ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

“ก่อนตายขอให้ได้เห็นในหลวงเป็นบุญตาสักครั้งก็ยังดี” ความในใจที่คนไทยบอกในหลวงรัชกาลที่๙

 

 

 

 

a2-1.jpg

 

โดย เทิดราชเทียมธรรม

คุณพ่วง สุวรรณรัฐ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย เคยเล่าให้ฟังว่า.. (กล่าวถึง ในหลวง ร.9) การที่ได้รับสั่งสนทนาปราศรัยกับราษฎรอย่างใกล้ชิดนั้น เป็นสิ่งที่โปรดปรานและต้องพระราชประสงค์อย่างยิ่ง

 

ไม่เคยทรงถือเลยว่าราษฎรจะกราบบังคมทูลด้วยถ้อยคำธรรมดาอย่างไร

 

บางครั้งราษฎรพยายามจะใช้คำราชาศัพท์ขลุกๆ ขลักๆ ก็ทรงพระกรุณาแก้ไขให้ หรือรับสั่งอนุญาตว่า พูดธรรมดากันก็ได้

 

ครั้งหนึ่งได้รับสั่งถามราษฎร ว่า ทำไมมากันมาก รู้ได้อย่างไร ใครจะมามาไกลไหม

 

เคยมีราษฎรกราบบังคมทูล ว่า อำเภอเขาให้มา

 

แต่ก็มีมากรายที่ตอบตรงตามหัวใจ ว่า “โอย… ใครไม่บอกก็มา… อยากมาเห็น… ก่อนตายขอให้ได้เห็นในหลวงเป็นบุญตาสักครั้งก็ยังดี”

 

บางแห่งรับสั่งถาม ว่า “พากันเดินทางมาเหนื่อยไหม…ไกลมากไหม?”

 

คุณยายคนหนึ่งทูลตอบไปว่า “ไม่ไกลเท่าไรดอกเจ้าค่ะ … เดินทางมาสองคืนเท่านั้นเอง”

 

ถึงวันนี้แม้พระองค์ท่านได้เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ความจงรักภักดีของคนไทยก็ยังไม่เสื่อมคลาย

 

แต่ละวันแต่ละวันที่ประชาชนคนไทยเดินทางมาสักการะพระบรมศพนั้นยังหนาแน่นอยู่ทุกวัน

 

ถึงวันนี้มีผู้มาสักการะพระบรมศพแล้วจำนวนกว่า 8 ล้านคน

 

และทุกคนไม่อยากให้ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2560 ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพระราชอารมณ์ขัน

 

ที่มา : สำนักข่าวเจ้าพระยา

 

a3.jpga6.jpga11.jpg1-9.jpga5-1.jpga1-9.jpg

http://welovethaiking.com/blog/%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99/

ทุกคนไม่อยากให้ถึง ๒๖ ต.ค.๖๐ วันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวง ร.๙

WELOVETHAIKING.COM

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

NOW26

 

 

HSHsocial

 

 

Ylg Bullion

 

 

Ylg Bullion

 

 

MTS GOLD GROUP

 

 

Ylg Bullion

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

(Jul 6) รายงานการประชุมเฟด : FOMC Minutes ของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 13-14 มิ.ย. ซึ่งคณะกรรมการ FOMC ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps เป็นร้อยละ 1.00-1.25 รายละเอียดดังนี้

ภาพรวม ศก.สหรัฐ

คณะกรรมการยังคงประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวแบบ “moderate pace” ท่ามกลางการปรับลดการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างค่อยเป็นค่อยไป

- ภาคการใช้จ่ายผู้บริโภค: คณะกรรมการคาดว่าภาคการใช้จ่ายผู้บริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นแบบ “moderate” ในระยะ medium-term ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากภาคการจ้างงานที่ขยายตัวต่อเนื่อง, การปรับสูงขึ้นของรายได้และ household wealth รวมถึง balance sheet ของภาคครัวเรือนที่แข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ดี Minutes ครั้งนี้มีการกล่าวถึงการชะลอตัวของยอดขายรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ บางภูมิภาคมีมุมมองเชิงลบต่อยอดขายรถยนต์ในระยะต่อไป

- ภาคการลงทุน: Participants โดยรวมเห็นพ้องว่าการลงทุนในภาค Business fixed investment ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา นำโดยการฟื้นตัวของการลงทุนในภาคพลังงาน นอกจากนี้ มีการรายงานว่าหลายบริษัทในเขตของตนยังคงมีมุมมองเชิงบวกในระยะต่อไป ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มุมมองเชิงบวกดังกล่าวได้ปรับลดลง จากการปรับลดการคาดการณ์ความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะสามารถผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นผลสำเร็จ ส่งผลให้บริษัทขนาดใหญ่บางบริษัทชะลอการตัดสินใจเรื่องการลงทุนออกไป ในส่วนของการลงทุนในภาคที่อยู่อาศัยนั้น เป็นไปในเชิง “mixed”

ความเสี่ยงต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระยะสั้นเป็นไปในลักษณะ “roughly-balanced” เช่นเดียวกับการประเมินในการประชุมครั้งก่อนหน้า โดยยังคงกล่าวถึงปัจจัยความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลังที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจได้ทั้งด้านบวกและด้านลบ ทั้งนี้ A number of participants มองว่าเศรษฐกิจและตลาดเงินโลกในภาพรวมปรับดีขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้าน downside ปรับลดลงต่อเนื่องจากการประชุมครั้งก่อนหน้า

ภาคการจ้างงาน

ภาคการจ้างงานสหรัฐฯ ปรับแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนจากอัตราการว่างงานที่ต่ำกว่าระดับ long-run normal rate และจำนวนการจ้างงานในภาค nonfarm ที่ขยายตัวที่อัตรา 160,000 ตำแหน่งโดยเฉลี่ยต่อเดือนในปีนี้ ซึ่งปรับลดลงจากปี 2016 ที่ระดับ 187,000 ต่อเดือนโดยเฉลี่ย แต่ยังคงเหนือระดับที่รองรับ new entrants ที่เข้าสู่ตลาดแรงงาน โดย A few participants ประเมินว่าอัตราการขยายตัวของจำนวนการจ้างที่ชะลอลงนั้นสะท้อนภาวะการจ้างงานที่ตึงตัว นอกจากนี้ หลายภูมิภาคยังคงกล่าวถึงภาวะขาดแคลนแรงงานในบางสายอาชีพ อนึ่ง A couple of participants มองว่าอัตราการปรับสูงขึ้นของค่าจ้างที่ชะลอตัวนั้นสอดคล้องกับภาวะ low productivity growth และภาวะเงินเฟ้อที่ moderate ในระยะหลายปีที่ผ่านมา

ในส่วนของแนวโน้มภาคการจ้างงานในระยะต่อไปนั้น คณะกรรมการโดยรวมคาดว่าจะยังคงปรับแข็งแกร่งขึ้น “somewhat further” ทั้งนี้ A number of participants ปรับลดการคาดการณ์ระดับ longer-run normal rate ของอัตราการว่างงาน จากปัจจัยอัตราเงินเฟ้อและอัตราการปรับสูงขึ้นของค่าจ้างที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับปัจจัยด้าน demographic trends

อัตราเงินเฟ้อ

คณะกรรมการคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะปรับสู่ระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ได้ใน medium-term หลังจากผลกระทบจากปัจจัยชั่วคราวเริ่มหมดไป รวมถึงภาคการจ้างงานโดยภาพรวมปรับแข็งแกร่งขึ้น โดย several participants ระบุว่าปรับสูงขึ้นของราคาสินค้านำเข้าในช่วงที่ผ่านมาเป็นไปตามการคาดการณ์ ทั้งนี้ several participants แสดงความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้ออาจยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง ส่งผลให้การปรับเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ของอัตราเงินเฟ้ออาจช้ากว่าที่คาดไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเงินเฟ้อและ resource utilization อ่อนแอลงเมื่อเทียบกับในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี a couple of other participants กล่าวว่าหากอัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า long-run normal level ต่อไป อาจทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวกลับมาแข็งแกร่งขึ้น และอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นเหนือระดับเป้าหมายได้ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของระดับเป้าหมายของอัตราเงินเฟ้อในรูปแบบ symmetry โดยอัตราเงินเฟ้ออาจปรับสูงขึ้นเกินกว่าร้อยละ 2 เล็กน้อยได้เป็นการชั่วคราว

สำหรับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2 ในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมานั้น คณะกรรมการมองว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัย “Idiosyncratic factors” เช่น การปรับลดลงอย่างมากของค่าบริการด้านสัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายและค่ายาที่จำหน่ายตามใบสั่งยา ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น

เสถียรภาพสถาบันการเงิน

คณะกรรมการประเมินว่า Financial conditions หลังจากการประชุมเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ได้ผ่อนคลายลง ท่ามกลางราคาหุ้นที่ปรับสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับลดลง รวมถึงความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึง market participants คาดการณ์การดำเนินนโยบายทางการเงินที่ตึงตัวมากขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งคณะกรรมการได้มีการหารือถึงสาเหตุของภาวะตลาดการเงินข้างต้น โดยมองว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแข็งแกร่ง ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่า few participants ประเมินว่า valuation ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่สูงแล้วก็ตาม ขณะที่สาเหตุของการปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ นั้น คณะกรรมการเห็นว่า เป็นผลมาจากมุมมองต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาวนั้นปรับแย่ลง รวมถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการถือครองสินทรัพย์ระยะยาวเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ some participants มองว่า risk tolerance ของนักลงทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์

ในส่วนของมุมมองด้าน Financial stability นั้น few participants แสดงความกังวลต่อค่าความผันผวนในตลาดการเงิน และ equity premium ที่อยู่ในระดับต่ำ อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินได้ ขณะที่ one participant ระบุว่า ไม่สามารถเปรียบเทียบปัจจุบันกับอดีตในช่วงที่เกิดความไม่มีเสถียรภาพทางการเงิน และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำได้ เนื่องจากกฎระเบียบทางการเงินในปัจจุบันมีความเข้มงวดมากกว่าในช่วงก่อนวิกฤติทางการเงิน

นโยบายการเงิน

คณะกรรมการ FOMC “almost all” เห็นพ้องถึงความเหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 25 bps เป็นร้อยละ 1.00-1.25 โดยภาพรวมทั้งในแง่เศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อถือว่าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากการประชุมครั้งก่อนหน้า นอกจากนี้ คณะกรรมการมองว่า ถึงแม้จะมีการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้แล้วนั้น ระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันยังถือว่าอยู่ในลักษณะ Accommodative อยู่ซึ่งจะช่วยสนับสนุนภาคการจ้างงานให้ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นและอัตราเงินเฟ้อให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 2 ได้อย่างยั่งยืน (sustained) ทั้งนี้ A few participants ให้ความเห็นถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ว่ามาจากการที่ Financial condition อยู่ในระดับ easing ในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี คณะกรรมการที่คัดค้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายคือ นาย Neel Kashkari, President of the Federal Reserve Bank of Minneapolis (คัดค้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน มี.ค. ที่ผ่านมาเช่นกัน) มองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ ควรรอให้อัตราเงินเฟ้อปรับเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 อย่างแน่ชัดก่อน “actually moving towards 2 percent longer-run objective”

สำหรับในระยะต่อไปนั้น คณะกรรมการยังคงยืนยันท่าทีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป โดย Several participants มีความมั่นใจว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแบบต่อเนื่องในช่วงหลายปีข้างหน้า “a series of further increases” สอดคล้องกับค่ากลางของการประมาณการ federal funds rate ที่ประกาศในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. ที่ผ่านมา และมองว่า อัตราเงินเฟ้อจะสามารถปรับเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ได้ ถึงแม้ว่า นโยบายการเงินจะมีลักษณะตึงตัวขึ้นในช่วงระยะเวลาข้างหน้าก็ตาม อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบางรายกังวลว่าหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามค่ากลางของการประมาณการ federal funds rate นั้นอาจส่งผลลบต่อการขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อได้ “such a path of increases in the policy rate might prove inconsistent with a sustain return of inflation to 2 percent”

นอกจากนี้ several participants สนับสนุนการ undershooting ของอัตราการว่างงาน (สอดคล้องกับการประมาณการใน economic projection) เนื่องจากมองว่า ตลาดแรงงานที่ตึงตัวเป็นผลดีต่อการขยายตัวของอัตราค่าจ้างและการคาดการณ์ด้านอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ กล่าวย้ำถึงอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในลักษณะ symmetric นั่นคือ อัตราเงินเฟ้อสามารถอยู่เหนือระดับเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ได้ชั่วคราวเช่นเดียวกับการอยู่ใต้ระดับร้อยละ 2 ในช่วงที่ผ่านมานั้นเอง ขณะที่ several participants มองว่า การปล่อยให้อัตราการว่างงานอยู่ในระดับ undershooting เป็นระยะเวลานานจะส่งผลลบต่อ financial stability และการขยายตัวของอัตราเงินเฟ้อในอัตราเร่ง ซึ่งอาจมีผลให้เศรษฐกิจประสบกับภาวะถดถอยได้ อย่างไรก็ดี คณะกรรมการระบุว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะอาศัยเครื่องมือทางการเงินในด้าน conventional tools ในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าวต่อไป

Balance Sheet Tool

ใน Minutes การประชุมครั้งนี้ระบุถึงแนวทางการปรับลดขนาด Balance sheet ซึ่งเป็นรายละเอียดเดียวกับที่คณะกรรมการเผยแพร่ใน Policy Normalization and Principle Plans (ประกาศพร้อม FOMC Statement aและ Economic projection เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา) อย่างไรก็ดี มีรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้

o โดยรวมคณะกรรมการเห็นพ้องถึงการเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบาย reinvestment ภายในปีนี้ อย่างไรก็ดี ใน minutes สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่แตกต่างกันในส่วนของระยะเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มนโยบายดังกล่าว โดย several participants สนับสนุนการเริ่มขบวนการปรับลดขนาด Balance sheet ในระยะเวลาอันใกล้ “couple of months” เนื่องจากมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการเตรียมความพร้อมกับนักลงทุนเป็นอย่างดีแล้ว ขณะที่ คณะกรรมการอีกบางส่วนเห็นควรเริ่มขบวนการดังกล่าว “later this year” เพื่อให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีเวลาในการติดตามการเคลื่อนไหวของ Economic activity และอัตราเงินเฟ้อต่อไป นอกจากนี้ยังกังวลว่า การเร่งเปลี่ยนแปลงนโยบาย Reinvestment ในระยะเวลาอันใกล้อาจส่งสัญญาณว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีความตั้งใจดำเนินนโยบายการเงินแบบ “less gradual” ได้

o คณะกรรมการมีการหารือถึงผลของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย Reinvestment ที่มีต่อภาพรวมการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลาง โดย several participants ประเมินว่า การปรับลดขนาด balance sheet อาจส่งผลให้ระดับ policy accommodation ปรับลดลงและมีผลให้ path ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความชันลดลงได้ ขณะที่ คณะกรรมการท่านที่เหลือ ประเมินว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบาย reinvestment ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแต่อย่างไร อย่างไรก็ดี บางท่านมองว่า การปรับขนาด Balance sheet มีผลในระดับ “modest”

o คณะกรรมการยังคงเน้นแนวทางการปรับลดขนาด Balance sheet แบบค่อยเป็นค่อยไป และธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการสื่อสารต่อตลาดการเงินในรายละเอียดของกระบวนการดังกล่าวอย่างชัดเจน ส่งผลให้คณะกรรมการมั่นใจว่า ผลกระทบของการปรับลดขนาด Balance sheet ต่อตลาดการเงินจะเป็นไปอย่าง “limited”

ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดปรับเพิ่มการคาดการณ์ความเป็นไปได้ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการประชุมเดือน ธ.ค. เพียงเล็กน้อยจากสัปดาห์ก่อนหน้ามาอยู่ที่ร้อยละ 61.7

Source: BOTSS

เพิ่มเติม

1. FOMC Minute

https://www.federalreserve.gov/…/fi…/fomcminutes20170614.pdf

2.The Fed grows worried its loose policy threatens US financial stability :http://www.cnbc.com/…/fed-minutes-inflation-to-rise-loose-p…

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ดีจ้า

 

สํานักข่าวไทย TNAMCOT

 

Ausiris Gold Investment was live.

2 hrs · _Y91QzmaslR.pngคลิป

ราคาทองวันนี้ 18 ก.ค. 2560

รายการวิเคราะห์ราคาทอง 1 นาที...สด

 

Ylg Bullion

 

 

MTS GOLD GROUP

 

HSHsocial

 

 

YLGResearch

2ชมที่แลัว

 

สํานักข่าวไทย TNAMCOT

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ไทยชูแนวทาง “ศาสตร์พระราชา” ลดวิกฤตโลกร้อนภัยคุกคามความมั่นคงอาหาร เสนอในเวทีประชุมใหญ่ เอฟ เอ โอ สมัยที่ 40

 

 

ข่าวทั่วไป ThaiPR.net -- อังคารที่ 18 กรกฎาคม 2560 11:47:48 น.

 

ดูรูปทั้งหมด

กรุงเทพฯ--18 ก.ค.--กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

 

 

ไทยชูแนวทาง "ศาสตร์พระราชา" ลดวิกฤตโลกร้อนภัยคุกคามความมั่นคงอาหาร เสนอในเวทีประชุมใหญ่ เอฟ เอ โอ สมัยที่ 40 ยันไทยพร้อมปฏิบัติตามความตกลงปารีส สู่เป้าโร้ดแมปลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ ร้อยละ 20-25 ภายในปี 2030

 

พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในโอกาสเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุมเข้าร่วมประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ ( FAO Conference ) สมัยที่ 40 พร้อมกล่าวถ้อยแถลงภายใต้หัวข้อ " การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเกษตร และความมั่นคงอาหาร" ณ กรุงโรม อิตาลี ว่า การเดินทางเยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการโดย 2 วัตถุประสงค์สำคัญ คือ 1. การเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ เอฟ เอ โอ สมัยที่ 40 ซึ่งเป็นการประชุมระดับสูงสุดกำหนดจัดให้มีการประชุมทุกๆ 2 ปี โดยจะร่วมกันพิจารณาเรื่องสำคัญๆ เช่น ปัญหาและสถานการณ์เกี่ยวกับอาหารและเกษตรของโลก และการกำหนดแผนงาน งบประมาณ ซึ่งการหารือของการประชุมครั้งนี้อยู่ภายใต้หัวข้อ " การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเกษตร และความมั่นคงอาหาร" โดยได้ถือโอกาสกล่าวเน้นย้ำและแสดงบทบาทของไทยในการผลักดันและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศการพัฒนาด้านการเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร และ 2.หารือความร่วมมือด้านการเกษตรในระดับทวิภาคีกับประเทศสมาชิก FAO

 

สำหรับสาระสำคัญที่ไทยเสนอในการประชุม FAO สมัยที่ 40 ไทยพร้อมสนับสนุน แลกเปลี่ยน ประสบการณ์ ความสำเร็จ และองค์ความรู้กับประเทศสมาชิกในเรื่อง"ศาสตร์พระราชา" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่ได้พระราชทานแนวทางการพัฒนาที่มีความลึกซึ้งรอบด้านและมองการณ์ไกลในเรื่องที่เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการบริหารจัดการน้ำและดิน ผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จำนวนมากกว่า 4,000 โครงการ อาทิ ฝนหลวง โครงการแก้มลิง แก้ปัญหาน้ำเสียโดยใช้ "กังหันน้ำชัยพัฒนา" ปลูกหญ้าแฝก เพื่อฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ำ การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เป็นต้น สามารถยกระดับเกษตรกรได้เป็นอย่างดี พระองค์ท่านเป็นแบบอย่างในการปฏิรูปการเกษตรที่รัฐบาลนี้นำมาเป็นแบบอย่าง โดยได้กำหนดนโยบายพัฒนาการเกษตรและสร้างความมั่นคงด้านอาหารท่ามกลางผลกระทบของสภาพอากาศ เช่น การพัฒนาองค์ความรู้ให้เกษตรกร ผ่าน ศพก. 882 ศูนย์ฯ ทั่วประเทศ โดยทำการเกษตรให้เหมาะสมกับพื้นที่ ใช้ Agri-Map เป็นเครื่องมือ ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเกษตรแปลงใหญ่( Collaborative Farming) ใช้ทรัพยากรการผลิตร่วมกัน สินค้าเกษตร มีมาตรฐาน ส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรอินทรีย์ ที่ปราศจากสารเคมี เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระจายน้ำจากแหล่งน้ำไปยังพื้นที่การเกษตร บริหารจัดการน้ำให้ใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม และภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตด้านการเกษตรมีความมั่นคงมากขึ้น

 

"ไทยยืนยันการให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานร่วมกับ FAO ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศการพัฒนาด้านการเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อให้เป็นไปตามความตกลงปารีสซึ่งไทยร่วมเป็นภาคี โดยมีโร้ดแมป (Road map) ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ ร้อยละ 20-25 ภายในปี 2030 รวมทั้งจัดทำแผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นระยะเวลา 35 ปี ระหว่างปี 2015-2050 ซึ่งมีกรอบแนวทางดำเนินการ 3 ประการ คือ 1.การปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2.การลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการเติบโตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ 3.การสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" พลเอกฉัตรชัย กล่าว

 

สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเอฟเอโอนั้น ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกขององค์การฯ เมื่อ 27 ส.ค. 2490 โดยในปี 2560 ประเทศไทยจ่ายค่าบำรุงสมาชิก ประมาณ 40.9 ล้านบาท และไทยได้รับความช่วยเหลือภายใต้โครงการความร่วมมือทางวิชาการ (TCP) ในระดับประเทศ เป็นประจำทุกปีๆ ละ ประมาณ 300,000 เหรียญสหรัฐ ตั้งแต่เริ่มมีโครงการปี 2520 จนปัจจุบันกว่า 100 โครงการ ซึ่งครอบคลุมหลายๆ ด้าน อาทิ ด้านปศุสัตว์ ด้านการประมง ด้านการชลประทาน ด้านป่าไม้ ด้านการปรับปรุงดิน เช่น การควบคุมการขนส่งปศุสัตว์ โครงการด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม โครงการศึกษาผลกระทบจากการทำนากุ้งในพื้นที่น้ำจืด และการฟื้นฟูที่เนื่องจากปัญหาดินเค็ม เป็นต้น

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/prg/2680548

<p><span style="font-size: 18px;">ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 33.73 แข็งค่าในรอบ 2 ปีจากแรงขายดอลล์หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯต่ำกว่าคาด

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 17 กรกฎาคม 2560 09:15:43 น.

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 33.73 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากปิด

 

 

 

ตลาดเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 33.86 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากมีแรงเทขายดอลลาร์หลังตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด

 

การณ์ไว้ โดยค่าเงินบาทเช้านี้ปรับตัวแข็งสุดในรอบกว่า 2 ปี นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.58

 

"บาทแข็งค่าจากเย็นวันศุกร์มาก โดยลงไปทำนิวโลว์ในรอบกว่าสองปี เนื่องจากมีแรงเทขายดอลลาร์หลังตัวเลขเงิน

 

เฟ้อสหรัฐออกมาต่ำกว่าคาด" นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบเงินบาทวันนี้ไว้ที่ 33.70-33.80 บาท/ดอลลาร์

"บาทเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภูมิภาค วันนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบหลังรับข่าวดอลลาร์แล้วปรับตัวแข็งค่าลงมามาก

 

แล้ว" นักบริหารเงิน กล่าว

* ปัจจัยสำคัญ

- เช้านี้เงินเยนอยู่ที่ 112.53 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 113.21 เยน/ดอลลาร์

 

- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ 1.1465 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวนัศุกร์ที่ระดับ 1.1412 ดอลลาร์/ยูโร

 

- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 33.9040 บาท/

 

ดอลลาร์

<span style="color: rgb(0, 0, 0); font-family: Thonburi, Tahoma, sans-serif;">- ธนาคารกสิกรไทย ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์นี้ (17-21 ก.ค.) ที่ 33.80-34.20 บาทต่อ%

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สวัสดีจ้า น้อย meng wannn

 

เพื่อนพี่น้อง ทุกท่าน

 

 

 

สํานักข่าวไทย TNAMCOT

 

 

 

 

สํานักข่าวไทย TNAMCOT

 

 

 

 

HSHsocial

 

 

 

 

YLGResearch

 

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดเงินบาท: เปิด 33.63 แนวโน้มแกว่งในกรอบ 33.60-33.70 หลังช่วงที่ผ่านมาแข็งค่ามาก นลท.รอผลประชุม ECB-BOJ สัปดาห์นี้

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 09:10:26 น.

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 33.63 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากปิด

 

 

 

ตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 33.59/61 บาท/ดอลลาร์ หลังมีแรงเทขายดอลลาร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะมีปัจจัยลบจากเรื่องการ

 

เมืองภายในของสหรัฐ

"วันนี้บาทเปิดตลาดอ่อนค่าจากเย็นวานนี้ หลังระหว่างวันลงไปทำนิวโลว์ในรอบ 26 เดือน" นักบริหารเงิน กล่าว

 

นักบริหารเงินประเมินกรอบเงินบาทวันนี้ไว้ที่ 33.60-33.70 บาท/ดอลลาร์

"วันนี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบ หลังจากปรับตัวแข็งค่าลงมาลึกมาก ช่วง 4 วันก่อนแข็งค่าลงมาราว 50 สตางค์" นัก

 

บริหารเงิน กล่าว

ปัจจัยสำคัญที่ตลาดจับตาดูในสัปดาห์นี้ คือ การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB)

 

* ปัจจัยสำคัญ

- เช้านี้เงินเยนอยู่ที่ 112.07 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 112.20/23 เยน/ดอลลาร์

 

- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ 1.1544 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.1550 ดอลลาร์/ยูโร

 

- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 33.5920 บาท/

 

ดอลลาร์

- บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช(ประเทศไทย) เปิดเผยถึงภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยครึ่งแรกของปี 60 ว่า

 

กองทุนรวมไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3.64% ทำให้ยอดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทยมาปิดที่ 4.82 ล้านล้านบาท โดยนักลงทุน

 

เริ่มส่งสัญญาณลงทุนเพิ่มในไตรมาส 2 หลังจากไตรมาสแรกมีความกังวลต่อปัจจัยภายในและนอกประเทศ ทั้งเรื่องการผิดนัดชำระเงิน

 

ของตั๋ว B/E ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ขึ้นดอกเบี้ย และการเลือกตั้งของหลายประเทศในยุโรป แต่

 

นักลงทุนเริ่มมีความเข้าใจต่อสถานการณ์มากขึ้นส่งผลให้เริ่มนำเงินกลับมาลงทุนเพิ่มในไตรมาส 2 ทำให้ครึ่งแรกของปี 60 กองทุน

 

รวมทั้งอุตสาหกรรมมีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิ 138,282 ล้านบาท

- สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 2 จุด สู่ระดับ 64 ใน

 

เดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 68

 

- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆเกือบทั้งหมด ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18

 

ก.ค.) จากแรงกดดันของกระแสความวิตกกังวลในตลาดเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจาก

 

ที่วุฒิสมาชิก มิทช์ แมคคอนเนลล์ แกนนำเสียงข้างมากของรีพับลิกันในวุฒิสภาสหรัฐได้ออกมายอมรับว่ายังไม่สามารถล้มเลิกกฎหมาย

 

ประกันสุขภาพของรัฐบาลชุดก่อน หรือ "โอบามาแคร์" และแทนที่ด้วยกฎหมายประกันสุขภาพฉบับปรับปรุงของวุฒิสภาซึ่งผลักดันโดยสว.

 

รีพับลิกันได้ เนื่องจากทางพรรคยังไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงให้เพียงพอต่อการโหวตผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวในขณะนี้ โดยยูโร

 

แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1563 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1478 ดอลลาร์ ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่

 

ระดับ 112.00 เยน จากระดับ 112.63 เยน

- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) โดยสัญญาทองคำปิดในแดนบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่อง

 

จากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคัก

 

- นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เชิญวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันเพื่อเข้าพบที่ทำเนียบขาว หลังเมื่อวานนี้

 

ความพยายามในการผลักดันให้มีการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับโอบามาแคร์ได้ประสบความล้มเหลวอีกครั้ง

 

- นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้าง

 

เดือนมิ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

--อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2681121

 

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $8.2 เหตุเงินดอลล์อ่อนหนุนแรงซื้อทอง

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 07:43:02 น.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) โดยสัญญาทองคำปิดในแดนบวกติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นแรงกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคัก

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 8.2 ดอลลาร์ หรือ 0.66% ปิดที่ระดับ 1,241.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.

 

 

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 16.9 เซนต์ หรือ 1.05% ปิดที่ระดับ 16.268 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ปิดทรงตัวที่ระดับ 930.30 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 1.15 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ปิดที่ 864.40 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาทองคำปิดในแดนบวกเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ โดยปัจจัยที่กดดันดอลลาร์ให้อ่อนค่าลงนั้น มาจากความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับความสามารถของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการผลักดันนโยบายต่างๆตามที่เขาเคยให้คำมั่นไว้ โดยเฉพาะนโยบายการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ โดยปธน.ทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า การยกเลิกกฎหมายโอบามาแคร์และแทนที่ด้วยกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ที่เรียกว่า "อเมริกันเฮลธ์แคร์" นั้น จะต้องเกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลจะผลักดันนโยบายอื่นๆให้เดินหน้าได้ต่อไป

 

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความล้มเหลวในการผลักดันนโยบายประกันสุขภาพของทรัมป์นั้น ได้สร้างความเคลือบแคลงให้กับนักลงทุนว่า ทรัมป์จะสามารถผลักดันนโยบายที่ส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้สำเร็จลุล่วงได้จริงหรือไม่ ซึ่งรวมไปถึงการปฏิรูประบบภาษีและการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่างๆอาจต้องใช้เวลามากกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

 

นอกจากนี้ การร่วงลงของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ยังเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq31/2681051

 

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 38 เซนต์ รับข่าวซาอุดิอาระเบียเตรียมลดส่งออกน้ำมัน

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 06:58:23 น.

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) หลังจากมีรายงานข่าวว่า ซาอุดิอาระเบียกำลังพิจารณาปรับลดการส่งออกน้ำมันลงอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากสกลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.8% ปิดที่ 46.40 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

 

 

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 42 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 48.84 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาน้ำมันดิบปิดตลาดปรับตัวขึ้นหลังจากหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สรายงานว่า ซาอุดิอาระเบียกำลังพิจารณาลดการส่งออกน้ำมันอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน

 

ส่วนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานว่า ซาอุดิอาระเบียจะปรับลดการส่งมอบน้ำมันแก่ลูกค้าเป็นจำนวนมากกว่า 600,000 บาร์เรล/วันในเดือนส.ค. เพื่อรองรับความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศจำนวนมากในช่วงฤดูร้อน

 

ทั้งนี้ การส่งออกน้ำมันของซาอุดิอาระเบียจะดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในปีนี้ ที่ระดับ 6.6 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนส.ค. ขณะที่การส่งออกน้ำมันไปยังสหรัฐจะลดลงต่ำกว่าระดับ 800,000 บาร์เรล/วัน

 

การดำเนินการดังกล่าวของซาอุดิอาระเบียมีขึ้น ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการปรับสมดุลในตลาด ขณะที่ซาอุดิอาระเบียจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นเพื่อทำให้ตลาดมีเสถียรภาพ โดยการสร้างความมั่นใจว่าสมาชิกรายอื่นจะยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน

 

นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ โดยการอ่อนค่าของดอลลาร์จะส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบมีมูลค่าที่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ

 

นักลงทุนจับตาการประชุมของรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันจาก 5 ชาติของโอเปก ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต รวมทั้งซาอุดิอาระเบีย โดยการประชุมจะจัดขึ้นที่ประเทศรัสเซียในวันที่ 24 ก.ค. ซึ่งที่ประชุมอาจมีการเสนอมาตรการกระตุ้นราคาเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมโอเปกเต็มคณะในเดือนพ.ย.

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ จะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq35/2680901

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

บทวิเคราะห์ราคาทองคำและ Gold Futures โดยคุณณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ ประจำพุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 (ภาคเช้า)

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน ThaiPR.net -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 10:16:16 น.

กรุงเทพฯ--19 ก.ค.--MTS Gold Group

ทิศทางราคาทองคำ

ราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบาย Healthcare ของนายทรัมป์ จึงกดดันให้ค่าเงินดอลลาร์เองปรับอ่อนค่าลงต่อเนื่อง โดยดัชนีดอลลาร์มาอยู่แถวระดับ 94.53 จุดโดยประมาณ สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญคืนนี้ ได้แก่ Building Permits และ Housing Starts คาดว่าจะปรับตัวขึ้นหรือทรงตัว ขณะที่กองทุน SPDR เมื่อวานนี้ เทขายทองคำอีก 5.62 ตัน ปัจจุบันถือครองทองคำที่ระดับ 821.45 ตัน

 

 

 

วิเคราะห์ราคาทองคำทางเทคนิค

ในเชิงเทคนิคราคาทองคำยังทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 2 สัปดาห์ ที่ระดับ 1,243 เหรียญโดยประมาณ ซึ่งสามารถทะลุ 1,230 เหรียญที่เป็นแนวต้านแรก ทั้งนี้ ทองคำจะมีแนวต้านสำคัญ 1,247 เหรียญ โดยหากยืนเหนือระดับดังกล่าวได้จะทำให้แนวโน้มระยะกลางเป็นขาขึ้น วันนี้คาดว่าราคาจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,235 – 1,247 เหรียญ สำหรับทองคำไทยน่าจะปรับตัวได้ไม่มากนัก โดยจะมีแนวรับ 19,600 บาท/บาททองคำ และแนวต้าน 19,850 บาท/บาททองคำ โดยเงินบาทยังแข็งค่าและทรงตัวแถวระดับ 33.60 บาท/ดอลลาร์

 

กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้

เก็งกำไรขาขึ้นเมื่อมี Technical Rebound หาจังหวะปิดสถานะ Short

- นักลงทุนที่ถือ Long Position

เข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว และหาจังหวะปิดทำกำไรบริเวณแนวต้าน

- นักลงทุนที่ถือ Short Position

ปิดสถานะลดความเสี่ยง

กลยุทธ์สำหรับนักลงทุน Weekly Trading

หาจังหวะทยอยช้อนซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว ไม่แนะนำให้ใช้ Leverage มากจนเกินไป

Gold Futures Q17 จะมีแนวรับที่ระดับ 19,780 บาท และแนวต้านที่ระดับ 19,880 บาท

Gold Futures V17 จะมีแนวรับที่ระดับ 19,830 บาท และแนวต้านที่ระดับ 20,030 บาท

บทวิเคราะห์ข้างต้น ยึดหลักตาม Technical Analysis บริษัทไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบใดๆ ต่อการวิเคราะห์ข้างต้นและโปรดระลึกเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดใช้วิจารณญาณในการลงทุนด้วยตัวของท่านเอง

 

MTS Research

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/prg/2681136

 

KTBST มอง SET วันนี้แกว่งแคบอิงทางลง รับปัจจัยลบกม.สุขภาพของสหรัฐยังไม่ผ่านสภาฯ,รอดูประชุม ECB

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 09:55:29 น.

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ (19 ก.ค.) ตลาดจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ และมีโอกาสปรับตัวลดลง จากเหตุผลสำคัญคือความคลุมเครือในเรื่องการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐฯและยุโรป รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่ากฎหมายด้านสุขภาพมีทีท่าว่าจะผ่านสภาฯไม่ได้ง่ายนัก ซึ่งจะมีผลไปถึงการออกกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจและการพิจารณาลด QE ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ด้วย ทำให้นักลงทุนบางส่วนไปรอดูผลประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 20 ก.ค.

 

 

 

ขณะที่กระแสเงินลงทุน (Fund Flow) ในตลาดหุ้นเอเชียยังเป็นลบ กำไรของกลุ่มธนาคารที่ดีตามคาด (4 ธนาคาร +8.8% YoY ; +6.1% QoQ) และถูกภาวะตลาดกดดัน ส่งผลให้ช่วงระยะสั้น ๆ หุ้นกลุ่มนี้ ยังเป็นลบรวมทั้งหุ้นที่มีรายรับเป็นดอลลาร์ ที่ถูกกระทบจากเงินบาทแข็งค่า (เช้านี้เงินบาท 33.6 บาท/ดอลลาร์) อย่างไรก็ตามต้องติดตาม ตัวเลขยอขายรถยนต์ในประเทศ และภาวะท่องเที่ยวรายเดือนของไทย ในระหว่างวันนี้

 

ดังนั้น จึงมองว่าปัจจัยส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปในทางที่ต้องรอคอย หรือมีผลเชิงลบในบางตัวและยังไม่มีเม็ดเงินใหม่ ๆ เข้ามาในตลาด ซึ่งภาพรวม KTBST แนะให้ชะลอดูการประชุม ECB ในวันที่ 20 ก.ค.นี้ ส่วนการเข้าซื้อขายยังต้องเป็นการสลับตัวเล่น (Switching) เน้นเก็งกำไรช่วงสั้น ๆ แบบตั้งรับ โดยเน้นหุ้นไปที่หุ้นรายตัว ทั้งหุ้นที่มีข่าวบวก หรือหุ้นที่เก็งงบไตรมาส 2/60

 

สำหรับหุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ประจำวัน หุ้นที่คาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุนในวันนี้ อาทิ SIS , SGP , MINT, CPALL , WICE , BCH, TAPAC ส่วนหุ้นแนะนำเชิงเทคนิคได้แก่ BA, GLOBAL,CSP

 

--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/วิลาวัลย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: wilawan@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq05/2681146

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ รอดูสัญญาณจากการประชุม ECB-BOJ วันพรุ่งนี้,เกาะติดงบฯ Q2/60 กลุ่มแบงก์

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 09:39:40 น.

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ เนื่องจากตลาดฯไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามา และตลาดฯก็ได้แกว่ง Sideway Down มาตลอด 2 วันที่ผ่านมาด้วย โดยช่วงนี้ต่างรอดูการทยอยประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 ของกลุ่มแบงก์ ซึ่งพรุ่งนี้เป็นคิวของ BBL, SCB, KBANK ส่วนวันศุกร์เป็น KTB, KKP

 

 

 

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ทั้งในแดนบวก-ลบเล็กน้อย โดยต่างรอดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเฉพาะ ECB ต้องจับตาว่าจะมีการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างไร รอบนี้คงเป็นการให้ความชัดเจนมากขึ้นจากก่อนหน้านี้เคยส่งสัญญาณว่าจะลด QE และจะมีการปรับเปลี่ยนนโยบาย ซึ่งหาก ECB ส่งสัญญาณลด QE อาจจะเป็น Sentiment ไม่ดีต่อตลาดฯ

 

นอกจากนี้ ในวันที่ 25-26 ก.ค.นี้ก็จะมีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งคงก็รอดูสัญญาณการปรับลดขนาดงบดุลของสหรัฐฯ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายของปีนี้เมื่อใด

 

พร้อมให้แนวรับ 1,567 จุด ส่วนแนวต้าน 1,577 จุด

ประเด็นการพิจารณาการลงทุน

- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (18 ก.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,574.73 จุด ลดลง 54.99 จุด (-0.25%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,344.31 จุด เพิ่มขึ้น 29.87 จุด (+0.47%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,460.61 จุด เพิ่มขึ้น 1.47 จุด (+0.06%)

 

- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 29.13 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.17 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 36.87 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 8.45 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.05 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 3.07 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.18 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 21.53 จุด

 

- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 ก.ค.60) 1,571.52 จุด ลดลง 2.57 จุด (-0.16%)

- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,341.32 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ก.ค.60

- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (18 ก.ค.60) ปิดที่ 46.40 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 38 เซนต์ หรือ 0.8%

 

- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 ก.ค.60) ที่ 7.04 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล

 

- เงินบาทเปิด 33.63 แนวโน้มแกว่งในกรอบ 33.60-33.70 หลังช่วงที่ผ่านมาแข็งค่ามาก นลท.รอผลประชุม ECB-BOJ สัปดาห์นี้

 

- มอร์นิ่ง สตาร์ บริษัทชั้นนำของโลกด้านการให้บริการข้อมูลและการวิเคราะห์เกี่ยวกับการลงทุนได้สรุปครึ่งแรกปีนี้ว่า สถานการณ์การผิดนัดชำระของตราสารหนี้ประเภทตั๋วแลกเงินหรือบี/อี ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อการลงทุนในตราสารดังกล่าว เป็นผลให้ปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนในกลุ่มไฮยิลด์บอนด์ หรือตราสารหนี้ที่ผลตอบแทนสูงและมีความเสี่ยงสูงมีมูลค่าลดลงเหลือเพียง 9 หมื่นล้านบาท จากที่เคยสูงสุดกว่า 5.2 แสนล้านบาท

 

- กองทุนยักษ์ใหญ่เอเชียประกาศลดการลงทุนตลาดหุ้น มองผลตอบแทนต่ำไม่น่าสนใจ พร้อมหันลงทุนบริษัทนอกตลาดทดแทน โดยเฉพาะกองทุนซีไอซีของรัฐบาลจีนและเทมาเส็กโฮลดิ้งส์ของรัฐบาลสิงคโปร์ ด้านโบรกไทยชี้เป็นการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากไอพีโอ ส่วนนักวิเคราะห์กองทุนเชื่อลงทุนหุ้นนอกตลาดความเสี่ยงสูง

 

- องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาทบทวนแผนฟื้นฟู ขสมก.ตามที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ได้เสนอให้ ขสมก.นำแผนฟื้นฟูกิจการกลับไปทบทวนเรื่องของความคุ้มค่าในด้านต่างๆ ให้มีความเหมาะสมเพียงพอจะดำเนินการได้ ส่วนเรื่องที่ คนร.ได้เร่งรัดเรื่องจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ที่ขณะนี้ติดปัญหาราคากลางนั้น เบื้องต้นยังไม่ทราบว่ามีข้อสรุปอย่างไร แต่คาดว่าในการประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันที่ 19 กรกฎาคมนี้ ทาง ขสมก.จะรายงานข้อสรุปให้ที่ประชุมบอร์ดทราบ

 

- สวทช.คาดการณ์ตลาดบริการสื่อสารโตก้าวกระโดดใน 5 ปี 20% มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท เผยตลาดรวมปีนี้ยังโตต่อเนื่อง 9.5% ชี้ แนวโน้มหั่นราคาน้อยลง เน้นบริการเสริมไลฟ์สไตล์ องค์กรเปลี่ยนใช้ดิจิทัลมาถูกทางไทยแลนด์ 4.0

 

*หุ้นเด่นวันนี้

- BGRIM (บมจ. บี.กริม เพาเวอร์) เทรดวันนี้วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค โดยเสนอราคาขาย IPO 16 บาท/หุ้น

 

ทั้งนี้ BGRIM มีการซื้อเพื่อส่งมอบหุ้นที่จัดสรรเกิน จำนวน 65,100,000 หุ้น โดยมีบล.ภัทร เป็นผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน กำหนดวันที่เริ่มซื้อเพื่อส่งมอบหุ้นที่จัดสรรเกิน 19 ก.ค. 2560 ไปสิ้นสุดการซื้อเพื่อส่งมอบหุ้นที่จัดสรรเกิน 17 ส.ค. 2560 ราคาจองซื้อหลักทรัพย์ 16.00 บาท ผู้ให้สิทธิ Greenshoe Option คือ BGRIM

 

บริษัทฯประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (แหลมฉบัง) 1 จำกัด เป็นบริษัทแกน บริษัทประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตและขายไฟฟ้า ไอน้ำ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ

 

- DTAC (ธนชาต) "ซื้อ"เป้า 70 บาท กลยุทธ์เน้นกลุ่มลูกค้า Postpaid ที่มีค่าใช้จ่ายต่อเบอร์สูง ส่งผลให้กำไร 2Q60 ออกมาดีกว่าคาด และทำให้ปรับประมาณการกำไรปี 2561 เป็น 2 พันล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะขาดทุน 800 ล้านบาท ด้วย EBITDA แข็งแกร่ง 2.8-3.0 หมื่นล้านบาท/ปี และ EV/EBITDA ปี 2561 ที่ 6.3x ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 7.3x

 

- IVL (ทรีนีตี้) "ซื้อ"เป้า 47.50 บาท แนวโน้มไตรมาส 2-3 ดีต่อเนื่องจากทั้งปริมาณการขายเพิ่มขึ้นและส่วนต่างราคายังสูง บ่งบอก Up cycle ธุรกิจ โดยประเมินกำไรปกติไตรมาส 2 ที่ 4,782 ล้านบาท +8% qoq, 61%yoy เป็นผลจาก 1) ปริมาณการขายคาดเพิ่มใน Season ธุรกิจปิโตรเคมีที่ 2.31 ล้านตัน +5.6% qoq Flat yoy 2) แรงหนุนส่วนต่างราคายังสูงจากทั้ง PET และ PTA ประเมิน Core EBITDA ที่ 115 $/ton และไตรมาส 3 กำไรยังโตต่อเนื่องทั้งปริมาณขาย-ส่วนต่างราคา

 

- THANI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.25 บาท กำไรสุทธิ 2Q60 ดีกว่าคาดและทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 258 ลบ. +5% Q-Q, +19% Y-Y จากรายได้ดอกเบี้ยและการควบคุมค่าใช้จ่าย ที่ดีกว่าคาด แนวโน้ม 2H60 จะดีขึ้น H-H จากการตั้งสำรองฯพิเศษที่จะครบใน 3Q60 และผ่อนคลายลงใน 4Q60 ขณะที่ PPOP ยังแข็งแกร่ง โดยมีแนวโน้มปรับประมาณการขึ้น

 

--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq05/2681132

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.62 แกว่งแคบ ตลาดรอจับตานโยบายการเงินของ BOJ-ECB พรุ่งนี้

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 17:47:08 น.

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นวันนี้ที่ระดับ 33.62 บาท/ดอลลาร์ จากตอน

 

 

 

เช้าที่เปิดตลาดอยู่ที่ 33.63 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเคลื่อนไหวระหว่าง 33.60-33.66 บาท/ดอลลาร์

 

"ช่วงนี้เงินบาทแข็งค่าเร็ว ซึ่งเรามองว่าช่วงนี้ปัจจัยเกี่ยวกับดอลลาร์ค่อนข้างเยอะทั้งเงินเฟ้อและกรณีกฎหมายโอบามา

 

แคร์ที่อาจจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาสหรัฐฯ"นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบเงินบาทวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 33.55-33.65 บาท/ดอลลาร์ โดยมีเหตุการณ์สำคัญ คือ การ

 

ประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องติดตามว่า ECB จะส่งสัญญาณเกี่ยวกับการ

 

ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่

* ปัจจัยสำคัญ

- เงินเยนอยู่ที่ 111.97 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่อยู่ที่ระดับ 112.07 เยน/ดอลลาร์

 

- เงินยูโรอยู่ที่ 1.1533 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่อยู่ที่ระดับ 1.1544 ดอลลาร์/ยูโร

 

- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,575.85 จุด เพิ่มขึ้น 4.33 จุด, +0.28% มูลค่าการซื้อขาย 36,282.82 ล้านบาท

 

- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 114.71 ลบ.(SET+MAI)

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่

 

5 ก.ค.60 ซึ่งมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% โดยเห็นพ้องความจำเป็นในการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนปรนเพื่อ

 

สนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ แม้จะปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัว

 

ของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้เพิ่มเป็น 3.5% ตามการส่งออกฟื้นตัวดี แต่อัตราเงินเฟ้อยังต่ำกว่ากรอบ และคุณภาพสินเชื่อด้อยลง อีก

 

ทั้งกังวลว่าสถานการณ์แรงงานต่างด้าวอาจกระทบธุรกิจและความสามารถการชำระหนี้ของ SMEs สั่งเกาะติดแนวโน้ม NPL

 

- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน มิ.

 

ย.60 อยู่ที่ระดับ 84.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 85.5 ในเดือน พ.ค. สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการในเดือนมิ.

 

ย.60 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์การเมืองใน

 

ประเทศ ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อยู่ในระดับทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า

 

- ส.อ.ท.เปิดเผยการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนมิ.ย.60 อยู่ที่ 93,086 คัน ลดลง 13.02% จาก มิ.ย.59

 

โดยการส่งออกลดลงในทุกตลาด คิดเป็นมูลค่าการส่งออกรถยนต์ 71,683.39 ล้านบาท ลดลง 9.35% จาก มิ.ย.59

 

พร้อมปรับลดเป้าการผลิตรถยนต์ปีนี้เหลือ 1.9 ล้านคัน จากเดิมคาด 2 ล้านคัน ตามการส่งออกที่คาดว่าจะลดลงเหลือ

 

1.1 ล้านคัน จากเดิมคาดไว้ที่ 1.2 ล้านคันหลังตลาดคู่ค้าหดตัว ขณะที่ยอดขายในประเทศจะยังคงเป้าไว้ที่ 8 แสนคัน

 

- รัฐบาลจีนได้เริ่มใช้นโยบายต่างๆ เพื่อยกระดับภาวะแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อนักลงทุนต่างชาติยิ่งขึ้น

 

- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้เริ่มเปิดฉากการประชุมที่จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วันแล้วในวันนี้ ขณะที่ตลาดคาดว่า ที่

 

ประชุมจะปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อในปีงบประมาณปีนี้

ทั้งนี้ คาดว่า BOJ จะคงมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงรุกไว้ แม้ว่าธนาคารกลางในประเทศมหาอำนาจต่างๆจะหันไป

 

ใช้นโยบายที่มีความเข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ดี BOJ มีแนวโน้มว่า จะยกระดับการประเมินภาวะเศรษฐกิจในประเทศ เมื่อพิจารณา

 

จากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส

- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะคงนโยบายการ

 

เงินไว้ในการประชุมวันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ค.นี้ โดยคาดว่า ECB นั้น คงจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2562

 

--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2681460

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 17:47:08 น.

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นวันนี้ที่ระดับ 33.62 บาท/ดอลลาร์ จากตอน

 

 

 

เช้าที่เปิดตลาดอยู่ที่ 33.63 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเคลื่อนไหวระหว่าง 33.60-33.66 บาท/ดอลลาร์

 

"ช่วงนี้เงินบาทแข็งค่าเร็ว ซึ่งเรามองว่าช่วงนี้ปัจจัยเกี่ยวกับดอลลาร์ค่อนข้างเยอะทั้งเงินเฟ้อและกรณีกฎหมายโอบามา

 

แคร์ที่อาจจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาสหรัฐฯ"นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน ประเมินกรอบเงินบาทวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 33.55-33.65 บาท/ดอลลาร์ โดยมีเหตุการณ์สำคัญ คือ การ

 

ประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องติดตามว่า ECB จะส่งสัญญาณเกี่ยวกับการ

 

ถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่

* ปัจจัยสำคัญ

- เงินเยนอยู่ที่ 111.97 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่อยู่ที่ระดับ 112.07 เยน/ดอลลาร์

 

- เงินยูโรอยู่ที่ 1.1533 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่อยู่ที่ระดับ 1.1544 ดอลลาร์/ยูโร

 

- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,575.85 จุด เพิ่มขึ้น 4.33 จุด, +0.28% มูลค่าการซื้อขาย 36,282.82 ล้านบาท

 

- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 114.71 ลบ.(SET+MAI)

- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่

 

5 ก.ค.60 ซึ่งมีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% โดยเห็นพ้องความจำเป็นในการดำเนินนโยบายการเงินผ่อนปรนเพื่อ

 

สนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพการเงินของประเทศ แม้จะปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัว

 

ของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้เพิ่มเป็น 3.5% ตามการส่งออกฟื้นตัวดี แต่อัตราเงินเฟ้อยังต่ำกว่ากรอบ และคุณภาพสินเชื่อด้อยลง อีก

 

ทั้งกังวลว่าสถานการณ์แรงงานต่างด้าวอาจกระทบธุรกิจและความสามารถการชำระหนี้ของ SMEs สั่งเกาะติดแนวโน้ม NPL

 

- สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน มิ.

 

ย.60 อยู่ที่ระดับ 84.7 ปรับตัวลดลงจากระดับ 85.5 ในเดือน พ.ค. สำหรับปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการในเดือนมิ.

 

ย.60 พบว่า ปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์การเมืองใน

 

ประเทศ ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ อยู่ในระดับทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า

 

- ส.อ.ท.เปิดเผยการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนมิ.ย.60 อยู่ที่ 93,086 คัน ลดลง 13.02% จาก มิ.ย.59

 

โดยการส่งออกลดลงในทุกตลาด คิดเป็นมูลค่าการส่งออกรถยนต์ 71,683.39 ล้านบาท ลดลง 9.35% จาก มิ.ย.59

 

พร้อมปรับลดเป้าการผลิตรถยนต์ปีนี้เหลือ 1.9 ล้านคัน จากเดิมคาด 2 ล้านคัน ตามการส่งออกที่คาดว่าจะลดลงเหลือ

 

1.1 ล้านคัน จากเดิมคาดไว้ที่ 1.2 ล้านคันหลังตลาดคู่ค้าหดตัว ขณะที่ยอดขายในประเทศจะยังคงเป้าไว้ที่ 8 แสนคัน

 

- รัฐบาลจีนได้เริ่มใช้นโยบายต่างๆ เพื่อยกระดับภาวะแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้อต่อนักลงทุนต่างชาติยิ่งขึ้น

 

- ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้เริ่มเปิดฉากการประชุมที่จัดขึ้นเป็นเวลา 2 วันแล้วในวันนี้ ขณะที่ตลาดคาดว่า ที่

 

ประชุมจะปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อในปีงบประมาณปีนี้

ทั้งนี้ คาดว่า BOJ จะคงมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงรุกไว้ แม้ว่าธนาคารกลางในประเทศมหาอำนาจต่างๆจะหันไป

 

ใช้นโยบายที่มีความเข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ดี BOJ มีแนวโน้มว่า จะยกระดับการประเมินภาวะเศรษฐกิจในประเทศ เมื่อพิจารณา

 

จากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส

- นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ที่ประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะคงนโยบายการ

 

เงินไว้ในการประชุมวันพฤหัสบดีที่ 20 ก.ค.นี้ โดยคาดว่า ECB นั้น คงจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2562

 

--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq03/2681460

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เฉลิมพระเกียรติ'ร.10' รัฐบาลเตรียมจัดงานทั่วประเทศ27-28ก.ค.

19 ก.ค.60 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามรัฐบาล…

NAEWNA.COM

 

281668.jpg?t=1500514971032

 

19 ก.ค.60 ที่ทำเนียบรัฐบาล นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในนามรัฐบาล ได้ขอพระราชทานพระราชานุญาตจัดพิธีมหามงคลเจริญพระพุทธมนต์ และพิธีทำบุญตักบาตร ทั้งในกรุงเทพมหานคร ทุกจังหวัดทั่วประเทศ สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลและวัดไทยในต่างประเทศทั่วโลก เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลกับถวายพระราชกุศลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 65 พรรษา 28 ก.ค.2560 ซึ่งกรมราชเลขานุการในพระองค์ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

โดยวันที่ 27 ก.ค.เวลา 18.00 น.จัดให้มีพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ในกรุงเทพมหานคร ได้พระราชทานพระราชานุญาตให้จัดพิธี ณ พระลานพระราชวังดุสิต โดยกราบทูลเชิญสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พร้อมด้วยสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ พระเถรานุเถระ จำนวน 241 รูป และนายกรัฐมนตรีเป็นประธานฝ่ายฆราวาส รวมทั้งพระราชทานพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกตน้อย) ซึ่งประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เป็นพระประธานเพื่อความเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ เบาะรองนั่งสำหรับประชาชนนั่งสวดมนต์ และบทเจริญพระพุทธมนต์พระราชทานแก่ประชาชนที่มาร่วมพิธีในพื้นที่ต่างๆ ในเบื้องต้นรัฐบาลจัดพิมพ์ จำนวน 100,000 ฉบับ และภาคเอกชนจัดพิมพ์สนับสนุนอีกจำนวนหนึ่ง สำหรับในจังหวัดทุกจังหวัด และวัดไทยทั่วโลก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด โดยกรมประชาสัมพันธ์ดำเนินการถ่ายทอดสดพิธีทั้งทางสถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์ ทั้งนี้ ประชาชนที่เข้าร่วมพิธี แต่งกายไว้ทุกข์สีดำ ยกเว้นประธานในพิธีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง แต่งกายเครื่องแบบปกติขาวไว้ทุกข์

นอกจากนี้ วันที่ 27 ก.ค.เวลา 07.00 น.ยังมีการจัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา ในกรุงเทพมหานคร จัดพิธี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล สำหรับจังหวัดและศาสนิกชนทุกศาสนา จัดพิธี ณ ศาสนสถานทั่วประเทศ หรือตามความเหมาะสม โดยนายกฯ เป็นประธาน

นางพัชราภรณ์ กล่าวว่า 2.พิธีทำบุญตักบาตร วันที่ 28 ก.ค.เวลา 07.00 น.ในกรุงเทพมหานครจัดพิธีตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร จำนวน 651 รูป ณ พระลานพระราชวังดุสิต โดยนายกฯ เป็นประธาน สำหรับในต่างจังหวัดและวัดไทยทั่วโลก ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูต กงสุลไทย และเจ้าอาวาส พิจารณาจัดสถานที่และนิมนต์พระสงฆ์ตามความเหมาะสม การแต่งกาย สุภาพบุรุษ เสื้อสีขาวนวลติดโบสีดำ กางเกงสีดำ สุภาพสตรี ชุดผ้าไทยหรือชุดสุภาพสีขาวนวลติดโบสีดำ

ทั้งนี้ รัฐบาลจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่ารวมพลังทำความดี และประกอบพิธีทางศาสนาตามศาสนสถานของแต่ละศาสนา หรือตามความเหมาะสม เพื่อแสดงความจงรักภักดี และถวายพระพรชัยมงคลและถวายพระราชกุศลโดยพร้อมเพรียงกัน

สํานักข่าวไทย TNAMCOT

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

World Markets: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 07:51:17 น.

ดัชนีและภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ประจำวันที่ 19 ก.ค.2560

-- ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ รวมทั้งรายงานตัวเลขการสร้างบ้านในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับร่างกฎหมายประกันสุขภาพของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน

 

 

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,640.75 จุด เพิ่มขึ้น 66.02 จุด หรือ +0.31% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,473.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.22 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,385.04 จุด เพิ่มขึ้น 40.74 จุด, +0.64%

 

-- ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทอีเลคโทรลักซ์ เอบี ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ระดับโลก ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันนี้ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB ซึ่งจะมีขึ้นภายหลังการประชุม

 

ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.8% ปิดที่ 385.54 จุด

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,452.05 จุด เพิ่มขึ้น 21.66 จุด หรือ +0.17% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,216.07 จุด เพิ่มขึ้น 42.80 จุด หรือ +0.83% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,430.91 จุด เพิ่มขึ้น 40.69 จุด หรือ +0.55%

 

-- ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) ด้วยแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นเรคคิทท์ เบนคีเซอร์ ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ หลังมีรายงานว่าทางบริษัทได้บรรลุข้อตกลงในการตัดขายธุรกิจผลิตอาหารของบริษัทให้กับแมคคอร์มิค แอนด์ โค

 

ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 40.69 จุด หรือ +0.55% ปิดที่ 7,430.91 จุด

-- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) โดยภาวะการซื้อขายได้รับปัจจัยกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไร นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ดีดตัวขึ้นทำนิวไฮ ยังส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.01% ปิดที่ 1,242.00 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 16.297 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 6.10 ดอลลาร์ หรือ 0.7% ปิดที่ 924.20 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 5.25 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิดที่ 859.15 ดอลลาร์/ออนซ์

 

-- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) หลังสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 47.12 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 49.70 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

-- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) ด้วยปัจจัยหนุนจากข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะเสร็จสิ้นลงในวันนี้

 

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1518 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1563 ดอลลาร์ ในขณะที่ปอนด์อ่อนค่าลงแตะ 1.3025 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3049 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 0.7957 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7923 ดอลลาร์

 

ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 111.79 เยน จากระดับ 112.00 เยน แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9553 ฟรังก์สวิส จากระดับ 0.9540 ฟรังก์สวิส

 

ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 6,385.04 จุด เพิ่มขึ้น 40.74 จุด, +0.64%

ดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 2,473.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.22 จุด, +0.54%

 

ดัชนี DJIA ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดที่ 21,640.75 จุด เพิ่มขึ้น 66.02 จุด, +0.31%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,452.05 จุด เพิ่มขึ้น 21.66 จุด, +0.17%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,216.07 จุด เพิ่มขึ้น 42.80 จุด, +0.83%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,430.91 จุด เพิ่มขึ้น 40.69 จุด, +0.55%

ดัชนี SENSEX ตลาดหุ้นอินเดียปิดที่ 31,955.35 จุด เพิ่มขึ้น 244.36 จุด, +0.77%

ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ปิดที่ 3,325.07 จุด เพิ่มขึ้น 18.99 จุด, +0.57%

ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียปิดที่ 1,757.27 จุด เพิ่มขึ้น 2.35 จุด, +0.13%

ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียปิดที่ 5,806.69 จุด ลดลง 15.66 จุด, -0.27%

 

ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดที่ 26,672.16 จุด เพิ่มขึ้น 147.22 จุด, +0.56%

ดัชนี VN ตลาดหุ้นเวียดนามปิดที่ 771.30 จุด เพิ่มขึ้น 3.81 จุด, +0.50%

ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ปิดที่ 7,972.90 จุด เพิ่มขึ้น 19.98 จุด, +0.25%

 

ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดที่ 3,230.98 จุด เพิ่มขึ้น 43.41 จุด, +1.36%

ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดที่ 2,429.94 จุด เพิ่มขึ้น 3.90 จุด, +0.16%

ดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,732.10 จุด เพิ่มขึ้น 44.70 จุด, +0.79%

 

ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 5,779.40 จุด เพิ่มขึ้น 41.30 จุด, +0.72%

 

ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 20,020.86 จุด เพิ่มขึ้น 20.95 จุด, +0.10%

 

ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันปิดที่ 10,506.10 จุด เพิ่มขึ้น 24.84 จุด, +0.24%

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย คมปทิต สกุลหวง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq20/2681675

 

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวกเพียง 10 เซนต์ เหตุตลาดถูกกดดันจากแรงขายทำกำไร

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 07:39:21 น.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) โดยภาวะการซื้อขายได้รับปัจจัยกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไร นอกจากนี้ การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ดีดตัวขึ้นทำนิวไฮ ยังส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

 

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 10 เซนต์ หรือ 0.01% ปิดที่ 1,242.00 ดอลลาร์/ออนซ์

 

 

 

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 2.9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 16.297 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 6.10 ดอลลาร์ หรือ 0.7% ปิดที่ 924.20 ดอลลาร์/ออนซ์

 

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 5.25 ดอลลาร์ หรือ 0.6% ปิดที่ 859.15 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำปิดตลาดในแดนบวกติดต่อกัน 3 วันทำการก่อนหน้านี้

 

นอกจากนี้ การดีดตัวขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ และสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นนั้น ยังส่งผลให้แรงบวกในตลาดทองคำถูกสกัดลงด้วย โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.1% สู่ระดับ 94.77 เมื่อคืนนี้

 

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านของสหรัฐพุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.22 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. จากระดับ 1.12 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.16 ล้านยูนิตในเดือนมิ.ย.

 

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันนี้อย่างใกล้ชิด โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ECB จะคงนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้ รวมทั้งคาดว่า ECB จะทำการประกาศในเดือนก.ย. ถึงแผนการลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq31/2681671

 

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก 72 เซนต์ หลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงมากกว่าคาด

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 06:53:44 น.

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) หลังสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว

 

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 72 เซนต์ หรือ 1.6% ปิดที่ 47.12 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.8% ปิดที่ 49.70 ดอลลาร์/บาร์เรล

 

 

 

สัญญาน้ำมันดิบปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ หลังจาก EIA สต็อกน้ำมันดิบลดลง 4.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันสัปดาห์ที่ 3 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 3.2 ล้านบาร์เรล

 

ด้านสต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.4 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 665,000 บาร์เรล

 

รายงานของ EIA ยังระบุด้วยว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐยังคงเพิ่มขึ้น โดยปรับตัวขึ้น 32,000 บาร์เรล/วันในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าระดับ 9.4 ล้านบาร์เรล/วัน

 

นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานที่ว่า ซาอุดิอาระเบียกำลังพิจารณาลดการส่งออกน้ำมันอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยการดำเนินการดังกล่าวของซาอุดิอาระเบียมีขึ้น ท่ามกลางความหวังเกี่ยวกับการปรับสมดุลในตลาด ขณะที่ซาอุดิอาระเบียจะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นเพื่อทำให้ตลาดมีเสถียรภาพ โดยการสร้างความมั่นใจว่าสมาชิกรายอื่นของกลุ่มโอเปกจะยังคงเดินหน้าปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน

 

นักลงทุนจับตาการประชุมของรัฐมนตรีกระทรวงน้ำมันจาก 5 ชาติของโอเปก ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต รวมทั้งซาอุดิอาระเบีย โดยการประชุมจะจัดขึ้นที่ประเทศรัสเซียในวันที่ 24 ก.ค. ซึ่งที่ประชุมอาจมีการเสนอมาตรการกระตุ้นราคาเพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมโอเปกเต็มคณะในเดือนพ.ย.

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq35/2681489

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่าเทียบเงินสกุลหลัก รับตัวเลขสร้างบ้านที่แข็งแกร่งของสหรัฐ

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 07:12:24 น.

สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) ด้วยปัจจัยหนุนจากข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ซึ่งจะเสร็จสิ้นลงในวันนี้

 

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1518 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1563 ดอลลาร์ ในขณะที่ปอนด์อ่อนค่าลงแตะ 1.3025 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3049 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 0.7957 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7923 ดอลลาร์

 

 

 

ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 111.79 เยน จากระดับ 112.00 เยน แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9553 ฟรังก์สวิส จากระดับ 0.9540 ฟรังก์สวิส

 

ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.21% สู่ระดับ 94.803 เมื่อคืนนี้

 

ดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนให้แข็งค่าขึ้น ภายหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านของสหรัฐพุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.22 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. จากระดับ 1.12 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.16 ล้านยูนิตในเดือนมิ.ย.

 

นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันนี้อย่างใกล้ชิด โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ECB จะคงนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้ รวมทั้งคาดว่า ECB จะทำการประกาศในเดือนก.ย. ถึงแผนการลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

 

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดว่า BOJ จะมีมติคงมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงรุกไว้ในการประชุมครั้งนี้ แม้ว่าธนาคารกลางในประเทศมหาอำนาจต่างๆจะหันไปใช้นโยบายที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ขณะเดียวกันคาดว่า BOJ มีแนวโน้มจะยกระดับการประเมินภาวะเศรษฐกิจในประเทศ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย คมปทิต สกุลหวง/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq21/2681493

 

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 66.02 จุด รับหุ้นเทคโนฯพุ่ง,ผลประกอบการ มอร์แกน สแตนลีย์ สดใส

 

 

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 06:41:54 น.

ดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (19 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และผลประกอบการที่แข็งแกร่งของธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ รวมทั้งรายงานตัวเลขการสร้างบ้านในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับร่างกฎหมายประกันสุขภาพของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM ได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน

 

 

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,640.75 จุด เพิ่มขึ้น 66.02 จุด หรือ +0.31% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,473.83 จุด เพิ่มขึ้น 13.22 จุด หรือ +0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,385.04 จุด เพิ่มขึ้น 40.74 จุด, +0.64%

 

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแอปเปิล ปรับตัวขึ้น 0.6% หุ้นเฟซบุ๊กพุ่งขึ้น 1.1% และหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ปรับตัวขึ้น 1.2%

 

หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 3.3% หลังจากทางธนาคารเปิดเผยกำไรไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 87 เซนต์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 76 เซนต์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 9.50 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.09 พันล้านดอลลาร์ โดยมอร์แกน สแตนลีย์ระบว่า ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการซื้อขายหุ้น และมีกำไรเพิ่มขึ้นจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง

 

หุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพปรับตัวขึ้น หลังจากยูไนเต็ดเฮลท์ กรุ๊ป อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ 2.46 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.38 ดอลลาร์/หุ้น ทั้งนี้ หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ พุ่งขึ้น 1.3% และหุ้นซิกนา ปรับตัวขึ้น 1.3% เช่นกัน

 

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 1.22 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. จากระดับ 1.12 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.16 ล้านยูนิตในเดือนมิ.ย.

 

อย่างไรก็ตาม หุ้นบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชชีน (IBM) ร่วงลง 4.2% ซึ่งส่งผลให้แรงบวกในตลาดหุ้นนิวยอร์กถูกสกัดลงเมื่อคืนนี้ หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรลดลง 7% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว โดยอยู่ที่ระดับ 2.3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.48 ดอลลาร์/หุ้น จากยอดขาย 1.93 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 21 ไตรมาส

 

นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าในความพยายามของปธน.ทรัมป์ในการผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพให้ผ่านวุฒิสภา โดยล่าสุดปธน.ทรัมป์ได้เชิญวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันทั้ง 52 คนเข้าพบที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ หลังจากที่ความพยายามในการผลักดันให้มีการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับโอบามาแคร์ได้ประสบความล้มเหลวอีกครั้ง ขณะที่นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ ประกาศว่า วุฒิสภาจะทำการลงมติต่อร่างกฎหมายที่จะยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับโอบามาแคร์ ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า

 

ทั้งนี้ ความพยายามของวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันในการลงมติเพื่อยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพ "โอบามาแคร์" ของรัฐบาลชุดก่อน โดยที่ยังไม่มีร่างกฎหมายฉบับใหม่เข้ามาบังคับใช้แทนที่นั้น ประสบกับความล้มเหลว หลังจากที่นางลิซา เมอร์คอว์สกี นางเชลลีย์ มัวร์ และนางซูซาน คอลลินส์ ซึ่งเป็นวุฒิสภาชิกจากพรรครีพับลิกันได้ประกาศที่จะคัดค้านแผนการดังกล่าว นอกจากนี้ นายไมค์ ลี วุฒิสมาชิกรัฐยูทาห์ นายเจอร์รี มอร์แรน วุฒิสมาชิกรัฐแคนซัส พร้อมด้วยนายแรนด์ พอล วุฒิสมาชิกจากรัฐเคนทักกี ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่จะโหวตคัดค้านร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับปรับปรุงใหม่ในวุฒิสภาเช่นกัน

 

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอเมริกัน เอ็กซ์เพรส และควอลคอมม์ พร้อมกับจับตาตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq18/2681488

 

จับตาวุฒิฯสหรัฐเตรียมโหวตร่างกฎหมายยกเลิกโอบามาแคร์ช่วงต้นสัปดาห์หน้า

 

 

ข่าวการเมือง สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 19 กรกฎาคม 2560 23:25:50 น.

นายมิทช์ แมคคอนเนล ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า วุฒิสภาจะทำการลงมติต่อร่างกฎหมายที่จะยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับโอบามาแคร์ ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า แต่จะยังไม่มีการออกกฎหมายที่จะมาทดแทนโอบามาแคร์

 

"ตามคำเรียกร้องของท่านประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี หลังจากการปรึกษากับสมาชิกของพวกเรา เราจะทำการลงมติต่อร่างกฎหมายกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับโอบามาแคร์ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า" นายแมคคอนเนลกล่าว

 

 

 

ทั้งนี้ ความพยายามของวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันในการลงมติเพื่อยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพ "โอบามาแคร์" ของรัฐบาลชุดก่อน โดยที่ยังไม่มีร่างกฎหมายฉบับใหม่เข้ามาบังคับใช้แทนที่นั้น ประสบกับความล้มเหลวเมื่อวานนี้ หลังจากที่นางลิซา เมอร์คอว์สกี นางเชลลีย์ มัวร์ และนางซูซาน คอลลินส์ ซึ่งเป็นวุฒิสภาชิกจากพรรครีพับลิกันได้ประกาศที่จะคัดค้านแผนการดังกล่าว

 

นอกจากนี้ นายไมค์ ลี วุฒิสมาชิกรัฐยูทาห์ นายเจอร์รี มอร์แรน วุฒิสมาชิกรัฐแคนซัส พร้อมด้วยนายแรนด์ พอล วุฒิสมาชิกจากรัฐเคนทักกี ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่จะโหวตคัดค้านร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับปรับปรุงใหม่ในวุฒิสภาเช่นกัน

 

ปัจจุบัน พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา โดยมีจำนวนวุฒิสมาชิกทั้งหมด 52 ที่นั่งจากทั้งหมด 100 ที่นั่ง แต่การออกมาแสดงจุดยืนคัดค้านของวุฒิสมาชิกดังกล่าว จะส่งผลให้พรรครีพับลิกันไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงได้เพียงพอต่อการโหวตล้มเลิกกฎหมายโอบามาแคร์ในวุฒิสภาได้ เนื่องจากพรรคต้องการเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 50 เสียง บวกกับคะแนนเสียงชี้ขาดจากรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ในฐานะประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ โทร.02-2535000 อีเมล์: kongkiat.k@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq37/2681483

 

วุฒิสมาชิก จอห์น แมคเคน ของพรรครีพับลิกัน ถูกตรวจพบเนื้องอกในสมอง

 

 

ข่าวการเมือง สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 08:18:40 น.

นายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐแอริโซนาของสหรัฐ ได้รับการวินิจฉัยว่ามีเนื้องอกในสมอง หลังจากที่เขาเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการเส้นเลือดอุดตัน

 

อย่างไรก็ตาม คณะแพทย์ที่ดูแลรักษานายแมคเคน เปิดเผยว่า นายแมคเคนยังมีสุขภาพที่แข็งแรง

 

ทั้งนี้ นายแมคเคน ถูกมองว่าเป็นนักการเมืองที่มีอิทธิพลสูงในสหรัฐ และเป็นหนึ่งในหัวเรือใหญ่ของรีพับลิกันที่คอยผลักดันให้ผ่านร่างกฎหมายประกันสุขภาพฉบับใหม่ หรือ "อเมริกันเฮลธ์แคร์" เพื่อนำมาบังคับใช้แทนกฎหมายประกันสุขภาพฉบับของรัฐบาลชุดก่อน หรือที่เรียกว่า "โอบามาแคร์"

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq37/2681682

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ข่าว

 

Ylg Bullion

 

 

YLGResearch

 

HSHsocial

Xinhua world news summary: CBO เตือนการยกเลิกโอบามาแคร์อาจส่งผลชาวอเมริกัน 32 ล้านคนไม่มีประกันสุขภาพ

 

 

ข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม 2560 10:25:40 น.

สำนักงานงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ (CBO) ออกรายงานเตือนว่า หากร่างกฎหมาย "อเมริกันเฮลธ์แคร์" ซึ่งนำเสนอโดยพรรครีพับลิกัน ถูกนำมาบังคับใช้แทนกฎหมายประกันสุขภาพ "Affordable Care Act (ACA)" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "โอบามาแคร์" นั้น จะส่งผลให้ชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพมีจำนวนสูงถึง 32 ล้านคน ภายในปี 2569

 

 

 

รายงานของ CBO ระบุว่า ภายในปี 2561 นี้ จำนวนชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพจะเพิ่มขึ้น 17 ล้านคน หากกฎหมาย ACA ถูกยกเลิกโดยไม่มีกฎหมายอื่นมาแทนที่ พร้อมระบุว่า หากพรรครีพับลิกันสามารถผลักดันกฎหมายยกเลิกโอบามาแคร์สำเร็จ จะทำให้ชาวอเมริกันจำนวน 27 ล้านคนอยู่ในสถานะที่ไม่มีประกันสุขภาพภายในปี 2563 และ 32 ล้านคนภายในปี 2569

 

-- นายจอห์น แมคเคน วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐแอริโซนาของสหรัฐ ได้รับการวินิจฉัยว่ามีเนื้องอกในสมอง หลังจากที่เขาเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการเส้นเลือดอุดตัน

 

อย่างไรก็ตาม คณะแพทย์ที่ดูแลรักษานายแมคเคน เปิดเผยว่า นายแมคเคนยังมีสุขภาพที่แข็งแรง

 

-- นายโฮเซ คัลซาดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของเม็กซิโกเปิดเผยว่า การเจรจาความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) รอบใหม่ร่วมกับสหรัฐและแคนาดานั้น จะส่งผลบวกต่อภาคการเกษตรของเม็กซิโก

 

นายคัลซาดากล่าวในงานเปิดเส้นทางขนส่งสินค้าไปยังเมืองแวนคูเวอร์ ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองกัวดาลาคาราว่า เม็กซิโกคงไม่เรียกร้องขอสัมปทานหรือขอสิทธิพิเศษใดๆ เนื่องจากเม็กซิโกคิดว่า การแข่งขันกับคู่ค้าถือเป็นเรื่องที่ดี

 

--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย จิตวัฒน์ วิจิตรถาวร/รัตนา โทร.02-2535000 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--

 

อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq29/2681733

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...