ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 
ginger

หัวใจทองคำกับรอยหยักของสมอง

โพสต์แนะนำ

สโตแคสติกส์ STOCHASTICS

 

 

STOCHASTICS คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคาหุ้นนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของหุ้นมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน

 

ถ้าราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ขึ้น” เป็น “ลง” เรามักจะพบว่าราคาในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายอาจจะสูงขึ้น แต่ราคาปิดจะอยู่ใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของวัน แต่หากราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ลง” เป็น “ขึ้น” ราคาปิดจะมีราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของวัน แม้ว่าในระหว่างชั่วโมงซื้อขายราคาอาจจะลดต่ำลง

ความสัมพันธ์ระหว่างราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 

หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ STOCHASTICS

 

เครื่องมือ STOCHASTICS ประกอบด้วย

 

เส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS

 

เส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %K

 

%K = ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)

 

ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)

 

%D = ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

 

หลักการอ่าน STOCHASTICS

 

สัญญาณเตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

 

สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง

 

รูปแบบของการตัดขึ้นตัดลง

 

สัญญาณซื้อหรือขายจากการตัดขึ้นหรือลงในทางปฏิบัติ มักจะมีบางกรณีเกิดเป็นสัญญาณหลอกขึ้นซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนเสียหาย จึงมีกฎเกณฑ์เพิ่มเติมในการอ่านรูปแบบของการตัดขึ้นหรือลง โดยจะดูว่ารูปแบบในลักษณะใดที่จะผลักดันให้ราคาหุ้นขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว

 

การตัดค่อนไปทางขวามือ (RIGHT-HAND CROSS-OVER)

 

เนื่องจากเส้น %K เปลี่ยนทิศทางเร็วกว่าเส้น %D โดยจะวิ่งขึ้นหรือลงก่อน และอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก ดังนั้นสัญญาณที่ดีกว่าคือ การให้ทั้ง 2 เส้นเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ในกรณีเช่นนี้ รูปแบบจะออกมาในลักษณะที่เส้น %K ตัดเส้น %D ค่อนไปทางขวามือ (RIGHT-HAND CROSS-OVER) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนกว่า

 

รูปแบบ HINGE

 

เป็นรูปแบบการชะลอการขึ้นหรือลงในลักษณะอ่อนตัวลง เป็นเครื่องชี้ว่าราคาหุ้นอาจจะมีการเปลี่ยนทิศทางในเร็ว ๆ นี้

 

การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS

 

(DIVERGENCE) แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

 

BEARISH DIVERGENCE คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่เป็นสัญญาณขาย

 

BULLISH DIVERGENCE คือการที่ราคาหุ้นสร้างจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำเก่า แต่ STOCHASTICS มีจุดต่ำใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำกว่า เป็นสัญญาณซื้อ

 

รูปแบบ SET-UP

 

จุดยอดใหม่ของ STOCHASTICS สูงกว่าจุดยอดเก่า ในขณะที่ราคาหุ้นไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่และกลับลดต่ำกว่าจุดสูงเก่าเป็นสัญญาณเตือนว่า การลดต่ำลงของราคาหุ้นไม่น่าจะรุนแรงมากกว่านี้เรียกว่า BULL SET-UP และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะดีดตัวกลับสูงขึ้น

 

BEAR SET-UP จุดต่ำใหม่ของ STOCHASTICS ต่ำกว่าจุดต่ำกว่าในขณะที่ราคาหุ้นมีจุดต่ำใหม่สูงกว่าจุดต่ำเก่า เป็นสัญญาณเตือนว่า การขึ้นของราคาหุ้นครั้งนี้จะเป็นการขึ้นก่อนที่ราคาจะต่ำลง

 

รูปแบบ FAILURE แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ

 

รูปแบบ KNEE เส้น %K ตัดเส้น%D ขึ้นและถอยกลับแต่ไม่ทะลุผ่านเป็นสัญญาณเตือนว่า ราคาหุ้นยังสามารถที่จะเคลื่อนตัวสูงขึ้นต่อไปได้

 

รูปแบบ SHOULDER เส้น %K ตัดเส้น %D และดีดตัวสะท้อนกลับแต่ไม่สามารถตัดผ่านไปได้เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาหุ้นใกล้จะอ่อนตัวลง

 

รูปแบบ GARBAGE แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

 

GARBAGE TOP เป็นรูปแบบทีเส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่บริเวณเขตภาวะซื้อมากไป รูปแบบนี้จะเกิดขึ้นกับสภาพตลาดที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ซึ่งจะใช้ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีการปรับตัวลง ลักษณะการปรับตัวลงของ STOCHASTIC จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และจะสามารถดีดตัวกลับสูงข้นได้ทันที โดยมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับตัว V จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า SPIKE BOTTOM

 

GARBAGE BOTTOM เกิดขึ้นในสภาพตลาดขาลง และมีความหมายตรงกันข้ามกับ GARBAGE TOP โดยรูปแบบการปรับตัวสูงขึ้นของ STOCHASTIC จะเป็นไปในลักษณะ SPIKE TOP

 

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

 

ระดับ 0% หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD) ของหุ้นแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่แต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาหุ้นอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะของ TECHNICAL REBOUND ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0% จึงอาจตีความได้ว่าราคาหุ้นได้ลดลงมาถึงระดับ “WEAK”

 

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของหุ้น แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง (STRONG) จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้ STOCHASTIC อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง (TECHNICAL CORRECTION) แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT มากกว่า

 

สโตแคสติกส์แบบเร็ว FAST STOCHASTIC

 

STOCHASTIC แบบเร็วนี้ เป็นเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของระดับราคาในปัจจุบัน ภายในช่วงกว้างของระดับราคา ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งมีการแกว่งตัวที่รวดเร็วมาก จึงทำให้หลายฝ่ายไม่นิยมใช้ เนื่องจากมีการแกว่งตัวที่ผันผวนและไม่แน่นอน ดังนั้น SLOW STOCHASTIC จึงเป็นที่นิยมใช้มากกว่า STOCHASTIC นี้ประกอบด้วยค่าดัชนีสองค่าคือ %K และ %D โดยจะบอกถึงภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) เมื่อ STOCHASTIC ตัดเส้น 80% ขึ้นไป คืออยู่ในช่วงระหว่างเส้น 80% ถึง 100 % และจะบอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD) เมื่อ STOCHASTIC เตือนชี้จะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 20% ลงมา และสัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %Kตัดเส้น %D ขึ้นไป สำหรับสัญญาณเตือนขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 80% ขึ้นไป และสัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D ลงมา

 

FORMULA

 

FAST %k = CURRENT CLOSE – LOWEST LOWn

 

HIGHEST HIGHn – LOWEST LOWn

 

%D = 3 PERIOD MODIFIED MOVING AVERAGE OF FAST %k

 

n = NUMBER OF PERIODS

 

สโตแคสติกส์แบบช้า SLOW STOCHASTIC

 

SLOW STOCHASTIC เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของราคา ที่ถูกทำให้ราบเรียบขึ้นจาก FAST STOCHASTIC ซึ่ง SLOW STOCHASTIC ใช้ MODIFIED MOVING AVERAGE ในการหาค่า SLOW %K เท่ากับ 3 PERIOD แต่ใน FAST STOCHASTIC ค่าของ FAST %Kจะใช้ MODIFIED MOVING AVERAGE เท่ากับ 1 PERIOD หรือไม่มีการเฉลี่ยนั่นเอง

 

FORMULA

 

SLOW %K = 3 Period Modified Moving Average of FAST %K

 

%D = 3 Period Modified Moving Average of SLOW %K

 

หลักการวิเคราะห์ SLOW STOCHASTIC ใช้หลักเดียวกันกับ FAST STOCHASTIC

 

 

สโตแคสติกส์แบบปรับปรุง MODIFIED STOCHASTIC

 

MODIFIED STOCHASTIC เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องวัดการแกว่งตัวของราคา ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยสามารถทำให้ราบเรียบขึ้นจาก FAST STOCHASTIC หรือทำให้แกว่งตัวมากกว่า SLOW STOCHASTIC

 

แต่เดิม FAST STOCHASTIC ใช้ MODIFIED MOVING AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาในการหาค่า %D เท่ากับ 3 และ SLOW STOCHASTIC ใช้ MODIFIED MOVING AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาการหาค่า %Kและ %D เท่ากับ 3 แต่ใน MODIFIE STOCHASTIC ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าของ MOVING AVERAGE เท่ากับช่วงเวลาใดๆก็ได้ และสามารถกำหนดรูปแบบของ MOVING AVERAGE ได้ตามต้องการ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณหาค่า %Kและ %D

 

หลักการวิเคราะห์ของ MODIFIED STOCHASTIC ใช้หลักเดียวกันกับ FAST และ SLOW STOCHASTIC

 

วิลเลี่ยมเปอร์เซ็นต์อาร์ WILLIAM %R

%R เป็นเครื่องมือแสดงภาวะซื้อมากไป หรือภาวะขายมากไป ซึ่งพิจารณาจากราคาปัจจุบันว่าอยู่ ณ ระดับราคาใดในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่กำหนด %Rของช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ถูกคำนวณได้ โดยหักลบราคาปัจจุบันจากราคาสูงสุดของช่วงเวลานั้น แล้วหารผลที่ได้นี้ด้วยช่วงกว้างของระดับราคาของช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งคำนวณได้จากสูตรดังต่อไปนี้

 

%R = HIGHn – CURRENT LAST

 

LOWn – HIGHn

 

เมื่อ n = จำนวนเวลา

 

HIGHn = ราคาต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด

 

LOWn = ราคาต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนด

 

%R จะแตกต่างจากเครื่องมือตัวอื่น ๆ ในด้านมาตรวัด ซึ่งใช้วัดระดับภาวะซื้อมากไปหรือขายมากไปโดยมีระดับอยู่ในช่วงระหว่าง 0 ถึง –100 กล่าวคือระดับ 0 จะอยู่ข้างบน ส่วน – 100 จะอยู่ด้านล่าง เหตุที่วาง SCALE ในลักษณะนี้เพื่อเหตุผลในการคำนวณ ดังนั้นจึงไม่ต้องให้ความสำคัญกับเครื่องหมายลบ

 

หลักการวิเคราะห์ของ WILLIAMS

 

สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อ %R ได้ตัดเส้นระดับ -90% ขึ้นไป

 

สัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %R ตัดเส้นระดับ –10%

 

ระดับภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT ) อยู่ในช่วงระหว่าง 0 ถึง – 10

 

ระดับภาวะขายมากไป (OVERSOLD) อยู่ในช่วงระดับ –90 ถึง – 100

 

ดูกราฟประกอบที่ http://www.taladhoon.com/ หัวข้อ Library

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

จุดเน้นของสโตแคสติกส์

 

ถ้าราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ขึ้น” เป็น “ลง”

เรามักจะพบว่าราคาในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายอาจจะสูงขึ้น

แต่ราคาปิดจะอยู่ใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของวัน

 

แต่หากราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ลง” เป็น “ขึ้น”

ราคาปิดจะมีราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของวัน

แม้ว่าในระหว่างชั่วโมงซื้อขายราคาอาจจะลดต่ำลง

 

ความสัมพันธ์ระหว่างราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด

ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการ

ในการดูแนวโน้มขึ้น

หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ

โดยนำมาใช้ดูว่า

ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

 

============

430813_531318266888246_840499481_n.jpg

กฏ 24 ข้อสำหรับนักซื้อขายหุ้นรายวัน (เทรดเดอร์)

 

การเป็นเทรดเดอร์นั้น โอกาสที่จะแม้แต่คุ้มทุนแทบจะน้อยมากหรือไม่มีเลย หากเราไม่นิ่ง ไม่มีระบบปฏิบัติตนประจำตัว และไม่ทำตนให้แตกต่างจากผู้อื่น และจำเป็นอย่างมากที่จะต้องปฏิบัติตามแนวทาง หรือกฏที่เราจะกล่าวถึงต่อไปนี้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเป็นเทรดเดอร์

 

เป้าหมายของกฏนี้ก็คือ ลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด และทำกำไรให้ได้มากที่สุด

 

กฏข้อที่ 1 ปฏิบัติตามกฏ

บางคนเวลาเข้าตลาดใหม่ๆนั้นก็จะลงทุนซื้อขายกันเลย โดยเห็นผู้ที่เข้ามาก่อนหน้านั้นได้กำไร แต่ความเป็นจริงก็คือผู้ที่เข้ามาก่อนหน้านั้น เขามีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนหน้ามากมายนัก กฏดังที่จะกล่าวต่อไปนี้นั้น รวบรวมมาจากประสบการณ์หลากหลาย ดังนั้นจึงเป็นทางลัดของเทรดเดอร์มือใหม่ โดยรับประกันได้ว่าหากไม่ปฏิบัติตามกฏนี้แล้ว จะขาดทุนในระยะยาว

 

กฏข้อที่ 2 ให้พิจารณาว่าเราจะซื้อขายอย่างไร

ต้องพิจารณาถึง เทคนิค กลยุทธ์

และระบบที่เราถูกใจและเข้ากับลักษณะการเทรดของเราได้มากที่สุด

คลิ๊กที่นี่เพื่อศึกษาเรื่องกลยุทธ์วื้อขาย

 

กฏข้อที่ 3 ค้นหาเทคนิคการเทรดที่จะยึดปฏิบัติ และพยายามฝึกฝนให้ชำนาญ

บ่อยครั้งที่มือใหม่จะเปลี่ยนเทคนิคการเทรดไปๆมาๆ

เพียงเพื่อให้ได้พิสูจน์ว่าเทคนิคอันแรกนั้นใช้ได้ดีที่สุด

แต่กว่าจะพบได้เงินลงทุนก็หมดพอดี

แต่หากต้องการที่จะเปลี่ยนเทคนิคใหม่ ให้ทดลองเทรดเทคนิคใหม่นี้ในกระดาษเสียก่อนอย่างน้อยสองอาทิตย์ หากได้ผลแล้วจึงเทรดโดยใช้เงินจริง

 

กฏข้อที่ 4 เทรดในกระดาษก่อน

คือการเขียนหุ้นตัวที่จะซื้อ พร้อมทั้งราคาซื้อ ราคาที่จะขาย

และจุดตัดขาดทุนหากหุ้นไม่ขึ้นตามที่คาดไว้ โดย

ก. เลือกหุ้นที่ต้องการจะซื้อ แล้วเขียนชื่อมันลงในกระดาษ

ข. เขียนจุดตัดขาดทุนลงในกระดาษ

ค. ระบุจำนวนหุ้นที่ต้องการจะซื้อ

ง. เขียนราคาที่ต้องการจะขายลงในกระดาษ

ตรวจสอบราคาซื้อและขายว่าได้หรือเปล่า แล้วจดบันทึก กำไร หรือ ขาดทุนเอาไว้ ห้ามข้ามไปกฏต่อไปจนกว่าจะทดลองเทรดในกระดาษอย่างน้อยสองอาทิตย์ หรือเมื่อทำกำไรได้ถึง75% ของจำนวนครั้งที่เทรด

 

กฏข้อที่ 5 เทรดโดยเงินจริงๆ

สิ่งที่เราจะได้พบก็คือว่า การเทรดโดยใช้เงินจริงนี้ยากกว่า และแตกต่างกับ

การเทรดในกระดาษมากนัก

ซึ่งเราจะต้องเทรดโดยเดิมพันด้วยเงินของเรา และจะมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องมาก

ในแต่ละครั้งที่เราจะซื้อหรือขายนั้น

เราจะต้องมีลักษณะสมดุลย์ที่มีเหตุผล ระหว่าง ความกลัว และความโลภ

ก. เริ่มต้นด้วยการเทรดในจำนวนที่ไม่มากกว่า 1 หมื่นบาท หรือในการซื้อขาย 20 ครั้งแรกนี้นั้นห้ามใช้เงินเทรดเกิน 25% ของเงินที่เรามีอยู่ จนกว่าจะมีความชำนาญในระดับ 75% ก่อน (หมายความว่า เทรด 100 ครั้ง จะได้กำไร 75 ครั้ง) หลังจากนั้นให้เพิ่มเงินเทรดขึ้นอีกระดับหนึ่ง และเทรดที่ระดับนี้จนกระทั่งได้ความชำนาญในระดับ 75% จึงเพิ่มวงเงินขึ้นได้ต่อไป

ด้วยวิธีนี้เราจะได้ความมั่นใจ

เราจะได้รู้ว่ามันยากหรือง่ายขนาดไหนไนการซื้อหรือขายให้ได้กำไร

ให้จำไว้เสมอว่าการซื้อขายจริงนี้เราไม่สามารถซื้อหรือขายได้ดั่งใจดั่งที่เคยทำในกระดาษ

ในช่วง 20 ครั้งแรกนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้กำไรเลย

แต่การที่เราเทรดในจำนวนน้อยนั้น ทำให้เราไม่ขาดทุนในจำนวนมาก

 

กฏข้อที่ 6 ไม่มี

 

กฏข้อที่ 7 ใช้การตั้งออเดอร์ในการซื้อหรือขาย

การเคาะซื้อหรือเคาะขายนั้น หากไม่ทำให้เราติดหุ้นที่ยอดดอยแล้ว เราก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น

 

กฏข้อที่ 8 ให้ตั้งจุดตัดขาดทุนไว้เสมอ

ทุกครั้งที่เข้าซื้อ จะต้องตั้งจุดตัดขาดทุนไว้เสมอ

และเมื่อราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่เราคาด และตกต่ำหรือทำท่าว่าจะตกต่ำกว่าจุดตัดขาดทุนนี้

เราจะต้องขายทันที อย่าหวังลมๆแล้งๆว่าหุ้นจะขึ้นอีก การตั้งจุดต้ดขาดทุนนี้

อาจจะทำได้โดยให้มาณเก็ตติ้งดูราคาที่เราตั้งไว้ว่าเป็นจุดตัดขาดทุน

และหากมรการเคาะขายลงมาจะจำนวนหุ้นที่รอซื้ออยู่ที่ระดับราคานี้นั้น เหลืออยู่น้อยแล้ว

เราก็ควรจะเคาะขายที่ราคานี้เลย

มิเช่นนั้นแล้วเราอาจจะต้องเคาะขายที่รัคาต่ำกว่านี้อีก 1 สเต็บได้

 

กฏข้อที่ 9 ห้ามไล่ซื้อ

หากเราตั้งซื้อหุ้น แล้วไม่ได้หุ้น ในขณะที่หุ้นวิ่งขึ้นไปแล้ว ห้ามไล่ซื้อเป็นอันขาด

แต่ให้ตั้งซื้อในราคาที่สูงขึ้นไปอีกสักสองสเต็บ ซึ่งโดยปกติแล้วหุ้นจะวกกลับมาหาเราเอง

แต่หากมันไม่มาก็ไม่ต้องสนใจ ให้ไปหาโอกาสในหุ้นตัวอื่นที่ความเสี่ยงน้อยกว่าดีกว่า

การไล่ซื้อนั้นจะทำให้เราซื้อหุ้นได้ที่ยอดสูง

และเมื่อหุ้นปรับฐานลงมา ราคาก็จะต่ำกว่าจุดตัดขาดทุนของเรา

และเราก็จะต้องขายตัดขาดทุนออกมา

 

กฏข้อที่ 10 หากดัชนีเป็นสีแดงห้ามซื้อ

หากดัชนีตลาดรวม หรือดัชนีกลุ่มของหุ้นที่เราจะซื้อเป็นสีแดง (หมายถึงราคาลดลง)

ห้ามซื้อหุ้นเด็ดขาด ให้นั่งพัก และเรียนรู้ลักษณะของหุ้นแต่ละตัวไปพลางๆ

 

กฏข้อที่ 11 ห้ามเทรดสวนแนวโน้ม

หากหุ้นที่เราจะเทรดมีแนวโน้มลง ห้ามซื้อ เด็ดขาด

 

กฏข้อที่ 12 ให้ใช้เงินที่มีเก็บสะสมไว้ในการซื้อขายหุ้นเท่านั้น

ห้ามใช้เงินที่กันไว้สำหรับ ใช้จ่ายประจำวัน ใช้หนี้เงินกู้ ใช้ในธุรกิจประจำ

มาซื้อขายหุ้นเป็นอันขาด และ ห้ามกู้เงินมาซื้อขายหุ้นเด็ดขาด

 

กฏข้อที่ 13 สะสมหุ้นที่แตกต่างกันหลายตัว

กฏข้อนี้เหมาะกับผู้ที่จะลงทุนถือหุ้นข้ามคืน ห้ามลงทุนในหุ้นตัวหนึ่งในจำนวนเงินที่มากกว่า 20% ของจำนวนเงินทั้งหมด จำนวนหุ้นที่เหมาะสมคือ 5 ตัว

 

กฏข้อที่ 14 ลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด และทำกำไรให้มากที่สุด

เมื่อหุ้นไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ ควรตัดขาดทุนที่ระดับ 1-2 สเต็บ

เพื่อให้เราขาดทุนมากที่สุดก็แค่นี้

ซึ่งหากเราเทรดได้ชำนาญแล้วนั้น อัตราความชำนาญที่ 75% จะทำให้เราได้กำไรต่อเนื่อง

การถือหุ้นไว้ด้วยความหวังลมๆแล้งๆที่คิดขึ้นมาเองนั้น จะทำให้หมดตัวในไม่ช้า

ความเตรียมใจยอมรับการขาดทุน และต่อสู้ต่อไปเพื่อให้ได้กำไรมา

 

กฏข้อที่ 15 ห้ามโลภ

หากได้กำไรในระดับที่เหมาะสมแล้วนั้น อย่าโลภ ให้ทำกำไร

และหาหุ้นตัวอื่นเพื่อทำกำไรต่อไป การทำกำไรในระดับ 2.5-5% ในการเทรดในระหว่างวันนั้น

เป็นกำไรที่ใช้ได้แล้ว การทำกำไรให้ได้มากขึ้นนั้นอาจจะทำได้อีกวิธีหนึ่ง

ซึ่งทำได้เฉพาะในตลาดขาขึ้นเท่านั้น คือให้ขายที่กำไร 3% ครึ่งหนึ่ง

แล้วที่เหลือถือไว้ขายในตอนบ่าย 3 โมงซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นอยู่สูงสุดของวัน

เพราะหลังจากนี้แล้ว พวกเราเองที่เข้ามาซื้อทีหลังจะเทขายออกมา เพราะไม่ถือหุ้นข้ามคืน

 

กฏข้อที่ 16 อย่าเทรดบ่อยเกินไป

ถ้าวันนั้นไม่ใช่เป็นวันของเราแล้ว การเทรดมากครั้งเกินไปก็จะยิ่งแย่กันไปใหญ่

และหากวันนั้นเป็นวันของเราแล้ว การเทรดมากครั้งเกินไปก็อาจจะทำให้เราขาดทุนได้

จำนวนครั้งในการเทรดในวันหนึ่งๆ นั้น ใม่ควรเกิน 4 ครั้ง

 

กฏข้อที่ 17 หากเป็นเทรดเดอร์ในระหว่างวันแล้ว ห้ามถือหุ้นข้ามคืน

ช่วงเวลาที่เสี่ยงที่สุดของเทรดเดอร์ระหว่างคือช่วง 15 นาทีสุดท้าย

เพราะเทรดเดอร์คนอื่นๆก็จะขายหุ้นเหมือนกับเรา

ดังนั้นหากแนวโน้มหุ้นไม่ขึ้นอย่างแข็งแกร่งแล้ว ควรจะขายให้ได้หมดก่อน 40 นาทีสุดท้าย

 

กฏข้อที่ 18 หยุดซื้อหุ้นเมื่อเลย 11.00 น. ไปแล้ว

โอกาสที่เราจะทำกำไรได้ จะมีอยู่แค่ช่วง 10.00-11.00 น. เท่านั้น หลังจากนี้แล้ว โอกาสที่จะได้กำไรจะลดลง และความเสี่ยงจะมากขึ้น ในช่วงหลังจาก 11.00 น. ไปแล้วนั้น ควรจะเป็นเวลาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างอาวุธคู่ตัวต่อไป

 

กฏข้อที่ 19 ถ้าขาดทุน ให้ออกจากตลาดทันที

หากขาดทุนหนึ่งครั้งในวันนั้น ให้หยุดและออกจากตลาดทันที โดยให้เริ่มใหม่วันรุ่งขึ้นแทน

 

กฏข้อที่ 20 หากได้กำไรแล้ว อย่าโลภไล่ซื้อหุ้นตัวตัวเดิมหากมันวิ่งต่อไปอีก

บ่อยครั้งที่เมื่อเราได้กำไรเร็วในตอนเช้าแล้ว โดยหลังจากที่เราขายหุ้นนั้นไปแล้ว

มันก็วิ่งขึ้นต่อไป ในตอนนี้ห้ามไล่ซื้อหุ้นตัวนี้โดยเด็ดขาด การทำอย่างนี้นั้น

โอกาสที่จะเสียมากกว่าได้ เพราะฉะนั้น อย่าทำ

 

กฏข้อที่ 21 ต้องฝึกฝนระดับสองต่อไป

ให้ฝึกฝนในระดับสองต่อไป (จะมีมาทีหลังครับ)

 

กฏข้อที่ 22 การถือหุ้นนั้นมากกว่า 15 นาที โอกาสที่จะขาดทุนมีมาก

ห้ามถือหุ้นเกิน 15 นาที เพราะหากมันไม่วิ่งต่อไปแล้วนั้น โอกาสที่จะลงนั้นก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ การซื้อหุ้นโดยใช้หลักการ โมเมนตัมนี้ โดยทั่วไปแล้วจะได้กำไรภายใน 1-5 นาที

 

กฏข้อที่ 23 ห้ามซื้อขายหุ้นที่ออกเสนอขายก่อนเข้าตลาด

เขาบอกว่ามันเสี่ยงสูง เพราะไม่มีใครทราบว่า มีอะไรซุกซ่อนอยู่ลึกๆข้างในหรือเปล่า

 

กฏข้อที่ 24 ฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน

ขอให้ทุกคนโชคดีทำกำไรได้สม่ำเสมอในการซื้อขายหุ้นครับ

หรือใครมีเทคนิคอย่างไรก็เมลมา joooobs@hotmail.com เพื่อเผยแพร่ แลกเปลี่ยนกันได้ครับ ทางเราจะนำเสนอขึ้นให้ครับ

 

 

หมายเหตุ บทความชิ้นนี้ ดัดแปลงมาจาก 24 Rules To Follow For Your Survival As A New Day & Stock Trader! ครับ

 

นำมาจาก http://www.bobby2boo...24%20rules.html

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

385314_531886980164708_170322197_n.jpg

เตือนใจในการเล่นหุ้น

จำไว้ว่า

"ตกรถดีกว่าติดยอดดอย กำไรน้อยดีกว่าขาดทุน"

 

นั่นคือ การระงับความโลภ

ให้อยู่ในระดับสายกลาง

มัชฌิมาปฏิปทานั่นเอง

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

379441_529939277026145_973500290_n.jpg

แนวคิดการเล่นหุ้นไม่ให้พลาดท่าเสียที

 

แนวคิดที่ 1 รู้เขารู้เรา

 

ก่อนเล่นหุ้นลงทุนในตลาดหุ้นผมต้องขออนุญาตถามท่านก่อนครับว่า ท่านรู้จักตัวตนของตัวเองมากน้อยเพียงใด เงินในกระเป๋าที่พร้อมสู้หุ้นมีเท่าไร แยกแยะหรือยังระหว่างเงินออม เงินใช้ครัวเรือน เงินเล่นหุ้น เพราะหากเราไม่รู้แบ่งแยกจัดสรรเงินเป็นสัดเป็นส่วนแล้วเราเองนั้นละครับคงต้องแย่แน่ๆ เรื่องหุ้นนั้นมีความเสี่ยงถ้านำเงินที่มีอยู่ทั้งก้อนมาใส่ในตลาดหุ้นทั้งหมดมีหวังบั้นปลายชีวิตมีสิทธินั่งบนสะพานลอยครวญเพลงวณิพกแน่ครับ ตรงนี้เรื่องเงินในกระเป๋าเราคงต้องรู้และต้องจัดสรรให้เป็น ความรู้เรื่องเพราะเห็นเป็นเรื่องท้าทาย มีได้มีเสีย ชอบการแสวงหาในเชิงการเสี่ยงโชค เลยอยากลอง คนที่คิดอย่างนี้มีสิทธิมาเร็วไปเร็วครับ เพราะตัวเองไม่รู้เรื่องหุ้นเลย ไม่ได้ค้นคว้าศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้มาก่อน ที่มาที่ไปของหุ้นคืออะไร หุ้นพื้นฐานและ หุ้นเก็งกำไร เป็นอย่างไร

 

การเข้าตลาดหุ้นหากไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองนั้นมีความพร้อมมากน้อยเพียงใดอย่างนี้ลำบากครับ

นอกเหนือจากที่ต้องรู้ตัวเองแล้วว่าเรามีความเก่งกล้าสามารถเพียงใดมีเงินสู้มากน้อยแค่ไหน

เรานั้นยังจำเป็นอย่างยิ่งครับที่ต้องรู้ผู้อื่นที่อยู่ในวังวนของแวดวงหุ้นด้วย โดยต้องรู้ให้ลึก และต้องรู้จริงด้วยครับ เช่น บริษัทจดทะเบียนมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรมีอนาคตสดใสหรือแย่กันแน่

พวกสถาบันทั้งไทยต่างชาติเขามีทีท่าจะเล่นหุ้นไปในทิศทางใด ซื้อหรือขายมากกว่ากัน มือใหญ่เขาคิดอย่างไร ถ้าเราสามารถรู้เขาและมองเห็นตัวเราได้เช่นนี้แล้ว เชื่อได้เลยครับ แค่นี้ก็เป็นต่อแล้ว

 

 

แนวคิดที่ 2 เฝ้าตามกระแสข่าว

 

ทิศทางการเคลื่อนไหวของแนวโน้มหุ้น ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง ส่วนใหญ่ก็เกาะติดอยู่กับกระแสข่าวที่เป็นปัจจัยกระทบทั้งภายในภายนอกประเทศที่มีต่อเศรษฐกิจสังคม การเมือง และตัวบริษัทจดทะเบียนดังนั้นเราเองปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่า เรื่องราวของข่าวมักถูกหยิบยก จับขึ้นมาใช้อ้างอิงต่อการตัดสินใจในการลงทุนหรือกับการเล่นหุ้น เป็นตัวชี้นำทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นให้แกว่งไกวไปตามกระแสข่าวนั้นๆ พูดไปแล้วเรื่องราวของกระแสข่าวนั้นมีทั้งข่าวลือข่าวลวงข่าวล่อ ข่าวหลอกข่าวเท็จ ข่าวจริง ปะปนกันไป

 

เราเองก็คงต้องใช้หลักพิจารณาเช่นกันครับว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนปลอม

แต่สิ่งที่สำคัญเบื้องต้นที่เราเองคงหันหลังหนีไม่ได้คือต้องพยายามแสวงหาข่าวสารข้อมูลต่างๆ

นำมาบริโภคอย่างไม่หยุดเว้น เพื่อทำให้หูตาของเรากว้างไกล ทั้งยังรู้ก่อน รู้ทันรู้ลึกและรู้จริง

ซึ่งจะสามารถเล่นหุ้นได้ตามจังหวะและรู้เท่าทันตามกระแสข่าวได้

อย่างน้อยที่สุดหากเราเป็นผู้หนึ่งที่คอยเฝ้าติดตามกระแสข่าว

เราก็คงไม่มึนงงต่อการเคลื่อนไหวของตลาดและตัวหุ้นกับการขับเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

นั้นก็เท่ากับว่าเราคงสามารถเล่นหุ้นได้ทันเกมลดความเสี่ยงคว้ากำไรมาเชยชมได้แน่ครับ

 

 

แนวคิดที่ 3 อย่าป่าวร้องสิ่งที่ตนเองทำ

 

คนเล่นหุ้น คนลงทุนในตลาดทุนที่ประสบความสำเร็จคนพวกนี้มักมีบุคลิกประจำตัวอย่างหนึ่งครับ คือ สุขุม รอบคอบ สงบนิ่ง เงียบ วางเฉย จะบอกว่าแปลกก็ไม่เชิงครับ เพราะที่จริงการลงทุนการเล่นหุ้นคงต้องใช้สติสมาธิมากเป็นพิเศษพอควรทีเดียวละครับ หากเราเล่นหุ้นไร้สติ สมาธิไม่อยู่กับร่องกับรอย การตัดสินใจแต่ละรอบคงออกป่าออกทะเลหลงทิศผิดทางแน่ครับเพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดี นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จคงต้องยึดหลัก ทำตัวนิ่งๆ ไว้จะกำไรงาม

 

ดังนั้นจึงไม่ควรไปป่าวร้องประกาศบอกว่าตัวเองซื้อหุ้นอะไร ขายหุ้นอะไร เล่นหุ้นร่ำรวยกำไรมากน้อยแค่ไหน โดนหุ้นตัวใดกินขาดทุนไปมากน้อยเท่าไร เรื่องอย่างนี้ต้องเก็บเงียบเอาไว้ครับ เพราะมีแต่จะเสียกับตัวเราเอง ถ้าเราไปคุยได้กำไรแน่นอนครับมีคนอิจฉา และเสียงกระซิบนินทาย่อมตามมาแน่ แม้แต่เราคุยว่าขาดทุน ก็ต้องมีคนคอยสมน้ำหน้าอีกนั้นละครับ ทางที่ดีนิ่งๆ ไว้ดีที่สุด

 

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุดอีกประการหนึ่ง คือการชักชวนคนอื่นให้ซื้อหรือขายหุ้นตาม โดยไปป่าวร้องว่าเราจะซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นตัวนี้ รวมถึงไปพูดคุยอธิบายถึงจุดดีจุดแย่เพื่อให้คนฟังคล้อยตาม เรื่องอย่างนี้เป็นสิ่งที่อาจทำให้ผู้ที่ไปป่าวร้องชักชวนให้ผู้คนมาเล่น ต้องกลายมาเสียคนซะเอง สู้อยู่เฉยๆ ตัวเองทำอะไรซื้อขายหุ้นตัวไหนเก็บไว้เงียบๆ เป็นความลับ กำไรขาดทุนรับรู้เพียงตัวเองสมาธิก็ดี มีสติจะได้เล่นหุ้นกำไรเยอะๆ ไม่ต้องไปสติเสียสติแตกเพราะต้องมารับผิดชอบคำพูดของตัวเองทีหลังอีกถ้าหากครับ...

 

 

แนวคิดที่ 4 อย่าตอกย้ำความเจ็บปวด

 

ลงทุนในตลาดทุนไม่ได้เงิน ก็เสียตังค์ละครับ มีได้มีเสีย อย่างที่เขาว่าไว้นั้นละ “การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงจึงควรพึงระวัง” ดังนั้นผู้ที่เล่นหุ้นคงไม่มีใครเล่นได้ทางเดียวแน่ครับ การขาดทุนในตลาดหุ้นจึงเป็นเรื่องธรรมดา ใครที่ขาดทุนหุ้นแต่ละรอบแต่ละครั้งจึงไม่จำเป็นต้องไปนั่งย้ำจำ ย้ำความเจ็บปวดให้เกิดการระทมตรอมใจ เพราะมันคงไม่มีประโยชน์อะไร ซ้ำอาจเป็นสิ่งที่สะกิดใจทำให้ขาดความเชื่อมั่นได้ ไม่มีความมั่นอกมั่นใจ ลงทุนในหุ้นอย่างขาดหลักคิด และหลักการ ทำอะไรก็จะกลายเป็นกลัวไปหมดครับ

 

บางคนถึงกับขยาดเข็ดเขี้ยวและฝังจำกับหุ้นตัวที่ทำให้เจ็บปวดขาดทุน แม้หุ้นตัวดังกล่าวจะมีปัจจัยแปรเปลี่ยนจากเลวเป็นดีแล้วก็ตาม ถ้าคนที่ไม่ยอมสลัดความนึกคิดที่เจ็บปวดทิ้งไป เขาก็จะพลาดโอกาสที่ดีในหุ้นตัวนั้นไปอย่างน่าเสียดายยิ่ง คนที่รวยด้วยหุ้นได้เขามักไม่ยึดติดกับเรื่องราวในอดีตมากนักโดยเฉพาะกับสิ่งที่เป็นความเจ็บปวด แต่เขาจะมองไปเบื้องหน้าคิดหาหนทางสร้างโอกาสแสวงหากำไรโดยปราศจากความกลัวจากอดีตอย่างสิ้นเชิง ถ้าจะพลิกผันนำอดีตมาศึกษาเป็นบทเรียนเพื่อหนทางที่จะพัฒนากลวิธีในการลงทุนต่อไปสิ่งนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า การตอกย้ำความเจ็บปวดในอดีตจนเกิดความกลัวไม่สิ้นสุดครับ

 

 

แนวคิดที่ 5 อย่าด่วนซื้อเร็วขายไว

 

การซื้อขายหุ้นย่อมไม่เหมือนกับการที่เราเข้าไปหาซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตนะครับ ที่สะดวกซื้อสะดวกขาย อยากได้อะไรก็หยิบเอาหยิบเอา แต่จะต่างกันอยู่ก็ตรงที่ว่า การซื้อหุ้นนั้นเราซื้อเพื่อการขายต่อในราคาที่แพงกว่าหรือ เราขายหุ้นก็เพื่อที่จะไปซื้อคืนภายหลังที่ราคาต่ำกว่าครับ แต่การซื้อของในซุปเปอร์ฯ ซื้อเพื่อมาใช้

 

ฉะนั้นการซื้อขายหุ้นจึงต้องมีการตัดสินใจอย่างรอบครอบรัดกุมไม่บุ่มบ่าม จึงไม่จำเป็นต้องรีบซื้อรีบขาย การเร่งรีบที่จะซื้อหรือขายหุ้นอาจทำให้เราต้องไปซื้อหุ้นแพงเกินเหตุขายหุ้นต่ำเกินจริงได้ มีอยู่หลายหนหลายครั้งครับที่คนขายหุ้นเร็วมักเสียดายเพราะขายหุ้นแล้วหุ้นขึ้น พอรีบซื้อได้ของมาหุ้นมักตก เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยมากครับในตลาดหุ้นบ้านเรา เพราะการตัดสินใจที่รวดเร็วภายใต้อารมณ์โดยที่ไม่ได้ประเมินวิเคราะห์หรือพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ทำให้ไม่สามารถเก็บรายละเอียดหรือเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงได้

 

แม้บางครั้งตลาดหุ้นเกิดภาวะตื่นตกใจจากปัจจัยกระทบที่รุนแรงเรามักเห็นราคาหุ้นไหลลงเร็วและลึกในจังหวะที่เกิดภาวะตื่นตระหนก แต่พอเวลาผ่านไปยังไม่ทันสิ้นวัน ราคาหุ้นก็ปรับตัวดีดกลับอย่างเร็วเช่นกัน ใครที่ขายหุ้นเร็วเพราะตกใจมักกลายเป็นเหยื่อขายต่ำเสมอครับ

 

ดังนั้น ทุกครั้งที่จะซื้อหุ้นหรือขายหุ้นควรพิจารณาบนหลักคิดถึงปัจจัยพื้นฐานของหุ้นและเข้าถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นตัวนั้นๆ ให้ได้ก่อน โดยยอมเสียเวลาไม่ต้องเร่งรีบด่วนซื้อขาย เพียงแค่นี้เราก็จะไม่พลาดท่าเสียทีตลาดครับ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

My Wave Riders Page shared Barton's Global Market Trends's photo.

ภาพใหญ่ ดูดีนะ

 

252056_10151419337193336_699236382_n.jpg

 

 

Shanghai SSEC on a longer time frame. The down trend began in mid-2009. The little bottom in green has done it's target. A larger bottom could form at around 2,500, or a bit lower. Resistance at around 2,700.

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ภาพจากกระทู้นี้ http://www.pantip.co.../I10137056.html

 

คุณหมอ yinton เชื่อสนิทใจและทำมาแล้วถึงเอามาให้ดู

ส่วนคุณหมอสัจจะ ก็เห็นด้วย จึงแตกอีกประเด็นออกมา

 

ใครไม่เห็นด้วย ก็ถือว่าเห็นเหมือนกัน

ส่วนคนที่เห็นด้วย เดี๋ยวเรามา Discuss กันด้วยเหตุด้วยผล

I10144400-0.png

จากคุณ : ปลานิลจิ๋ว smilex.gif my_flog.gif my_blog.gif เขียนเมื่อ : 18 ม.ค. 54 15:05:02

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

 

http://www.fxthai2u.com/

7-11Jan2013

EU-EJ-GJ-Gold 1Day+4H+1H Trend Analysis

(รูปภาพวิเคราะห์รายวัน)

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%871.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%8710.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%872.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%873.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%875.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%874.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%876.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%877.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%878.JPG

 

%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%879.JPG

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

582347_529818187038254_1845354096_n.jpg

ผมผ่านมา เห็นพอดี

น่าสนับสนุนให้เกิดการ ถกในประเด็น หรือ โต้แย้งด้วยเหตุทางวิชาการ

ไม่อยากให้ เกิดการ ถกเถียง หรือ โต้เถียงด้วยเหตุนำไปสู่วิวาทะ

 

 

 

ขออนุญาตลงความเห็นส่วนตัวเพิ่มนะครับ ผมมองว่า "ข้อสรุปที่ถูกต้อง ว่า วิธีการใดดีกว่านั้น" คงไม่มี

แต่น่าจะขึ้นอยู่กับว่า ผู้ใช้ กราฟเทคนิคนั้น ถนัดกับอะไรมากกว่า... ประทับใจอันไหนมากว่า ที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ใช้ รู้แจ้งไหม ลึกแค่ไหน

 

เทียบประสบการณ์ในการใช้งาน เมื่อใช้ไปแล้ว คาดหวังผลกำไรได้เท่าไร

ถ้าผิดพลาดบอกได้มั๊ยเพราะอะไร

 

ตัวผม ขอเป็นคนนึงที่ยืนยันว่า หลังจากเทรดด้วย indicator พื้นบ้าน

ยอดฮิต เช่น STOCHASTIC - RSI - MACD ซึ่งใครจะเรียกว่า

ระยะสั้น กลาง หรือ ยาวก็แล้วแต่ ประสบผลสำเร็จก็มี ตามสมควร

เหลวเป๋วจนอยากปา indy ทิ้งไปด้วยซ้ำ ก็มีบ่อย

 

แต่โดยรวม มันไม่ได้ให้ผลที่น่าประทับใจเลย ก็โทษตัวเองก่อนว่าดูไม่ดี

ซึ่งที่ผ่านมา ก็ได้พยายามศึกษา indy พวกนั้น อย่างลึกซึ้งเพิ่มขึ้น

พยายามให้แตกฉานขึ้น แต่ผลสรุปคือ ไร้ค่า พวกมันยังคงส่งสัญญาณ

false positive หรือ false negative กันออกมาไม่หยุดหย่อน !!!

 

นอกจากนี้ ความแน่นอนในการพยากรณ์ Predictability ของ indicator นั้น

ช่างไร้มาตรฐาน และ ไม่มีความแน่นอน

บางทีตัวที่สำเร็จได้กำไรกะติ๊ด แต่ตัวที่พลาดทำเจ็บจนเจียนอ๊วก

 

ทุกวันนี้ จากวันแรกที่ผมเลือกสายเทคนิค ผมบอกได้เลยว่า

ผมก็ละทิ้ง indicator ทั้งหมดไปแล้ว เช่นกัน ....

 

ปัจุบัน ใช้เพียง (1) แท่งเทียน (เลือกมองที่มีผลสูงและแม่นยำ)

 

(อ้อ ถ้าศึกษาแท่งเทียนแบบไม่ฉาบฉวยละก็ มันไม่ได้มีการใช้งาน ดาดๆ

แบบที่หลายคนรู้จักแน่นอน)(แถมถ้ายังย้าย time frame เป้นด้วยละก็

เริ่ดสุดๆ

 

และ เส้นค่าเฉลี่ย multiple EMVA + overlay ชนิดหนึ่ง

เท่าัน้น และ INDY คู่กายตัวสุดท้าย (disparity index)

 

การใช้ indy ทุกวันนี้แทบจะไม่ได้สนใจเลย ยกเว้นจะเกิด รูปแบบประหลาด

ซึ่งเคยบันทึกไว้ในความทรงจำเท่านั้น

 

เช่น Stochastic Pop , Stochastic PUP ** emsmile09.gif

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

5 ขั้นของการเป็นนักเทรด

 

ขั้นเเรก - ไร้สติเเละไร้คุณสมบัติ

นี้เป็นขั้นเเรกของนักเทรดทุกคนเมื่อคิดที่จะเริ่มเทรด ท่านรู้ว่าการเทรดเป็นการหาเงินที่ดีเพราะท่านได้ยินใครๆก็พูดถึงเรื่องของนักเทรดที่เป็น millionaire เหมือนกับคุณเริ่มคิดที่จะขับรถบรรทุก ทุกอย่างดูเหมือนจะง่าย มันไม่น่าจะยากอะไรขนาดนั้น เหมือนกับการเทรด ราคามีเเค่ขึ้นกับลง มันจะมีความลับอะไรกันมากมาย ท่านเลยคิดว่าเทรดเลยดีกว่าไม่น่าจะยาก

เเต่เช่นเดียวกับการขับรถ เมื่อท่านจับพวงมาลัยครั้งเเรก ท่านถึงได้รู้ว่าท่านไม่รู้อะไรเลย ท่านเปิดออเดอร์มากมาย เเละรับความเสี่ยงสูง พอท่านเปิดซื้อขึ้น กราฟก็ตก พอท่านสั่งขายกราฟก็ขึ้น เป็นอยู่อย่างนี้

บางทีท่านอาจจะประสบความสำเร็จ นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะในสมองของท่านจะคิดว่าการเทรดเป็นเรื่องง่าย เเล้วท่านก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น เเละลงเงินมากขึ้นไปอีก

ท่านพยายามที่จะเปลี่ยนการจากออเดอร์ที่เสียด้วยการดับเบิ้ลเงินลงไปทุกครั้งในการเทรด บางครั้งท่านก็รอดมาได้เเต่ไม่บ่อยครั้งที่จะผ่านมาเเบบไม่เสีย ท่านยังไม่ได้คิดว่าท่านไม่มีความสามารถในการเทรด ขั้นตอนนี้กินเวลาอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ ก่อนที่ท่านจะย้ายไปอีกขั้นนึง

ขั้นสอง - มีสติเเต่ขาดคุณสมบัติ

ขั้นตอนสอง คือท่านทราบการเทรดนั้นต้องมีการวางเเผน เเละลงมือลงเเรง จิตใต้สำนึกท่านทราบว่าท่านเป็นนักเทรดที่ขาดคุณสมบัติ ท่านไม่มีทักษะหรือความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการทำกำไรในตลาดเงิน ท่านเริ่มที่จะหาซื้อระบบการเทรด และ e-book ท่านหาหนังสืออ่านตามเว็บไซต์ทุกที่จากสหรัฐอเมริกาถึงยูเครน ช่วงนี้ท่านเริ่มต้นค้นหาอินดี้หรือระบบศักดิ์สิทธิ์

ขณะนี้ท่านจะย้ายจากระบบหนึ่งไปสู่ระบบหนึ่ง อินดี้หนึ่งไปอินดี้หนึ่ง ท่านจะเปลี่ยนจากวิธีนี้วัน วิธีนู้นอีกวัน มันนานพอที่จะดูว่ามันใช่ได้หรือไม่ เวลาที่ท่านเจออินดี้ตัวใหม่ ท่านจะมีความตื้นเต้น เเละคิดว่าอินดี้นี้แหละสุดยอดเเล้ว ท่านจะทดสอบระบบอัตโนมัติใน Metatrader

ท่านจะเล่นกับ Moving average, Fibonacci, support และ resistant, Pivots, Fractals, DMI, ADX และอื่นๆ อีกร้อยเเปดในความหวังว่ามันจะเป็นระบบมหัศจรรย์ของท่าน ท่านจะเป็นคนเลือกบนเเละล่าง พยายามหาจุดกลับตัวของกราฟและท่านจะพบตัวว่าเองไล่กวดเทรดที่เสีย และยังเพิ่มเงินลงไปเพราะท่านมั่นใจว่าท่านถูก

ท่านจะไปอยู่ในเเชทรูม และเห็นว่าคนอื่นๆทำกำไร เเต่ทำไมไม่ใช่ท่าน ท่านมีปัญหาที่ต้องการคำตอบล้านเเปด บางคำถามเมื่อตัวท่านเองย้อนกลับไปดูตัวท่านเองยังรู้สึกว่าเป็นคำถามที่งี่เง่า แล้วท่านจะถึงจุดที่ท่านคิดว่าคนที่ออกมาบอกว่าได้กำไรทั้งหมดโกหก

พวกเขาไม่น่าจะทำไรได้เพราะท่านก็ได้ศึกษาการเทรดมา เเต่ได้เเต่ขาดทุน ท่านก็รู้เท่าเท่ากับที่พวกเขารู้ พวกเขาต้องโกหกเเน่เเน่ เเต่พวกเขาอยู่ในตลาดเทรดทุกวัน และบัญชีของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ของท่านลดลงเรื่อยๆ ท่านจะกลับไปเป็นเเบบวัยรุ่นอีกครั้งนึง

– นักเทรดที่มีประสบการณ์เเละสำเร็จ ให้คำอธิบายบอกเหตุผลบอกวิธีเเบบฟรีๆ เเต่ท่านก็ยังดื้อรั้นคิดว่าตัวเองถูก เเละท่านรู้ดีที่สุด ท่านก็ยังดั้นด้นเทรดทั้งๆที่ทุกคนรอบรอบข้างบอกว่า “ท่านบ้าไปเเล้ว” เเต่ท่านคิดว่าท่านรู้ดีกว่า เมื่อท่านจะคิดได้เเล้วจะพยายามเทรดตามคนอื่นเเต่ก็ไม่สำเร็จ

- ท่านพยายามจ่ายค่าสัญญาณจากคนอื่น ท่านก็จะจ่ายเงินให้กูรูคอยบอกเเละสอน ไม่ว่ากูรูจะดีหรือไม่ดียังไงท่านก็ยังไม่สำเร็จ เพราะท่านยังคิดว่าท่านรู้ดีที่สุด ขั้นนี้อาจจะนานตราบเท่านาน

- ในความเป็นจริงเเห่งโลกของความเป็นจริง เเละหลังจากที่พูดคุยกับนักเทรดคนอื่นๆ เเละจากประสบการขั้นนี้ อาจจะนานเป็นปีถึงสามปี นี้เป็นขั้นที่นักเทรดถอนตัวถอดใจในการเทรด ประมาณ 60% ของนักเทรดใหม่ถอดใจใน 3 เดือนเเรก

– พวกเขาถอดใจเป็นสิ่งที่ดี ลองคิดดู ถ้าการเทรดเป็นเรื่องง่ายทุกคนก็รวยกันหมดเเล้วอีก 20% ให้เวลาอีกหนึ่งปีแล้วความหมดหวังในการเสี่ยงจะทำให้บัญชีพวกเขาหมดไปอย่างเเน่นอน

สิ่งที่ท่านอาจจะแปลกใจก็คือที่เหลืออีก 20% พวกเขาผ่านได้ประมาณ 3 ปี และเขาก็จะคิดว่าพวกเขาจะปลอดภัย แต่แม้จะผ่าน 3 ปี เเต่เเค่อีกเพียง 5-10% จะทำกำไรได้สม่ำเสมอ ตัวเลขอันนี้ไม่ได้เกิดมาได้จากอากาศ ไม่ได้โมเมขึ้นมา หลังจากที่คุณผ่านสามปีได้อย่าพึ่งวางใจ

มีคนเคยเถียงเรื่องเวลา หลายคน ทุกทุกคนไม่เคยรอดเกินสามปี ถ้าท่านคิดว่าท่านรู้ดีลองถามตามบอร์ดดู ว่าใครเทรดมาห้าปีเเล้วสามารถที่จะเทรดเต็มความสามารถ 100% บางทีอาจจะมีบางคนเป็นข้อยกเว้น เเต่ที่ผ่านมาไม่เคยเจอเองสักคน

ท่านจะค่อยๆ ออกมาจากขั้นนี้ ท่านลงทุนลงเเรงกับมันไปมากกว่าที่ท่านคาดคิด ท่านหมดเงินไปจากบัญชีเป็นสิบครั้งและคิดจะเลิกตั้งหลายครั้งเเต่ท่านไม่เลิก เพราะมันอยู่ในสายเลือดไปเเล้ว วันนึงในเสี้ยววินาทีท่านก็จะเข้าขั้นที่สาม

ขั้นที่สาม – Eureka

ช่วงสุดท้ายของขั้นที่สองท่านเริ่มคิดได้ว่ามันไม่ใช่ที่ระบบที่ทำให้เกิดความเเตกต่าง ท่านเริ่มที่จะคิดได้ว่าท่านสามารถทำเงินได้กับเเค่ simple moving average เเละไม่มีอย่างอื่น หากเเต่ว่าความคิดของท่าน และการจัดการเงินของท่านเป็นไปอย่างถูกต้อง

ท่านเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในการเทรด เเละเข้าใจในตัวคาเเรกเตร์ในหนังสือทำให้เกิดความกระจ่างการกระจ่างนี้เกิดจากสมองของท่านประติดประต่อได้ว่า ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรได้อย่างเเม่นยำในเวลาข้างหน้า ไม่ว่าจะสิบวินาทีหรืออีกยี่สิบนาที

ท่านจะเลิกสนใจความคิดของคนอื่น ท่านเริ่มที่จะสร้างระบบของท่านเองเพียงระบบเดียว เเละมีความสุขกับระบบของท่าน เเละท่านเป็นคนกำหนดกะเกณฑ์ความเสี่ยงของตัวเอง ท่านจะเริ่มเทรดเมื่อท่านเห็นว่าท่านมีโอกาสที่จะทำกำไร เเละเมื่อเสียท่านก็ไม่โกรธตัวท่านเอง เพราะท่านรู้ว่าอยู่ในหัวของท่านว่าท่านไม่อาจคาดเดาตลาดได้เเละมันไม่ใช่ความผิดของท่าน

เมื่อท่านเทรดเเล้วเเล้วรู้ว่าเสียท่านปิดออเดอร์ เทรดอันต่อไป เเละต่อไปท่านรู้ว่ามีเปอรเซ็นสำเร็จ เพราะท่านรู้ว่าระบบของท่านสามารถทำกำไรได้ ท่านเลิกที่จะมองเเค่การเทรดเเค่มุมมองของเทรดออเดอร์เดียว ท่านเปลี่ยนมุมมองของท่านเป็นอาทิตย์ เเละคิดว่าเทรดผิดครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าระบบของท่านใช่ไม่ได้

ท่านจับได้ว่าการเทรดขึ้นอยู่กับสิ่งเดียว คือความสม่ำเสมอเเละการมีวินัย ท่านเรียนรู้เรื่องการจัดการเงิน เเละความเสี่ยง ทุกอย่างเริ่มซึมซับ ท่านมองย้อนกลับไปถึงนักเทรดที่ให้ความรู้กับท่าน เเต่ก่อนด้วยความยิ้มเเย้มว่าตอนนั้นท่านยังไม่พร้อมเเต่ตอนนี้พร้อมเเล้ว

ขั้นสี่ - มีสติเเละความสามารถ

ท่านทำการเทรดเมื่อระบบของท่านบอก ท่านทำใจยอมรับการเสียได้เหมือนกับท่านได้กำไรจากการเทรด ตอนนี้ท่านปล่อยให้ออเดอร์ที่ทำกำไรทำกำไรถึงที่สุด โดยยอมรับความเสี่ยง เเละรู้ว่าระบบของท่านทำกำไรได้มากกว่าที่เสียไป เเละเมื่อท่านอยู่ฝั่งที่เสีย ท่านปิดออเดอร์โดยเจ็บปวดเล็กน้อยใน account ของท่าน

ตอนนี้ท่านถึงจุดที่ท่านเสมอตัวซะส่วนมาก ทุกทุกวันจะมีบางอาทิตย์ที่ท่านได้ 100 pips เเละสัปดาห์ที่เสีย 100 pips เเต่ท่านก็เสมอตัวไม่ขาดทุน ตอนนี้ท่านรู้ว่าท่านเป็นคนตัดสินใจในการเทรด เเละเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องตามระบบของท่านไม่ว่าได้หรือเสีย

ท่านได้รับการยอมรับจากนักเทรดคนอื่นๆ ท่านยังต้องขัดเกลาเเละเช็คการเทรดของท่านอย่างสมำเสมอ ท่านเริ่มที่จะทำเงินได้มากกว่าเสีย ท่านจะเริ่มวันด้วยการได้กำไร 20 pips เเละก็ เสีย 35 pips เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไร เพราะท่านรู้ว่าเสียไปเเล้วมันก็จะกลับมาหาท่านอีก ท่านเริ่มที่จะทำกำไรสัปดาห์ต่อสัปดาร์ 20 pips สัปดาห์นี้ 50 pips สัปดาห์หน้า ขั้นนี้จะใช้เวลาประมาณ หกเดือน

ขั้นห้า – ไร้สติเเต่มีความสามารถ

ขั้นนี้เหมือนเราขับรถ ทุกวันเราขึ้นรถขับออกไปโดยสัณชาตญาณ เหมือนกับเราเทรด ท่านเทรดโดยสัญชาตญาณ เทรดเเบบ autopilot ท่านไม่ตื่นเต้นไม่ว่า จะทำได้ 200 pips หรือ 1 pip ท่านเห็นเด็กใหม่ในฟอรั่มเเล้วย้อนคิดไปถึงท่านในอดีตหลายปีมาเเล้ว นี้คือสวรรคของการเทรด

– ท่านได้บรรลุโดยการเทรดเเบบไม่ใช่อารมณ์เเละความรู้สึกมาร่วม Account ของท่านเติบโตขึ้น ท่านเป็นที่รู้จักของนักเทรด ทุกคนคอยฟังความเห็นของท่าน เเต่ท่านรู้ว่าบางคนก็ไม่ทำตามเหมือนท่านสมัยก่อน การเทรดเริ่มน่าเบื่อ เพราะพอท่านทำอะไรได้ดีหรือเก่ง ท่านก็จะเริ่มเบื่อไม่มีอะไรมาทำให้ท่านได้รู้สึกเเข่งขัน

- ท่านเริ่มหายจากห้องสนทนา เเละหาเพื่อนคุยกันรู้เรื่องโดยที่ไม่ผันตามความคิดของท่าน ท่านไม่ได้เปลี่ยนเเปลงระบบ เเต่พัฒนาระบบให้ดีขึ้น ตอนนี้ท่านมีสัญชาตญาณในการเทรด ท่านสามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า “forex trader” เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไร คิดเเค่มันก็เเค่เป็นอาชีพอาชีพนึง

โปรดจำไว้ว่าเเค่ ห้าเปอร์เซ็นของนักเทรดที่สามารถถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดหรือความสามารถ เเต่ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เเละความหัวเเข็งของท่านได้ไหม เมื่อเวลาที่ท่านได้รับความคิด เเละความรู้ใหม่ๆ ก่อนที่ท่านจะถอดใจ ลองคิดดูว่าท่านจะยอมใช้เวลาไปโรงเรียนกี่ปี ถ้าท่านรู้ว่าตอนจบมา มีงานที่ทำเงินได้ล้านนึงต่อปีรออยู่..

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

 

 

 

 

STOP.. STOP.. STOP.. LOST

 

 

 

... " ไม่มี จุด STOP LOSS .. อย่าเทรด.." ..

.. " No Have Stop Loss Target , Do not Place Order. "

.

ท่องไว้ให้มั่น .. ย้ำกันให้ซึมลงไปถึง จิตใต้สำนึกกันเลยทีเดียว ...

.. แต่คำถามที่ตามมาคือ "..ตรงไหน ดี ?.. " ".. กลัวขายแล้วมัน ขึ้นต่อ..."

 

อยากจะตอบใจจะขาด ".. ก็ตรงที่พี่ .. พอใจ.. ครับ.." .. ก็เกรงว่า จะถูกข้อหา กวนบาทา ...

คือเลือก STOP LOSS ไปแล้วอย่ากลัว ครับ .. มั่นใจในตัวเอง .. เถอะครับ

เพราะถ้าหุ้นถอยแล้ว เราก็ขายไปแล้ว ...ก็ถือว่า เรา ตัดสินใจดีที่สุด ณ ขณะนั้นแล้ว "อย่าไปกังวลกับอนาคต ที่ยังไม่เกิด.." "Do not Worry with The Future"

ถ้าขายไปแล้ว อีกวัน มันขึ้นต่อ.. ก็ไม่เห็นจะเป็นไร แทนที่ จะกังวลว่า "ขายหมู" มันก็คงจะไม่ได้ประโยชน์ อะไร เพราะกังวลกับ อดีต ที่ผ่านไปแล้ว เสียเวลาเปล่าๆ

กลับมาดู สัญญาณทางเทคนิค ในปัจจุบัน ขณะ นั้น ไม่ดีกว่าหรือ ... หากมันเป็น สัญญาณเข้าซื้อ เราก็ซื้อ แลัวก็ตั้ง STOP LOSS ครั้งใหม่ไว้ ...

มีคนชอบถาม ".. เพิ่งขายไป .. จะให้ซื้อใหม่เลยเหรอ..ไม่รอให้มันถอยมาก่อนดีไหม...อยากได้แถวๆ ทุนเดิม" .. .

.. อยากตอบมากเลยว่า เราซื้อ เมื่อเห็นสัญญาณ ซื้อ พอซื้อแล้ว ก็หา Stop Loss Target ไว้ด้วย

ไม่มีใครห้ามซื้อหุ้นซ้ำ หรอกครับ .. จะมีก็ตัวเรา นี่ล่ะ ที่มานั่งห้ามตัวเองไม่ให้ ซื้อหุ้นที่เพิ่งขาย เพราะละอายตัวเอง ที่เพิ่มปล่อยหมูออกมา....

.

 

 

ไหนๆ ก็ว่า เรื่อง . STOP LOSS กันแล้ว

มี Clip VDO ทีน่าสนใจมาให้ดูกัน

จัดทำ Sub-Title โดย Mangmaoclub.com

 

 

และอีกหนึ่ง คลิป สำหรับ การวาง Trailing STOP ที่มาวางกันให้เห็น เลยครับๆ

.

.ต้องขอขอบคุณ คลิป ดีดี ทั้งสองอันจาก Mangmaoclub.com ไว้ด้วยครับ ที่จัดการแปล และใส่ Sub-Title เข้าไป ทำให้ดูง่าย และเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม....

.

 

 

ยังมี สัญญาณทางเทคนิค ให้เลือก ใช้ในการ OP LOSS อีกมากมาย

เช่น

  • เส้น EMA5 ตัดลงใต้ เส้น EMA15
  • MACD ตัดลงใต้ Signal Line
  • แท่งราคา ตัด EMA15 day
  • แท่งราคา หลุด SAFETY BELT คือ ราคาต่ำกว่า Low ของแท่งที่มียอดสูงที่สุด ใน สามวันที่ผ่านมา
  • แท่งราคา หลุด AIR BAG คือ ราคาต่ำกว่า LOWEST ของ Week ที่แล้ว

และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย ที่ ให้เราเลือกใช้ ได้ ตามภูมิต้านทานการขาดทุน ของแต่ละคนที่ มันมีไม่เท่ากัน

..

สิ่งที่น่าหลีกเลี่ยง ในการเลือกซื้อหุ้น

 

  1. ซื้อหุ้น โดยไม่ดูพื้นฐาน .. ต่อให้เป็น Day Trade ก็ต้องดูพื้นฐาน อย่างน้อยก็ Mkt. Cap. หรือ Vol. ดูว่า มันมี Liquidity มากน้อยแค่ไหน
  2. เล่นหุ้น จอง ... โดยหวังว่ามันจะขึ้น ...จากสถิติทั่วไปของ หุ้น IPO เข้าตลาด แล้ว ลงก่อน เกินครึ่ง ดังนั้น ไม่ต้องไปแย่งจองกันให้เสียเวลา .. รอซื้อหลังเข้าตลาดก็ได้
  3. เล่นข่าวผลประกอบการ .. ดี ..... มีโครงการใหม่ ..แค่ข่าวว่า จะมีโครงการแบบนั้น เซ็นสัญญาโครงการนี้ .. จะเข้าร่วมประมูลงานนั้น ... มันแค่ "จะ" เอง หุ้นก็วิ่งแล้ว ..แต่ก้มีคนแห่เล่นตามกันใหญ่ .. อยากฝ่าดงระเบิดไปเก็บเหรียญสลึง ก็ตามใจ ไม่ห้ามล่ะครับ
  4. เล่นข่าวแตกพาร์ .... ทั้งที่มันยังไม่แตกเลย ...
  5. เล่นหุ้นที่วิ่งขึ้นมาแรงๆ ทั้งที่ไม่มีข่าว หรือ ผลประกอบการสนับสนุน... แบบนี้น่ากลัว เพราะมีเจ้าภาพแน่นอน.. จุดไฟ ล่อแม่งเม่าแล้วล่ะ แล้วจะมีข่าวตามหลังมาอย่างรวดเร็ว ..
  6. เลือกซื้อหุ้น เพราะเคยซื้อแล้ว มันกำไร... ตัวนี้นะ ถอยลงมาแล้ว ลุงซื้อ.. เล่นมา 2-3 รอบแล้ว ล่ะหลาน .. มันได้กำไร ตลอดเลยนะ .. ราคาถอยคราวนี้ ลุง ว่าจะซื้ออีก ... โชคดีครับ ลุง

.

เมื่อซื้อหุ้นไปแล้ว ควรพิจารณา ทบทวน 3-4 อย่าง ว่าจะถือต่อไป หรือ จะเปลี่ยนตัว

ดังนี้

 

  • ซื้อแล้ว มันลง (ว่ะ) ... แลัวถ้ามันลงต่ำกว่า STOP LOSS Target ของเราแล้ว ยังไงก็ต้องขายครับ
  • ซื้อแล้ว ไม่ขึ้น ไม่ไปไหน .. แบบนี้ก็แย่นะ .. หุ้นตัวอื่นวิ่งกันใหญ่ แต่ตัวที่เราซื้อมันไม่วิ่ง..มันจะมีคำถามในใจทันที เอาไงดี(วะ) ... เอาง่ายๆ เลยนะ วันที่ซื้อนับ 1 แล้วก็นับไปทุกวัน ถ้าผ่านไป ถึง 7 วันแล้ว มันไม่วิ่งไปไหน และไม่หลุด STOP LOSS Target ของเราด้วย ถ้าวันที่ 8 ก็ยังไม่ไปไหน ขายไปเลยครับ เอาเงินไปซื้อ ตัวอื่นเถอะ เสียเวลาถือ...
  • ซื้อแล้ว ขึ้น ช้ากว่าตัวอื่น .. ปัญหาแบบนี้ มักเจอบ่อยๆ..ในการเลือกซื้อหุ้น ในกลุ่มเดียวกัน แล้วมันวิ่งแรงไม่เท่ากัน เช่น ซื้อหุ้นธนาคาร 2 ที่ หุ้นนึงวิ่งแรง แต่อีกหุ้นนึง ค่อยๆ ขยับ .. ต้องพิจารณาทันทีล่ะ ว่าจะถือ 2 ที่ไว้ หรือ จะขายตัวที่วิ่งช้า แล้วไป ซื้อ ตัวที่วิ่งเร็วเพิ่ม ...
  • ซื้อแล้ว วิ่งซิ่งแรง ... อาการ วิ่งซิ่งแรง คือ Volume เข้ามาแบบ ท่วมท้น , ลากแท่งเขียวยาวๆ เปิด GAP กระโดดขึ้นแรงๆ , Low ของ แท่งราคาห่าง EMA5 มากๆ .. อาการขึ้นไปเร็วแบบนี้ ต้องระมัดระวัง ให้มาก อย่ามัวแต่ดีใจ เพราะ ขึ้นเร็วเกินไป ... มันลงแรงเสมอ

.

การขายเมื่อถึง STOP LOSS

... มีคนบางประเภท ชอบตั้ง OFFER ไว้รอขาย ... คือ ถ้าตั้งขาย เพราะ วางเป้า Take Profit .. ด้วยใจที่คิดว่า กำไร เท่านี้ พอแล้ว .. หากเป็น แบบนั้น .. ก็คงจะไม่ว่าอะไร

... แต่ ถ้า แท่งราคามัน มาถึง STOP LOSS TARGET แล้ว และลงต่ำกว่าไปแล้ว ด้วย ยังจะมาตั้ง OFFER ขาย ด้วยคิดว่ามันจะเด้งขึ้น มา Match ... คิดแบบนั้น อันตราย มาก ...บางทีมันก็เด้ง ก็โชคดี ไป

แต่บางที มันไม่เด้งแล้ว หลุดแล้ว ไปเลย ก็มี.. ดังนั้น แนะนำว่า ถ้า ตั้ง STOP LOSS TARGET ด้วยสัญญาณ ทางเทคนิค จริงๆ แล้ว ถ้าราคาหลุดต่ำกว่า จุดนั้นไป 1-2 ช่อง แล้ว ไม่ต้องตั้ง OFFER แล้ว ครับ

โยน ไปเลยครับ BID ช่องแรก เท่าไหร่ เขวี้ยงทิ้งไปเลยครับ

 

..

.

LAST TRICK for Practice STOP LOSS

สุดท้าย เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการ STOP LOSS จะต้องมาการฝึกฝน ครับ

ทำ WORKSHOP STOP LOSS ให้ตัวเอง ครับ

.. เรียกว่า ฝึกลงดาบ CUT LOSS ตัดขาดทุน ..

ขั้นแรก หาหุ้น มาสัก 2-3 ตัว ที่ราคา ไม่เกิน 6-8 บาท และ เป็นหุ้นที่ อยู่ ใน TOP LOSS of the day ยิ่งดี

ขั้นสอง จับตาดูเลย ครับ วันไหน เปิดตลาด แล้ว ราคาเด้ง ไม่ทำ New Low เคาะซื้อเลยครับ ไม่ต้องเยอะ 1000 หุ้น ก็ได้แล้ว เพราะ แค่ฝึกฝน ตั้ง STOP LOSS ไว้ที่ LOW เมื่อวาน

ขั้นสาม ถ้า ราคาต่ำกว่า LOW เมื่อวาน ก็ เขวี้ยงขาย ไปเลย (อย่าตั้ง OFFER นะครับ) แต่ถ้าราคาลอยจนหมดวัน ไม่ทำต่ำกว่า LOW ของ เมื่อวาน ถือต่อไปวันพรุ่งนี้

ขั้นสี่ หลังจาก ถือข้ามวันมาแล้ว ขยับ STOP LOSS มาที่ LOW ของ เมื่อวาน แล้วก็ทำเหมือน ขั้นสาม ครับ ถ้าได้ขาย CUT LOSS แล้ว ถือว่า เป็น 1 ดาบ

ให้ฝึกให้ครบ 50 ดาบ ครับ .. แล้ว ความมั่นใจ ในการ CUT LOSS จะมาเป็น ธรรมชาติ

..

ค่าหน่วยกิต WORK SHOP ก็คุ้มแสนคุ้ม เพราะ หุ้น ราคา 6 บาท ซื้อ 1000 หุ้น ก็ 6000 บาท เอง

CUT LOSS ขาดทุน อย่างมาก ก็ 0.20 บาทต่อหุ้น ก็ 200 บาท ต่อ 1 ดาบ

แต่ จะมีหุ้นบางตัวที่เราให้ซื้อ ตอนเด้ง แล้ว กว่าจะได้ลง ดาบ CUT LOSS ถือไปอีก ตั้ง 2-3 วัน ราคาวิ่งไป ได้กำไร ไป แล้ว 1 บาท ต่อหุ้น ...

เชื่อเถอะครับ ว่า WORKSHOP นี้ ได้ประสบการณ์มากมาย แล้ว อาจได้ค่าขนมติดมือด้วย

แต่ ถ้าซวยจริงๆ CUT LOSS แล้วเสียจริงๆ ก็ ไม่กี่พันบาท ...

คิดง่ายๆ ไปเที่ยวพัทยา 2 คืน ยังจ่ายแพงกว่านี้เลย ... แต่ ประสบการณ์ ที่ได้ มันคุ้มกว่า ไปเที่ยวพัทยา แน่ๆ

 

 

".. DO NOT PLACE ORDER ...

IF NO HAVE STOP LOSS TARGET.. "

..

 

WRC-logo.jpg

.

ปุกปุย

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

icon7.gif สัญญาณ บวก-ลบ ในตลาดหุ้น โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

 

webblog_1_nivate.gif

 

ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์และการเงินนั้น การมองหา “สัญญาณ” หรือ Indicator ที่จะสามารถบอกให้เรารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นบวก เราก็สามารถวางแผนหรือกำหนดนโยบายในการจัดสรรทรัพยากรให้รองรับกับสิ่งนั้น หากสัญญาณบอกว่าอนาคตจะเป็นลบ เราก็จะได้เตรียมการแก้ไขไม่ให้มันเลวร้ายลงมากนัก นั่นก็เป็นเรื่องของนักเศรษฐศาสตร์ แต่ในด้านของนักลงทุนหรือคนเล่นหุ้น พวกเขามองหา “สัญญาณ” เพื่อที่จะบอกว่าเขาควรที่จะทำอย่างไรหรือมีกลยุทธ์อย่างไรในการลงทุน พูดง่าย ๆ ก็คือ ควรจะซื้อหรือขายหุ้นตัวไหน สัญญาณในตลาดหุ้นนั้นมีมากมายที่คนเชื่อกันว่าสามารถบอกอนาคตของหุ้นหรือตลาดหุ้นได้แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงก็คือ น่าจะมีสัญญาณน้อยมากที่จะสามารถบอกอนาคตได้อย่างแม่นยำ และที่สำคัญก็คือ โอกาสที่อนาคตจะไม่เป็นไปตามที่คาดก็มีอยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะมิฉะนั้น คนที่เล่นหุ้นตามสัญญาณก็รวยกันหมดแล้ว ซึ่งตามทฤษฎีก็เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราก็ยังอยากจะดูสัญญาณอยู่ดี มันคงเป็นสัญชาติญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ มาดูกันว่ามีสัญญาณอะไรในตลาดหุ้นที่นักลงทุนสนใจดูกัน

 

สัญญาณตัวแรกที่นักเล่นหุ้นจับตาดูกันทุกวันก็คือ ดัชนีดาวโจนส์ นักลงทุนเชื่อกันว่าถ้าดัชนีดาวโจนส์ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อคืนก่อนปรับตัวขึ้นแรง ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ก็จะปรับตัวขึ้นตาม แต่ถ้าดัชนีดาวโจนส์ตกลงมาอย่างแรง คืนนั้นนักเล่นหุ้นบางคนก็อาจจะ “นอนไม่หลับ” เนื่องจากกังวลว่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่มากคงจะตกลงมาแรง บางทีเขาอาจจะคิดว่า “ทำไมเราไม่ขายไปก่อนวะ” ราวกับว่าเขารู้ว่าดาวโจนส์กำลังปรับตัวลงมาอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม สัญญาณดัชนีดาวโจนส์นั้น ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะในนาทีแรกที่ตลาดหุ้นไทยเปิด ราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้น หรือตกหนักลงไปทันที เราไม่มีโอกาสที่จะซื้อหรือขายหนีก่อน ดังนั้น ดัชนีดาวโจนส์จึงเป็นอะไรที่นักวิเคราะห์ใช้ในการอธิบายสาเหตุว่าทำไมหุ้นจึงขึ้นหรือตกอย่างแรงถ้าไม่มีสาเหตุอย่างอื่น มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณทำเงิน

 

สัญญาณตัวที่สองที่นักเล่นหุ้นติดตามกันมากก็คือ กลุ่มผู้ซื้อ-ขาย สุทธิในตลาดหุ้นประจำวัน ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบัน หรือคือกลุ่มที่เป็นกองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเป็นต้น กลุ่มนี้โดยธรรมชาติก็เป็นนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาวกว่ากลุ่มอื่น และก็เป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายน้อยที่สุด กลุ่มที่สองคือกลุ่มโบรกเกอร์ที่เข้ามาเล่นหุ้นโดยใช้เงินของบริษัทเอง นี่เป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายค่อนข้างเร็วและน่าจะมีการเก็งกำไรสูง ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าไม่เสียค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย กลุ่มที่สามคือกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่มีปริมาณการซื้อขายมากเป็นอันดับสองในตลาดหุ้นไทย และเป็นกลุ่มที่นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นจับตามองมากที่สุด เหตุผลก็คือ นักลงทุนเชื่อว่าถ้า “ฝรั่ง” ซื้อสุทธิ มาก ๆ แนวโน้มก็คือ ตลาดหุ้นจะขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าฝรั่งขายหนัก ๆ เรา “ถอยดีกว่า” เพราะนักลงทุนเชื่อในเรื่องของ “Fund Flow” นั่นคือ เงินต่างชาตินั้นมีมาก และพวกเขาจะเข้ามาซื้อหุ้นตัวใหญ่ ๆ ทำให้ดัชนีและตลาดโดยรวมปรับตัวขึ้นอย่างแรงและเร็ว สุดท้ายก็คือ กลุ่มนักลงทุน “รายย่อย” ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเรียกว่า “นักลงทุนส่วนบุคคล” มากกว่า เพราะในปัจจุบันนี้ จำนวนมากเป็น “นักลงทุนรายใหญ่” ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายของกลุ่มสูงที่สุดและมักจะมากกว่า 50% ของตลาดโดยรวม ประเด็นก็คือ อิทธิพลของ “ฝรั่ง” นั้น ผมคิดว่าลดลงเมื่อเทียบกับในสมัยก่อนที่ตลาดหุ้นไทยมีแต่นักลงทุนรายย่อยจริง ๆ ที่เล่นเก็งกำไร กับต่างชาติที่รอบรู้กว่า แต่ปัจจุบันไม่ใช่

 

สัญญาณตัวที่สามคือ การซื้อ-ขายหุ้นของผู้บริหาร ถ้าเชื่อตามที่ ปีเตอร์ ลินช์ พูดก็คือ การขายหุ้นของผู้บริหารนั้น ไม่ได้หมายความว่าบริษัทคงจะมีผลประกอบการที่ไม่ดีหรือหุ้นจะแพงเกินไปแล้วเสมอไป ผู้บริหารอาจจะมีภาระหรือความจำเป็นต้องใช้เงินก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพบว่าผู้บริหารหลาย ๆ คนต่างก็ขายหุ้นพร้อมหรือใกล้เคียงกันในจำนวนมาก แบบนี้ก็อาจจะต้องคิดเหมือนกันว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผู้บริหารต่างก็ต้องการใช้เงินพร้อมกัน ในกรณีอย่างนี้เราคงต้องวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่ามันเป็น “สัญญาณลบ” ที่ทำให้เราขายหุ้นหรือไม่ ตรงกันข้าม ปีเตอร์ ลินช์ บอกว่า เหตุผลในการซื้อหุ้นของผู้บริหารนั้นมีเพียงประการเดียวนั่นคือ เขาคิดว่าหุ้นมีราคาถูกคุ้มค่าและเขาสามารถทำกำไรได้จากการลงทุน ดังนั้น ผู้บริหารซื้อหุ้นจึงเป็นสัญญาณบวก อย่างไรก็ตาม ในกรณีของตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะที่ผู้บริหารกับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นรายเดียวกัน การซื้อหุ้นของผู้บริหารก็อาจจะไม่ใช่สัญญาณบวกก็ได้ เหตุผลก็คือ มันอาจจะเป็นการ “ส่งสัญญาณลวง” ให้นักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อให้ราคาหุ้นวิ่งสูงขึ้นไปหรือพยุงราคาหุ้นไว้เพื่อให้ตนเองสามารถขายหุ้นได้สะดวก เพราะในกรณีแบบนี้ หุ้นที่เขาซื้อนั้น เป็นเพียงส่วนน้อยของหุ้นที่เขามี ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทำกำไรจากหุ้นในส่วนที่เขาซื้อเข้ามาเพิ่มจำนวนเพียงเล็กน้อย

 

สัญญาณตัวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ รายการซื้อขายหุ้นรายการใหญ่แบบจับคู่หรือการซื้อขายหุ้นแบบ Big Lot นี่คือการที่ผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นจำนวนมากตกลงขายหุ้นให้กับนักลงทุนรายใหญ่ที่ต้องการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก โดยปกติก็คือ คนที่ขายจะมีเพียงรายเดียวหรือไม่กี่รายที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่นอยู่ในครอบครัวเดียวกันหรือกลุ่มบริษัทเดียวกัน ส่วนคนที่ซื้อนั้น บางครั้งก็มีรายเดียวหรือไม่กี่รายที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่มักจะเป็นสถาบันที่ต้องการได้หุ้นจำนวนมาก แต่บางครั้ง โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการขายหุ้นก้อนโตมหาศาลหลาย ๆ พันหรือเป็นหมื่นล้านบาทขึ้นไปก็จะมีผู้ซื้อรายใหญ่จำนวนมากเป็นสิบ ๆ รายหรือเป็นร้อยรายที่ต่างก็เข้ามาแสดงความจำนงซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ที่จะทำหน้าที่ในการขายหุ้นให้กับคนที่ต้องการขาย การซื้อ-ขายหุ้นแบบ Big Lot นี้ มักทำกันแบบ “Over Night” หรือทำแบบ “ข้ามคืน” ในช่วงที่ตลาดหุ้นปิดแล้ว ซึ่งการตกลงทุกอย่างจะทำภายในคืนนั้นและมา “จับคู่” ซื้อขายหุ้นกันในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยทั่วไปราคา ซื้อ-ขาย มักจะต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนเล็กน้อยประมาณ 3-5% ในกรณีที่เป็นรายการที่ไม่ใหญ่มาก แต่ในกรณีที่เป็นรายการใหญ่มาก บางทีอาจจะต่ำกว่า 10% ก็มี

 

สัญญาณจากการขายแบบ Big Lot นั้น แม้ว่าในหลาย ๆ กรณีผู้ขายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหาร แต่ก็ไม่ได้เป็นสัญญาณลบเสมอไป อย่าลืมว่าการขายของเขานั้นอาจจะมาจากเรื่องของการต้องการใช้เงินหรือเป็นการลดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงก็ได้ ไม่ใช่แปลว่าหุ้นจะไม่ดี เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ คนที่ซื้อเองนั้นก็เป็นนักลงทุนรายใหญ่และส่วนใหญ่เป็นสถาบัน ดังนั้น ถ้าหุ้นไม่ดีหรือไม่คุ้มค่าพวกเขาก็คงไม่ซื้อ สิ่งที่จะเป็นลบที่เห็นได้ชัดเจนจากการทำ Big Lot ก็คือ ราคาหุ้นที่ซื้อขายนั้นจะต่ำกว่าราคาหุ้นบนกระดาน ดังนั้น คนที่ซื้อบางรายอาจจะรีบ “ทำกำไร” ทันทีโดยการขายหุ้นที่ได้มาในตลาด และนี่ทำให้ราคาหุ้นในวันแรกที่ทำ Big Lot มักจะตกลงมาใกล้เคียงกับราคาที่มีการตกลงซื้อขายกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากวันแรกไปแล้ว ราคาหุ้นก็มักจะกลับมาซื้อขายกันตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ การขาย Big Lot ในระยะสั้นอาจจะเป็นลบเล็กน้อย แต่ในระยะยาวแล้วก็ไม่มีผลอะไร ว่าที่จริงในบางกรณีกลับเป็นบวก เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นตัวนั้นอาจจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจากมีนักลงทุนสถาบันเข้าลงทุนมากขึ้น สภาพคล่องดีขึ้น ทำให้ราคาหุ้นดีขึ้น

 

และทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงสัญญาณส่วนหนึ่งที่คนในตลาดหุ้นชอบติดตามและบ่อยครั้ง Take Action หรือตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง แต่สำหรับ VI แล้ว เรื่องเหล่านี้ เรามักจะติดตามเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเราก็ไม่ควรจะทำอะไรยกเว้นแต่มันมีเหตุผลที่น่าจะทำหลังจากที่ได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น

ถูกแก้ไข โดย ginger

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คำว่า “การลงทุน” มักจะพ่วงท้ายมาด้วยคำว่า “ความเสี่ยง” เสมอ

 

คำเด่นในใจผมเลย

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คำว่า “การลงทุน” มักจะพ่วงท้ายมาด้วยคำว่า “ความเสี่ยง” เสมอ

 

คำเด่นในใจผมเลย

 

 

 

ธรรมะอินเทรนด์ ธรรมะออนไลน์

ธรรมะดาวน์โหลด

E-Book "ธรรมเพื่อครองใจคนและเพื่อความสำเร็จในชีวิต"

โดย อ.วศิน อินทสระ

http://www.ebooks.in.th/ebook/6776/

 

735098_409789995772504_597061036_n.png

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...