ข้ามไปเนื้อหา
Update
 
 
Gold
 
USD/THB
 
สมาคมฯ
 
Gold965%
 
Gold9999
 
CrudeOil
 
USDX
 
Dowjones
 
GLD10US
 
HUI
 
SPDR(ton)
 
Silver
 
Silver/Oz
 
Silver/Baht
 

โพสต์แนะนำ

ทองยังเขียวอยู่ใช่ไหมคะ. แล้วราคาปิดที่เท่าไรจึงจะแดงเอ่ย.

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

คุณ richy วันนี้จากระบบทอง กราฟเขียวคะ

 

คุณ ส้มโอมือคะ เมื่อเช้าดูข่าว จะมีเหรียญที่ระลึกออกใหม่ เป็นทองคำหนัก 16 บาทคะ ราคาห้าแสนกว่าบาทอะคะ

 

sarapao ดูข่าวไม่ทัน คุณส้มโอมือ พอจะทราบเรื่องนี้มั้ยคะ ถ้าพอรู้ ขอรายละเอียดด้วยนะคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออนุญาตตอบนะคะพี่ส้มโอมือ

 

เรื่องเหรียญที่ระลึกมีรายละเอียดตามลิ้งค์เลยค่ะ

http://ecatalog.treasury.go.th/whatsnew/detail.php?id=286

 

เท่าที่ดู...ถ้าเป็นเหรียญทองรุ่นขนาด 10g.และ 15g.จะเป็นทอง96.5% ราคาเฉพาะมูลค่าเนื้อทอง ตกบาทละ30,000 :unsure:

แต่ก็สวยงาม น่าเก็บ(ถ้ามีตังค์ :lol: :lol: )

 

ถ้ารุ่นขนาดน้ำหนัก 240 กรัม....550,000บาท...สวยมากกกก

ถูกแก้ไข โดย bingo

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณมากๆคะ คุณ Bingo

สวยมากเลยคะ คุณ Bingo เห็นใน ทีวี บอกเปิดให้สั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้คะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขออนุญาตตอบนะคะพี่ส้มโอมือ

 

เรื่องเหรียญที่ระลึกมีรายละเอียดตามลิ้งค์เลยค่ะ

http://ecatalog.treasury.go.th/whatsnew/detail.php?id=286

 

เท่าที่ดู...ถ้าเป็นเหรียญทองรุ่นขนาด 10g.และ 15g.จะเป็นทอง96.5% ราคาเฉพาะมูลค่าเนื้อทอง ตกบาทละ30,000 :unsure:

แต่ก็สวยงาม น่าเก็บ(ถ้ามีตังค์ :lol: :lol: )

 

ถ้ารุ่นขนาดน้ำหนัก 240 กรัม....550,000บาท...สวยมากกกก

ในกระทู้นี้ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมดครับ ใครรู้อะไรช่วยตอบได้เลยครับ ได้ข่าวเหมือนกันเรื่องให้จองเหรียญแล้ว กำลังจะตามหาข้อมูลอยู่พอดี

ใครเงินหนาเหรียญ240กรัมก็น่าสนใจครับเพราะจำนวนผลิตน้อยมาก ยังไม่เคยเห็นเหรียญทองคำใหญ่ขนาดนี้ ฝันว่าซักวันจะได้เป็นเจ้าของเหรียญทองคำใหญ่ขนาดนี้ ได้แต่ฝัน

ตั้งราคาหนักขึ้นกว่าเดิม เสียดายเหรียญทองคำราชาภิเษก ที่ศูนย์สิริกิต์จำหน่าย30000บาท หนัก15กรัมทอง99%

จองไว้แล้วแต่รูดบัตรไม่ได้(ยอดเงินไม่ลงตัวเลยงดการรูดบัตร)

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ขอบคุณ คุณkunghdy คุณ888 ที่มีจิตอาสาช่วยเหลือเพื่อนๆ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เล่นสั้นๆๆ น่าเสี่ยงตัวนี้ เป้าที่ 35 บาท

 

ขอบคุณนะคะ. อยากทราบว่าหุ้นตัวนี้ระบบยังเขียวไหมคะ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

เอเชียส่อเจ็บหนักเมื่อลุงแซมเบี้ยวหนี้

20 กรกฎาคม 2554 เวลา 07:23 น. | เปิดอ่าน 1,060 | ความคิดเห็น 2

สำหรับเกือบทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย ปัญหาหนี้สาธารณะทางฟากตะวันตกโดยเฉพาะพี่เบิ้มตลอดกาลอย่างสหรัฐ

 

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

 

สำหรับเกือบทุกประเทศในภูมิภาคเอเชีย ปัญหาหนี้สาธารณะทางฟากตะวันตกโดยเฉพาะพี่เบิ้มตลอดกาลอย่างสหรัฐ เปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะสั่นคลอนเอเชียได้ทุกเมื่อ

 

ซ้ำร้ายกว่านั้นปัญหาหนี้ที่ว่ายังเป็นระเบิดขนาดยักษ์ที่เอเชียไม่สามารถหลบหลีก หรือเมินเฉยได้ เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถคาดเดาความเสียหายบอบช้ำที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่ชัด หากระเบิดดังกล่าวกระแทกเข้าเอเชีย

 

แน่นอนเป็นเพราะว่าเอเชีย คือผู้ถือครองพันธบัตรสหรัฐมากที่สุดในโลก หรือก็คือเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของลุงแซม

 

นอกจากนี้ จากการประเมินคร่าวๆ ของบรรดานักวิเคราะห์จากหลายสำนัก เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐในขณะนี้มีอยู่ราว 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนี้มากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นทุนสำรองของจีนและญี่ปุ่น ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 และ 2 ในเอเชีย

 

จำนวนที่มากกว่าครึ่งนี้ ส่งผลให้นักวิเคราะห์สามารถคาดการณ์ได้อย่างไม่ยากเย็นว่า หากปัญหาหนี้ทำให้ความน่าเชื่อถือของสหรัฐลดลง ไม่ว่าจะมาจากการผิดนัดชำระหนี้ หรือโดนหั่นเครดิตจากบริษัทจัดอันดับ เอเชียไม่แคล้วต้องซวนเซตามสหรัฐไป เพราะเงินทุนสำรองที่ถืออยู่นี้มากมายมหาศาลเกินกว่าที่จะนำไปลงทุนในที่ใดได้ นอกจากจะต้องกัดฟันซื้อเป็นเหรียญสหรัฐไว้

 

 

ผลกระทบอันดับต่อมาที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ ในฐานะผู้ถือเงินทุนสำรองรายใหญ่ในสกุลเหรียญสหรัฐ แน่นอนว่าเอเชียมีสิทธิต้องบอบช้ำทันทีกับมูลค่าของเงินสหรัฐที่หายไป เนื่องจากมูลค่าของเงินเหรียญสหรัฐในตลาดโลกลดลง

 

นอกจากนี้ การผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกทั่วโลก จนเกิดเหตุการณ์เหมือนเมื่อครั้งที่เลห์แมน บราเธอร์สล้มละลายเมื่อปี 2551 ซึ่งเป็นเป็นสิ่งที่เอเชียวิตกกังวลมากที่สุด

 

แม้ว่าในครั้งนั้นเอเชียจะรับมือได้ดีกว่าสหรัฐและยุโรป แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเอเชียไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง และขณะนั้นสถานะทางเศรษฐกิจของเอเชียยังคงแข็งแรงดีอยู่

 

ทว่า ปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเอเชียโดยตรง เพราะไม่เพียงแต่เอเชียในฐานะผู้ถือพันธบัตรของสหรัฐจะต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงต่อการขาดทุน หากสหรัฐเกิดผิดนัดชำระหนี้ นักลงทุนเองก็จะแห่กันถอนเงินออกจากบรรดาประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ซึ่งส่วนใหญ่อยู่เอเชีย แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมจะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีก็ตาม เพื่อความปลอดภัย

 

ขณะที่ธนาคารที่พึ่งพาพันธบัตรสหรัฐในฐานะเป็นแหล่งเงินทุนสำรองที่ปลอดภัยมากที่สุด จะจำกัดการปล่อยสินเชื่อหรือเลือกเทขายสินทรัพย์เสี่ยงที่ถือครองอยู่ เพื่อค้ำจุนสถานะของตนเอง

 

ขณะเดียวกันหากหนี้สหรัฐถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจาก AAA ผลลัพธ์ดังกล่าว จะกลายเป็นแรงกดดันบรรดากองทุนที่เล็งลงทุนเฉพาะพันธบัตรที่ได้รับการจัดอันดับ AAA ต้องเทขาย ส่งผลให้ตลาดเงินในเอเชียและระบบการเงินทั้งระบบปั่นป่วนโกลาหล ตามที่เบน เบอร์แนนคี ประธานธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ทำนายไว้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญหน้ากับเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ในกรณีที่สหรัฐเกิดเบี้ยวนี้ เนื่องจากการลงทุนของนักลงทุนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะใช้การกู้ยืมเงินมาลงทุน โดยสามารถเก็งกำไรได้สูงถึง 100 เหรียญสหรัฐ ต่อเงินลงทุนเพียง 1 เหรียญสหรัฐ เพราะฉะนั้นแล้ว ความยืนหยุ่นในการเดิมพันเก็งกำไรจะหายวับไปทันที หากสหรัฐผิดนัดชำระหนี้

 

และถึงแม้สหรัฐจะไม่ผิดนัดชำระหนี้ แต่การที่สหรัฐถูกลดอันดับเครดิตอาจส่งผลให้ประเทศอื่นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ย ต้นทุนทางธุรกิจสูงขึ้น ตลอดจนกระทบต่อบรรดาผู้บริโภค เนื่องจากหลักทรัพย์ในการค้ำประกันอย่างพันธบัตรสหรัฐลดทอนความน่าเชื่อถือลงไป

 

แน่นอนว่าในฐานะคนนอก เอเชียไม่สามารถก้าวก่ายหรือกดดันการตัดสินใจของสหรัฐที่ดูจะขึ้นอยู่กับเกมทางการเมืองภายในมากกว่าเศรษฐกิจของประเทศ และทำได้เพียงแค่เฝ้าดู รอคอย และคาดหวังว่าในที่สุดแล้วสภาคองเกรสจะสามารถควานหาข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ที่จะถึงกำหนดในวันที่ 2 ส.ค.นี้ และเป็นหนทางที่พิสูจน์ให้บรรดาบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือทั้งหลายมั่นใจได้ว่า เป็นวิถีทางจัดการหนี้ให้มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืน

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะหวั่นวิตกกับวิกฤตของสหรัฐมากเพียงใด บรรดาประเทศต่างๆ ในเอเชีย ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตัดใจจากเงินสกุลเหรียญสหรัฐ

 

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อมั่นว่า รัฐบาลสหรัฐจะไม่ยอมเสียความน่าเชื่อถืออันเป็นความแข็งแกร่งทางการเงินหนึ่งเดียวที่สหรัฐมีอยู่ในขณะนี้ไปเด็ดขาด ขณะที่อีกหนึ่งนั้นก็เพราะภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวมในปัจจุบัน

 

ทั้งนี้ ในขณะที่สหรัฐกำลังอ่อนแอ ยุโรปกับค่าเงินยูโร หนึ่งในเงินสกุลหลักของโลกก็อยู่ในสภาพง่อนแง่นไม่ต่างกัน อันมีปัจจัยจากหนี้สาธารณะที่แพร่กระจายจากประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กอย่างกรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส จนมีแนวโน้มว่าจะลุกลามไปยังหนึ่งในยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของยุโรปอย่างอิตาลี

 

เมื่อไม่ว่าจะหันซ้ายหรือขวาก็แย่พอกัน ทางเดียวที่พอจะทำได้คือเลือกข้างที่ปลอดภัยมากกว่า และดูเหมือนว่าสหรัฐจะมีภาษีดีกว่า เหนือกว่ายุโรป โดยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของญี่ปุ่นถึงกับระบุว่า แม้การถือเงินสกุลเหรียญสหรัฐอาจมีจุดจบที่ไม่สวย ที่อาจหมายถึงทำให้เงินทุนสำรองของประเทศหายไป แต่ก็ยังไม่มีการลงทุนไหนที่ปลอดภัยที่สุดเท่าสกุลเงินเหรียญสหรัฐ เพราะอย่างน้อยญี่ปุ่นก็ยังสามารถอยู่รอดต่อไปได้

 

ท่าทีของเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นรายนี้สอดคล้องกับตัวเลขการถือครองพันธบัตรสหรัฐที่กระทรวงการคลังของสหรัฐระบุว่า แม้เพดานหนี้ของสหรัฐจะถึงขีดที่กำหนดไว้เมื่อเดือน พ.ค. แต่บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างพากันแห่ซื้อพันธบัตรอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนเงินสูงถึง 3.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และส่งผลให้เงินสำรองระหว่างประเทศในสกุลเงินสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ 4.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว

 

ทั้งนี้ ในบรรดานักลงทุนต่างชาติ จีน ถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดที่เข้ามาซื้อพันธบัตรของสหรัฐ เพราะในช่วงระยะเวลา 5 เดือนที่สหรัฐต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตหนี้ การถือครองพันธบัตรสหรัฐของจีนเพิ่มขึ้นจาก 7,300 ล้านเหรียญสหรัฐ อยู่ที่ 1.16 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

 

แง่หนึ่ง การเข้าถือครองพันธบัตรที่มากขึ้นแสดงให้เห็นว่าโลกยังคงเชื่อมั่นสหรัฐในการจัดการปัญหานี้ อีกแง่หนึ่ง การกระทำดังกล่าวของจีนและญี่ปุ่น ก็เสมือนเป็นมาตรการช่วยเอเชียอีกทางหนึ่ง

 

เพราะหากสหรัฐสามารถรอดพ้นวิกฤตหนี้ครั้งนี้ไปได้ ลูกระเบิดขนาดใหญ่ก็จะกลายเป็นลูกบอลขนนุ่มให้เอเชียกอดได้อย่างสบายใจแทน แถมท้ายด้วยผลตอบแทนเกินคุ้มกับพันธบัตรที่ซื้อไว้ในสถานการณ์ที่เสี่ยงแบบนี้

ถูกแก้ไข โดย ส้มโอมือ

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ทองโลกกระฉูดสนองวิกฤตหนี้

19 กรกฎาคม 2554 เวลา 07:10 น. | เปิดอ่าน 911 | ความคิดเห็น 1

คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าปัญหาวิกฤตหนี้ของสหรัฐและยุโรป ทำให้ยุคตื่นทองตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

 

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ

 

โดยหลักฐานที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ราคาทองคำในตลาดโลกในขณะนี้เพิ่งทำสถิติรอบใหม่เฉียด 1,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เมื่อวันจันทร์ที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา

 

ราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2554 นี้ จนถึงขั้นที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่าราคาทองทำในปีนี้อาจจะพุ่งทะลุ 2,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์โน่น...!

 

แน่นอนว่าสภาพผันผวนทางเศรษฐกิจที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในขณะนี้ คือตัวการสำคัญที่ส่งผลให้บรรดานักลงทุนทั้งหลายทิ้งกระดาษ (เงิน) ในมือ เพื่อพักหลบภัยอิงอาศัยสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่าในตัวของมันเองอย่างทองคำ

 

เพราะในสายตาของนักลงทุน สถานะของทองคำก็คือตัวมูลค่าของความมั่งคั่งมั่นคงอันดับหนึ่งตลอดกาล ที่ยังไม่มีสิ่งไหนมาทดแทน ท้าทาย หรือเปลี่ยนแปลงได้มานานนับศตวรรษ

 

และไม่ว่าจะด้วยคุณสมบัติที่คงทน หรือหายากจนทำให้มีจำกัด แต่ทองคำก็มีมูลค่าแตกต่างจากเงินสด พันธบัตร และหุ้นหรือหลักทรัพย์อื่นๆ อย่างเด่นชัดตรงที่บรรดาทรัพย์สินเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยเจตนาในการกำหนดค่าจากมนุษย์ด้วยกัน

 

 

 

อย่างไรก็ตาม แม้ทุกคนจะตระหนักรู้ดีแก่ใจว่าทองคำมีมูลค่ามากมายมหาศาล แต่ตลาดการซื้อขายทองคำก็ไม่ได้ “ฮิต” หรือ “บูม” มากนักในการซื้อขายเก็งกำไร ด้วยเหตุผลธรรมดาสามัญที่ว่าทองคำควรมีไว้เก็บ ซึ่งผิดกับวิสัยของนักเก็งกำไรที่ดี ที่ชื่นชอบการซื้อมาขายไป

 

ทว่า มูลค่าทองคำในตลาดโลกดูจะทวีความร้อนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีลดในช่วง 10 ปีให้หลัง โดยราคาทองคำจากเดือน ธ.ค. 2543 ถึงเดือน ต.ค. 2553 เพิ่มขึ้นถึง 400% เนื่องจากบรรดานักลงทุนไม่ได้มองทองคำว่าเป็นตัวสำรองทรัพย์สินที่ดี แต่กลับมองทองคำว่าเป็นโอกาสในการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนกลับมาคุ้มค่ากว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจแบบนี้

 

ทั้งนี้ ในมุมมองของนักวิเคราะห์ ปัจจัยแรกสุดที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำในตลาดโลกให้เพิ่มขึ้นก็คือ ตัวเลขเงินเฟ้อในแต่ละประเทศที่ปรับสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ราคาข้าวของแพงจนผู้คนนิยมหันมาจับทองเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีนและอินเดีย ที่ประชาชนนิยมหาซื้อเครื่องประดับจำพวกทองคำมาเก็บมากขึ้น

 

ปัจจัยต่อมาก็คือ ความอ่อนแอปวกเปียกของสกุลเงินหลักของโลกอย่างเงินเหรียญสหรัฐและเงินยูโรอันเป็นผลมาจากปัญหาหนี้สาธารณะ

 

ขณะที่ปัจจัยสุดท้ายก็คือ ความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลกที่ซีกหนึ่งมุ่งการเก็บตุนสำรอง แต่อีกฟากหนึ่งกระตุ้นให้ใช้จ่าย ซึ่งเป็นสัญญาณส่อความไม่แน่นอน ไม่มั่นใจต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกในอนาคต

 

ในบรรดา 3 ปัจจัยที่เอ่ยมาข้างต้น ปัจจัยล่าสุดที่เร่งให้ราคาทองคำพุ่งทะลุสถิติ หนีไม่พ้นวิกฤตปัญหาหนี้ในสหรัฐ ลูกพี่ใหญ่ของเศรษฐกิจโลก ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และมีปริมาณทองคำสำรองไว้ในธนาคารกลางสูงถึง 6,200 ตัน

 

สิ่งที่ทำให้ปัญหาหนี้ของสหรัฐต้องย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤต ก็เนื่องมาจากบรรดานักลงทุนต่างเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่อสหรัฐว่าจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้

 

ทั้งนี้ หนี้สาธารณะของสหรัฐพุ่งขึ้นมาจนชนเพดานที่ตั้งไว้อยู่ที่ 14.29 ล้านเหรียญสหรัฐ ตั้งแต่เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา และเพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้ตามเส้นตายที่กำหนดในวันที่ 2ส.ค. สหรัฐจะต้องเพิ่มเงินในคลังอย่างเร่งด่วน และทางด่วนที่สหรัฐต้องทำในขณะนี้ก็คือ การขอให้สภาคองเกรสอนุมัติให้รัฐบาลเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งทำให้สหรัฐสามารถผลิตตราสารหนี้ออกมาขายเพื่อระดมทุนเข้าคลัง

 

ทว่า ระยะเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาจนเหลือไม่ถึง 2 อาทิตย์ สภาคองเกรสของสหรัฐก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวคืบหน้าของมาตรการใดๆ ที่พอจะทำให้นักลงทุนเบาใจเลยแม้แต่น้อย อันเนื่องมาจากเกมการเมืองของ 2 พรรคใหญ่อย่างพรรคเดโมแครต และพรรครีพับลิกัน

 

เพราะขณะที่พรรคเดโมแครต ของประธานาธิบดี บารัก โอบามา ได้ยอมรับข้อเสนอของพรรครีพับลิกันในการหั่นลดค่าใช้จ่ายของรัฐ ซึ่งรวมถึงนโยบายลดเงินสวัสดิการและเงินช่วยเหลือประชาชน อันเป็นนโยบายหลักที่เรียกเสียงสนับสนุนทางการเมืองของพรรค เพื่อแลกกับความยินยอมของสมาชิกพรรครีพับลิกันในการขึ้นเพดานหนี้

 

พรรครีพับลิกันกลับลังเลเมื่อเจอไม้เด็ดของประธานาธิบดีโอบามา ที่ยื่นเงื่อนไขมาว่า รัฐบาลจำต้องหารายได้เข้าคลังด้วยการขึ้นภาษี โดยเฉพาะการเรียกเก็บจากคนรวย และยกเลิกการงดเว้นภาษีจากบรรดาบริษัทน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงหลักของพรรครีพับลิกันด้วยเช่นกัน

 

เข้าทำนองว่า ถ้าต้องเสีย ก็ต้องยอมเสียอย่างเท่าเทียมกัน และดูเหมือนว่าข้อเสนอของโอบามาจะตรงใจประชาชนไม่น้อย เพราะจากการสำรวจล่าสุดโดยแกลลัพโพล 69% ของประชาชนอเมริกันยกมือสนับสนุนเต็มที่

 

เอเดรียน ฟอสเตอร์ หัวหน้าศูนย์วิจัยการตลาดในเอเชียแปซิฟิกของราโบ แบงก์ อินเตอร์เนชันแนล ประจำฮ่องกง ระบุว่า แม้บรรดาเซียนนักวิเคราะห์ทั้งหลายจะรู้ดีแก่ใจว่าสหรัฐจะไม่ยอมปล่อยให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้อย่างแน่นอน แต่สถานการณ์ล่อแหลมที่เกิดขึ้นก็อดที่จะทำให้นักลงทุนเกิดอาการวิตกจริตไม่ได้

 

สหรัฐรู้ดีอยู่แก่ใจว่า หากไม่ยอมให้มีการขึ้นเพดานหนี้จนปล่อยให้การผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่สหรัฐคาดไม่ถึง และคงจะไม่อยากคาดเดาด้วย

 

การเบี้ยวหนี้ของสหรัฐจะผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นจนผู้บริโภคหมดปัญญากู้เพื่อซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือทำบัตรเครดิต ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้ภาระหนี้รัฐบาลหนักหนามากขึ้น จนรัฐต้องยุติระบบบำนาญผู้สูงอายุ และทั้งหมดทั้งมวลก็นำไปสู่ความวุ่นวายไม่เพียงแต่ภายในสหรัฐเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก เพราะเจ้าหนี้ของสหรัฐมีอยู่ทั่วโลก

 

อย่างไรก็ตาม แม้เวลาจะกระชั้นชิด แต่หากมองในแง่ดี สหรัฐก็ยังเหลือเวลาอีก 4 วัน ก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่ประธานาธิบดีโอบามากำหนดไว้ในวันที่ 22 ก.ค.นี้ เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการเพิ่มเพดานหนี้ของประเทศ

 

และเป็นที่น่ายินดีว่าบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสและวุฒิสมาชิกของสหรัฐต่างมีความเห็นตรงกันอย่างหนึ่งว่า ไม่อาจปล่อยให้ประเทศเสียความน่าเชื่อถือโดยการผิดนัดชำระหนี้ได้

 

แต่กว่าจะถึงเวลานั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นักลงทุนทั้งหลายคงแห่ไปซบทองคำ จนส่งผลให้ราคาแร่โลหะชนิดนี้พุ่งเรื่อยๆ ต่อเนื่องแบบฉุดไม่อยู่ต่อไป ตราบใดที่วิกฤตหนี้ยังรุมเร้าสหรัฐและยุโรปไม่จบไม่สิ้นเสียที...!

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

สหรัฐป่วยไทยปั่นป่วน

19 กรกฎาคม 2554 เวลา 10:28 น. | เปิดอ่าน 1,330 | ความคิดเห็น 2

สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาขายทองคำแท่งในประเทศขยับขึ้นรวมเบ็ดเสร็จไปแล้ว 650 บาท

 

โดย...ทีมข่าวการเงิน

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาขายทองคำแท่งในประเทศขยับขึ้นรวมเบ็ดเสร็จไปแล้ว 650 บาท เฉียดบาทละ 2.3 หมื่นบาท เพราะปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ มาตรการเข้าพยุงเศรษฐกิจรอบที่ 3 (QE3) ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะออกมาหน้าตาแบบไหน ทำเอานักลงทุนต่างตื่นตระหนกแห่ขายเงินเหรียญสหรัฐ และเข้าถือทองคำแทน

 

เนื่องจากมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าถือธนบัตรสหรัฐในยามนี้

 

แต่ดูเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหนักขึ้นอีก เมื่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ออกมาเตือนว่า มูดี้ส์ฯ กำลังอยู่ในระหว่างการทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ของสหรัฐ โดยมีแนวโน้มปรับลดลงสู่กรอบ AA หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการเพิ่มเพดานหนี้ของประเทศจากระดับ 14.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลไม่สามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้

 

ห้วงเวลานี้จึงเหมือนฝันร้ายของประธานาธิบดี บารัก โอบามา เพราะหากพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันไม่สามารถหาข้อสรุปเรื่องงบประมาณและเพดานหนี้ได้ทันก่อนกำหนดเส้นตายวันที่ 2 ส.ค.นี้ นี่จะเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของประเทศมหาอำนาจที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศในรอบกว่า 90 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917 หรือ พ.ศ. 2460

 

กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำของ โอบามา ผู้นำคนแรกของประเทศที่มีชื่อเสียงติดอยู่กับช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของสหรัฐ

 

 

 

 

ที่ผ่านมา บริษัท สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ ได้ปรับแนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือ AAA ของสหรัฐเป็น Negative ไปแล้วเมื่อเดือน เม.ย. และกล่าวเตือนว่า หากสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ อันดับเครดิตก็จะถูกปรับลงไปที่ D

 

หากเป็นเช่นนี้จริง ย่อมมีผลรุนแรงมากขึ้นต่อเศรษฐกิจ และการระดมทุนของสหรัฐ โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ ตลอดจนความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากความผันผวนของตลาดการเงินโลก

 

ประเด็นดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การที่สหรัฐจะถูกพิจารณาเพิ่มอันดับเครดิตกลับไปที่อันดับสูงสุดใหม่อีกครั้งหากถูกปรับลดอันดับลงแล้วถือเป็นเรื่องที่ยาก และอาจกินเวลายาวนาน

 

การที่เงินเหรียญสหรัฐ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอ่อนค่าลงนั้น จะทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อาจเผชิญแรงเทขายอย่างหนักจากบรรดานักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงในทรัพย์สินและผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยเฉพาะในระยะสั้น

 

ขณะที่สกุลเงินที่มีความปลอดภัย เช่น เงินเยน และเงินฟรังก์สวิส อาจปรับแข็งค่าขึ้นพร้อมๆ ทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการศึกษาด้วยว่า หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.50% ก็จะกดดันให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐลดลงถึงประมาณ 0.4%

 

ดังนั้น หากวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับไทยและประเทศในเอเชียขณะนี้ ก็พอเห็นเค้าลางคร่าวๆ ว่า ตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนจะเกิดความผันผวนอย่างหนักแน่ เช่นเดียวกับตลาดโภคภัณฑ์ที่จะมีความอ่อนไหวกับข่าวเหล่านี้

 

อันดับแรก เงินทุนจะไหลเข้าไทยและประเทศในเอเชีย จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ห่างกันมาก ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐอยู่ที่ 00.25% ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 3.25% เป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2553

 

แน่นอนว่า ส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ห่างกันถึง 3% ย่อมทำให้ “ผู้ที่เล่นกับเงิน” จะมองเห็นโอกาสในการให้เงินทำงานด้วยการวิ่งเข้าใส่ประเทศที่สามารถแสวงหาผลตอบแทนได้ดีที่สุด

 

ไทย คือ ประเทศที่มีสถานะเป็นเช่นนั้น มากกว่า ญี่ปุ่น สิงคโปร์

 

ซึ่งก็เท่ากับว่า นับจากนี้จะเห็นเงินบาทเกิดอาการผันผวน แข็งค่าขึ้นอีก ธนาคารกสิกรไทยคาดการณ์ว่าปีนี้น่าจะเห็นบาทแตะระดับที่ 29 บาท/เหรียญสหรัฐ ขณะที่สัปดาห์นี้หลายฝ่ายยังคงจับตาเงินบาทหลุดกรอบ 30 บาท/เหรียญสหรัฐ ค่อนข้างเป็นไปได้สูง

 

เมื่อเงินบาทแข็งค่า ผลที่จะเกิดตามมาคือ ปัญหาของผู้ส่งออกของไทยที่กินส่วนแบ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศกว่า 70% จะกระทบหนักไปโดยปริยาย

 

แม้ตัวเลขการส่งออกของไทยยังพุ่งฉิว แต่หากเปิดไส้ในรายได้ของผู้ประกอบการส่งออกก็จะพบว่า รายได้ในส่วนที่เป็นกำไรลดลงมาก

 

เพราะรายได้จากการค้าขายส่งออกที่แปลงเข้ามาในรูปเงินบาทจะได้น้อยลงกว่าเดิมตามสัดส่วนเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

 

คิดง่ายๆ ลำพังแค่เงินบาทในอนาคตแข็งค่าขึ้นจากปัจจุบันแค่ 1 บาท/เหรียญสหรัฐ ก็ทำให้รายได้ที่แปลงเข้ามาเป็นเงินบาทที่มาสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศหายไปปีละ 8.59.5 หมื่นล้านบาทเป็นอย่างต่ำแล้ว

 

สิ่งที่ผู้ประกอบการส่งออกจะทำได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวนอีกรอบ คือ การป้องกันความเสี่ยงด้วยการซื้อป้องกันความเสี่ยงค่าเงินบาทไว้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับแรงกระเพื่อมจากค่าเงิน

 

แต่การซื้อป้องกันความเสี่ยงก็ถือเป็นภาระหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่ม โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีสายป่านสั้นกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่

 

ในทางกลับกัน ธนาคารพาณิชย์ที่ทำหน้าที่เป็น “พ่อค้าคนกลาง” ก็จะมีรายได้จากการทำป้องกันความเสี่ยงค่าเงินกันอู้ฟู่ในช่วงที่เหลือของปีนี้

 

อย่างไรก็ดี เงินบาทที่แข็งค่าก็ช่วยพยุงต้นทุนที่เกิดขึ้นจากราคาน้ำมันได้เปลาะหนึ่ง เพราะน้ำมันถือเป็นต้นทุนการผลิตในทุกภาคส่วน

 

เนื่องจากประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ติดอันดับการนำเข้าพลังงานมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ส่วนนี้อาจช่วยผู้ประกอบการได้บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย เพราะน้ำมันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความสงบในประเทศตะวันออกกลางด้วย

 

แต่หากมองมุมกลับกัน ก็ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นความเลวร้ายของผู้ประกอบการอีกก็เป็นได้ เพราะหากตราสารหนี้ต่างๆ ของสหรัฐไม่มีนักลงทุนใดต้องการถือครอง เกิดการเทขายอย่างหนัก เงินเหล่านี้ก็จะถูกนำไปลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์

 

หนึ่งในนั้นก็คือ น้ำมัน ที่กำลังถูกจับตามอง ก็เท่ากับว่า หากนักลงทุนแห่ไปลงทุนในน้ำมัน ก็จะดันให้ราคาน้ำมันพุ่งพรวดได้อีก

 

ผลกระทบก็ตกถึงผู้ที่ใช้น้ำมันในการผลิต และผู้ใช้น้ำมันทั่วไป เพราะราคานำเข้าก็จะสูงขึ้น

 

เช่นเดียวกับทองคำที่จะกลายเป็นสินทรัพย์อันทรงพลัง เมื่อการถือกระดาษหรือตราสารหนี้ พันธบัตรในสหรัฐแทบไม่มีราคาค่างวดแล้ว นักลงทุนทั่วโลกก็จะหันมาเล่นตลาดทองคำกันมากขึ้น ทองคำจะทะยานขึ้นมาให้คนชะเง้อหาก็เป็นไปได้

 

เพราะหากย้อนกลับไป 10 ปีมานี้ การลงทุนทองคำถือว่าชนะการลงทุนทุกอย่างในด้านผลตอบแทน

 

นั่นก็เท่ากับว่า ราคาทองคำในตลาดโลกจะมีความผันผวนอีกระลอก ส่งผลมายังตลาดทองคำในประเทศ ซึ่งกูรูทองมองว่า ภายในปีนี้ราคาทองคำแท่งในไทยจะแตะระดับ 2.3 หมื่นบาท ก็ไม่แน่ว่าราคาระดับนี้อาจเห็นได้ก่อนสิ้นปีหรือไม่ หากสถานการณ์ในสหรัฐเลวร้ายลงอีก

 

ช่วงนี้สำหรับคนที่ลงทุนทองคำอยู่แล้วจึงเป็นช่วงขาขึ้น เพราะราคามีแต่จะพุ่งเอาๆ แต่ถ้ามองอีกมุม หากเงินบาทไม่แข็งค่าอย่างนี้ ราคาทองคำมีโอกาสทะยานได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ ยกเว้นสำหรับคนที่คิดจะซื้อทองคำอาจต้องเบรกตัวเองอีกระยะ

 

ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อตลาดโภคภัณฑ์ฟูฟ่อง ทองคำ น้ำมัน มีการลงทุนหนาแน่น ก็ยิ่งเป็นแรงผลักให้เงินเฟ้อที่เป็นตัวสะท้อนดัชนีราคาขยับตัวสูงขึ้น

 

ปัญหาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นโจทย์หนักของธนาคารกลางในทุกประเทศให้ต้องหาทางรับมือกับราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้น

 

ไม่ต้องพูดถึงธนาคารกลางของไทย ที่ต้องงัดอาวุธออกมาเพื่อเข้าไปดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจด้วยการใช้นโยบายการเงินที่เข้มข้นกว่าเดิม

 

นั่นหมายถึงว่า จะมีการใช้ดอกเบี้ยมาเป็นตัวหลักในการดูแลเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ก็จะทะยานขึ้นต่อไป

 

ต้นทุนทางการเงินของบรรดาผู้ประกอบการผลิต ต้นทุนชีวิตของมนุษย์เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

 

นี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นรอบด้านจากวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา

 

คุณอาจจะจินตนาการไม่เห็นภาพชัดเจนนักเมื่อเสือกลายเป็นแมว แต่เชื่อเถอะว่า ยามประเทศมหาอำนาจของโลกกำลังเผชิญศึกหนัก ทุกประเทศไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล จะเล็กหรือใหญ่ ย่อมหนีไม่พ้นต้องสะเทือนสะท้านกับการหาทางรับมือของยักษ์ใหญ่

 

ในสถานะเช่นนี้ ไม่เฉพาะผู้ประกอบการเท่านั้นที่ต้องตั้งรับเงินร้อนที่จะไหลเข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดเงิน ตลาดทุน นับจากนี้ไป บรรดาคนเดินดินกินข้าวแกงก็ได้รับผลกระทบจากอาการไข้ของยักษ์ใหญ่ของโลกโดยไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

ปืนตัดใจประเคน 115,000 ต่อวีครั้ง "นาสรี"

 

อาร์เซนอล เตรียมประเคนค่าเหนื่อย 6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 300 ล้านบาท) ต่อปี รั้ง ซาเมียร์ นาสรี กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ไว้กับถิ่น เอมิเรตส์ สเตเดียม ต่อไป จากการตีข่าวของ "เดลี สตาร์" (DAILY STAR)

 

อาร์แซน เวนเกอร์ นายใหญ่ อาร์เซนอล พร้อมเสี่ยงรั้ง นาสรี ที่เหลือสัญญาปีเดียว แม้ว่าในช่วงซัมเมอร์นี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี จะยื่นข้อเสนอ 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1 พันล้านบาท) ขอคว้าตัว โดย "ปืนโต" จะใช้เวลาที่เหลือเกลี้ยกล่อมแข้งวัย 24 ปีต่อสัญญาให้ได้

 

โดยคาดว่า อาร์เซนอล จะประเคนเงิน 115,000 ปอนด์ (ประมาณ 5.7 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ให้กับ นาสรี พิจารณา หลังตัวเลขขั้นแรก 90,000 ปอนด์ (ประมาณ 4.5 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ ถูกบอกปัด แต่ก็ยังน้อยกว่า แมนฯซิตี ที่จ่าย 160,000 ปอนด์ (ประมาณ 8 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์

 

เวนเกอร์ ต้องการให้ นาสรี เป็นจอมทัพในแผงมิดฟิลด์แทน เชส ฟาเบรกาส แข้งทีมชาติสเปนชุดแชมป์โลก 2010 ที่ต้องการย้ายกลับบ้านไปสวมเสื้อ บาร์เซโลนา แชมป์ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก เมื่อปีที่แล้ว

 

ชอบทำให้อยากแล้วจากไป!! ปืนทุ่ม 22 ล้านกระชากหน้าบากจากถ้ำพี่เสือ

 

อาร์เซน่อล ตกเป็นข่าวพร้อมทุ่มเงิน 22 ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัว ฟร้องค์ ริเบรี่ ปีกทีมชาติฝรั่งเศสของบาเยิร์น มิวนิค มาเสริมทัพเพื่อไล่ล่าแชมป์ในฤดูกาลหน้า

 

ยักษ์ใหญ่แห่งลอนดอนเหนือยังสุ่มเสี่ยงที่จะเสียนักเตะกำลังสำคัญอย่าง เชส ฟาเบรกาส และซามีร์ นาสรี่ สองซูปเปอร์สตาร์ของทีมออกไปจากทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ และถ้าพวกเขาเสียใครคนใดคนหนึ่งไปจริง อาร์แซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล ก็ต้องการนักเตะระดับซูปเปอร์สตาร์เข้ามาแทนที่ในทันที และริเบรี่ ที่สามารถเล่นเกมส์ริมเส้นได้ดีก็เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของกุนซือเมืองน้ำหอม

 

ที่มา : gunnerthailand

แชร์โพสต์นี้


ลิงก์ไปโพสต์
แชร์ไปเว็บไซต์อื่น

Join the conversation

You can post now and register later. If you have an account, sign in now to post with your account.

ผู้มาเยือน
ตอบกลับกระทู้นี้...

×   วางข้อความแบบ rich text.   วางแบบข้อความธรรมดาแทน

  อนุญาตให้ใช้ได้ไม่เกิน 75 อิโมติคอน.

×   ลิงก์ของคุณถูกฝังอัตโนมัติ.   แสดงเป็นลิงก์แทน

×   เนื้อหาเดิมของคุณได้ถูกเรียกกลับคืนมาแล้ว.   เคลียร์อิดิเตอร์

×   คุณไม่สามารถวางรูปภาพได้โดยตรง กรุณาอัปโหลดหรือแทรกภาพจาก URL

กำลังโหลด...

  • เข้ามาดูเมื่อเร็วๆนี้   0 สมาชิก

    ไม่มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนกำลังดูหน้านี้

×
×
  • สร้างใหม่...