น 14-11-57 vdo.gif สรุปภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้น ช่วงตรงประเด็นข่าวค่ำ "NOW26" 14-11-57 แนวโน้มราคาทอง vdo.gif ตรงประเด็นข่าวค่ำ แนวโน้มราคาทองคำ สดตรงจากนักวิเคราะห์ "NOW26" 14-11-57 สรุปภาวะซื้อขายตลาดอนุพันธ์ 14-11-57 vdo.gif สรุปภาวะซื้อขายตลาดอนุพันธ์ภาคบ่าย แนวโน้มการลงทุนสัปดาห์หน้า ติดตามได้ใน Money Wise "NOW26" 14-11-57 เงินบาทปิด32.85/86แกว่งแคบ พอร์ตลงทุนหุ้นวันนี้ต่างชาติซื้อ72ลบ. หุ้นไทยปิดร่วง1.33จุด สรุปภาวะซื้อขายตลาดหุ้น 14-11-57 vdo.gif

ดูข่าว ทั้งหมด icon-arrow-gray.gif

 

 

ข่าวยอดนิยม

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เหรียญหน้าที่สองของการพัฒนาเศรษฐกิจ

โดย : ดร.ไสว บุญม

 

 

 

สัปดาห์นี้ การประชุมผู้นำกลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ตามขอบมหาสมุทรแปซิฟิก ณ กรุงปักกิ่งเป็นข่าวใหญ่

หัวใจของการประชุมได้แก่ท่าทีที่สมาชิกมีต่อความร่วมมือ หรืออาจเป็นการแข่งขันและจ้องเอาเปรียบกันก็ได้ โดยเฉพาะทางด้านการค้าและการพัฒนาเศรษฐกิจ จีนในฐานะเจ้าภาพและอภิมหาอำนาจใหม่ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมอย่างสุดอลังการ หากวัดศักยภาพด้านเศรษฐกิจด้วยการผลิตสินค้าและบริการ จีนแซงญี่ปุ่นขึ้นมาเป็นอันดับสองรองจากอเมริกาถ้าคำนวณตามแนวที่ใช้กันมาตั้งแต่เมื่อนักเศรษฐศาสตร์เริ่มทำบัญชีที่ใช้วัดผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ จีดีพี แต่ถ้าใช้การคำนวณแนวใหม่ซึ่งปรับราคาของสินค้าและบริการให้อยู่ในแนวเดียวกันหมด จีนแซงหน้าอเมริกาขึ้นมาเป็นหมายเลขหนึ่งของโลกแล้ว

อย่างไรก็ดี เนื่องจากจีนมีประชากรมากกว่าอเมริการาว 4 เท่า สิ่งที่ชาวจีนผลิตและบริโภคได้เป็นรายบุคคล ยังอยู่แค่ 20-25% ของชาวอเมริกันเท่านั้น จีนจึงเร่งผลักดันที่จะให้ชาวจีนผลิตและบริโภคได้ในระดับทัดเทียมกับชาวอเมริกัน หรือเกินกว่านั้นหากทำได้ มิเพียงแต่ชาวจีนเท่านั้นที่พยายามผลักดันแบบเต็มอัตรา ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกก็พยายามทำ ในขณะเดียวกัน อเมริกาเองก็มิได้หยุดนิ่ง หากผลักดันให้เศรษฐกิจของตนพัฒนาต่อไปเพื่อให้ชาวอเมริกันผลิตและบริโภคได้มากขึ้น ท่ามกลางความพยายามอย่างถ้วนหน้าเช่นนี้ ดูจะไม่มีใครตั้งคำถามสำคัญ ๆ บางข้อ อาทิเช่น จะทำไปเพื่ออะไร? จะทำได้จริงหรือ?

เท่าที่พอจะอนุมานได้ ประเทศกำลังพัฒนาต้องการบริโภคมากเช่นเดียวกับอเมริกาและประเทศก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและมีรายได้สูง อาจไม่เป็นที่ทราบกันดี การบริโภคในที่นี้มิได้จำกัดอยู่ที่การรับประทานอาหารเท่านั้น หากรวมถึงการใช้สินค้าและบริการทุกอย่างในการดำเนินชีวิตซึ่งต้องผลิตออกมา การผลิตต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ในบริบทนี้ แม้สังคมที่ส่งสัญญาณว่าเกลียดอเมริกาก็ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจให้ขยายตัวต่อไปเพื่อจะบริโภคได้แบบชาวอเมริกัน แต่ดูจะไม่มีใครเจาะให้ลึกลงไปให้ถึงแก่นความจริง อาทิเช่น ภาพที่เห็นง่ายๆ ได้แก่ ความอ้วนแบบอุ้ยอ้ายจนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชาวอเมริกันเสียค่ารักษาพยาบาลมหาศาลเพราะผลพวงของการบริโภค การเป็นโรคร้ายและต้องใช้จ่ายสูงไม่ทำให้เกิดความสุข ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการหลอกตัวเองอีกด้วย ทั้งนี้เพราะการนับค่ารักษาพยาบาลเป็นจีดีพีซึ่งใช้เป็นตัวชี้วัดการพัฒนา ยิ่งมีคนป่วยมากและเสียค่ารักษาพยาบาลมาก จีดีพียิ่งสูง แทนที่จะยิ่งต่ำเพราะความเจ็บไข้ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน

นั่นเป็นเพียงการบริโภคอาหารเพียงเรื่องเดียว ยังมีการบริโภคอีกมากมายที่ใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเสื้อผ้าและเครื่องประดับชนิดหรูหราไปตามความนิยม การปลูกบ้านขนาดใหญ่และเกินหนึ่งหลังทั้งที่ไม่มีความจำเป็น หรือการมีรถยนต์ เรือและเครื่องบินสำหรับขับเล่นสนุก ๆ ทุกอย่างใช้ทรัพยากรพร้อมกับทิ้งกากไว้รวมทั้งในอากาศและสายน้ำ เนื่องจากทรัพยากรโลกมีจำกัด การแย่งชิงกันจึงเกิดขึ้น การแย่งชิงกันอาจทำผ่านการเอาเปรียบทางการค้า หรือการแย่งชิงแบบหน้าด้านๆ ก็ได้ การประชุมที่กรุงปักกิ่งเป็นการมองหาข้อตกลงที่ประเทศใหญ่ๆ ต้องการใช้เอาเปรียบผู้อื่น อเมริกาจึงคัดค้านการก่อตั้งธนาคารเพื่อการลงทุนในปัจจัยพื้นฐานที่จีนเป็นหัวเรือใหญ่ ทั้งนี้เพราะจะไปขัดผลประโยชน์ที่ตนเก็บเกี่ยวมานานผ่านธนาคารโลก การแย่งชิงแบบหน้าด้านๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้ง รวมทั้งการยึดครองปาเลสไตน์เพื่อแย่งน้ำและการโจมตีอิรักเพื่อแย่งน้ำมันซึ่งยังมีผลพวงมาถึงปัจจุบันนี้

เรื่องการทิ้งกากจำนวนมากจนเป็นปัญหาเกิดขึ้นในอเมริกามาก่อนและตอนนี้เกิดขึ้นในจีนซึ่งมีหลายเมืองที่อากาศเป็นพิษถึงขั้นเป็นอันตรายและสายน้ำที่สกปรกที่สุดในโลกหลายแห่ง ในอเมริกา ประชาชนในเมืองใหญ่ ๆ เคยหายใจไม่ออกและแม่น้ำเคยลุกเป็นไฟ เรื่องนี้อาจหาอ่านได้ในหนังสือชื่อ “ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ” ซึ่งดาวน์โหลดได้ฟรีที่เว็บไซต์ของคลังเอกสารสาธารณะ www.openbase.in.th อเมริกาพยายามทำลายกากให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือไม่ก็ไปลงทุนยังต่างประเทศรวมทั้งในจีนซึ่งมักไม่ทำลายกาก หากปล่อยออกไปในอากาศและสายน้ำจนทำให้ทั้งสองเป็นพิษ การไปลงทุนเช่นนั้นมองได้ว่าเป็นการไปแย่งชิงอากาศและสายน้ำของจีนเพื่อให้ดูดซับกากเจ้าปัญหาที่อเมริกาไม่ต้องการ

ประเทศก้าวหน้าพยายามค้นหาเทคโนโลยีใหม่เพื่อใช้ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ แต่เทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นไม่ทันความต้องการ แม้แต่เรื่องผลิตอาหารซึ่งครั้งหนึ่งทำได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดผ่านการปฏิวัติสีเขียวก็ทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น เทคโนโลยีมักมีคำสาปติดมาด้วย คำสาปอาจเป็นในรูปของอันตรายจำพวกที่เกิดขึ้นได้จากกัมมันตภาพรังสี หรือในรูปของความต้องการใหม่ ๆ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนและต้องใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้น อาทิเช่น ของเล่นที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เมื่อมองโดยรวม เทคโนโลยีใหม่อาจมิได้ช่วยประหยัดทรัพยากร ตรงข้าม อาจนำไปสู่การใช้ทรัพยากรเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นพร้อมกับเอื้อให้มหาอำนาจสามารถแย่งชิงทรัพยากรได้สะดวกขึ้น การแย่งกันซื้อไอโฟนเป็นหนึ่งส่วนของกระบวนการนี้

การแย่งชิงมิได้เกิดขึ้นเฉพาะระหว่างประเทศเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นภายในแต่ละประเทศอีกด้วย ความฉ้อฉลและความเหลื่อมล้ำซึ่งร้ายแรงขึ้นทุกวันเป็นกระบวนการและผลของการแย่งชิงทรัพยากรกันนั่นเอง การแย่งชิงกันจะยิ่งเข้มข้นและรุนแรงขึ้นต่อไปตราบใดที่จำนวนคนยังเพิ่มขึ้นและทุกคนต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นในขณะที่เทคโนโลยีใหม่ยังก้าวหน้าไปได้ช้ากว่าความต้องการ ในการแย่งชิงกันนี้ จะมีรัฐล้มเหลวเพิ่มขึ้น แต่จะยังมิใช่อเมริกาและมหาอำนาจต่าง ๆ ดังที่มีผู้สาปแช่ง หากจะเป็นสังคมของผู้ที่สาปแช่งเองนั่นแหละ

Tags : ดร.ไสว บุญมา

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณครับ คุณginger วันหยุดขอให้มีความสุขมากๆครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

1622786_825653660864919_1841661497261290209_n.jpg?oh=ec5e47f934124485e562571a06b79533&oe=551254D1

สวัสดีวันจันทร์ สดใส เบิกบาน โชคดีพี่น้อง เพื่อนๆ คุณๆ

สวัสดี deb ขอบคุณคับ news Trader wann Goldleng Google ... ... โชคดึ มีความสุขนะคะ

 

 

 

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2557 06:49:24 น.

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 14 พ.ย.2557

-- ดัชนีหุ้นนิวยอร์กค่อนข้างทรงตัวเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปิดขยับลงเล็กน้อย ขณะที่ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้นปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหนึ่ง โดยเป็นครั้งที่หกในรอบเจ็ดวันทำการที่ผ่านมา ท่ามกลางภาวะซื้อขายที่ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการเข้าลงทุน หลังจากที่ตลาดเคลื่อนไหวแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ และทำสถิติใหม่หลายครั้งในรอบสัปดาห์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดลง 18.05 จุด หรือ 0.10% ปิดที่ 17,634.74 จุด ดัชนี S&P500 ขยับขึ้น 0.49 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 2,039.82 จุด ดัชนี NASDAQ เพิ่มขึ้น 8.40 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 4,688.54 จุด

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.) โดยภาวะการซื้อขายถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มบริการสุขภาพ และกลุ่มเหมือง ขณะเดียวกันมีการเปิดเผยตัวเลขจีดีพีซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวขึ้นเล็กน้อยในไตรมาสสาม แต่การฟื้นตัวยังคงเป็นไปอย่างซบเซา

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 0.1% ปิดที่ 335.63 จุด โดยทั้งสัปดาห์ดัชนีขยับขึ้น 0.1%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น 14.51 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 4,202.46 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันเพิ่มขึ้น 4.43 จุด หรือ 0.05% ปิดที่ 9,252.94 จุด ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนเพิ่มขึ้น 18.92 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 6,654.37 จุด

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดเพิ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.) หลังจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นได้ช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่มบริษัทพลังงานดีดตัว ขณะเดียวกันมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งรวมถึงจีดีพียุโรป และผลผลิตภาคการก่อสร้างของอังกฤษ

ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 18.92 จุด หรือ 0.29% ปิดที่ 6,654.37 จุด หลังจากที่ร่วงลง 0.4% ในช่วงแรกของการซื้อขาย สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีเพิ่มขึ้น 1.2% ซึ่งปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สี่

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไร หลังจากที่ราคาน้ำมันร่วงลงอย่างหนักแตะระดับต่ำสุดในรอบสี่ปีเมื่อวันก่อน นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายได้แรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ที่ว่ากลุ่มโอเปคอาจตัดสินใจลดกำลังการผลิตเพื่อหนุนราคาน้ำมันที่ร่วงลงต่ำกว่า 80 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในรอบสี่ปี

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้น 1.61 ดอลลาร์ หรือ 2.2% ปิดที่ 75.82 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. สำหรับตลอดสัปดาห์ ราคาร่วงลง 3.6%

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้น 1.92 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 79.41 ดอลลาร์/บาร์เรล และร่วงลง 5.4% ในรอบสัปดาห์

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.) เนื่องจากได้แรงหนุนจากดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรเป็นวันที่สอง และจากการที่ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าโอเปคอาจลดกำลังการผลิต

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 24.1 ดอลลาร์ หรือ 2.07% ปิดที่ 1,185.6 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปรับตัวขึ้น 69.3 เซนต์ หรือ 4.44% ปิดที่ 16.314 ดอลลาร์/ออนซ์

ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ดีดขึ้น 14.1 ดอลลาร์ หรือ 1.18% ปิดที่ 1,213.1 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ขยับขึ้น 0.50 เซนต์ ปิดที่ 771.35 ดอลลาร์

-- ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบสกุลเงินยูโรเมื่อวันศุกร์ (14 พ.ย.) หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลดลง แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินเยน หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจ ได้แก่ ยอดค้าปลีกและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสนับสนุนมุมมองที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังขยายตัวแข็งแกร่งขึ้น

เงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2525 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2487 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ลดลงที่ 1.5680 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.5718 ดอลลาร์

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวสูงขึ้นเทียบกับสกุลเงินเยนที่ 116.25 เยน เทียบกับระดับ 115.71 เยน ลดลงเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.9591 ฟรังค์ จาก 0.9625 ฟรังค์ และลดลงแตะ 1.1283 ดอลลาร์แคนาดา จาก 1.1364 ดอลลาร์แคนาดา

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 17,634.74 จุด ลดลง 18.05 จุด -0.10%

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 4,688.54 จุด เพิ่มขึ้น 8.40 จุด +0.18%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,039.82 จุด เพิ่มขึ้น 0.49 จุด +0.02%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,654.37 จุด เพิ่มขึ้น 18.92 จุด +0.29%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,252.94 จุด เพิ่มขึ้น 4.43 จุด +0.05%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,202.46 จุด เพิ่มขึ้น 14.51 จุด +0.35%

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,433.80 จุด เพิ่มขึ้น 10.30 จุด +0.19%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,454.30 จุด เพิ่มขึ้น 11.60 จุด +0.21%

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 8,982.88 จุด เพิ่มขึ้น 2.21 จุด +0.02%

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 17,490.83 จุด เพิ่มขึ้น 98.04 จุด +0.56%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 1,945.14 จุด ลดลง 15.37 จุด -0.78%

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 2,478.82 จุด ลดลง 6.78 จุด -0.27%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 7,217.34 จุด เพิ่มขึ้น 18.71 จุด +0.26%

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 24,087.38 จุด เพิ่มขึ้น 67.44 จุด +0.28%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 5,049.49 จุด เพิ่มขึ้น 0.82 จุด +0.02%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,813.79 จุด ลดลง 2.02 จุด -0.11%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,315.67 จุด เพิ่มขึ้น 10.74 จุด +0.32%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 28,046.66 จุด เพิ่มขึ้น 106.02 จุด +0.38%

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

07:50 รายงานการซื้อขายหุ้นผ่าน NVDR ประจำวันที่ 14 พ.ย. 2557 สรุปภาพรวมการซื้อขายหุ้นผ่าน NVDR ประจำวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557 พบว่ามีมูลค่าการซื้อสุ…

07:45 รายงานหุ้นถูกชอร์ตเซล ประจำวันที่ 14 พ.ย. 2557 หลักทรัพย์ ปริมาณหุ้นที่ มูลค่าการ %ปริมาณการขายชอร์ต ขายซอร์ต ขายชอร์ต เทียบกับปริมาณการซื้อข…

07:39 เกิดเหตุเพลิงไหม้บริษัทอาหารในจีน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ราย เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเปิดเผยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 ราย จากเหตุเพลิงไหม…

07:29 ภาวะตลาดหุ้นโตเกียว: นิกเกอิร่วง 161.59 จุด หลังญี่ปุ่นเผย GDP Q3 หดตัว ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลง 161.59 จุด หรือ 0.92% แตะที่ 17,329…

07:06 ญี่ปุ่นเผย GDP หดตัวลง 1.6% ในช่วงไตรมาส 3/2557 รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ปีนี้ หดตัวลง 1.…

 

 

ญี่ปุ่นเผย GDP หดตัวลง 1.6% ในช่วงไตรมาส 3/2557

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2557 07:06:10 น.

รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ปีนี้ หดตัวลง 1.6%

อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช/พันธุ์ทิพย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: pantip@infoquest.co.th--

 

 

ธกส.อุ้ม8หมื่นรายให้กู้รายละไม่เกินแสน ลุยล้างหนี้นอกระบบ

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2557 06:00:00 น.

ธกส.อุ้ม8หมื่นรายให้กู้รายละไม่เกินแสน

ลุยล้างหนี้นอกระบบ

เกษตรกรแห่ขึ้นทะเบียนขอกู้ ธ.ก.ส.นำเงินโปะหนี้นอกระบบ เผยมีผู้ร่วมโครงการลงทะเบียนแล้ว จำนวน 80,000 ราย รวมเป็นเงิน 8,000 ล้านบาท ขณะที่ “ออมสิน”ออก “สินเชื่อฉับพลัน”แก้ไขปัญหาในส่วนของประชาชนผู้มีรายได้น้อย

นายสมศักดิ์ กังธีระวัฒน์ รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.อยู่ระหว่างเรียกเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนแก้หนี้นอกระบบกับธนาคารมาเจรจาประนอมหนี้ผ่านการปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยมีเกษตรกรเข้ารับการลงทะเบียนแล้ว จำนวน 80,000 ราย คิดเป็นเงิน 8,000 ล้านบาท จากวงเงินทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท ของโครงการแก้ไขหนี้นอกระบบของเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน เพื่อลดภาระหนี้ของประชาชนที่เกิดจากเหตุสุจริตจำเป็นที่เปิดให้ขึ้นทะเบียนตั้งแต่เดือน ก.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้หลังจากเรียกเกษตรกรมาเจรจาประนอมหนี้แล้ว จะให้เกษตรกรเข้ารับการฝึกอบรมด้านการเงิน เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในอนาคตจะได้ไม่ก่อให้เกิดหนี้นอกระบบอีก ก่อนจะปล่อยสินเชื่อให้เกษตรกรไปชำระหนี้ได้ภายในเดือนพ.ย.นี้

สำหรับหลักเกณฑ์ของโครงการแก้หนี้ของธ.ก.ส.ในครั้งนี้ จะต้องเป็นหนี้ที่มีต้นเงินและดอกเบี้ยรวมกันสุทธิหลังประนอมหนี้แล้วคงเหลือไม่เกิน 100,000 บาท และต้องเป็นหนี้ที่เกิดจากเหตุสุจริตที่จำเป็นและเป็นภาระหนัก รวมถึงต้องเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 ก.ย. 2557 มีเอกสารหลักฐานการเป็นหนี้จริง โดย ธ.ก.ส.ได้กำหนดวงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 12% ต่อปี

อย่างไรก็ตามหากผู้กู้ที่เป็นเกษตรกรไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ที่ถึงกำหนดทั้งหมดหรือบางส่วน โดยไม่มีเหตุอันสมควรผ่อนผันธนาคารจะคิดเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นอีก 3% ต่อปี กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืนไม่เกิน 10 ปี กรณีพิเศษไม่เกิน 12 ปี โดยหลักประกันสามารถใช้อสังหาริมทรัพย์ เงินฝาก การค้ำประกันกลุ่ม และหรือ บุคคลค้ำประกัน

“มาตรการแก้หนี้นอกระบบของธ.ก.ส.เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาหนี้นอกระบบ โดยรัฐบาลสั่งให้ กระทรวงการคลัง หาแนวทางแก้อย่างบูรณาการและยั่งยืน ซึ่งนอกจากธ.ก.ส.แล้ว ยังมีธนาคารออมสินที่ปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ทั่วไป และกองทุนหมู่บ้านของชุมชน รวมถึงศูนย์ดำรงธรรมที่รับร้องเรียนปัญหาต่างๆ” นายสมศักดิ์ กล่าว

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เตรียมจัดตั้งคณะอนุกรรมการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบประจำจังหวัด โดยมีสำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ(แบงก์รัฐ) เบื้องต้นจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ระหว่างเจ้าหนี้นอกระบบและลูกหนี้ รวมถึงการพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อ

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการจัดทำโครงการต้นแบบการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ผ่านองค์กรการเงินชุมชน นอกจากนี้ยังให้ ธนาคารออมสิน และ ธ.ก.ส. จัดตั้งจุดให้คำปรึกษาปัญหาหนี้นอกระบบให้ครบทุกสาขาทั่วประเทศเพื่อให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาหนี้นอกระบบ

นายธัชพล กาญจนกูล รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสินกล่าวว่า ธนาคารเตรียมออกสินเชื่อฉับพลัน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของประชาชนในระดับฐานรากผู้มีรายได้น้อย ที่มีความจำเป็นต้องการใช้เงินในการฉุกเฉินเพื่อการดำรงชีพ เช่น ค่าเล่าเรียนบุตร ค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นของบุคคลในครอบครัว ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเนื่องจากอุบัติเหตุ แต่ต้องมีประวัติชำระหนี้ดี สามารถยื่นกู้ได้ 1 หมื่นบาทต่อราย ผ่อนชำระไม่เกิน 6 เดือน ดอกเบี้ย 1% ต่อเดือน ไม่ต้องใช้หลักประกัน

นอกจากนี้ เตรียมเปิดตัวสินเชื่อโชห่วย-มินิมาร์ท ใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพ ในธุรกิจร้านค้าขายปลีกโชห่วย ให้กู้ได้ตั้งแต่ 1-5 หมื่นบาท ชำระคืนไม่เกิน 3 ปี ถ้ากู้เกิน 5 หมื่นบาท - 2 แสนบาท ชำระคืนไม่เกิน 5 ปี หรือ ให้กู้ตามความจำเป็นและความสามารถในการชำระคืน แต่ไม่เกิน 2 เท่าของยอดการซื้อสินค้าเฉลี่ยต่อเดือนเป็นระยะเวลาย้อนหลัง 6 เดือน

สำหรับคุณสมบัติผู้กู้ ต้องอายุ 20 ปีขึ้นไป หากไม่ถึง 20 ปี ต้องให้บิดา-มารดา กู้แทน หรือใช้คนค้ำประกันไม่เกิน 2 คน ทั้งนี้ต้องเป็นผู้ประกอบการรายย่อย หรือเป็นสมาชิกบริษัทผู้ผลิต จำหน่ายสินค้า เช่น ซีพีออลล์, แม็คโคร มาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ต้องเปิดบัญชีเงินฝากเผื่อเรียก ณ สาขาที่ขอกู้มีประวัติการซื้อสินค้าหมุนเวียนต่อเดือน ตั้งแต่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน

ทั้งนี้กรณีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เช่น สมุดเงินฝากออมสิน, สลากออมสิน, ให้กู้ไม่เกิน 95% ของยอดเงินฝากคงเหลือ กรณีอสังหาฯ ให้กู้ไม่เกิน 80% ของราคาประเมินที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง, 70% ของราคาประเมินที่ดินว่างเปล่าหรือคอนโด, และ 60% ของราคาประเมินที่สวนที่ไร่ หรือที่นา และสามารถใช้ บสย. ค้ำประกัน ก็ได้

 

ส่อเลื่อนสรุปสถานะ‘ไอแบงก์’ หลังพบพิรุธการปล่อยสินเชื่อ

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2557 06:00:00 น.

บริษัทผู้ตรวจสอบสถานะลูกหนี้รายใหญ่ “ไอแบงก์” อาจเลื่อนรายงาน “ซูเปอร์บอร์ด” หลังเจอสถานะลูกหนี้รายใหญ่ของธนาคารมีความซับซ้อนอย่างมาก ทั้งเรื่องการไม่มีหลักประกัน และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ รวมถึงมีลูกหนี้บางรายมีประวัติการตกชั้นอย่างน่าสงสัย

แหล่งข่าวจาก ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ไอแบงก์) เปิดเผยว่าการตรวจสอบฐานะทางการเงิน หรือ ดิวดิลิเจ้นท์ (Due Diligence)ของธนาคารมีความเป็นไปได้สูงที่จะเสร็จไม่ทันวันที่ 30 พ.ย. 2557 ตามที่ คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) หรือ ซูเปอร์บอร์ดกำหนด เนื่องจาก บริษัทดีลอยท์ ทู้ช โทมัส ไชยยศ ซึ่งเป็นบริษัททำดิลิเจ้นท์ตรวจสอบสถานะลูกหนี้รายใหญ่ของธนาคารพบว่า มีความซับซ้อนอย่างมาก ทั้งเรื่องการไม่มีหลักประกัน และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ รวมถึงมีลูกหนี้บางรายมีประวัติการตกชั้นอย่างน่าสงสัย ทำให้ต้องวิเคราะห์อย่างละเอียด

“การทำดิวดิลิเจ้นท์ อาจจะเสร็จไม่ทันสิ้นเดือนพ.ย.นี้ตามกำหนด แต่น่าจะออกมาได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ เพราะมีลูกหนี้รายใหญ่บางรายมีการตกชั้นเป็นเอ็นพีแอล และกลับขึ้นมาใหม่ และได้ตกชั้นไปอีก เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง หลายราย ทำให้การประเมินต้องมีความยุ่งยากที่ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด รวมถึงมีการปล่อยกู้ในขณะนี้ผู้กู้ไม่มีความชัดเจนในด้านหลักประกัน” แหล่งข่าวกล่าว

นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานกรรมการไอแบงก์ กล่าวว่า การตรวจสอบสถานะลูกหนี้ เบื้องต้นพบลูกหนี้บางรายมีการขอกู้ไว้กับสถาบันการเงินหลายแห่งในเวลาเดียวกัน ทำให้การวิเคราะห์กระแสเงินสดหรือรายได้ลูกหนี้ต้องใช้เวลา เพื่อตรวจสอบว่าลูกหนี้มีการขอกู้กับสถาบันการเงินแห่งไหนบ้าง

นอกจากนี้ ยังทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ด้อยลง เพราะต้องไปชำระกับสถาบันการเงินอื่นๆ ทำให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่ผ่านมาไม่ได้มาตรฐาน ไม่ตรวจสอบฐานะทางการเงินและหลักประกันของลูกหนี้ก่อนปล่อยกู้ ดังนั้นธนาคารจึงต้องมีการปรับกระบวนการด้านสินเชื่อ ทั้งควบคุมสินเชื่อให้มีคุณภาพ การบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพ การเพิ่มสินเชื่อใหม่ โครงสร้างสินเชื่อ และกระบวนการพิจารณาสินเชื่อ

ส่วน นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ยืนยันว่า ในส่วนของ ธนาคารสามารถส่งดิวดิลิเจ้นท์ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(สคร.)พิจารณาภายในเดือนพ.ย. 2557 แน่ ก่อนเสนอให้ซูเปอร์บอร์ดเห็นชอบต่อไป

ในเบื้องต้นหลังการตรวจสินทรัพย์และหนี้สิน โดยบริษัทอีวาย คอร์ปอเรท เซอร์วิสเซส (เอิร์นแอนด์ยัง) ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2557 ธนาคารมียอดเอ็นพีแอล 3.38 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายแก้หนี้เอ็นพีแอลให้เหลือต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2558

ที่ผ่านมาได้ประกาศรับเอกชนเข้ามาบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน แต่มีการตั้งสำรองไว้ครบ 100% แล้ว มูลหนี้กว่า 5,000 ล้านบาท คิดเป็นลูกหนี้กว่า 1.2 หมื่นราย คาดว่าในช่วงก่อนสิ้นปีนี้เตรียมจัดกองลูกหนี้ที่มีหลักประกัน 1,100 รายมูลหนี้กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีหลักประกันทั้งที่ดินเปล่า อพาร์ทเม้นท์ โรงแรม เพื่อขายให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่สนใจ โดยปีนี้จะตัดขายกองแรกก่อนแยกตามภูมิภาค คาดว่าจะทยอยขายให้หมด 1.1 หมื่นล้าน ภายในกลางปี 2558

 

กนอ.หนีบ“หม่อมอุ๋ย” บินไปจีน เล็งลงนาม “รับเบอร์ แวลเล่ย์”

ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2557 06:00:00 น.

กนอ.หนีบ“หม่อมอุ๋ย” บินไปจีน

เล็งลงนาม “รับเบอร์ แวลเล่ย์”

พัฒนาเครือข่ายยางฯร่วมกัน

นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.เตรียมที่จะร่วมเดินทางไป กับคณะรองนายกรัฐมนตรี (มรว.ปรีดิยาธร เทวกุล) นาย จักรมณฑ์ ผาสุกวานิช รมว.อุตสาหกรรม นางอรรชกา ศรีบุญเรือง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม บินไป เมืองชิงเต่า มณฑลชานตง สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 28 – 30 พ.ย. 2557 เพื่อลงนามบันทึกความเข้าใจ(MOU) ระหว่าง กนอ. และบริษัท รับเบอร์ แวลเล่ย์ กรุ๊ป จำกัด (Rubber Valley) เพื่อร่วมพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือในอุตสาหกรรมยางร่วมกันในการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยางที่คาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จากการเข้าสู่ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ในปี 2558 นี้

สำหรับ MOU ดังกล่าวมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ซึ่งทางรับเบอร์ แวลเล่ย์ พัฒนานิคมฯยางแบบครบวงจรในเมืองชิงเต่ มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวิจัยและพัฒนายางแปรรูปต่างๆ อย่างมาก ขณะเดียวกันยังมีการลงทุนที่เป็นคลัสเตอร์ต่อเนื่องทำให้เกิดความเข้มแข็ง ไทยเองก็มีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมยางที่จะรองรับการลงทุนเพื่อยกระดับราคายางของไทย ซึ่งก็หวังว่าจะเกิดการร่วมมือทุกๆ ด้านรวมถึงการลงทุนในไทยเพราะจีนถือเป็นตลาดส่งออกยางที่สำคัญ ขณะเดียวกันยังจะมีการร่วมมือจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการประกอบอุตสาหกรรมยาง จัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน

นายวีรพงศ์ กล่าวว่า การไปศึกษาดูงานครั้งนี้ เป็นความต่อเนื่องหลังจากที่คณะนักลงทุนจีนในกลุ่มอุตสาหกรรมยางจาก มลฑลชานตง สาธารณรัฐประชาชนและเอกชนจาก 30 บริษัทได้เข้ามาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 23-25 พ.ย. 2557 เพื่อร่วมศึกษาลู่ทาง และการจับคู่ธุรกิจ รวมทั้งมีการศึกษาพื้นที่ นิคมอุตสาหกรรมต่างๆของไทยที่มีศักยภาพ และเป็นการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือและส่งเสริมความร่วมมือการลงทุนในอุตสาหกรรมยางร่วมกัน

สำหรับความคืบหน้าในการจัดตั้ง นิคมอุตสาหกรรมเมืองยาง (Rubber City) จ.สงขลา ซึ่งอยู่ระหว่างพัฒนาพื้นที่ที่เหลือ หรือเฟส 3 ประมาณ 755 ไร่จากพื้นที่ทั้งหมด 2,247 ไร่ ซึ่งจะออกแบบแล้วเสร็จเดือน เม.ย. 2558 เพื่อรองรับการเจริญเติบโตอุตสาหกรรมยางพารา มีการผลิตผลิตภัณฑ์ยางพาราในท้องตลาดให้สูงขึ้น คาดว่าจะก่อสร้างเดือน ต.ค.2558 จะเสร็จในปี 2560 กนอ.ซึ่งจะมีความพร้อมในการรองรับ สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราอย่างครบวงจรทั้งต้นน้ำ-ปลายน้ำ และในอนาคตจะมีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่นิคมฯในรูปแบบดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีก

ทั้งนี้ ในการวางแผนที่จะดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามา กนอ.พยายามที่จะเอื้อสิทธิประโยชน์ให้แก่นักลงทุน ซึ่งการเปิดให้นักลงทุนเข้ามา กนอ.เตรียมที่จะพิจารณาในเรื่องของสิทธิประโยชน์ต่างๆทางภาษี และ ไม่ใช่ภาษี โดยในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาษีจะดูแลในเรื่องของการสร้างระบบสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า คลังสินค้า (Ware House) ซึ่งจะต้องไม่ขัดต่อกฎระเบียบการอุดหนุนทางการค้าและเอื้อประโยชน์ ต่อการส่งเสริมการลงทุน และจะต้องประเมินศักยภาพของกลุ่มทุนที่จะเข้ามาด้วย เพราะนักลงทุนจีนเป็นกลุ่มทุนเป้าหมายสำคัญ

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เกาะติดหุ้นโลก 17-11-57 vdo.gif Morning News : เกาะติดหุ้นรอบโลก "NOW26" 17-11-57 โบรกฯมั่นใจ'หุ้นไอพีโอ'ยังขลัง โบรกฯมั่นใจ "หุ้นไอพีโอ" ยังขลัง ปี58 บริษัทจ่อคิวเข้าตลาดเพียบ จี20ลุยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกโตกว่า2% vdo.gif ชาติสมาชิกจี20 เริ่มประชุมวันแรกที่บริสเบน เน้นถกหามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวเฉลี่ยกว่า 2% คาดเงินบาทสัปดาห์หน้าแกว่ง32.80-33.10 คาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าฟื้น ก.ล.ต.สั่งคุมเข้มหุ้นเสี่ยงสูง ตลาดมั่นใจอินฟราทรัสต์เริ่มปี58

ดูข่าว ทั้งหมด icon-arrow-gray.gif

 

 

ข่าวยอดนิยม

news_img_617618_1.jpg

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดทองคำ by Hua Seng Heng Gold Futures

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2557 11:21:12 น.

กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส

- ทองปิดบวกต่อเนื่อง 2 สัปดาห์

- น้ำมันปิดบวกหลังคาด OPEC จะปรับลดปริมาณการผลิต

- คาดแรงขายทำกำไรกดดันราคาทองอ่อนตัว

ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 2 โดยในระหว่างสัปดาห์มีแรงขายกลับออกมาจนราคาอ่อนตัวลง แต่ในช่วงที่ราคาทองปรับตัวลงเข้าใกล้แนวรับบริเวณ 1,130-1,140 ดอลลาร์ ก็ยังคงมีแรงซื้อเข้ามามากจนราคาดีดตัวกลับในปริมาณค่อนข้างมาก โดยในการซื้อขายวันศุกร์ราคาทองฟื้นตัวขึ้นตามการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันหลังจากมีรายงานข่าวว่ากลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อาจลดปริมาณการผลิตลงเพื่อประคองราคาที่ปรับลงมามาก

การปรับตัวลงของราคาน้ำมันราว 1 ใน 3 ในปีนี้ เริ่มส่งผลต่อกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน โดยรัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่รวมทั้งกลุ่มประเทศ OPEC ต่างเริ่มหามาตรการในการพยุงราคาน้ำมัน และนักลงทุนต่างประเมินว่าในการประชุมของกลุ่ม OPEC ในวันที่ 27 นี้ อาจมีมติให้ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ซึ่งส่งผลให้มีแรงซื้อน้ำมันกลับเข้ามาในการซื้อขายช่วงค่ำวันศุกร์ และเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นหลังจากอ่อนตัวลงในระหว่างวันตอบรับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่ออกมาดีกว่าคาด

ราคาทองคำอ่อนตัวลงเข้าใกล้แนวรับของวันบริเวณ 1,145-1,150 ดอลลาร์ ก่อนที่จะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา โดยราคาทองดีดตัวขึ้นมาปิดเหนือแนวต้านบริเวณ 1,180 ดอลลาร์ จึงเป็นสัญญาณซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวขึ้นไปยังแนวต้านบริเวณ 1,200 ดอลลาร์ ต่อไป โดยมีแนวรับสำหรับกลับเข้าซื้อเก็งกำไรในระหว่างวันอยู่ที่บริเวณ 1,170-1,175 และ 1,160 ดอลลาร์ ตามลำดับ

ราคาโลหะเงินอ่อนตัวลงหลุดแนวรับบริเวณ 15.50 ดอลลาร์ ก่อนที่จะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามา และราคาโลหะเงินก็กลับขึ้นมาปิดเหนือแนวต้านบริเวณ 16.0 ดอลลาร์ ภาพการเคลื่อนไหวทางเทคนิคจึงกลับมามีสัญญาณซื้อเก็งกำไร โดยในระหว่างวันคาดว่าจะมีแรงขายทำกำไรกลับออกมา โดยมีแนวรับของวันอยู่ที่บริเวณ 15.90-16.0 ดอลลาร์

 

สรุปราคาซื้อขายทองคำ และ Gold Futures ภายในประเทศ ณ วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 9.00 น.

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- จันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2557 11:06:27 น.

กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--MTS Gold Group

ราคาทองคำเปิดตลาดที่ระดับ 1,160 เหรียญ/ออนซ์ และกลับมาปิดช่วงกลางคืนที่ระดับ 1,170 เหรียญ/ออนซ์ (22.30น.) ค่าเงินบาทปิด 32.83 บาท/ดอลลาร์ ราคาสมาคมเปิดที่ 18,000 บาท กับ 18,100 บาท และกลับมาปิดที่ 17,900 บาท กับ 18,000 บาท

ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures 50 บาทอยู่ที่ 461 คู่สัญญาแบบ 10 บาทอยู่ที่ 5,143 คู่สัญญา Open Interest แบบ 50 บาท เพิ่มขึ้น 10.9% แบบ10 บาท เพิ่มขึ้น 9.1% GFZ14 ปิด 18,290 บาท และ GFG14 ปิด 18,340 บาท GF10Z14 ปิดที่ 18,280 บาท GF10G14 ปิดที่ 18,350 บาท

สัญญา Comex เพิ่มขึ้น 24.1 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 1,185.6 ดอลลาร์/ออนซ์ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.61 ดอลลาร์ ปิดตลาดที่ระดับ 75.82 ดอลลาร์/บาร์เรล SPDR ถือครองทองคำที่ระดับ 720.62 ตัน ( คงทองเท่าเดิม)

ข่าวที่สำคัญ

-ราคาทองคำปรับขึ้นลงผันผวน และดีดตัวขึ้นกว่า 40 เหรียญ ไปทำจุดสูงสุดในรอบ 2สัปดาห์ที่ระดับ 1,193.34 เหรียญ/ออนซ์ เพราะได้รับแรงหนุนจากการทำ Short Covering การเข้าซื้อของกองทุน และการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ จึงบดบังข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐฯ

-อย่างไรก็ดี ราคาทองคำสามารถกลับมายืนเหนือ 1,180 เหรียญได้อีกครั้ง หลังจากที่การซื้อขายในช่วงวันศุกร์ลงไปทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,145 เหรียญ/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับแนวรับทีแข็งแกร่งที่ราคาลงมาทดสอบถึง 2 ครั้งแล้วในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นจากปัจจัยหลักได้แก่ Short Covering

-เทรดเดอร์ทองคำให้ความสนใจไปยังค่าเงินดอลลาร์ในสัปดาห์หน้า เนื่องจากจะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายตัว รวมถึงจับตาไปยังปริมาณความต้องการทองคำที่จะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี

-นายเดวิด เมเยอร์ ผู้อำนวยการ Vision Financial Markets กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ช่วยสนับสนุนให้ราคาทองคำเกิดการ Rebound กลับ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าโอเปคอาจลดกำลังการผลิตน้ำมัน

-นักวิเคราะห์จาก RJO ระบุว่า ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้นในทางเทคนิคประกอบกับแรงซื้อจากนักลงทุนบางส่วนที่เข้ามา หลังจากราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่า 2.2% (ปิด75.82 ดอลลาร์/บาร์เรล)

-นักวิเคราะห์จาก DailyFX กล่าวว่า ตลอดสัปดาห์ราคาทองคำมีการฟื้นตัวขึ้นแล้วกว่า1.11% โดยทองคำสามารถฟื้นตัวได้จากการที่ค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดบางรายยังคงคัดค้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำก่อนกำหนด

-นักวิเคราะห์จาก Kitco ระบุว่า การดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของทองคำอาจบอกเป็นนัยสำคัญเกี่ยวกับการพัฒนาที่จำกัดของตลาด และแรงทำ Short Covering ในช่วงก่อนสิ้นปี อาจมีความเป็นไปได้ว่าการขึ้นที่แข็งแกร่งของตลาดหุ้นอาจเริ่มชะลอลง เนื่องจากเทรดเดอร์ในตลาดต่างๆมีแนวโน้มจะเริ่มหาจุดทำกำไรในช่วงก่อนสิ้นปี

-ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าขึ้นจากระดับ 1.2477 ยูโร/ดอลลาร์ สู่ระดับ 1.2527 ยูโร/ดอลลาร์ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวลง

-อย่างไรก็ดี ค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนจากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัว ช่วยสนับสนุนมุมมองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

-ยอดค้าปลีกประจำเดือนตุลาคมของสหรัฐฯเพิ่มสูงขึ้น 0.3% จากเดิม -0.3% แสดงให้เห็นว่า การปรับตัวลงของราคาน้ำมัน ได้ช่วยกระตุ้นรายจ่ายภาคครัวเรือนในช่วงใกล้เทศกาลซื้อของในช่วง พ.ย. – ธ.ค. และยังส่งผลให้ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออกมาดีกว่าที่คาดที่ระดับ 89.4 จุด

-ยอดนำเข้าสหรัฐฯประจำเดือนตุลาคมปรับตัวลดลง -1.3% จากเดิม -0.6% ถือเป็นสัญญาณล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่า ต้นทุนน้ำมันที่ลดลงและกิจการต่างประเทศที่เปราะบางกำลังเป็นปัจจัยที่กดดันต่อเงินเฟ้อของสหรัฐฯ

-ยูโรสแตท เผยว่า จีดีพีในกลุ่มประเทศยูโรโซนในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวเพียง 0.2% เมื่อเทียบรายไตรมาส ซึ่งการขยายตัวที่เป็นไปอย่างซบเซาของเศรษฐกิจยูโรโซนที่ผ่านมาตอกย้ำความกังวลว่าภูมิภาคกำลังได้รับผลกระทบจากการลงทุนที่ลดลง และการว่างงานยังคงอยู่ในระดับสูง

-นายคริสเตียน นัวเย่ คณะบริหารของอีซีบี กล่าวว่า อีซีบีอาจซื้อพันธบัตรรัฐบาล หากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญกับเศรษฐกิจยุโรปอีกครั้งจนทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

-เมื่อวานนี้ผู้นำของกลุ่ม 20 ประเทศเศรษฐกิจรายสำคัญของโลก G20 ตกลงกันที่จะดำเนินมาตรการใหม่ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นส่งเสริมเศรษฐกิจโลกโดยรวมให้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษอีก 2.1% ภายในปี 2018 รวมทั้งในเรื่องจัดการปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และปราบปรามการเลี่ยงภาษี

-นายวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจรัสเซีย เนื่องจากมีแนวโน้มจะเผชิญวิกฤตจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงเกือบ 1 ใน 3 ของปีนี้ รวมถึงผลกระทจากมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกและค่าเงินรูเบิลที่ร่วงลง

-กระทรวงพลังงานยูเครน เปิดเผยว่า ยูเครนเตรียมแผนที่จะเข้าซื้อก๊าซธรรมชาติจำนวน 2.5 พันล้านลูกบาศก์เมตรจากรัศเซียนับตั้งแต่เดือนนี้ จนถึงมีนาคมปีหน้า โดยต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วยเช่นกัน

-ซาอุดิอาระเบีย ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกอาจไม่ดื้อรันที่จะคงการผลิตไว้ที่ระดับสูง หลังกลุ่มประเทศโอเปกได้รับผลกระทบของการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ

-รายงานจาก บีเอ็นพี พาริบาส์ ระบุว่า การปรับตัวลดลงของราคาน้ำดิบมันทำให้มีความเป็นไปได้ที่กลุ่มโอเปคจะลดกำลังการผลิตลง 1-1.5 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อพยุงการตกของราคาน้ำมัน

-เช้าวันนี้ ผลการประกาศจีดีพีขั้นต้นประจำไตรมาสที่ 3 ของญี่ปุ่น ออกมาสู่ระดับ -0.4% หรือหดตัวลงกว่า 1.6% แสดงให้เห็นถึงภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ชะลอติดต่อกัน 2 ไตรมาส

-มูดดี้ส์ อินเวสเตอร์ ระบุว่า ประสิทธิภาพในการพัฒนาตลาดทุนของจีน โดยการจัดสรรเงินทุนและทรัพยากร จะช่วยปรับสมดุลและบรรลุเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจยั่งยืนในอีก 2-3 ปีต่อจากนี้

-ในคืนวันศุกร์ตลาดหุ้นดาวโจนส์ ปิด -0.10% ท่ามกลางการซื้อขายที่ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการลงทุน หลังตลาดเคลื่อนไหวแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ และทำสถิติใหม่หลายครั้งในรอบสัปดาห์ อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันได้ส่งผลกดดันหุ้นกลุ่มบริษัทพลังงานและกดดันตลาดหุ้นดาวโจนส์ด้วย

-เช้านี้ ดัชนีนิกเกอิ เปิด +0.92% หลังจากญี่ปุ่นเปิดเผยว่า จีดีพีไตรมาสที่ 3 ของญี่ปุ่นหดตัวลง 1.6%

-นักบริหารเงิน ประเมินว่า สัปดาห์นี้ค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.82-32.92 บาท/ดอลลาร์

-รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลการศึกษาของ สนย. เกี่ยวกับพลังขับเคลื่อนการนำเข้าที่ถือว่าเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของโลก พบว่าศักยภาพของไทยในอนาคตมีความสามารถด้านการแข่งขันลดลง โดยอัตราการขยายตัวของจีดีพีประเทศคู่ค้ากับไทยมีค่าลดลงต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ โดยสาเหตุหลักน่าจะเกิดจากการที่ไทยส่งออกสินค้าไม่ตรงกับความต้องการตลาด และสินค้าไทยที่มีมูลค่าต่ำ จึงเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดหรือช่องทางในการเข้าตลาดยังไม่มีประสิทธิภาพ ทุกภาคส่วนจึงต้องเร่งพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยอย่างจริงจัง และต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วของเศรษฐกิจโลก

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญเมื่อคืน

- Core Retail Sales ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 0.0% ตัวเลขจริงออกมาที่ระดับ 0.3%

- Retail Sales ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -0.3% ตัวเลขจริงออกมาที่ระดับ 0.3%

- Import Prices ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ -0.6% ตัวเลขจริงออกมาที่ระดับ -1.3%

- Prelim UoM Consumer Sentiment ตัวเลขเดิมอยู่ที่ระดับ 86.9 ตัวเลขจริงออกมาที่ระดับ 89.4

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในคืนนี้

- ECB President Draghi Speaks

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำมีความผันผวนในทิศทางขาขึ้นในช่วงคืนวันศุกร์ของสัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ราคาทองปรับตัวลดลงไปทำจุดต่ำสุดบริเวณ 1,148 เหรียญ แล้วกลับดีดตัวขึ้นอย่ารวดเร็ว โดยที่นักวิเคราะห์โดยส่วนใหญ่คาดว่าเป็นสาเหตุมาจาก Shot Covering แต่อย่างไรก็ดี ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่ออกมาในคืนวันศุกร์ก็ออกมาดีตามที่คาดไว้ แต่ราคาทองคำกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม คือ ดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลง ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นทองคำปรับตัวสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์

ในเช้าวันนี้ราคาทองคำความผันผวนอย่างมากโดยเปิดตลาดลดลงที่ระดับ 1,183 แล้วดีดกลับขึ้นไปอย่างที่รวดเร็วที่ระดับ 1,193 เหรียญ เมื่อเปิดตลาดฮ่องกง โดยตลาดคาดว่า อาจจะมีส่วนสัมพันธ์กันกับการที่เซี่ยงไฮ้มีการผ่อนคลายนโยบายโดยไม่เก็บภาษี ที่ได้กำไรจากการซื้อขายในตลาด Exchangeอย่างไรก็ดียังไม่มีการชัดเจนของการปรับขึ้นของราคา โดนส่วนหนึ่งคาดว่า เป็นจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จากข่าวลือโอเปกจะลดการผลิตน้ำมัน ในวันนี้ไม่มีตัวเลขเสดกิจของสหรัฐอเมริกาใด ในขณะที่ SPDR ยังคงถือครองทองคำเท่าเดิมที่ระดับ 720.62 ตัน

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค

ในทางเทคนิคการที่ราคาทองคำขึ้นมายืนอยู่เหนือระดับ 1,183 เหรียญ ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญได้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์ ทำให้ระยะสั้นและระยะกลาง ราคาทองคำดูเหมือนจะปรับตัวเป็นทิศทางขาขึ้น โดยสัญญาณ Oscillator มีการปรับขึ้นเล็กน้อย จึงวิเคราะห์ได้ว่า ทางเทคนิค ถ้าในวันนี้ราคาทองคำสามารถยืนอยู่เหนือระดับ 1,183 –1,186 เหรียญได้ ราคาทองจะกลับข้าสู่ขาขึ้นในระยะสั้น ถ้าราคาทองหลุดระดับ 1,180 เหรียญลงมา ทองคำก็จะกลับมาเป็น Sideways ต่อเนื่องเช่นเดิม ยังคงต้องรอดูปฏิกิริยาตอบรับในตลาด Comex ต่อไป คาดว่าราคาในวันนี้จะเคลื่อนตัวในกรอบกว่างและมีผันผวนที่ระดับ 1,170 – 1,200 เหรียญ

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้

แนะนำให้นักลงทุนติดตามใกล้ชิดในระดับราคาที่มีความผันผวนเช่นนี้ พิจารณาในการลงทุนให้ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

- นักลงทุนที่ถือ Long Position

เป็นโอกาสดีที่จะทำกำไรในระยะสั้น

- นักลงทุนที่ถือ Short Position

ไม่แนะนำให้ Short เพิ่ม และหาจังหวะในการดูพอร์ต ถ้าราคาสามาถยืนอยู่เหนือ 1,180-1,183 ระยะสั้นน่าจะเป็นขาขึ้นและให้ทำ Stop Loss ออกไป

กลยุทธ์สำหรับนักลงทุน Weekly Trading

แนะนำให้บริหารพอร์ตตามการแกว่งตัวของตลาดให้สมดุล โดยภาพหลักของราคาทองคำยังอยู่ในกรอบขาลง ไม่แนะนำให้ทำ short เพิ่ม และรอดูจังหวะแนวต้านของทองคำ

Gold Futures Z14 จะมีแนวรับที่ระดับ 18,430 บาท และแนวต้านที่ระดับ 18,630 บาท

Gold Futures G15 จะมีแนวรับที่ระดับ 18,480 บาท และแนวต้านที่ระดับ 18,680 บาท

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...